ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
|||||
เวลาทีหายไป - บทที่ 18 ประมาณยี่สิบเอ็ดนาฬิกาของคืนวันศุกร์ หลังจากเกิดเรื่องเจ้าแมกซ์ได้เกือบหนึ่งเดือน ทิพย์สุรางค์เพิ่งอาบน้ำเสร็จ สวมชุดนอนกางเกงแพรจีนเนื้อหนาเป็นมันระยับสีฟ้าจางๆเกือบขาวและเสื้อแพรแขนสั้นคอจีนสีเดียวกัน เธอกำลังใช้แปรงด้ามยาวแปรงผมที่ดกดำเป็นมันปลาบอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อกรซึ่งเพิ่งกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านเมื่อตอนเย็น เคาะประตูห้องแล้วยื่นหน้าเข้ามาตั้งคำถาม “ คุณหนูทราบหรือยังฮะ ว่าเคนไม่สบาย ? ” ทิพย์สุรางค์หยุดแปรงผม หันไปถามด้วยเสียงเนือยๆเหมือนไม่สนใจว่า “ ไม่สบายเป็นอะไร ? ” “สงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดฮะ นอมซมเลย ” “มาบอกฉันทำไม ไปบอกหนานคำสิ ฉันไม่ใช่หมอนี่ ” แล้วเธอก็ใช้แปรงในมือแปรงผมต่อไป เด็กชายมองทิพย์สุรางค์อย่างไม่เข้าใจ เขาเห็นเธอชอบซักถามเขาเกี่ยวกับเคนบ่อยๆ แถมยังเคยสั่งให้คอยรายงานทุกระยะว่าชายหนุ่มผู้นั้นไปที่ไหน ทำอะไรบ้าง แล้วทำไมตอนนี้มาทำท่าเหมือนเขายุ่งไม่เข้าเรื่องล่ะ “หนานคำไปดูแล้วฮะ ให้ยาแล้วด้วย ” เขารายงานด้วยเสียงอ่อยๆ รู้สึกผิดหวังกับท่าทางของเธอ “ก็ดีแล้วนี่ เสร็จธุระแล้วเธอก็เข้าห้องไปได้แล้ว อย่าลืมที่เคยสั่งไว้ล่ะว่ามืดๆค่ำๆไม่ให้ลงไปข้างล่าง ” เธอสั่งเสียงแข็งตามความเคยชิน แต่เมื่อเหลือบเห็นสีหน้าเซ็งๆของกร หญิงสาวก็รีบพูดต่อไปอย่างเอาใจและเห็นความสำคัญของเขา เมื่อนึกขึ้นได้ถึงคำพูดของเคน ที่เคยบอกว่ากรเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นทางใจ ความล้นของเขามีสาเหตุมาจากต้องการเรียกร้องความสนใจ หรือความสำคัญจากคนรอบข้าง “ฉันอยากให้เธออยู่เป็นเพื่อน ตอนกลางคืนบนตึกนี่ก็มีแค่เราสองคนกับแม่บัวศรีและศรีวรรณเท่านั้น แล้วเธอก็เป็นผู้ชายเพียงคนเดียว คุณพ่อก็ไปกรุงเทพฯ อย่างน้อยมีเธออยู่บนตึกด้วยฉันก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น ” เด็กชายรู้สึกว่าหัวใจของเขาพองโตจนคับอกกับคำพูดของเธอ “ฮะ ผมไม่ไปไหนหรอก ผมจะอยู่ในห้อง เล่นเกมหรืออ่านหนังสือการ์ตูน ถ้ามีอะไรคุณหนูก็เรียกผมได้เลยนะฮะ ” กรงับประตูห้องให้เธออย่างนิ่มนวล แล้วเดินโหย่งตัวเบาๆไปยังห้องส่วนตัวเล็กๆของเขาที่อยู่สุดปลายตึกอีกด้านหนึ่ง หัวใจของเขาเต็มตื้นไปด้วยความสุข ทิพย์สุรางค์เข้านอนประมาณยี่สิบสองนาฬิกาแต่ก็นอนไม่หลับ เมื่อนึกถึงคำบอกเล่าของกรเรื่องที่เคนไม่สบาย เธอก็นึกเห็นดวงตาซื่อๆที่ระยะหลังนี้ มักแสดงอารมณ์ได้หลากหลายของเขา บางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยู่กับกรเขาดูร่าเริงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่กับเธอบางครั้งแววตาคู่นั้น แสดงออกถึงความขบขัน บางครั้งก็เอ็นดู บางครั้งก็ประมาณตนเมื่อสบตาเธอ หลายครั้งที่เธอแสดงอำนาจเกรี้ยวกราดใส่เขาโดยไม่มีเหตุผล แววตานั้นก็เปลี่ยนเป็นทรนงถือตัวขึ้นมาทันที หญิงสาวคิดถึงสิ่งต่างๆที่เขาทำให้เธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆหรือเรื่องใหญ่ๆ เช่นที่ช่วยชีวิตเธอให้รอดพ้นจากอันตรายมาหลายครั้งหลายครา เหล่านี้เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจหลงลืมหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ เขาไม่ได้ช่วยเธอเพราะเป็นหน้าที่ เขาช่วยเธอด้วยสัญชาติญาณของผู้ชาย ที่ต้องปกป้องคุ้มครองผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า และที่ยิ่งกว่านั้น เธอรู้จากการติดตามพฤติกรรม วิเคราะห์หาเหตุผลและการสันนิษฐาน ว่าชายหนุ่มผู้มีบุคลิกลักษณะและกิริยามารยาท ที่บ่งบอกถึงการ อบรมจากครอบครัวที่ดีคนนี้ ไม่ใช่คนในระดับลูกจ้างเหมือนลูกจ้างคนอื่นๆในเวียงพุกาม เธอมั่นใจว่าพื้นฐานที่มาของเขาคงไม่ได้แตกต่างจากเธอสักเท่าไร เธอเคยคิดสงสารเขาและเลยไปถึงครอบครัวของเขาด้วย ว่าป่านนี้คนเหล่านั้นซึ่งอาจจะเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้องหรือแม้แต่คนรักหรือลูกเมียของเขา อาจจะเศร้าโศกเสียใจกับการหายตัวไปของเขา และตอนนี้อาจจะคิดว่าเขาตายแล้วเลิกติดตามค้นหาเขาแล้วก็ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเวทนาจนหลับไม่ลง กรบอกว่าเขาเป็นไข้ คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็นมีฝนตกปรอยๆมาตั้งแต่หัวค่ำถึงจะมาอยู่ที่นี่นานเกือบปีแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นคนแปลกถิ่นตัวคนเดียวอยู่ดี ยามเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้จะมีใครเหลียวแล ทิพย์สุรางค์ลุกขึ้นนั่งห้อยขาบนเตียง แล้วก็เปลี่ยนใจล้มตัวลงนอนตามเดิมเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า ตาเฒ่าเป็งก็อยู่ที่บ้านนั้นด้วยทั้งคน ถ้ามีอะไรหนักหนาแกก็คงจัดการได้ แต่แล้วเมื่อคิดถึงสภาพอากาศและฝน ที่ช่วยเพิ่มความหนาวเย็นให้คนป่วยซึ่งกำลังเป็นไข้ เธอก็คิดฟุ้งซ่านต่อไปอีกว่าผ้าห่มของเขาจะหนาพอหรือเปล่า ตาเป็งซึ่งแก่มากแล้วและนอนอยู่ข้างล่างจะรู้หรือไม่ ถ้าอาการของเขาแย่ลงและต้องการความช่วยเหลือ เธอกระสับกระส่ายคิดวนไปเวียนมาอยู่เช่นนี้ จนในที่สุดต้องลุกขึ้นกดสวิชต์ไฟโคมข้างเตียงดูเวลา ซึ่งบอกเธอว่าขณะนั้นยี่สิบสามนาฬิกากว่าแล้ว ในที่สุดเมื่อไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้หญิงสาวก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินเข้าไปในห้องแต่งตัว เปิดตู้บานหนึ่งซึ่งมีผ้าห่มพับซ้อนกันอยู่เป็นตั้ง หยิบผืนที่อยู่บนสุดออกมา ผ้าห่มเหล่านี้แต่ละผืนบรรจุอยู่ในถุงพลาสติครูดซิบได้ ทำให้ไม่ต้องเที่ยววุ่นวายหาถุงมาใส่กันฝน หลังจากนั้นก็คว้าเสื้อวอร์มเนื้อบางมาสวมทับลงไปบนเสื้อนอนแพรคอจีน แล้วลงบันไดไปชั้นล่าง ตอนแรกเธอคิดจะไปปลุกศรีวรรณซึ่งนอนอยู่ในห้องเล็กๆ ใกล้กับห้องของแม่บัวศรี ให้ถีบจักรยานนำผ้าห่มผืนนั้นไปฝากตาเป็งไว้ให้เคน แต่ความเกรงใจที่จะปลุกคนที่กำลังหลับทำให้ทิพย์สุรางค์เปลี่ยนใจ เธอแวะหยิบกุญแจรถคันหนึ่งที่ปกติจะจอดทิ้งไว้บนลานหน้าตึกในตอนกลางคืน เพื่อเธอและคุณดนัยจะได้ใช้ในยามฉุกเฉิน โดยไม่ต้องไปตามหากุญแจที่แม่บ้านหรือหนานคำ แล้วเดินไปยังรถที่จอดอยู่ ทิพย์สุรางค์ขับรถลัดเลาะไปตามเส้นทางวกวนที่นำไปสู่บ้านพักของตาเป็ง ขณะนั้นเป็นเวลาค่อนข้างดึก เธอรู้ว่าคนส่วนใหญ่ในเวียงพุกามเข้านอนกันแต่หัวค่ำเพราะต้องตื่นไปทำงานแต่เช้ามืด ฝนยังตกปรอยๆอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทุกหนทุกแห่งมีแต่ความมืดและความเงียบซึ่งเธอคุ้นเคยกับมันดี ในที่สุดก็มาถึงหน้ากระท่อมของตาเป็ง ซึ่งอยู่ปลายสุดและค่อนข้างห่างจากบ้านหลังอื่นๆ หญิงสาวหอบผ้าห่มลงจากรถโดยเสียบกุญแจคาไว้ ตั้งใจว่าจะปลุกตาเป็งถามอาการของเคนแล้วมอบผ้าห่มไว้กับแก เธอไม่คิดว่าตาเป็งจะนึกประหลาดใจอะไร เพราะแกรู้ดีว่าเธอมักจะดูแลทุกข์สุขของบริวารในบ้านเป็นอย่างดีโดยไม่เลือกเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีใครเจ็บไข้ได้ป่วย กระท่อมของตาเป็งมืดสนิทแต่ทิพย์สุรางค์ไม่รู้สึกแปลกใจ แม้ที่เวียงพุกามจะมีไฟฟ้าใช้จากเครื่องปั่นไฟและพลังงานจากแสงอาทิตย์ แต่คนงานที่นี่ทุกบ้านจะเลิกใช้ไฟฟ้าหลังสามทุ่มเพื่อช่วยเจ้านายประหยัดไฟฟ้า ถ้าจำเป็นต้องใช้ไฟก็จะจุดตะเกียงดวงเล็กๆแทน หญิงสาวมาถึงหน้าห้องตาเป็งที่อยู่ชั้นใต้ถุน ยกมือขึ้นเคาะเรียกแกสองสามที เมื่อลองเคาะอีกหลายครั้งโดยไม่มีเสียงตอบ หรือเสียงกุกกักที่บอกให้รู้ว่าแกตื่นแล้ว เธอก็ลองผลักบานประตู แต่ประตูไม่ขยับเขยื้อน เมื่อก้มลงมองจนชิดจึงเห็นกุญแจดอกใหญ่คล้องอยู่บนสายยู ที่แสดงว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ แล้วทันใดนั้นทิพย์สุรางค์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนหัวค่ำ หนานคำซึ่งถือเป็นหน้าที่ๆจะต้องมารายงานเธอ เวลาที่คุณดนัยไม่อยู่ที่เวียงพุกาม ถึงเหตุการณ์ต่างๆไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ได้บอกเธอว่าตาเป็งลางานสามวันตั้งแต่บ่ายวันนี้ เพื่อไปร่วมงานศพของญาติสนิทที่หมู่บ้านในอีกเขตอำเภอหนึ่ง เธอลืมไปได้อย่างไร ทิพย์สุรางค์คิดว่าเสียเวลาเปล่าที่เป็นห่วงเขาจนมาถึงที่นี่ เธอคิดจะกลับบ้าน แต่แล้วอีกใจหนึ่งที่กังวลห่วงใยเขาบอกว่า ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว ก็น่าจะเอาผ้าห่มขึ้นไปให้เขาและดูอาการสักหน่อย เขานอนซมอยู่คนเดียวจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ตาเป็งก็เกิดจะไม่อยู่ขึ้นมาเสียอีก ถ้าเขาเกิดป่วยหนักใกล้ตายใครจะช่วยเขาเล่า ใจที่เมตตาต่อผู้ยากพาเธอให้เดินคลำทางขึ้นบันไดไปชั้นบน ซึ่งมืดพอๆกับข้างล่าง เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนทิพย์สุรางค์มองเห็นประตูสองบานที่ปิดอยู่ เธอลองเปิดประตูบานแรกแล้วพบว่ามันว่างเปล่า จึงเดินเลยไปที่ประตูที่อยู่ถัดไปแล้วลองผลักดูและพบว่ามันเปิดออกอย่างง่ายดาย ในห้องนั้นไม่มืดนักเพราะมีแสงสลัวจากตะเกียงลานใบเล็กๆที่ส่องแสงริบหรี่ วางอยู่ใกล้กับเสื่อที่มีร่างของเคนนอนอยู่ เธอย่องเข้าไปใกล้ๆวางผ้าห่มในมือลงแล้วทรุดตัวลงนั่ง ชายหนุ่มผู้นั้นนอนหงายเหยียดยาวอยู่บนที่นอนบางๆซึ่งปูทับอยู่บนเสื่อ มีหมอนเล็กๆหนุนศรีษะ ผ้าห่มผืนหนึ่งคลุมร่างของเขาเอาไว้ตั้งแต่เอวลงมา หญิงสาวดึงชายผ้าห่มให้คลุมขึ้นมาปิดอก ในเสื้อยืดเก่าๆสีดำที่เขาสวมอยู่ มองหน้าคมสันที่ตอนนี้รกครึ้มไปด้วยไรหนวดและเคราบางๆอยู่ครู่หนึ่ง หน้านั้นดูเศร้าหมองจนเธอใจวูบลงด้วยความสงสาร ลูกเต้าเหล่าใคร คนรักหรือสามีของใครก็ไม่รู้ ต้องมานอนป่วยอยู่คนเดียวท่ามกลางคนแปลกหน้าไม่มีใครเหลียวแล ทิพย์สุรางค์ไม่แน่ใจว่าเขายังมีไข้สูงอยู่หรือเปล่า หญิงสาวจรดๆจ้องๆอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆวางมือลงสัมผัสบริเวณหน้าผากที่มีเหงื่อซึมของเขาและพบว่า แม้มันจะยังร้อนอยู่แต่ก็เพียงแค่รุมๆ ไข้ของเขาคงจะลดลงมากแล้ว ในขณะที่เธอกำลังจะชักมือกลับ ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ตลอดเวลาของเคน ก็หรี่ปรือขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น เธอได้ยินเสียงเหมือนเขาร้องเรียกชื่อใครหรืออะไรสักอย่างที่ฟังไม่ถนัด และแล้วก่อนที่เธอจะทำอะไรต่อไป แขนข้างหนึ่งของเขาก็กอดกระหวัดรัดตัวเธออย่างรวดเร็วราวกับการฉกของงู รั้งเอาร่างของเธอให้เซซวนจากท่าที่นั่งอยู่ลงไปซบอยู่บนอกเขา แล้วมืออีกข้างของเขาก็ประคองใบหน้าของเธอให้แหงนหงายขึ้น เขาพลิกตัวขึ้นแล้วแนบใบหน้าที่เต็มไปด้วยไรหนวดแข็งๆและเคราบางๆ ที่เพิ่งจะขึ้นมาใหม่ลงคลุกเคล้ากับใบหน้าเธอ ทิพย์สุรางค์ตกใจแทบสิ้นสติ ตัวสั่นงันงกขณะพยายามผลักไสหยิกข่วนเขา เบี่ยงเบนใบหน้าให้พ้นจากการรุกรานของเขาแต่ไม่สำเร็จ อ้อมแขนคู่นั้นแข็งแกร่งราวกับปลอกเหล็ก มันยิ่งรัดเธอแรงขึ้น แล้วในที่สุดริมฝีปากสั่นระริกของเธอก็ถูกประกบด้วยริมฝีปากที่ร้อนรุมของเขา ตอนแรกมันแสนจะนุ่มนวลอ่อนหวาน มันเป็นจูบแรกในชีวิตสาวของเธอ ในขณะที่ใจของหญิงสาวกำลังเต้นระรัวจูบนั้นก็ทวีความรุนแรงของมันขึ้นเรื่อยๆ ใจของเธอเริ่มสั่นสะท้านและตัวสั่นราวกับลูกนก เคนยังจูบเธอต่อไปอย่างดูดดื่ม เขาเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่นที่ไม่รับรู้อาการดิ้นรนผลักไสของเธอ จูบนั้นเปลี่ยนจากริมฝีปากลงมาที่ซอกคอแล้ว และกำลังลดต่ำลงไปเรื่อยๆ ในความสับสนเลื่อนลอยที่เกิดขึ้น ทิพย์สุรางค์สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลอ่อนโยนทะนุถนอม ที่ส่งผ่านมาจากมือร้อนผ่าวที่กำลังลูบโลมเธออยู่ และไม่ว่าหญิงสาวจะพยายามรวบรวมสติที่กำลังจะกระเจิงไปต่อสู้ดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดออกจากอ้อมแขนของเขาได้ ในที่สุดเธอเริ่มหมดเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนต่อสู้ หญิงสาวไม่รู้ตัวว่าแขนสองข้างของเธอเปลี่ยนจากการผลักไส ไปโอบอยู่รอบคอของเขาตั้งแต่เมื่อไร และเมื่อเขาจูบเธออีกครั้งหนึ่งอย่างดูดดื่ม ริมฝีปากที่เคยพยายามเบี่ยงเบนให้พ้นจากการรุกรานของเขา กลับเผยอรับริมฝีปากของเขาอย่างเต็มใจ เนื้อตัวที่เย็นเฉียบจากอากาศและละอองฝนของเธอเริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ ทิพย์สุรางค์รู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ น้ำที่กระแสรุนแรงเชี่ยวกรากของมัน ฉุดรั้งเธอให้ดิ่งลงไปเรื่อยๆจนถึงก้นบึ้ง และแล้วในความรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นในตอนนั้น เสียงที่เหมือนคร่ำครวญออกมาจากส่วนลึกของหัวใจว่า “ลิตา ลิตา!” ที่ดังออกมาจากปากของเคน ปลุกสติของเธอที่กระเจิดกระเจิงตามเขาไปจนสุดทาง ให้กลับคืนมา..เมื่อสายเกินแก้ไปแล้ว หญิงสาวกรีดร้องออกมาเต็มเสียง ผลักไสร่างที่ยังกอดก่ายเธออยู่ให้ผงะหงายออกไป ผลุนผลันลุกขึ้นนั่ง ร้อนรนจัดการกับเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยออกไปจากตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ให้กลับเข้าที่ด้วยมืออันสั่นเทา เมื่อกระดุมเสื้อแพรคอจีนเม็ดสุดท้ายไม่ยอมเข้าที่ของมัน เธอก็กระชากเต็มแรงจนมันขาด กระเด็นหลุดออกไปกลิ้งอยู่บนเสื่อ เนื้อตัวของทิพย์สุรางค์สั่นสะท้านราวกับลูกนก พร้อมๆกันนั้นชายหนุ่มที่มีสติลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงร้องของเธอก็ผวาลุกขึ้นนั่ง เขามองเธออย่างตกตะลึงจังงังราวกับฟ้าถล่มลงมาบนศีรษะ ทิพย์สุรางค์กลับถึงบ้านในสภาพที่เหมือนนกปีกหัก เธอเดินตัวลอยผ่านห้องโถงขึ้นบันได เปิดประตูเข้าไปในห้องส่วนตัว แล้วซวนซบลงบนโซฟายาวตัวหนึ่ง ยกสองมือขึ้นปิดหน้าที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา เธอร้องไห้อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ผลุนผลันวิ่งหนีเขาลงบันไดอย่างรวดเร็ว จนแทบจะพลัดตกลงไป หญิงสาวรีบร้อนเสียจนไม่ยอมแม้แต่จะหยุดสวมรองเท้าแตะ ที่ถอดวางไว้ใต้เก้าอี้หน้าห้องตาเป็ง ขึ้นรถแล้วขับอย่างร้อนรนกลับบ้าน น้ำตาที่ไหลไม่หยุดและฝนที่ยังโปรยปรายอยู่ทำให้มองไม่เห็นทาง แต่อาศัยความคุ้นเคยกับเวียงพุกาม ทำให้เธอนำตัวเองมาถึงตึกใหญ่ได้โดยสวัสดิภาพ หญิงสาวนั่งเงียบเหมือนตายอยู่อย่างนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง จึงพาตัวเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อส่องกระจกเธอแทบจำหน้าตัวเองไม่ได้ ผมเผ้าที่ขมวดมุ่นไว้บนศรีษะก่อนขับรถออกไป ตอนนี้มันหลุดรุ่ยร่ายลงมาปรกหน้าตาและหลังไหล่ หน้าของเธอมอมแมมจากคราบน้ำตา ดวงตาคู่ที่เคยคมปลาบหยิ่งผยอง บัดนี้บวมแดงจากการร้องไห้อย่างหนัก ปากแสนสวยของเธอบวมเจ่อออกมาจนเห็นได้ชัดในแสงไฟ ทิพย์สุรางค์ใช้เวลาอาบน้ำสระผมอยู่นานเป็นชั่วโมง ราวกับว่าการทำเช่นนั้นจะสามารถชะล้างสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ให้หมดไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นได้ คืนนั้นทิพย์สุรางค์ไม่ได้นอนทั้งคืน เธอนั่งจมอยู่บนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ระเบียง จ้องมองออกไปในความมืดท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำๆอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เห็นอะไรเลย ถึงอากาศในยามนั้นจะหนาวเหน็บแต่เธอก็ยังอยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำบางๆตัวยาว ไม่รู้สึกรู้สมกับความเย็นเฉียบของอากาศ ตัวของเธอสั่นเทาไม่ใช่จากความหนาวเหน็บ แต่จากความร้อนรุ่มของจิตใจ ที่หวั่นไหวสะทกสะเทือน กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หญิงสาวเฝ้าแต่ถามตัวเองว่าเธอพาตัวเข้ามาอยู่ตรงจุดนี้ได้อย่างไร ? เขาบังคับขู่เข็ญล่อลวงเธอหรือ ? เขาพยายามพาตัวเข้ามาใกล้เธอเพื่อล่อหลอกให้เธอตายใจแล้วไว้วางใจเขาหรือ ? แล้วความซื่อสัตย์ต่อตัวเองของทิพย์สุรางค์ก็ให้คำตอบที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าชายหนุ่มนิรนามผู้นั้นไม่เคยหาทางเข้าใกล้เธอโดยไม่จำเป็น เขามีแต่จะเจียมตัว อย่าว่าแต่จะใช้วาจาแทะโลมเธอเลย เขาแทบจะไม่เคยพูดจากับเธอก่อนด้วยซ้ำ ไม่เคยหาโอกาสที่จะอยู่ตามลำพังกับเธอ การติดต่อสื่อสารระหว่างเขากับเธอซึ่งนานๆจะมีสักครั้ง ก็เป็นการสื่อสารโดยผ่านกรแทบทั้งสิ้น ก็แล้วเรื่องนี้เริ่มก่อตัวของมันขึ้นมาได้อย่างไรและเมื่อใด ? คำตอบก็คือเธอเองนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง เธอมิใช่หรือที่หลังจากช่วยเขาให้พ้นจากความตายมาได้แล้ว ก็ยังตั้งข้อสงสัยไม่ไว้วางใจเขา สงสัยแล้วก็เริ่มสังเกตพฤติกรรมต่างๆของเขาอย่างใกล้ชิด สังเกต วิเคราะห์หาเหตุผลและความเป็นไปได้ต่างๆนานา แล้วนำมาสรุปตามความเข้าใจของตัวเอง โดยไม่ได้สังหรณ์ใจเลยว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ จะดึงเธอเข้าไปพัวพันทางอารมณ์กับเขาทีละเล็กทีละน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้รู้เห็นสิ่งต่างๆเกี่ยวกับตัวเขา เมื่อรวมเข้ากับบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นน่าจับตา อุปนิสัยใจคอที่สุภาพอ่อนโยนโดยไม่ได้เสแสร้ง รวมทั้งน้ำใจของเขาที่เคยช่วยเธอให้พ้นจากอันตรายมาหลายครั้ง โดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทนแม้แต่คำว่าขอบคุณ ทำให้เธอเริ่มรู้สึกอนาทรห่วงใยกับทุกข์สุขของเขาทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว มันเหมือนน้ำหยดเล็กๆที่ค่อยๆหยาดหยดลงในแก้ว แล้วเพิ่มปริมาณมากขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าแก้วใบนั้นไม่มีรอยร้าวรอยรั่วหรือแตกหักเสียหายไปเสียก่อน หมดสิ้นแล้วความเชื่อมั่นภาคภูมิใจในตัวเอง ต่อแต่นี้ไปคอของเธอจะยังตั้งตรงอย่างหยิ่งผยองได้อีกหรือ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอรักษาตัวมาได้อย่างดี ไม่มีราคีใดๆมาแผ้วพานจนกระทั่งคืนนี้ เขาคนนั้นเป็นใครจึงบังอาจมาสร้างมลทินให้เธอ น้ำตาของทิพย์สุรางค์ไหลรินออกมาอีก เธอไม่รู้ว่าเขาทำลงไปอย่างมีสติครบถ้วนหรือไม่ แล้วเมื่อถามตัวเองว่าทำไมเธอจึงไม่ต่อสู้ป้องกันตัวมากกว่าที่ทำไป เธอก็รู้สึกอดสูจนไม่สามารถตอบตัวเองได้ หญิงสาวไม่เข้าใจว่าแม้เธอจะโกรธและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสุดแสน แต่ทำไมเธอจึงเกลียดเขาไม่ลง เกือบหนึ่งปีที่ผู้ชายคนนั้นเข้ามาพักพิงอยู่ในเวียงพุกาม เธอคอยตอแยหาเรื่องเขา หมั่นไส้เขาจับผิดเขาอยู่เกือบตลอดเวลาราวกับเกลียดชังเสียเต็มประดา แล้วความรู้สึกที่แท้จริงของเธอต่อเขาเป็นอย่างไร ? เธอเกลียดเขาจริงๆ หรือแสร้งเกลียดเพื่อปกปิดความจริงในหัวใจ ? แล้วจู่ๆหญิงสาวก็นึกขึ้นมาได้ถึงเสียงของเขาที่คร่ำครวญชื่อๆหนึ่งออกมาอย่างห่วงหาอาวรณ์ “ ลิตา ลิตา ” นั่นเป็นชื่อของใคร ? ผู้หญิงหรือ ? หรือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะจิตใจของเขาผูกพันอยู่กับเจ้าของชื่อนั้น จนนึกว่าเธอเป็นผู้หญิงคนนั้นหรือตัวแทนของเธอ ? พอคิดเช่นนี้ทิพย์สุรางค์ก็กระโดดพรวดออกจากเก้าอี้ วิ่งเข้าไปในห้องแต่งตัวคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็กมาบรรจุเสื้อผ้าสองสามชุดและเครื่องใช้ส่วนตัวลงไปอย่างเร่งรีบ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดินทางที่รัดกุมแล้วลงนั่งรอเวลาให้ฟ้าสาง เธออยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เธอไม่สามารถจะเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้นได้อีกต่อไป เขาคงจะทำหน้าซื่อมองเธอเหมือนเดิม ในขณะที่แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ เขาคงนึกดูถูกเธอที่วิ่งแล่นไปหาเขาถึงที่ เสียแรงทำตัวราวกับดอกฟ้า แต่แล้วก็ยอมหล่นลงดินเสียง่ายๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ทิพย์สุรางค์บอกตัวเองว่า จะไม่มีวันให้อภัยผู้ชายแสนเลวที่ชื่อเคนเลยตลอดชีวิตนี้ เมื่อถึงเวลาหกนาฬิกา ทิพย์สุรางค์ก็หิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กลงไปข้างล่าง สั่งคำหล้าให้ไปบอกหนานคำให้จัดรถไปส่งเธอที่สนามบินโดยด่วน อันนี้ออกกแนวนิยายสมัยก่อนนะะคะคุณตุ้ย
โดย: หอมกร วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:14:31:01 น.
แน่นอนค่่ะคุณหอม ก็นิยายเรื่องนี้เขึยนมาสิบกว่าปีแล้วนี่คะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:14:37:26 น.
ทำไมไม่รอให้สว่างก่อนค่อยนำผ้าห่มไปให้
หาเรื่องชัดๆนะคะคุณทิพย์ โดย: โอพีย์ วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:11:46:00 น.
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นมากขึ้น จ้ะ อยากรู้ว่า ตัวละครตัวใหม่ ที่ชื่อ ลิตา ที่เคน พ้อออกมาคือ ใครหนอ ทิพย์สุรางค์ ต้องหนีหน้าไปจากที่ อยู่ แล้วเคน จะรู้ตัวไหมว่า ได้ทำอะไรลงไป อิอิ ติดตามตอนต่อไปจ้ะ โหวดหมวด งานเขียนฯ โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:13:28:33 น.
|
ดอยสะเก็ด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |