ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
|||||
เวลาที่หายไป - บทที่ 17 แล้ววันเวลาก็เคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ คืนหนึ่งเคนเข้านอนแล้วแต่ยังไม่หลับ ตอนที่มีเสียงคนมาเรียกตาเป็งและมีเสียงทุบประตูห้อง เขาลุกขึ้นนั่งฟัง สักครู่ก็ได้ยินเสียงแกพูดกับคนที่มาหาเป็นภาษาท้องถิ่น เขาไม่เข้าใจทั้งหมดได้ยินชัดแต่คำว่า ‘คุณกร’ ชายหนุ่มจึงลุกออกจากห้องลงบันไดมาตรงที่คนทั้งสองยืนพูดกันอยู่ “เห็นคุณกรไหม คุณหนูให้มาถาม ” ตาเป็งถามเมื่อเห็นเคน “ไม่เห็นนี่ครับ วันนี้ตั้งแต่ที่คุณกรกลับจากโรงเรียนตอนเย็น ผมยังไม่เจอคุณกรเลย” เคนตอบแล้วหันไปถามอินแปงซึ่งเป็นคนมาปลุกตาเป็ง “ นี่ก็ดึกแล้ว คุณกรไม่ได้อยู่บนตึกหรอกหรือ ? ” “ไม่อยู่ ” อินแปงตอบ แล้วอธิบายเพิ่มเติมตามที่รู้มาว่า “เห็นคำหล้ามันบอกว่าเมื่อตอนหัวค่ำ คุณกรถูกคุณหนูดุเรื่องอะไรก็ไม่รู้ คุณกรร้องไห้แล้วก็วิ่งออกไป คุณหนูรออยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นกลับมา ” “ ดูในห้องคุณกรหรือยัง ? ” ชายหนุ่มซัก “ คำหล้าไปดูแล้วแต่ไม่เจอ ตอนนี้พวกคนงานกำลังช่วยกันหาอยู่ พอดีคุณหนูนึกขึ้นได้ว่าคุณกรชอบมาหานาย เลยให้มาถามว่าคุณกรอยู่ที่นี่หรือเปล่า ” “ เอ...ดึกป่านนี้คุณกรจะไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะ ” เคนเริ่มกังวล ดึกขนาดนี้ไม่ใช่วิสัยของเด็กอย่างกรซึ่งกลัวผีขนาดหนัก จะลงจากตึกใหญ่เดินท่อมๆไปคนเดียว ในความมืดและเงียบของเวียงพุกาม อินแปงกลับไปแล้ว ตาเป็งซึ่งตอนนี้เดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวตัวโปรด จุดบุหรี่สูบพ่นควันยาวๆสองสามครั้งแล้วก็พูดลอยๆว่า “ก็คงโกรธหรือน้อยใจคุณหนูนั่นแหละ คุณกรเป็นเด็กใจน้อย บางทีเปิ้นก็คิดมาก ” ชายหนุ่มเดินไปเดินมารอฟังข่าวกรอยู่อีกครู่หนึ่ง ก็เดินกลับขึ้นไปข้างบน เปลี่ยนจากกางเกงที่ใส่นอนเป็นกางเกงที่ใช้เวลาทำงาน ฉวยเสื้อกันหนาวตัวหนาติดมือมาด้วย คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น มีฝนตกปรอยๆมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว เคนนึกเป็นห่วงไม่รู้ว่าเด็กชายมีเสื้อกันหนาวติดตัวไปด้วยหรือไม่ หลังจากนั้นเขาสวมรองเท้าบู๊ตยาวที่ใช้ทำงานในไร่ แล้วขอยืมไฟฉายกระบอกใหญ่ของตาเป็ง “ คุณรู้หรือว่าจะไปตามที่ไหน ” ชายชราถาม “ ผมจะลองดู ” มีที่สองสามแห่งที่เคนรู้ว่ากรชอบไป แต่เขาก็รู้ว่าการตามหาคนในสถานที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นเวียงพุกาม ในเวลากลางคืนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เขาก็ทนรออยู่ไม่ไหว นึกเป็นห่วงกรเพราะเคนเองก็รู้เหมือนตาเป็งว่าเด็กชายผู้นั้น ถึงจะมีการแสดงออกหลายอย่างที่ชี้ว่าเขาเป็นคนง่ายๆ ใครว่าอะไรก็ไม่โกรธ แต่ลึกๆแล้วเขาเป็นเด็กช่างคิดและอ่อนไหว ชายหนุ่มเดินหากรหลายแห่งที่คาดว่าเขาน่าจะไปแต่ก็ไม่มีวี่แวว เดินอยู่เกือบชั่วโมงก็นึกขึ้นมาได้ถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งขนาดสามคนโอบ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับฝายทดน้ำนอกกำแพงเวียงพุกามออกไปเล็กน้อย กรเคยพาเขามาดูโพรงที่โคนต้นไม้ ซึ่งเป็นโพรงขนาดใหญ่แต่ทางเข้าซ่อนอยู่ทางด้านหลัง ทำให้คนที่เดินผ่านมาทางด้านหน้าของต้นไม้ จะไม่รู้ว่ามีโพรงอยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อนึกได้แล้วชายหนุ่มก็เดินมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่จะออกไปสู่ฝายทดน้ำ อีกประมาณสองสามเมตรจะถึงไม้ใหญ่ต้นนั้น เขาก็ได้ยินเสียงสุนัขร้องหงิงๆอยู่อยู่ใกล้ๆ เคนเดินตรงเข้าไปที่โพรงด้านหลังของต้นไม้ ที่เสียงนั้นลอดออกมา เมื่อถึงปากโพรงชายหนุ่มก็ก้มตัวลงฉายไฟเข้าไปในโพรง แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นกรนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น มีลูกสุนัขสีน้ำตาลเข้มตัวน้อยนอนหมอบอยู่บนตัก มันกำลังเลียมือข้างหนึ่งของกรแล้วส่งเสียงครางหงิงๆไปด้วย “ อ้าว คุณกร ! มาทำอะไรอยู่ที่นี่ ” แล้วเคนก็ย่อตัวลงเดินเข้าไปนั่งยองๆตรงหน้ากร เด็กชายผู้นั้นมีท่าทางดีใจเมื่อเห็นเขา “โอ๊ย เคน ผมกลัวผีจะแย่อยู่แล้ว หิวก็หิว เมื่อตอนเย็นผมกินของว่างไปนิดเดียวเอง ” ปากเขาสั่นทีเดียว ตอนนี้อากาศเย็นจัดขึ้นเรื่อยๆ และฝนก็ยังโปรยปรายอยู่ “คุณมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ? ” เคนมองลูกสุนัขตัวนั้นอย่างสงสัย “ นี่ลูกหมาใคร ? ทำไมมันมาอยู่กับคุณได้ ? ” กรทำหน้าเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่างขึ้นมาทันที “ผมเจอมันที่หน้าโรงเรียน กำลังวิ่งอยู่ข้างถนน ผมกลัวว่ามันจะถูกรถทับตาย ก็เลยให้อินแปงจอดรถแล้วก็ลงไปอุ้มมันมา ” เขาเล่าเป็นฉากๆ แต่เคนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “ แล้วคุณเอามันมาทำไม มันยังเล็กอยู่เลย ป่านนี้แม่มันคงตามหาแย่แล้ว ” เด็กชายทำตาโตถามว่า “คุณคิดว่ามันมีแม่ด้วยเหรอ แต่ผมเห็นมันวิ่งอยู่ตัวเดียวเองนะ ” “มันอาจจะพลัดหลงกับแม่มันก็ได้ มันยังเล็กขนาดนี้คงยังกินนมแม่อยู่ คุณเอามันมายังงี้จะให้มันกินอะไรล่ะ ” กรนิ่งคิดแล้วก็แย้งต่อตามนิสัยว่า “ แต่เจ้าของอาจจะเอามันมาปล่อยก็ได้นี่ ผมเห็นหมามันออกลูกทีละตั้งหลายตัว เจ้าของเขาอาจจะเลี้ยงไม่ไหวก็ได้ ” ชายหนุ่มตัดบทว่า “เอาเถอะ ไว้ค่อยว่ากันอีกที ว่าแต่ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ รู้ไหมว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว คุณหนูให้ใครต่อใครออกตามหาคุณให้วุ่นไปหมด ป่านนี้คุณน่าจะเข้านอนเสียนานแล้วไม่ใช่หรือ ? ” พอได้ยินคำถามของเคน กรก็ชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที “เชอะ ตามหาทำไมใจดำที่สุดเลยคุณหนูน่ะ ” “อ๋อ ถูกคุณหนูเอ็ดงั้นสิ เห็นอินแปงว่าคุณร้องไห้ด้วยนี่ คุณไปทำอะไรขัดใจเธออีกหรือไง ” ที่ถามเช่นนั้นก็เพราะเห็นกรกับคุณหนูมีเรื่องดุว่ากันเป็นประจำ จนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เด็กชายค้อนขวับฝากลมฝากแล้งไปทางที่ตั้งของตึกใหญ่ “ก็เรื่องลูกหมานี่แหละ กลับจากโรงเรียนผมก็อุ้มมันขึ้นไปบนตึก พอคุณหนูเห็นก็ด่าผมว่าเอาหมาขึ้นไปทำไม สกปรกบ้างละ ขี้เรื้อนบ้างละ สั่งให้ผมเอามันไปคืนตรงที่เดิม ตอนกลับเข้าโรงเรียน ” เด็กชายจับลูกสุนัขตัวนั้นชูมาตรงหน้าเคน “ดูสิ เคน มันสกปรกตรงไหน มีขี้เรื้อนตรงไหน มันน่ารักน่าสงสารจะตาย ” เคนเอาใจด้วยการรับลูกสุนัขมาสำรวจดูตามเนื้อตามตัวของมัน เขาไม่เห็นรอยขึ้เรื้อน มันอาจจะมอมแมมไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับสกปรก “เอาเถอะ ตอนนี้เรากลับกันก่อนดีกว่า อ้าว...คุณไม่หนาวหรือนี่ คุณเปียกฝนด้วย เสื้อกันฝนกันหนาวอะไรก็ไม่มีสักอย่าง ระวังจะไม่สบายนะ ” ชายหนุ่มบ่นด้วยความเป็นห่วง ส่งเสื้อกันหนาวที่ถืออยู่ให้ ซึ่งฝ่ายนั้นก็รับไปคลุมตั้งแต่ศีรษะลงมา แล้วชายหนุ่มกับเด็กชาย ซึ่งเอาเจ้าสุนัขตัวน้อยอายุคงไม่เกินสองเดือนซุกไว้ใต้เสื้อกันหนาว ก็ออกจากโพรงต้นไม้เดินไปตามทางเดินเล็กๆ เคนฉายไฟฉายในมือวับๆแวมๆไปตลอดทาง เพราะบริเวณนั้นมืดมาก พอขึ้นมาบนถนนดินซึ่งรถวิ่งได้ ทั้งสองก็เห็นไฟหน้ารถคันหนึ่งส่องสว่างมาแต่ไกล มุ่งหน้าตรงมาบริเวณที่พวกเขากำลังเดินอยู่ อินแปงนั่นเอง เขาจอดรถให้เคนและกรขึ้น กลับรถแล้วขับตรงไปเพื่อจะส่งกรที่ตึกใหญ่ แต่กรบอกอินแปงว่า “ ไปส่งเคนที่บ้านตาเป็งก่อน ” แล้วเขาก็หันมากระซิบกระซาบกับเคนว่า “ ผมฝากลูกหมาไว้กับคุณก่อนนะ ช่วยดูแลมันให้ผมสักคืน ” เคนงง “ ฝากไว้กับผมงั้นหรือ ทำไมคุณไม่เอามันไปด้วยล่ะ ” “ได้ไง ” กรว่าพร้อมกับทำปากยื่น “ขืนผมเอามันขึ้นไปบนตึกอีก คุณหนูได้เอาผมตายสิ ” แล้วเขาก็อ้อนวอนว่า “ น่า เคน ช่วยผมหน่อยแล้วกัน ให้มันนอนกับคุณไปก่อน พรุ่งนี้ผมจะไปรับมันแต่เช้าเลย ” เพราะไม่รู้จะปฎิเสธอย่างไร ชายหนุ่มก็เลยจำใจต้องอุ้มลูกสุนัขตัวนั้นลงจากรถกับเขาด้วย เมื่ออินแปงจอดส่งเขาที่หน้ากระท่อมตาเป็ง ชายชราซึ่งยังไม่เข้านอนรอฟังข่าวของกรอยู่ มองสุนัขตัวเล็กๆที่เคนอุ้มอยู่อย่างสงสัย ชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ตอนนี้มันเริ่มครางหงิงๆอีกแล้ว ใช้เท้าหน้าตะกุยแขนเขาเบาๆ “มันหิวละมัง ” ตาเป็งว่า “ ได้กินอะไรหรือยังล่ะ? ” เคนเองก็ตอบไม่ได้ว่ากรให้อะไรมันกินหรือยัง เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของเขา ตาเป็งก็กระวีกระวาดลุกจากม้ายาวที่นั่งอยู่ เดินไปที่ชั้นวางของ หยิบกระป๋องนมข้นลงมาวางบนโต๊ะ หยิบจานสังกะสีก้นลึกใบย่อมๆที่คว่ำอยู่บนตะแกรงใกล้กันมา ใช้ช้อนตักนมในกระป๋องใส่ลงไป เทน้ำในกระติกลงผสมใช้ช้อนคน แล้วบอกเคนว่า “รอให้เย็นลงก่อนแล้วค่อยให้มันกิน มันคงหิวน่ะ คงยังไม่อดนมแม่ ” พอเคนวางจานใส่นมลงบนพื้นและปล่อยตัวมันลง เจ้าสุนัขน้อยตัวนั้นก็รี่เข้าใส่ แล้วตั้งหน้าตั้งตาใช้ลิ้นเลียนมกินจนหมดจานภายในเวลาไม่กี่นาที ตกลงคืนนั้นเคนต้องยอมให้ลูกสุนัขตัวนั้นเข้าไปนอนในห้องกับเขาด้วย เพราะมันพยายามจะตะกายขึ้นบันไดตามเขาไป และอีกอย่างหนึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจะให้มันนอนที่ไหน ตาเป็งอุตส่าห์เข้าไปค้นกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆจากห้องของแก เอามาให้เคนใช้ปูเป็นที่รองนอนให้มัน เช้าวันรุ่งขึ้นกรตื่นแต่เช้ามาหาลูกหมา มาถึงก็เล่นกับมันเป็นการใหญ่ เมื่อเคนซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังจะออกไปทำงานเห็นกรก็ถามว่า “เป็นยังไงเมื่อคืนนี้ คุณหนูว่าอะไรอีกหรือเปล่า? ” กรทำหน้ามุ่ย “ก็บ่นอีกหนึ่งกระบุง สั่งแล้วสั่งอีกว่าวันจันทร์ไปโรงเรียนให้เอามันไปทิ้งไว้ตรงที่เดิม ” แล้วเขาก็ทำหน้าทุกข์ร้อนถามเคนว่า “ทำไงดีล่ะ เคน ผมไม่อยากเอามันกลับไปเลย สงสารมันจัง ” เคนนิ่งคิด รู้สึกเห็นใจกรเหมือนกัน เขายังเด็กอยู่และอาจจะอยากเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงสักตัวเหมือนเด็กคนอื่นบ้างก็ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็พอจะรู้ ว่าทิพย์สุรางค์เป็นคนเจ้าระเบียบ ไม่ค่อยจะยอมให้อะไรออกนอกกฏเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ “เคน ถ้าไงคุณช่วยเลี้ยงมันไว้ที่บ้านตาเป็งหน่อยได้ไหม? ” กรทำหน้าวิงวอน “อ้าว ก็คุณหนูสั่งให้เอามันกลับไปที่เก่า แล้วผมกลับเอามันมาเลี้ยงให้คุณ ถ้าคุณหนูรู้เข้า ทั้งคุณและผมจะไม่ถูกเธอเล่นงานแย่ไปตามๆกันหรือ? ” เขานึกสงสารทั้งกรทั้งลูกสุนัขตัวน้อยนั่นก็จริง แต่ก็นึกขยาดอารมณ์ของทิพย์สุรางค์มากกว่า เด็กชายทำหน้าเศร้าแล้วรำพึงรำพันให้เคนฟังว่า “ คุณหนูน่ะบางทีก็ใจดี แต่บางทีเปิ้นก็ใจร้ายและไม่ยุติธรรมเลย ทีม้าล่ะก็รักมันจัง ลูบหัวลูบคอมันอยู่ได้ แต่กับลูกหมาตัวนิดเดียวเธอกลับรังเกียจ เคนรู้ไหมว่าเมื่อเย็นวานนี้ ตอนที่ผมเถียงเธอเรื่องลูกหมาน่ะ คุณหนูว่าอะไรผม? ” ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือ เห็นว่ายังพอมีเวลารับฟังความทุกข์ร้อนของเด็กชาย จึงถามเขาเป็นเชิงเอาใจว่า “ เธอว่าอะไรหรือ ? ” “คุณหนูว่าผมว่าตัวคนเดียวยังเอาตัวไม่รอด ต้องมาเป็นภาระให้เธอตลอดเวลา แล้วยังจะหาภาระมาเพิ่มให้ชีวิตเธอวุ่นวายมากขึ้นไปอีก แล้วเธอก็บอก..ก็บอก..” คราวนี้เสียงของเขาเริ่มเครือเหมือนจะร้องไห้ “ บอกว่า ถ้าผมยังดื้อ ยังแข็งข้อกับเธออีก เธอจะส่งผมกลับไปอยู่กับญาติห่างๆของผม เพราะผมกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน ” เคนซึ่งกำลังมองเจ้าลูกสุนัขตัวน้อยที่วิ่งวุ่นวายอยู่ใกล้ๆ หันไปมองหน้ากร เมื่อได้ยินเสียงเหมือนสะอื้นจากเด็กชาย ปกติเขาเคยเห็นกรเป็นเด็กรื่นเริง มีอารมณ์ขัน ใครว่าอะไรก็ไม่โกรธ แต่ครั้งนี้เขาคงเสียใจมาก ชายหนุ่มคิดว่าทิพย์สุรางค์ไม่ควรพูดอย่างนั้นกับเด็กอย่างกร ที่ถึงอย่างไรก็รักเธอและเข้าใจสถานภาพของตัวเองดีพอสมควร ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมกรจึงร้องไห้วิ่งลงไปจากตึก ตามคำบอกเล่าของอินแปง “อย่าคิดมากเลย ” เขาพยายามปลอบกรเพราะรู้สึกสงสาร “ คุณหนูคงจะพูดเพราะโมโห เธอคงไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นจริงๆหรอก ” แล้วก็เพราะความสงสารและเข้าใจความรู้สึกของกรดีนั่นแหละ ที่ทำให้เคนต้องรับปากจะแอบเลี้ยงเจ้าแมกซ์ ตามที่เด็กชายตั้งชื่อให้มันเรียบร้อยแล้ว ไว้ให้ที่บ้านตาเป็ง พร้อมกับประหวั่นพรั่นใจไปด้วยว่าจะถูกทิพย์สุรางค์จับได้เมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วเธอก็จับได้จริงๆ เพียงชั่วเวลาสองวันหลังจากที่กรกลับเข้าโรงเรียนไป ก่อนเลิกงานวันนั้นหนานคำเดินเข้ามาบอกเขาว่า ทิพย์สุรางค์สั่งให้เขาไปพบที่ตึกใหญ่หลังเลิกงาน เคนรู้ทันทีว่าคงเป็นเรื่องเจ้าแมกซ์นั่นแน่ เพราะเขาไม่ได้มีเรื่องอะไรที่เธอจะต้องเรียกเขาไป ระหว่างทางชายหนุ่มพยายามคิดว่าจะพูดอย่างไรดี เพื่อที่เธอจะยอมให้กรได้เลี้ยงเจ้าแมกซ์ต่อไป เมื่อเข้ามาถึงตึกใหญ่คำหล้าซึ่งยืนรออยู่แล้วที่หน้าตึก พาเขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่ทิพย์สุรางค์นั่งเด่นเป็นสง่ารออยู่แล้ว เมื่อเห็นเคนเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวก็มองเขาด้วยดวงตาที่คมปลาบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงแสดงอำนาจ “ นั่งลงสิ ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย นายจะยืนค้ำหัวฉันอยู่ยังงั้นหรือ ” ชายหนุ่มเหลือบมองว่าเธอจะให้เขานั่งตรงไหน เขาไม่รู้หรอกว่าลูกจ้างคนอื่นๆของเวียงพุกามเวลาถูกเรียกตัวมาพบนั่งตรงไหน แต่เขาก้าวสวบๆเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากทิพย์สุรางค์พอสมควร หญิงสาวมองเคนอย่างไม่สบอารมณ์ ความจริงเธอต้องการจะแกล้งกดเขา ให้รู้ฐานะของตัวเองด้วยการนั่งลงบนพื้น ซึ่งเป็นกระดานไม้สักขัดจนเรียบ แล้วลงน้ำมันจนขึ้นเงานั่นแหละ ไม่ใช่บนเก้าอี้เสมอเธอเช่นนี้ แม้เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่จะเป็นเก้าอี้นวมบุหนังอย่างดีสีสวย ส่วนของเขาเป็นเก้าอี้ไม้สักธรรมดาไม่มีเบาะและท่านั่งของเขาก็ดูสุภาพสำรวมก็ตาม ความจริงลูกจ้างของเวียงพุกามที่ถูกเรียกตัวขึ้นมามีไม่กี่คน และทุกคนจะยืนค้อมตัวประสานมือพูดกับเธอทั้งนั้น แล้วเธอก็ไม่เคยสั่งให้เขาเหล่านั้นลงนั่งพูดกับเธอมาก่อนด้วย เพราะพอพูดธุระจบซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เธอก็จะพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ออกไปจากห้องได้แล้ว ทำไมเธอจึงอยากกดเขาลงให้สำนึกถึงสถานภาพของตัวเขาเอง ทั้งๆที่ตอนนี้ความระแวงสงสัยของเธอ ต่อพฤติกรรมต่างๆของเขาลดน้อยลงไปมากแล้ว ทิพย์สุรางค์ตอบตัวเองไม่ได้ รู้สึกแต่เพียงว่าในระยะหลังๆนี้มีเหตุร้ายหรือเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นกับเธออย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับการจัดฉากของโชคชะตา ที่หาเรื่องกลั่นแกล้งให้เกิดขึ้นกับเธออยู่คนเดียวหลายครั้ง แล้วก็ยังเจาะจงส่งเขาเข้ามาเป็นผู้ช่วยเหลือเธอแทบทุกครั้ง นำเขาเข้ามาใกล้ชิดเธอมากขึ้นเรื่อยๆ และหลายครั้งมันทำให้เธอหวั่นไหว เธอจึงต้องแสดงให้เขาสำนึกว่าเขาและเธออยู่ในฐานะที่แตกต่างห่างไกลกัน เขาเป็นเพียงลูกจ้างของเธอเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงควรอยู่ในที่ในทางของเขา ส่วนเคนนั้นก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่นั่งลงบนพื้น อย่างที่เขารู้ว่าเธอต้องการให้เขาทำอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะความหมั่นไส้ ในสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงที่วางอำนาจนั่นกระมัง ที่ทำให้เขาทำอย่างที่ทำลงไป อยากจะรู้เหมือนกันแหละ ว่าเธอจะให้ใครมาลากตัวเขาลงจากเก้าอี้ตัวนี้ไหม “นี่ นายเคน รู้ใช่ไหมว่าฉันเรียกมาทำไม ? ” ทิพย์สุรางค์เริ่มต้นด้วยเสียงแข็งๆ ชายหนุ่มทำหน้าตายตอบด้วยเสียงเรียบๆตามปกติว่า “ผมไม่ทราบ ” “ งั้นหรือ? งั้นบอกฉันสิ ว่าคืนนั้นนายเป็นคนตามนายกรพบใช่ไหม ? ” เคนกำลังคิดว่านี่เธอจะมาไม้ไหนอีกล่ะ ถ้าจะพูดเรื่องเจ้าแมกซ์ก็น่าจะพูดออกมาตรงๆเลย ไม่ใช่อ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ และเขาก็เชื่อด้วยว่าทิพย์สุรางค์คงจับตัวกรซักไซ้ไล่เรียงจนหมดแล้วตั้งแต่คืนนั้น แล้วก็คงรู้แล้วด้วยว่าเขาเป็นคนหากรจนพบ แต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้เท่าเธอ “ ครับ ” “ แล้วไง ? ” เธอทำเสียงเข้มจะให้เขาพูดต่อ “แล้วไงทำไมหรือครับ? ” เคนทำหน้าซื่อตาซื่อย้อนถามเธอ คำถามยอกย้อนของเขาทำให้ทิพย์สุรางค์แทบเต้น “ก็เล่ามาสิว่าไปพบนายกรที่ไหน พูดคุยปลอบโยนอะไรกันบ้าง นายกรคงนินทาหาว่าฉันใจร้ายล่ะสิ ” ตอนแรกที่เข้ามาในห้องใหม่ๆเจอสีหน้าท่าทางวางอำนาจของหญิงสาว เคนรู้สึกหมั่นไส้และโกรธนิดๆ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเธอเหมือนเด็กขี้อิจฉา “คุณกรไม่ได้เรียนให้คุณหนูทราบหรอกหรือครับ ว่าผมหาเขาเจอที่ไหน? ” ทิพย์สุรางค์มองเขาอย่างไม่พอใจ เคนไม่อยากจะยั่วให้เธอโกรธมากไปกว่านั้น เพราะกลัวว่าที่จะพยายามทำให้เธอยอมอนุญาต ให้กรเลี้ยงเจ้าแมกซ์ไว้จะยิ่งไม่สำเร็จ เขาเลยรีบอธิบายเรื่องโพรงต้นไม้ให้เธอฟังแต่โดยดี “แล้วเรื่องลูกหมาที่นายกรไปเก็บมาบังคับให้ฉันเลี้ยงล่ะ นายก็รู้เรื่องด้วยใช่ไหม” เมื่อเห็นชายหนุ่มไม่ตอบว่าอะไรทิพย์สุรางค์ก็สำทับต่อว่า “ นึกว่านายจะปฏิเสธว่าไม่รู้เสียอีก ฉันรู้ว่านายรู้เห็นเป็นใจกับนายกรช่วยเลี้ยงมันไว้ที่บ้านตาเป็ง ทั้งๆที่ฉันสั่งห้ามไว้แล้ว รู้ไหมว่าการกระทำของนายสร้างปัญหาให้ฉันซึ่งเป็นผู้ปกครองของนายกร ต่อไปเขาจะไม่เชื่อฟังฉันเพราะมีนายมาคอยให้ท้ายเขาอยู่อย่างนี้" แล้วเธอก็พูดอะไรต่ออะไรกล่าวหาเขากับกรอีกหลายประเด็น เคนนิ่งฟังคำกล่าวหาของทิพย์สุรางค์อย่างประหลาดใจ อะไรกันนี่? แค่ลูกหมาตัวนิดเดียวเธอก็พูดเสียเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้ ตอนนี้กรเองก็คงไม่คิดจะนำมันขึ้นไปเลี้ยงบนตึกใหญ่อีกแล้ว อย่างเก่งก็คงขอให้เขาช่วยเลี้ยงมันไว้ให้ที่บ้านตาเป็งอีกสักเดือนสองเดือน พอมันโตขึ้นมันก็คงวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในอาณาเขตเวียงพุกาม เหมือนสุนัขตัวอื่นๆอีกหลายตัวที่คนงานบางคนเลี้ยงไว้แถวๆบ้านพักและเรือนแถวยาวห่างไกลจากตึกของเธอ คงไม่มาวิ่งเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ให้รำคาญนัยน์ตาเธอหรอก ระหว่างที่ทิพย์สุรางค์กำลังร่ายยาวตั้งข้อหาไล่ต้อนเขาไม่รู้จบอยู่นั้น ชายหนุ่มก็จ้องมองใบหน้างามแอร่มแก้มใสราวกับเด็กวัยรุ่นของเธอ อย่างเผลอไผลด้วยแววตาที่คมซึ้ง เมื่อเหลือบเห็นแววตาประหลาดที่มองเธอราวกับคนที่อยู่ในฐานะเสมอกัน ไม่ใช่ในฐานะลูกจ้างกับนายจ้างอย่างที่ควรจะเป็นหญิงสาวก็รู้สึกอายและโกรธ เธอกลบเกลื่อนความอายด้วยการกระแทกเสียงถามเขาว่า “มองอะไร? เวลาฉันพูดก็ตั้งใจฟังสิ ! ไม่ใช่มาทำอวดดีจ้องหน้าจ้องตาฉันแบบนี้ ” เมื่อถูกจับได้เคนก็เมินหน้าจากเธอ แต่ก็อดยั่วประสาทเธอไม่ได้เมื่อตอบโต้ว่า “ คุณหนูกำลังพูดกับผมอยู่ ผมก็ควรจะมองไม่ใช่หรือครับ เพราะถ้าผมไม่มองหน้าคุณหนู ผมก็อาจจะถูกตั้งข้อหาอีกว่าไม่สนใจฟังคำอบรมสั่งสอนของคุณหนู หรืออาจจะว่าผมเสียมารยาทก็ได้ ” เสียงของเขาสุภาพก็จริงแต่เธอก็รู้ว่าเขาแก้ตัว ก็เธอเห็นนี่นาว่าเขามองสำรวจเธอจนทั่วหน้า แล้วยังมองด้วยสายตาแปลกๆเหมือนไม่รู้จักประมาณตนอีกด้วย หรือเขาจะกำเริบเสิบสานคิดว่าจะตีเสมอเธออย่างไรก็ได้ ในเมื่อเขาเคยมีบุญคุณช่วยเธอให้พ้นจากอันตรายมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แม้แต่อวดดีมาต่อปากต่อคำยัดเยียดข้อหาน่าอายให้เธอก็เคยทำมาแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห แต่จะพูดอะไรมากไปกว่านั้นก็กลัวว่าเขาจะยอกย้อนให้เข้าเนื้ออีก ทิพย์สุรางค์ก็เลยพยายามระงับความโกรธ เปลี่ยนไปพูดเรื่องเจ้าแมกซ์แทน “แล้วเรื่องลูกหมาตัวนั้นนายคิดจะทำยังไงกับมันต่อไป ” เคนได้โอกาสก็รีบพูดกับเธออย่างดีว่า “คุณหนูครับ ผมเข้าใจดีว่าคุณหนูมีเหตุผลที่ไม่อยากให้คุณกรเลี้ยงมันไว้บนตึก มันยังเล็กยังไม่รู้ประสาอะไร มันอาจจะเพ่นพ่านไปทั่วตึก กัดโน่นกัดนี่จนเสียหาย หรือทำสกปรก …” แต่หญิงสาวพูดขัดเสียงแข็งขึ้นมา ก่อนที่เขาจะพูดจบว่า “ ไม่ใช่เฉพาะที่บนตึกนี้เท่านั้น ที่ไหนที่ไหนก็เลี้ยงไม่ได้ ” ความจริงทิพย์สุรางค์ไม่ได้ตั้งใจจะทำถึงขนาดนั้นหรอก แต่เมื่อรู้สึกว่าเคนทำเป็นเจ้าหน้าเจ้าตาช่วยแอบเอาลูกสุนัขตัวนั้นไปเลี้ยงให้กร เหมือนหักหน้าไม่สนใจคำสั่งของเธอ เธอก็เลยต้องสำแดงอำนาจให้เขาเห็นเสียบ้าง ส่วนเคนกำลังคิดว่า เธอเหมือนเด็กเกเรที่ต้องการเอาชนะเขาและกร ถ้าพูดกันอยู่ในลักษณะนี้ก็คงไปไม่ถึงไหน เพราะเธอทำราวกับในนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ ไม่ได้เรื่องโน้นก็เอาเรื่องนี้ไล่ต้อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดลูกแกะอย่างเขาก็คงต้องยอมจำนนเพราะขี้เกียจแก้ตัว เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะรุกเธอบ้าง เคนก็กล่าวด้วยเสียงสุภาพเหมือนเคยว่า “คุณหนูก็คงรู้ว่าคุณกรเป็นเด็กที่มีน้ำใจ ขี้สงสารและเห็นอกเห็นใจคนอื่น ที่เขาอยากจะเลี้ยงลูกหมาตัวนั้นก็เพราะสงสารอยากจะช่วยมันเท่านั้นเอง มันคงพลัดหลงกับแม่ของมัน คุณหนูสั่งให้เขาเอามันกลับไปปล่อยไว้ที่เดิม มันก็อาจจะอดตายหรือไม่ก็ถูกรถทับตายได้ ซึ่งผมคิดว่าคนมีเมตตาอย่างคุณหนูที่เคยช่วยชีวิตผมเอาไว้ คงจะทนเห็นมันเป็นแบบนั้นไม่ได้ ” ทิพย์สุรางค์จ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง เธอกำลังสงสัยว่าเขาจะมาไม้ไหนกับเธอ หรือเขารับอาสาเป็นนายหน้าของกรมาเกลี้ยกล่อมเธอเรื่องลูกหมาตัวนั้น แต่เมื่อได้ยินประโยคท้ายๆของเขา ที่พูดถึงความเมตตาของเธอ ทำให้หญิงสาวละอายใจ ความจริงเธอไม่ได้นึกรังเกียจรังงอนเจ้าลูกหมาตัวนั้นนักหรอก เธอเพียงแต่หมั่นไส้กรที่ทำอะไรโดยพลการ ไม่ปรึกษาหรือขออนุญาตเธอก่อน อยู่ๆก็หอบมันขึ้นมาบนตึกแล้วประกาศว่าจะเลี้ยงมัน เธอไม่รู้ว่ากรตั้งใจจะเลี้ยงมันไว้ที่ไหน แต่ถ้าจะเลี้ยงไว้บนตึกเธอก็ไม่เห็นด้วย อย่างดีก็ให้มันอยู่นอกตัวตึกตรงไหนสักแห่งก็ได้ นอกจากนี้เธอยังโมโหกรที่รั้นจะเอาชนะโดยไม่ฟังเสียงเธอเลย ทำให้เธอโกรธแล้วหลุดปากว่าเขาไปแรงๆจนกรร้องไห้ แล้วอุ้มลูกหมาตัวนั้นวิ่งผลุนผลันหายออกไปจากตึก เดือดร้อนถึงคนในเวียงพุกามต้องวุ่นวายเที่ยวตามหาเขา เมื่อเด็กชายวิ่งหายไปแล้วเธอก็ต้องมานั่งกังวลและเสียใจกับคำพูดโดยไม่ได้ตั้งใจของตัวเอง ส่วนเคนเมื่อเห็นสีหน้าของทิพย์สุรางค์ก็รู้ว่าคำพูดของเขาได้ผล ที่สะกิดเตือนเธอให้ละอายใจที่ละเลยความเมตตา ที่เขารู้ว่าเธอมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่ทิพย์สุรางค์ก็คือทิพย์สุรางค์นั่นแหละ ไม่มีทางเสียละที่เธอจะยอมแพ้กรหรือเขาง่ายๆ “แล้วนายคิดว่าฉันควรจะเมตตาจนต้องยอมให้นายกร เอามันขึ้นมาเลี้ยงถึงบนตึกเชียวหรือ ? ” เธอทำเสียงแข็งเหมือนจะปรามเขาอยู่ในที เมื่อได้โอกาสที่เธอเปิดให้จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เคนก็รีบเสนอว่า “ผมเองก็ไม่เห็นด้วยถ้าคุณกรจะเลี้ยงมันไว้บนตึก เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ผมจะช่วยเลี้ยงมันไว้ที่บ้านตาเป็ง มันคงนอนตรงไหนก็ได้แถวๆลานปูน ผมกับตาเป็งจะช่วยกันดูแลมันไม่ให้วุ่นวายไปที่ไหน สักพักหนึ่งพอมันโตแล้วก็อาจจะเอามันไปไว้แถวเรือนพักคนงาน ที่นั่นมีสุนัขหลายตัว ” ทิพย์สุรางค์รู้สึกโล่งใจที่เคนมีทางออกให้โดยที่เธอไม่ต้องเสียหน้า แต่เพื่อไม่ให้เขาย่ามใจนึกว่าเธอยอมเชื่อเขา หญิงสาวก็สะบัดเสียงตอบราวกับไม่เต็มใจอนุญาต “ ก็แล้วแต่นาย นายอยากจะรับภาระเลี้ยงลูกหมาตัวนั้น ก็ตามใจ ฉันไม่เกี่ยว อย่าให้มันมาวุ่นวายที่ตึกใหญ่นี่ก็แล้วกัน ” พูดจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ทำท่าเหมือนจะเดินออกไปจากห้อง แต่เคนหยุดเธอไว้ “ผมขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ? ถ้าคุณหนูไม่มีธุระที่อื่น” ทิพย์สุรางค์มองหน้าเคนอย่างสงสัย รีรออยู่เดี๋ยวหนึ่งก็ยอมนั่งลงไปตามเดิม “มีธุระอะไรอีก? มีอะไรก็รีบๆว่าไป ฉันไม่มีเวลาทั้งวันมาฟังเรื่องไร้สาระจากใครหรอกนะ ” ชายหนุ่มลังเลอยู่เหมือนกันว่าควรจะพูดดีหรือไม่ เพราะแน่ใจว่าเธอจะต้องโกรธแน่ถ้าได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่เคนก็คิดว่าควรจะสะกิดเตือนเธอเอาไว้บ้าง ให้นึกถึงจิตใจของกร “คุณหนูฟังแล้วอาจจะโกรธผมก็ได้ ที่บังอาจพูดเรื่องที่คุณหนูไม่อยากฟัง แต่ผมก็ยังอยากพูดอยู่ดี ” ทิพย์สุรางค์ขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าเขามีอะไรจะพูดกับเธออีก เรื่องลูกหมาก็จบไปแล้ว อีกอย่างทำไมต้องมาทำออกตัวว่าเธอคงจะโกรธอีก “มีอะไรก็พูดมา ไม่ต้องมาทำดักคอกลัวฉันโกรธ ถ้านายไม่อยากให้ฉันโกรธ ก็ควรจะพูดแต่เรื่องที่แน่ใจว่าจะไม่ถูกฉันโกรธ จริงไหม ” “ผมอยากจะพูดเรื่องคุณกรน่ะครับ ” เคนเห็นทิพย์สุรางค์ชักสีหน้าแสดงความไม่พอใจออกมาทันที “ทำไม เรื่องนายกรเป็นยังไง ? แล้วทำไมฉันต้องโกรธ ? ” “ผมทราบว่าคุณกรเป็นเด็กที่คุณพ่อของคุณหนูเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็กๆ เพราะพ่อแม่เขาตายหมด ” “ แล้วไง เกี่ยวอะไรกับนายด้วย ? ” เธอพูดขัดขึ้นมาทันที ชายหนุ่มพูดต่อไปแม้จะเห็นทิพย์สุรางค์ทำหน้าบึ้งใส่เขา คิดว่าไหนๆพูดแล้วก็คงต้องพูดให้จบ ถึงเธอจะคิดว่าเขาแส่ไม่เข้าเรื่องก็ตาม “ผมเพียงแต่จะบอกคุณหนูว่าผมชื่นชมว่าคุณดนัยและคุณหนู เป็นคนดีมีเมตตาที่ช่วยอุปการะคุณกร ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นญาติกันเลย คุณกรมีความเป็นอยู่ที่ดีและได้เรียนหนังสือโรงเรียนดีๆ เรื่องนี้คุณกรคุยให้ผมฟังบ่อยๆ เขารักและชื่นชมคุณหนูมาก ” คราวนี้ทิพย์สุรางค์ยอมฟังเงียบๆ สีหน้าที่ขมึงตึงอย่างไม่สบอารมณ์ของเธอคลายลง ทำให้เคนกล้าพูดต่อไป “ถึงจะเป็นเด็กที่ล้นไปหน่อยแต่เขาก็จริงใจ เขาพูดกับผมบ่อยๆว่าเขารักเวียงพุกามมาก คิดว่ามันเป็นบ้านของเขาด้วยเหมือนกัน คุณกรเป็นเด็กฉลาดอารมณ์ดี ผมไม่ค่อยเห็นเขาโกรธหรือไม่พอใจใคร แต่ลึกๆลงไปผมคิดว่าเขาเป็นเด็กว้าเหว่ เขาชอบเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ก็เพราะเขาต้องการความรัก ต้องการความสำคัญจากคนที่เขารัก คุณกรขาดความรักของพ่อแม่มาตั้งแต่เล็ก เขาก็คงต้องมองหาใครสักคนหนึ่งมาเป็นตัวแทน ซึ่งก็คงเป็นคุณหนูนั่นแหละ เพราะคุณหนูเป็นผู้หญิงและอยู่ใกล้ชิดเขามากกว่าคนอื่น ” ฟังคำพูดของเคนแล้วทิพย์สุรางค์ก็นึกรู้ทันที ว่ากรคงเล่าเรื่องที่เธอว่าเขาให้เคนฟังแล้ว แม้จะนึกโกรธกรที่เอาไปเล่าให้ชายหนุ่มผู้นี้ฟัง แต่อีกใจหนึ่งเธอก็รู้สึกละอายที่ว่ากรเช่นนั้น ทั้งๆที่ใจจริงเธอไม่เคยคิดจะส่งเขาไปให้ญาติของเขาหรือใครที่ไหนทั้งนั้น เพราะเธอเองก็เอ็นดูเขามากเหมือนกัน แต่จะห้ามไม่ให้เธอดุว่าเคี่ยวเข็ญเขาก็คงเป็นไปไม่ได้ “เขาคงเล่าให้นายฟังหมดแล้วสินะ คงกล่าวหาฉันเสียๆหายๆ ” “คุณหนูอย่าเข้าใจผิด" เคนรีบค้านทันที เพราะกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิดจนโกรธกรมากขึ้นกว่าเดิม "คุณกรเล่าให้ผมฟังจริง แต่เขาไม่ได้ว่าอะไรคุณหนูเลย เขาเพียงแต่น้อยใจเสียใจ คิดว่าคุณหนูเกลียดเขาจนไม่อยากให้เขาอยู่ที่นี่เท่านั้น คุณหนูไม่ทราบหรือครับว่าคุณกรน่ะรักเคารพคุณหนูมาก คนเรามักจะไม่ใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับคำพูดของคนที่เราไม่ได้รักหรอกครับ” “แล้วนายคิดว่าฉันควรจะทำยังไงกับนายกร ถ้านายเป็นฉันนายจะปล่อยให้เขาทำอะไรตามใจชอบ ไม่มีระเบียบวินัย ไม่เคารพกฏเกณฑ์กติกาของสังคมยังงั้นหรือ” “ผมเห็นว่าคุณหนูทำถูกแล้วละครับ การเลี้ยงเด็กผู้ชายก็ต้องเข้มงวดบ้าง ตึงหรือหย่อนเกินไปก็ไม่ดี ผมรู้ว่าบางครั้งเขาก็ทำให้คุณหนูโกรธ แต่ส่วนใหญ่เขาคงไม่ได้ตั้งใจ ผมรู้ว่าคุณหนูไม่ได้เกลียดเขา บางครั้งถึงคุณหนูจะดุว่าเขาด้วยความหวังดี แต่เขาอาจจะยังไม่เข้าใจเจตนาดีของคุณหนู ถ้าคุณหนูให้ความสำคัญกับเขาบ้างเขาก็คงจะรู้สึกอบอุ่นขึ้น แล้วค่อยๆปรับตัวเองไปเรื่อยๆ ความรักความเมตตาของคุณหนูต่อเขาจะช่วยให้เขาได้เติบโตเป็นผู้ชายที่ดีและเข้มแข็งในวันข้างหน้า ” เขาอธิบายด้วยเสียงอ่อนๆนุ่มนวล ทิพย์สุรางค์นึกอยากจะโกรธเคนที่ทำเหมือนสั่งสอนเธอ แต่ความรู้สึกผิดต่อกรที่ดุว่าเขาแรงๆจนน้ำตาตกยังมีอยู่ และวิธีพูดและสีหน้าท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้ขณะที่กำลังชี้แจงก็สุภาพอ่อนโยน เขาไม่ได้ปรักปรำว่าเธอเป็นฝ่ายผิดหรือเห็นว่ากรทำถูกแล้ว เขาเพียงแต่พยายามชี้แจงสิ่งที่เขามองเห็นให้เธอฟังเท่านั้น ทำให้เธอโกรธไม่ลง “ เอาละ เข้าใจแล้ว ที่นายจะพูดมีแค่นี้เท่านั้นใชไหม ? ” “ ครับ ” พูดจบเคนก็ลุกขึ้นยืน ก้มศีรษะให้ทิพย์สุรางค์นิดหนึ่งแล้วก็เดินเงียบๆออกจากห้องไป โหวตตอนใหม่ค่ะขอบคุณค่ะคุณตุ้ย
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โดย: หอมกร
![]() ![]() สวัสดีครับ
มาอ่านตอนใหม่ครับ ขอบคุณนะครับ โดย: Sleepless Sea
![]() สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
มาอ่าน นิยายของน้องต่อ จ้ะ กำลังสนุก ได้เห็นความเจ้าคิดเจ้า แค้น ความอยากเอาชนะพระเอก ของทิพย์สุรางค์ เนาะ มีตัวละคร คือ หมาน้อยเพิ่ม จะรออ่านต่อ จ้ะ โหวดหมวด งานเขียนฯ โดย: อาจารย์สุวิมล
![]() ![]() |
ดอยสะเก็ด
![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |