ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
|||||
เวลาที่หายไป - บทที่ 22 อีกสามวันต่อมาคริสซึ่งยังอยู่ในสภาพคนป่วยถูกส่งกลับไปสหรัฐฯด้วยเครื่องบินทหาร ที่ส่งมาจากฐานทัพสหรัฐฯ ในประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมนายทหารพระธรรมนูญจากสหรัฐฯ และแพทย์จากกองทัพที่ได้รับมอบหมายให้มารับตัวเขา คริสถูกนำตัวเข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาลทหาร เมื่อหายดีแล้วเขาจะต้องเข้ารายงานตัวต่อกองทัพ ซึ่งจะตั้งกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาสอบสวนเขา ถึงเรื่องต่างๆและสาเหตุที่ทำให้เขาหายตัวไป ส่วนคุณธัญญาและคุณนวลละออเดินทางกลับไปด้วยกันในวันรุ่งขึ้น คริสรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทหารนานเป็นเดือน ระหว่างนั้นนอกจากการรักษาอาการทั่วๆไปแล้ว เขายังต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อให้ขาข้างที่หัก สามารถกลับมาใช้งานได้เป็นปกติเหมือนเดิม วันแรกที่แพทย์อนุญาตให้เยี่ยมได้ คนสามคนที่เข้าไปเยี่ยมเขาคือจอห์น เลย์ตันกับภรรยาและคู่หมั้นของเขาที่ชื่อลลิตา ภักดีวงค์ คริสมองคนทั้งสามที่เดินตามกันเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงที่เขานอนอยู่อย่างตื้นตันใจ เขาเห็นบิดาของเขามีน้ำตาคลอตาในขณะที่มารดาร้องไห้ ส่วนลลิตา..แม้หน้าของเธอจะมีน้ำตา แต่ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง เขามองเห็นความรักอย่างมากมายฉายออกมาจากดวงตาคู่งามของเธอ หลังจากซักถามอาการทั่วไปของเขาจบแล้ว จอห์น เลย์ตันบิดาของเขาก็ถามขึ้นมาว่า “ เกิดอะไรขึ้น ลูกหายตัวไปเกือบหนึ่งปี ไม่ติดต่อใครเลย พ่อแม่และทุกคนทางบ้านเป็นห่วงมาก เราตามหาลูกจนแทบพลิกแผ่นดินมานานหลายเดือน ทางกองทัพของลูกก็เหมือนกัน บอกพ่อกับแม่ได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก ” ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง เหลือบตาไปมองลลิตาแว่บหนึ่งก่อนตอบว่า “ เรื่องนี้ผมจะบอกพ่อทีหลังนะครับ ผมยังพูดอะไรไม่ได้จนกว่าทางกองทัพจะสอบสวนผมเสร็จ หลังออกจากโรงพยาบาล ” บิดาของเขาพยักหน้ารับรู้ เขาเข้าใจกฏระเบียบที่เคร่งครัดของกองทัพดี หลังจากพูดคุยซักถามทุกข์สุขกันอีกประมาณยี่สิบนาที คุณธัญญาซึ่งสังเกตเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความคิดถึง ที่ส่งผ่านกันไปมาระหว่างบุตรชายของเธอกับคู่หมั้นของเขาก็สะกิดสามี เพื่อส่งสัญญาณ “คุณพ่อกับแม่จะกลับก่อนนะ พรุ่งนี้จะมาใหม่ ลิตา..หนูอยู่คุยกับพี่เขาก่อนแล้วกัน ” จอห์นตบขาบุตรชายเบาๆแทนคำลา ในขณะที่คุณธัญญาเดินไปกอดลลิตา “หนูช่วยดูแลพี่เขาด้วยนะลูก ป้าไปก่อนละ ” หลังจาที่คนทั้งสองออกจากห้องไปแล้วลลิตาก็เข้าไปนั่งบนเก้าอี้ ที่ตั้งอยู่ชิดเตียงที่คริสนอนอยู่ วางมือของเธอลงในมือเขาที่ยื่นมาให้ ชายหนุ่มยกมือที่สวมแหวนเพชรรูปหัวใจที่เขามอบให้เธอก่อนเดินทางไปอิรัค ขึ้นแตะริมฝีปาก ดวงตาสองคู่สบกันอย่างตื้นตันใจที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากสิ้นหวังไปแล้ว ลลิตาเขยิบเข้าไปใกล้ ซบหน้าลงบนต้นแขนของเขา ปากก็คร่ำครวญว่า “พี่คริส พี่คริส ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมดำสลวยของเธออย่าง:ซาบซึ้ง “ลิตา ” “พี่คริส ลิตาแทบเป็นบ้าตอนที่พี่หายไป ลิตาทุกข์ใจมากที่คิดว่าต้องเสียพี่ไป ” เสียงของเธอสั่นเครือด้วยแรงสะอื้น “พี่บอกได้ไหมคะ ว่าพี่หายไปอยู่ที่ไหนนานเป็นปี ? ” มือที่กำลังลูบไล้ผมของลลิตาหยุดชะงักค้าง คริสทอดถอนใจ เขาจะบอกความจริงเธอได้อย่างไร ว่าเกือบหนึ่งปีที่หายไปเขาไปอยู่ที่ไหน เขาจะบอกเธอได้หรือว่าเขาได้ทำผิดพลาดเอาไว้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ความผิดนั้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เขามีหนี้ชีวิตที่ต้องชำระถ้าผู้หญิงคนนั้นยอมให้เขาใช้หนี้ ถึงอย่างไรตอนนี้ลลิตาก็จะรู้เรื่องนี้ไม่ได้ เขารู้อยู่เต็มอกว่าถ้าเธอรู้ก็เหมือนฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น ซึ่งเขาไม่สามารถทำได้ เธอผู้นี้ไม่ได้เป็นแค่คู่รักและคู่หมั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนน้องสาวสุดที่รักของเขาอีกด้วย หนุ่มสาวทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนความรักความคิดถึงต่อกันและกันจนหมดเวลาเยี่ยม ลลิตาสัญญากับคริสว่าเธอจะมาเยี่ยมเขาทุกวันในช่วงนี้ เพราะเธอลางานมาโดยใช้วันหยุดพักผ่อนประจำปี ชายหนุ่มมองตามจนลลิตาลับตัวพ้นประตูห้องออกไป หลังจากนั้นคริสก็นอนตาลอยเหม่อมองเพดาน ไม่เข้าใจเลยว่าโชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตเขาถึงขนาดนี้ได้อย่างไร เขาถูกลอบทำร้ายปางตาย ผู้หญิงคนหนึ่งช่วยชีวิตเขาเอาไว้ บิดาของเธอให้ที่พักอาศัยและหางานให้ทำ สุดท้ายเขาทำร้ายเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะการสูญเสียความทรงจำของเขา ถ้าเขาไม่ได้เสียความจำ ถ้าเขาจำอดีตที่ไปที่มาของเขาได้ ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เขาก็คงไม่ต้องตามหนานคำไปเวียงพุกาม เขาคงไม่ได้พบทิพย์สุรางค์ ไม่ได้ทำร้ายเธอจนเกิดเป็นหนี้ที่เขาต้องหาทางชำระคืนให้เธอ ต่อมาเขาเริ่มคิดที่จะลืมอดีตเสียให้หมดแล้วเดินหน้าต่อไป แต่แล้วโดยไม่คาดฝันก็มีนักสืบเอกชนสองคนมาตามหาเขา เพื่อพาเขากลับไปหาครอบครัว ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส เมื่อฟื้นขึ้นมา เขาจำมารดาที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงได้ทันที แล้วจู่ๆความจำทั้งหมดก็กลับคืนมา เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เขาจะถูกทำร้ายจนสิ้นสติและถูกโยนลงจากหน้าผา ในป่าเปลี่ยวตอนเหนือสุดของประเทศไทย จนถึงวันที่เขาได้รับอุบัติเหตุรถคว่ำขณะเดินทางจากแม่ฮ่องสอนไปเชียงใหม่ ปรากฏขึ้นในสมองให้เห็นได้อย่างชัดเจนต่อเนื่องราวกับดูภาพยนตร์ คริสหายป่วยเป็นปกติออกจากโรงพยาบาลได้ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา หลังจากนั้นเขาไปรายงานตัวอย่างเป็นทางการต่อกองทัพ และเข้ารับการสอบสวนจากคณะกรรมการ ถึงสาเหตุของการหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยและขาดการติดต่อกับหน่วยงานต้นสังกัด คณะกรรมการสรุปสำนวนสอบสวนตามคำบอกเล่าของคริสดังนี้ เมื่อเดินทางถึงประเทศเป้าหมายในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อย่างลับๆ โดยไม่ผ่านการตรวจลงตราหนังสือเดินทางตามขั้นตอนปกติ เขาได้ไปพบและมอบข้อมูลลับและของสำคัญชิ้นหนึ่งที่ได้รับมอบหมายมา ให้แก่คนสำคัญคนหนึ่งเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เดินทางออกจากจุดนัดพบไปที่บริเวณชายแดน เพื่อพบกับผู้ที่จะนำทางเขากลับไปสู่ที่ที่เขาจากมา แต่ระหว่างทางเขาถูกกองกำลังติดอาวุธกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนมากกว่าสิบคน ซึ่งปิดหน้าปิดตาจนไม่รู้ว่าเป็นใครเชื้อชาติใด จับตัวเขาไว้แล้วนำไปที่ค่ายเล็กๆแห่งหนึ่ง ใกล้แนวตะเข็บชายแดน เขาถูกสอบสวนหาวัตถุประสงค์ของการเข้ามาในดินแดนแถบนี้อยู่สองวัน เมื่อเขาไม่ยอมปริปากและมีทีท่าเหมือนจะยอมตาย พวกมันซึ่งมีมากกว่าสิบคนก็ช่วยกันซ้อมเขาอย่างหนัก ทรัพย์สินทั้งหมดที่ติดตัวอยู่ถูกพวกมันยึดไปหมด หลังจากที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรจากเขาพวกมันก็จับเขาขึ้นรถ พาเข้าไปในป่าลึกซึ่งเขาไม่รู้ว่าที่ใด ตาของเขาถูกปิดด้วยผ้าสีดำและถูกใส่กุญแจมือไพล่เอาไว้ข้างหลัง หลังจากตะลุยป่านานเกือบสองชั่วโมงพวกมันก็ลากเขาลงจากรถ บังคับให้เดินตามไปเรื่อยๆ เขารู้แต่เพียงว่ามันเป็นทางเดินขึ้นเขา แล้วในที่สุดเขาก็ได้รับคำสั่งให้หยุดเดิน ชายฉกรรจ์คนหนึ่งดึงผ้าที่ปิดตาออกทำให้เขาเห็นว่า จุดที่เขายืนอยู่นั้นคือหน้าผาสูงชันที่เมื่อมองลงไปจะเห็นลำธารสายหนึ่ง รอบๆเป็นดงไม้ทึบเปล่าเปลี่ยว หลังจากนั้นพวกมันบังคับให้เขานั่งคุกเข่าลงชิดหน้าผาส่วนที่ยื่นออกไป แล้วใครคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังก็ไขกุญแจที่ล็อคมือเขาไพล่หลังไว้ออก ทันทีที่มือเป็นอิสระและเขาขยับตัว เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงสีข้าง ต่อมาก็ที่บริเวณกกหู แล้วตัวเขาก็ลอยละลิ่วลงไปจากหน้าผา ได้ยินเหมือนเสียงปืน ยิงไล่หลังเขามาสองสามนัด ต่อจากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย มาฟื้นคืนสติขึ้นอีกครั้งหนึ่งบนเตียงคนไข้ ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนของประเทศไทย ที่มีอาณาเขตติดต่อกับสหภาพพม่า เขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ชื่ออะไร ทำให้เขาไม่สามารถจะติดต่อส่งข่าวกับใครได้ ในที่สุดเขาได้ไปพักอาศัยอยู่ที่เวียงพุกาม ซึ่งทำกิจการเกี่ยวกับยาสูบและกิจการอื่นๆอีกหลายอย่าง เขาทำงานอยู่ที่เวียงพุกามอยู่เกือบหนึ่งปี จนกระทั่งนักสืบเอกชนที่ครอบครัวเขาจ้างให้ตามหา พบรูปเขาที่บอร์ดของโรงพยาบาลที่เคยรักษาเขา และในที่สุดก็พาเขาเดินทางออกจากแม่ฮ่องสอน เพื่อต่อเครื่องบินที่เชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ ระหว่างการเดินทางเขาเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ ได้พบกับมารดาและเริ่มจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาได้ทั้งหมด นอกจากรายงานดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการฯได้ขอชื่อแพทย์ที่รักษาเขา ทั้งที่โรงพยาบาลในแม่ฮ่องสอนและที่เชียงใหม่ ชื่อเจ้าของเวียงพุกาม สำนักงานนักสืบเอกชนที่ค้นหาเขาจนพบและข้อมูลอื่นๆอีกหลายอย่าง ซึ่งคริสเข้าใจดีว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน คณะกรรมการฯจะต้องส่งคนไปสืบหาข้อมูลที่เกี่ยวกับเขาจากคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางลับแล้วนำมาประกอบการพิจารณา เพื่อสรุปผลเสนอขึ้นไปในระดับสูง ข้อสรุปของคณะกรรมการฯ จะเป็นตัวชี้ขาดอนาคตของคริส ถ้าเขาไม่สามารถพิสูจน์หรือทำให้คณะกรรมการฯ เชื่อได้ว่า การหายตัวไปโดยไม่ติดต่อต้นสังกัดเกิดจากเหตุสุดวิสัย เขาก็อาจจะถูกลงโทษในข้อหา “ หนีราชการทหาร ” ซึ่งเป็นความผิดขั้นร้ายแรงทั้งทางวินัยและอาญา หลังจากคณะกรรมการฯ ที่กองทัพแต่งตั้งขึ้นมาสอบสวนคริสเสร็จ เขาก็ได้รับอนุญาตให้กลับไปพักผ่อนอยู่ที่บ้าน จนกว่าจะได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากกองทัพว่าจะถูกลงโทษจนถึงขั้นปลดออก หรือจะให้กลับมาทำงานในกองทัพเหมือนเดิม ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาพิจารณาอีกระยะหนึ่ง ในระหว่างที่รอคำตัดสินนี้เขาจะเดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ ทันทีที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว สิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำคือบินไปกรุงนิวยอร์ค เพื่อพบลลิตาซึ่งทำงานอยู่กับบิดาของเขา หลังจากนั้นก็บินต่อไปเท็กซัส ใช้เวลาส่วนใหญ่ในฟาร์มปศุสัตว์ “เลย์ตัน” อยู่กับม้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าดาร์คแองเจ็ลซึ่งพาเขาตระเวณไปตามที่ต่างๆ ทั้งในและนอกเขตฟาร์ม บางครั้งอย่างวันนี้ คริสพามันวิ่งขึ้นเขาลัดเลาะไปตามไหล่เขา ซึ่งวกเวียนไปมาและท้ายที่สุด ขึ้นไปถึงหน้าผาสูงลิบ เขายืนม้าอยู่ริมผาสูง มองลงไปที่แม่น้ำโคโลราโดที่อยู่ต่ำลงไปหลายเมตร ใจที่บังคับไม่ได้ของเขาล่องลอยไปที่หน้าผาและลำน้ำอีกแห่งหนึ่ง ที่เป็นจุดตั้งต้นพาร่างบาดเจ็บสาหัสที่ไร้สติของเขาล่องลอยไปเรื่อยๆ จนไปเกยโขดหินกลางลำธาร และสุดท้ายพาเขาไปพบกับผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งดีและร้ายที่เกิดขึ้นกับเขาที่เวียงพุกาม หัวใจของเขาก็เศร้าหมอง คริสถามตัวเองบ่อยครั้งว่าตอนนี้เขาก็ได้กลับบ้านมาพบครอบครัวและหญิงที่เป็นยอดดวงใจแล้ว แต่ทำไมจิตใจของเขาจึงยังไม่สงบ ไม่มีความสุขเต็มที่เหมือนที่เคย ทำไมหัวใจของเขาจึงร้าวรอนหมองเศร้าเหมือนมีอะไรค้างคาอยู่ แล้ววันนี้...ทันทีที่ความรู้สึกเช่นนั้นเกิดขึ้น ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อออกมาต่อไปหาลลิตา เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น เขารู้แต่เพียงว่าเขากำลังสับสนและไม่เข้าใจตัวเอง เขาต้องการได้ยินเสียงของเธอคนนี้เพื่อยึดเหนี่ยวหัวใจของเขาเอาไว้ ไม่ให้วอกแวกออกนอกลู่นอกทาง แน่นอนเขารักเธอตลอดมา ยังรักอยู่และจะรักตลอดไป เธอคนเดียวเท่านั้นที่เขารัก ลลิตาซึ่งรู้จักคริสดี รู้ทันทีว่าเขากำลังมีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือจากเธอ เธอสัญญาจะบินไปหาเขาที่ฟาร์มในตอนบ่ายวันศุกร์ และจะอยู่กับเขาจนถึงวันอาทิตย์ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจจนสามารถใช้ส้นเท้ากระตุ้นเจ้าดาร์คแองเจิลม้าคู่ใจให้หันกลับ มุ่งหน้าลงเขาเพื่อกลับบ้านที่ฟาร์มปศุสัตว์ แต่ความรู้สึกโล่งใจของเขาคงจะอยู่ได้ไม่นาน ถ้าเขารู้ว่าตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในเครื่องบินในประเทศมุ่งหน้าไปหาเขาที่เท็กซัส ลลิตาคิดอะไรอยู่ ถึงจะรักและเชื่อใจคริสมากแค่ไหนก็ตาม แต่ลลิตาก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องคิดหนัก เมื่อจู่ๆคู่หมั้นผู้เป็นที่รักหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย ไม่มีการติดต่อใดใดทั้งสิ้น เขาสูญหายเหมือนตายจากไปเกือบหนึ่งปี ความเป็นผู้หญิงทำให้เธอเกิดความหวาดระแวง เขาหายไปไหน? ไปอยู่กับใคร? นอกจากความทุกข์ที่ไม่รู้ว่าเกิดภัยร้ายแรงอะไรขึ้นกับเขา จนทำให้เขาไม่สามารถกลับมาหาเธอได้แล้ว ยังมีทุกข์ที่เกิดจากความระแวงว่ามีอะไรหรือใครสักคนหรือเปล่า ที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาไม่กลับมาหาเธอ เข้ามาซ้ำเติมอีก คุณลักษณาผู้เป็นมารดาเคยเตือนเมื่อคริสกลับมาใหม่ๆ คำเตือนที่ทำให้เธอต้องกังวล “ลูกอย่าเพิ่งไว้ใจคริสมากนัก เขาหายไปตั้งเกือบปี ระหว่างที่หายไปเขาไปทำอะไรบ้าง เขามีผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่า ? ถ้าไม่มีอะไรต้องปิดบัง ทำไมเขาถึงเล่าให้ลูกฟังไม่ได้ว่าเขาหายไปอยู่ที่ไหนนานขนาดนั้น” เมื่อเห็นลลิตานิ่งเหมือนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ คุณลักษณาก็กล่าวต่อไปว่า “แม่รู้ว่าคริสกับลูกรักกันมาก แต่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ แม่เองก็ไม่ได้อยากให้เกิด แค่อยากให้ลูกเตรียมใจเอาไว้บ้างเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรก็ดีไป แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมาโดยไม่ได้เตรียมรับมือ ลูกก็จะต้องทุกข์หนัก ” ความจริงถึงคุณลักษณาจะไม่พูดอะไรเลย ลลิตาก็แอบคิดเงียบๆมานานแล้วระหว่างที่คริสหายไป ว่าเขาอาจจะได้พบผู้หญิงคนใหม่ เขาอาจจะลืมไปแล้วว่าเธอกำลังคอยเขาอยู่ รอคอยอย่างมีความหวังแล้วก็ต้องผิดหวัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดเวลาเกือบหนึ่งปี แล้วในที่สุดเขาก็กลับมาจริงๆ แต่ทำไมเธอจึงดีใจไม่ได้เต็มที่ เพราะอะไร? เพราะคริสเปลี่ยนแปลงไป หรือว่าเพราะเขาหมดรักเธอแล้ว ? เขาอาจจะดูแปลกๆไปบ้างน่ะใช่ แต่เธอยังไม่อยากคิดมากในเรื่องนี้ เพราะตั้งแต่เขากลับมาเธอกับเขาก็เพิ่งมีโอกาสได้พบกันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานเป็นเดือน หลังจากนั้นยังต้องโดนสอบสวนซึ่งใช้เวลาพอสมควร ทำให้โอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันมีน้อย ส่วนเรื่องที่ว่าเขาหมดรักเธอแล้วลลิตาไม่นำมาคิดให้เสียเวลา แน่นอนเขายังรักเธออยู่เหมือนเดิม ดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความคิดถึงและอ้อมกอดที่แนบแน่นแสนอบอุ่นของเขาบอกเธอเช่นนั้น คริสมารับเธอที่สนามบินด้วยหน้าตาที่สดใสร่าเริงขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่พบกัน ท่าทางเขาดีใจที่ได้พบเธอ เขาฉวยกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆมาจากมือเธอ โอบไหล่พาเธอไปที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล แวะภัตตาคารอาหารอิตาเลียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน สั่งอาหารจานโปรดของเธอให้โดยไม่ต้องถาม นี่คือความน่ารักของเขาที่ทำให้ลลิตาประทับใจ เธอก็ไม่แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ต้องการความรักความห่วงใยและการปรนนิบัติเอาใจเล็กๆน้อยๆ จากผู้ชายที่เธอรัก ตอนนี้หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทางตามที่เคยเป็น เธอนึกตำหนิตัวเองที่คิดระแวงเขา ลลิตาให้สัญญากับตัวเองว่าจะเลิกขุดคุ้ยช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีที่คริสหายไป ความฉลาดเตือนเธอว่าเมื่อยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด เธอก็ไม่ควรระแวงกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น จนทำให้ต้องคอยแคะไค้ให้เป็นเรื่องขึ้นมา ซึ่งมีแต่จะทำความรำคาญใจให้ผู้ชายที่เธอรัก ลลิตาเป็นผู้หญิงสวยที่มีสมอง ดูจากภายนอกเธอเป็นผู้หญิงที่สุภาพเรียบร้อย อ่อนโยนและอ่อนหวาน ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้เสแสร้ง เธอเป็นผู้หญิงแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่อยากทะนุถนอมดูแล เพราะบางครั้งเธอดูบอบบางช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องการไหล่ของใครสักคนไว้ซบอิงเพื่อพิงพัก แต่ข้างในของลลิตาที่คริสและคนส่วนใหญ่ไม่รู้คือเธอเป็นคนเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะติดอาวุธทางปัญญาทุกรูปแบบ ลุกขึ้นสู้เมื่อถึงคราวจำเป็น เมื่อเช้าเพิ่งโหวตบล็อกที่แล้วไปค่ะ
พรุ่งนี้มาใหม่นะคะ โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 20 มีนาคม 2567 เวลา:18:13:51 น.
มาอ่านต่อครับ
บทจะจำอะไรได้หมด ก็จำได้หมดทีเดียว ไม่ต้องรักษาอะไร โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 20 มีนาคม 2567 เวลา:22:53:01 น.
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
เนื้อหากำลังเข้าสู่ความเข้มข้นเลย จ้ะ ชวนติดตาม ตอนนี้กลาย เป็นรักสามเส้าเสียแล้ว พระเอกของเรากำลังกลุ้มใจหนัก เนาะว่าจะ ทำอย่างไรต่อไป จะเลือกคนไหน อิอิ ติดตามต่อไป จ้ะ โหวดหมวด งานเขียน โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 21 มีนาคม 2567 เวลา:11:14:09 น.
|
BlogGang Popular Award#20
ดอยสะเก็ด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ทำอะไรผิดด้วยนะคะคุณตุ้ย
อีกคนก็ไม่ได้เสียหายมากนะคะ