เวลาที่หายไป - บทที่ 21
เคน สมศักดิ์และเวทย์เดินทางออกจากตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยรถตู้ที่เช่าจากโรงแรมที่นักสืบเอกชนทั้งสองพักอยู่ ตั้งแต่เช้ามืดของวันรุ่งขึ้น มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อต่อเครื่องบินไปกรุงเทพฯ โดยใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 ซึ่งเป็นเส้นทางสายเก่าที่ผ่านเขตอำเภอขุนยวมและอำเภอแม่สะเรียง เพื่อผ่านเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ทางอำเภอฮอด


ระยะทางจากแม่ฮ่องสอนถึงแม่สะเรียงประมาณสองร้อยห้าสิบกิโลเมตรเท่านั้น แต่เนื่องจากเป็นเส้นทางขึ้นเขาลงเขาตลอด เต็มไปด้วยโค้งมากมายถึง 1864 โค้ง ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะหักงอเป็นข้อศอก บางโค้งก็ต่อเนื่องกัน พอหลุดจากโค้งหนึ่งได้ก็เจออีกโค้งหนึ่งซึ่งหักไปอีกทางทันที ทำให้รถแต่ละคันต้องขับอย่างระมัดระวัง ใช้ความเร็วไม่ได้เท่าที่ควรเหมือนวิ่งบนถนนราบ ทำให้การเดินทางใช้เวลานานหลายชั่วโมง ทางก็ค่อนข้างอันตราย แต่เนื่องจากคนขับชำนาญทางทำให้การเดินทางผ่านไปด้วยดี

หลังจากเดินทางกันมานานหลายชั่วโมง ในที่สุดรถตู้คันนั้นก็ใกล้จะเข้าเขตอำเภอฮอด ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณเก้าสิบกิโลเมตร คนทั้งสามจะตรงไปที่สนามบินเลย เพื่อขึ้นเครื่องบินที่จองไว้ล่วงหน้าไปกรุงเทพฯ ตามที่นัดหมายไว้กับคุณนวลละออ

เคนนั่งมองภูมิประเทศสองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไปด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย เส้นทางมีแต่หุบเหวด้านหนึ่งและภูเขากับต้นไม้อีกด้านหนึ่งตลอดทาง เขาแน่ใจว่าเขาไม่เคยเดินทางมาแถวนี้ เมื่อมองเห็นต้นไม้ใหญ่น้อยที่ขึ้นอยู่เป็นดงบ้างบนสันเขาใกล้ๆบ้าง ภูมิประเทศบางตอนก็ดูละม้ายคล้ายคลึงกับสถานที่ที่จากมา หัวใจของชายหนุ่มก็ล่องลอยกลับไปที่เวียงพุกาม ยังไม่ทันจะพ้นเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เขาก็เริ่มคิดถึงที่ที่เขาจากมาเสียแล้ว เขาคิดถึงกระท่อมหลังน้อยของตาเป็งที่ได้อาศัยพักพิง คิดถึงเจ้าของ กระท่อมและกลิ่นบุหรี่ใบจากของแก คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งสุขและทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเขาในเวียงพุกาม

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนั่งหลับตาพิงพนักเก้าอี้ หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง เขาก็รู้สึกว่ารถที่กำลังวิ่งลงเขาด้วยความเร็วที่ไม่สูงนัก มีอาการปัดเป๋แฉลบไปทางซ้าย เมื่อลืมตาขึ้นด้วยความตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็เห็นรถบรรทุกคันใหญ่ที่วิ่งสวนทางมาอย่างรวดเร็ว กำลังเสียหลักวิ่งข้ามเลนถลาเข้าหารถตู้ คนขับรถตู้หักพวงมาลัยหลบไปบนไหล่ทางด้านซ้าย แม้รถตู้จะวิ่งมาไม่เร็วนักแต่เนื่องจากเป็นทางลงเขาพอดี กำลังส่งของรถจึงเพิ่มมากขึ้น การหักหลบอย่างกระทันหันทำให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ รถตู้ที่คนทั้งสามนั่งมาถลาหลุดจากไหล่ทาง ตกลงไปข้างทางที่ลึกไม่ต่ำกว่าสิบห้าเมตร รถพลิกคว่ำสองสามตลบแล้วไปหยุดนิ่งเกยอยู่กับหินก้อนใหญ่

สามสิบนาทีต่อมารถตำรวจทางหลวงที่วิ่งมาจากอำเภอฮอดผ่านมาประสบเหตุ ลงไปตรวจสอบรถตู้ที่ตกลงไปข้างทางจนพังยับเยิน พบว่าคนขับรถเสียชีวิตคาที่จากการถูกอัดกับพวงมาลัย ส่วนผู้โดยสารอีกสามคนได้รับบาดเจ็บสาหัสสลบไสลไม่ได้สติ รถกู้ภัยของตำรวจทางหลวงที่ถูกเรียกมา นำร่างที่หมดสติของชายทั้งสามไปส่งที่โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนรถบรรทุกสิบล้อที่ก่อเหตุหลบหนีไปแล้วตั้งแต่เกิดเหตุใหม่ๆ

คุณธัญญาและคุณนวลละออเดินทางมาที่โรงพยาบาลนครพิงค์ทันทีที่รู้ข่าว คุณธัญญาได้รับแจ้งเรื่องอุบัติเหตุ ในขณะที่กำลังรอคอยการเดินทางมาถึงกรุงเทพฯของตริสกับนักสืบเอกชนที่เธอว่าจ้างให้ติดตามหาเขา เธอติดต่อกับแพทย์ที่ดูแลอาการของคริสและได้รับแจ้งว่า คนเจ็บยังไม่ได้สติและยังอยู่ในห้องผ่าตัด แพทย์กำลังจัดการกับกระดูกซี่โครงสองซี่ที่หักทิ่มปอดของเขาอยู่ โชคดีที่มันไม่ได้ทิ่มโดนหัวใจหรือเส้นเลือดใหญ่ มิฉะนั้นเขาอาจจะเสียชีวิตได้ทันทีในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ขาข้างหนึ่งของเขาก็หักจากการกระทบกระแทกและยังมีแผลลึกที่ศรีษะอีกด้วย

หลังจากทราบรายละเอียดจากแพทย์แล้ว คุณธัญญาก็โทรศัพท์ไปหาบิดาของคริสที่สหรัฐอเมริกา เขาไม่สามารถเดินทางมาพร้อมกับเธอได้ เนื่องจากติดภารกิจสำคัญในนาทีสุดท้าย จอห์น เลย์ตันจะติดต่อแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของคริสทราบเรื่องการพบตัวเขา เป็นหน้าที่ของกองทัพที่จะดำเนินการต่อไป

ระหว่างที่นั่งรอให้คริสออกจากห้องผ่าตัดคุณธัญญาไม่เป็นอันทำอะไร เธอเฝ้าภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายในสากลโลกช่วยชีวิตเขา เธอเคยภาวนาเช่นนี้ทุกคืนก่อนนอนตอนที่เขาหายสาปสูญไป แม้ทางต้นสังกัดจะเลิกค้นหาเขาเพราะคิดว่าเขาคงเสียชีวิตไปแล้ว แต่เธอไม่เคยหมดหวัง เธอเชื่อว่าบุตรชายคนเดียวของเธอยังมีชีวิตอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในโลกนี้ ความหวังนี้ทำให้เธอจ้างนักสืบเอกชนในสามประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ติดตามค้นหาเขาต่อไป และตอนนี้เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิได้ประทานเขากลับมาให้แล้วเธอก็หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร คุณธัญญาคิดต่อไปว่าหลังจากที่ได้เขาคืนมาในครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมให้คริสกลับไปทำงานแบบเดิมอีกแล้ว เธอคงหมดแรงที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ถ้าต้องเสียเขาไปอีกครั้งหนึ่ง

คุณธัญญาคิดถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานที่เธอและสามีต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลาที่คริสหายตัวไป เธอรู้เพียงว่าเขาปฎิบัติหน้าที่อยู่ในอิรัค ตอนนั้นเธอไม่ได้นึกเป็นห่วงอะไรมากมายนัก เพราะถ้าไม่ได้ถูกส่งไปสนามรบ เขาก็มักจะมีภารกิจที่ต้องเดินทางไปที่อื่นบ่อยๆ ครั้งละนานๆ เธอเคยห่วงเขาจนเลิกห่วงไปแล้ว ตอนที่คริสเพิ่งจบจากวิทยาลัยเวสต์ปอยต์ ซึ่งเป็นวิทยาลัยการทหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้ไม่นาน และถูกส่งไปร่วมรบในสงครามอัฟกานิสถาน

เขาต้องประจำการอยู่ที่นั่นนานหลายเดือน กองร้อยที่เขาประจำการอยู่ต้องสู้รบอยู่เป็นประจำ ตัวคริสเองก็ได้รับบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างหลายครั้ง มันเป็นสงครามที่โหดร้าย ทุกครั้งที่อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ เธอก็รู้สึกสยดสยองกับการฆ่าล้างกัน ด้วยวิธีการและอาวุธสงครามทุกรูปแบบ ทุกวันเธอกลัวจะมีข่าวหรือการติดต่อจากกระทรวงกลาโหม แจ้งข่าวแสดงความเสียใจต่อการตายของคริส เธออยู่กับความหวาดกลัวและห่วงใยความปลอดภัยของบุตรชายตลอดเวลา จนถึงวันที่เขาหมดภารกิจกลับมาหาเธอและสามี ในสภาพที่มีอาการครบสามสิบสอง จะมีเหลือเป็นร่องรอยอยู่บ้างก็แค่แผลเป็นจากกระสุนปืน สะเก็ดระเบิด ฯลฯ ที่เขาได้รับจากการต่อสู้ในสงครามนั้น

แต่เธอก็โล่งใจอยู่ได้ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นเมื่อสงครามในอิรัคเปิดฉากขึ้น คริสก็ถูกส่งไปร่วมรบอีก ครั้งนี้แม้งานหลักของเขาที่นั่นคือประจำอยู่ในหน่วยข่าว มีหน้าที่หาข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆของฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อประมวลจากเหตุการณ์ความรุนแรงของการต่อสู้ ของสงครามที่ไม่มีรูปแบบตามกติกาสากล ซึ่งไม่ว่าใครแม้จะระวังตัวเพียงใดก็มีสิทธิจะถูกลอบทำร้ายหรือลักพาตัวได้ทั้งนั้น ยิ่งทำให้เธอประสาทเสียยิ่งกว่าสงครามในอัฟกานิสถานเสียอีก เพราะสงครามครั้งนี้ยิ่งโหดร้ายทารุณมากกว่า

คุณธัญญาวิตกเกี่ยวกับความปลอดภัยของบุตรชายมาก ถึงขนาดพูดกับสามีว่าอยากให้คริสลาออกจากราชการทหาร มาช่วยบริหารกิจการของครอบครัว แต่สามีของเธอไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าคริสเรียนวิชาทหารเพราะเป็นสิ่งที่เขารักและได้เลือกแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนแนวทางชีวิตเขาก็ควรเป็นผู้ตัดสินอนาคตด้วยตัวเขาเอง

แม้ระยะหลังๆตอนที่คริสอยู่ในอิรัค เธอและสามีจะไม่ได้รับข่าวคราวจากเขาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่คิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จนกระทั่งวันหนึ่งที่นายทหารระดับผู้ใหญ่ในกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เดินทางมาพบเธอและสามี ที่อพาร์ตเมนท์ที่ถนนฟิ๊ฟท์อเวอนิวในกรุงนิวยอร์ค เขาแจ้งเธอด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมและเสียใจว่าลูกชายคนเดียวของเธอ “สูญหายระหว่างปฎิบัติภารกิจ ” ในแถบแนวตะเข็บรอยต่อระหว่างประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

นายทหารผู้นั้นเปิดเผยแต่เพียงว่าคริสถูกส่งไปที่นั่น เพื่อติดต่อกับคนสำคัญคนหนึ่งในประเทศแถบนั้นด้วยภารกิจลับด้านการข่าว ตลอดเวลาสามเดือนแรกที่เขา “สูญหาย” ทางกองทัพได้ติดตามค้นหาเขาอย่างลับๆ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครได้พบเห็นเขาอีกเลย

เธอและสามีพยายามซักถามรายละเอียดว่าทำไมคริส ซึ่งทำงานอยู่ในอิรัค จึงไปหายสาปสูญในประเทศแถบเอเซีย และคนที่เขาถูกส่งไปพบเป็นใคร อยู่ที่ไหน ที่ต้องถามเช่นนี้ก็เพื่อที่เธอและสามีจะได้เริ่มต้นค้นหาเขาเอง โดยเริ่มจากเบาะแสตรงนั้น แต่นายทหารผู้นั้นบอกแต่เพียงว่าเขาไม่สามารถให้รายละเอียดตรงนั้นได้ เพราะมันเป็น “ความลับทางราชการซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”

คุณธัญญาแทบสิ้นสติไปด้วยความเสียใจ หลังจากนั้นเธอและสามีเดินทางไปประเทศไทย เข้าพำนักในบ้านเดิมของเธอในกรุงเทพฯซึ่งยังเก็บรักษาไว้ โดยมีญาติห่างๆและครอบครัวของเขาอยู่อาศัยและช่วยดูแลให้ สามีของเธอได้จ้างนักสืบเอกชนให้ติดตามค้นหาร่องรอยของคริส ทั้งในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง ติดต่อสถานทูตสหรัฐฯในประเทศเหล่านั้น รวมทั้งกระทรวงต่างประเทศและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเช่น กองตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ แต่ก็คว้าน้ำเหลว

มีแต่หลักฐานเก่าๆ ที่กองตรวจคนเข้าเมืองของไทย ที่บันทึกการเข้าออกประเทศไทยของคริสตั้งแต่ยังเด็ก และแม้แต่ครั้งสุดท้ายตอนที่เขาเรียนจบใหม่ๆ แล้วมาเยี่ยมคุณยายของเขาพร้อมกับเธอและบิดาของเขา เมื่อหลายปีที่แล้วเท่านั้น คริสหายสาปสูญไปโดยปราศจากร่องรอย จนทุกคนคิดว่าเขาคงเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากหมดหวังที่จะหาเขาพบเธอก็ตรอมใจจนล้มป่วย ต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเกือบสองเดือน

ตลอดเวลาที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลเธอเฝ้าคิดถึงแต่คริส นึกถึงภาพเขาตั้งแต่แรกเกิด เธอมีเขาหลังจากแต่งงานกับจอห์น เลย์ตัน นักธุรกิจหนุ่มชาวอเมริกันทายาทเศรษฐี ผู้เป็นเจ้าของกิจการเงินทุนหลักทรัพย์ขนาดกลางในสหรัฐอเมริกาได้ไม่นาน เธอพบกับจอห์นตอนไปฝึกงานที่บริษัทของเขาในปีสุดท้าย ก่อนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ทั้งคู่คบหาดูใจกันเกือบสองปีก่อนจะเข้าพิธีสมรสกันในอเมริกา ด้วยความเห็นชอบของบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย

คริสเกิดหลังจากนั้นเกือบสองปี แม้จะเป็นลูกผสมระหว่างตะวันตกกับตะวันออก แต่หน้าตาของเขาก็ละม้ายมาทางคนตะวันออกมากกว่าตะวันตก เขาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเหมาะเจาะระหว่างบิดาและมารดา ซึ่งเป็นคนหน้าตาดีทั้งคู่ มีแต่โครงสร้าง ส่วนสูงและสีผิวเท่านั้นที่ถอดมาจากผู้เป็นบิดาล้วนๆ

ตอนที่คริสเกิดมารดาของคุณธัญญาส่งหลานสาวซึ่งเป็นญาติห่างๆ เคยเป็นครูสอนภาษาไทยมาหลายปี มาเป็นพี่เลี้ยงประจำตัวคริส โดยมีจุดประสงค์ให้หลานชายคนแรกของท่านเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไทยซึ่งมีอยู่ครึ่งหนึ่งในตัวเขา นางสาวนวลละออหรือที่คริสถูกสอนให้เรียกว่า “ ป้านวล ” เป็นทั้งพี่เลี้ยงที่นอกจากช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่โดยทั่วไปของเขาแล้ว ยังมีหน้าที่สำคัญที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษจากมารดาของคุณธัญญา คือการเป็นครูสอนภาษาไทยให้เขาทั้งอ่านพูดและเขียน

คริสเรียนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จากคุณนวลละออตั้งแต่สามขวบ และเนื่องจากคุณนวลละอออยู่ใกล้ชิดเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เกิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คำแรกที่คริสพูดได้คือคำว่า ‘แม่’ ในภาษาไทย ไม่ใช่คำว่า ‘มอม’ ในภาษาอังกฤษ เมื่อเริ่มเรียนภาษาไทยกับคุณนวลละออ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้พูดภาษาอังกฤษกับเธอ คริสพูดภาษาไทยกับป้านวล พูดภาษาอังกฤษกับบิดาและพูดทั้งไทยทั้งอังกฤษแล้วแต่โอกาสกับมารดา เกือบทุกครั้งที่โรงเรียนปิดภาค เขาจะถูกส่งไปอยู่กับมารดาของคุณธัญญาในเมืองไทย เพิ่งว่างเว้นไปเมื่อเขาเริ่มเข้าศึกษาที่วิทยาลัยทหาร การเรียนภาษาไทยตั้งแต่ยังเล็กมาก ทำให้คริสใช้ภาษาไทยทั้งอ่านพูดและเขียน ได้อย่างแตกฉานเหมือนกับคนไทยแท้ๆคนหนึ่ง

นอกจากเรื่องภาษาแล้วสิ่งที่คริสถูกกล่อมเกลาในบ้านที่ผู้หญิงไทยเป็นใหญ่ คือวัฒนธรรมและมารยาทแบบไทยๆ มารดาของเขากวดขันเรื่องกิริยามารยาท ที่เด็กพึงปฏิบัติต่อผู้ใหญ่อย่างเข้มงวดเมื่ออยู่บ้าน แต่เธอไม่ตามไปกำกับเขานอกบ้าน เขาอยากจะทำตัวตามวัฒนธรรมอเมริกันอย่างไรก็ได้เวลาอยู่นอกบ้าน และตามแบบฉบับของวัยรุ่นอเมริกันทั้งหลาย ในช่วงโรงเรียนปิดภาคบางภาค ถ้าไม่ได้ถูกส่งตัวไปเมืองไทยคริสทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหาเงินมาใช้จ่าย ซื้อหาสิ่งของที่อยากได้ด้วยตัวเองมาตลอด เพิ่งเลิกไปเมื่อเข้าศึกษาในวิทยาลัยทหารซึ่งเขาต้องอยู่ประจำที่วิทยาลัย กลับบ้านได้เป็นครั้งคราว ตามกฏระเบียบที่เคร่งครัดของวิทยาลัยเท่านั้น

ตอนที่คริสแจ้งกับบิดามารดาว่าเขาต้องการเข้าศึกษาในวิทยาลัยทหาร เธอและจอห์นไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไรนัก บิดาของคริสไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้เขาเรียนทางด้านบริหารธุรกิจ เพื่อรับช่วงกิจการต่างๆของครอบครัวเนื่องจากเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียว แต่สำหรับคุณธัญญาเหตุผลของเธอคือความเป็นห่วง กลัวว่าเมื่อเรียนจบเป็นทหารแล้ว เขาอาจจะถูกส่งไปรบในที่ต่างๆและอาจประสพอันตรายจากการสู้รบหรือจากผู้ก่อการร้าย ซึ่งกำลังแผ่อิทธิพลเข้าไปในประเทศต่างๆทั่วโลก

หลังจากถกกันอยู่นานในที่สุดทั้งจอห์นและเธอก็ต้องยอมแพ้ ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ เพราะคุณธัญญารู้จักเขาดีกว่าใคร เธอรู้ว่าถึงคริสจะสุภาพอ่อนโยน แต่ก็มีความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นในตัวเองสูง ถ้าเขาไม่เห็นด้วยกับเธอในบางเรื่องเขาก็จะนิ่งฟังความเห็นของเธอจนจบ แล้วจึงโต้แย้งอย่างสุภาพนิ่มนวล อธิบายทั้งเหตุและผลจนเธอต้องยอมจำนน ถ้าสิ่งใดที่เขาบอกว่า “ไม่” เธอก็ไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ แต่สิ่งใดก็ตามที่เขารับปากกับเธอไว้ เขาก็ไม่เคยผิดคำพูด

คริสก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆของเขา ที่ออกเดทกับเพื่อนหญิงมากหน้าหลายตาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น รักแล้วเลิก เลิกแล้วก็รักใหม่ต่อไปหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งถึงวันที่สาวน้อยหน้าใสวัยสิบแปดปีที่ชื่อลลิตา ภักดีวงศ์ ก้าวเข้ามาในครอบครัวเลย์ตันและ..ในหัวใจของคริส
 
คุณลักษณามารดาของลลิตากับคุณธัญญา เป็นเพื่อนสนิทที่เรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นประถมหนึ่งจนถึงมัธยมหก ต่างก็แยกย้ายกันไปเมื่อคุณธัญญาเดินทางไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา พบรักและแต่งงานกับจอห์น เลย์ตันในเวลาต่อมา ในขณะที่คุณลักษณาเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ของรัฐ หลังจบการศึกษาเธอแต่งงานไปกับผู้ชายฐานะดีที่ครอบครัวของเธอเลือกให้ แม้จะอยู่ห่างกันคนละประเทศ แต่ทั้งสองก็ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งก็เดินทางไปเยี่ยมเยียนกันบ้างเหมือนญาติสนิท

คุณลักษณามีบุตรสองคน คนแรกเป็นผู้ชายชื่อชนะชัย คนที่สองคือลลิตาซึ่งหลังจากจบมัธยมหกก็ถูกส่งไปศึกษาระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา โดยอยู่ในความดูแลของครอบครัวเลย์ตัน ลลิตาอ่อนกว่าคริสสองปี  ตอนที่ลลิตามาเรียนต่อที่สหรัฐฯ คริสเป็นนักเรียนทหารปีที่สาม เขากลับบ้านเดือนละครั้งในขณะที่ลลิตาพักอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย แต่ในช่วงวันหยุดคุณธัญญาจะส่งรถไปรับเธอให้มาพักอยู่ด้วยกันที่บ้าน ลลิตามีห้องส่วนตัวที่คุณธัญญาจัดไว้ให้โดยเฉพาะ ทั้งคุณธัญญาและจอห์นผู้สามีไม่มีบุตรสาวจึงเอ็นดูลลิตามากเป็นพิเศษ

ส่วนคริสเมื่อได้พบกับสาวน้อยผู้งดงามอ่อนหวาน มีกิริยามารยาทที่นุ่มนวลละม่อมละมุน ผิดแผกแตกต่างไปจากผู้หญิงที่เคยพบมา ทำให้เขาประทับใจและในที่สุดก็กลายเป็นความรักที่ได้รับการสนับสนุน จากครอบครัวของทั้งสองฝ่ายที่คบหาสมาคมกันมานาน คนที่มีความสุขที่สุดคือคุณธัญญามารดาของคริส เธอเคยคิดวางแผนเอาไว้ในใจโดยบุตรชายของเธอไม่เคยรู้ ว่าอยากได้ลูกสะใภ้ที่เป็นคนไทย ดังนั้นเมื่อปรากฏในภายหลังว่าคริสกับลลิตาซึ่งเป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของเธอรักกัน ยิ่งทำให้เธอปลาบปลื้มมากขึ้นไปอีก คุณธัญญาคิดว่าไม่มีอะไรเหมาะเจาะลงตัวเท่านี้อีกแล้ว

ลลิตานั้นรักคริสมาก ทุกลมหายใจเข้าออกของเธอมีแต่คริส ซึ่งนอกจากจะเป็นคนรักที่น่ารักแล้วยังวางตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีอีกด้วย เธอไม่เคยรู้ว่าคุณธัญญาซึ่งเป็นหญิงที่ฉลาดมองการณ์ไกล ได้ขอสัญญาข้อหนึ่งจากบุตรชาย นั่นคือเขาจะต้องไม่ถือวัฒนธรรมตะวันตกมาทำให้สาวน้อยผู้นี้ ต้องมีมลทินก่อนเวลาอันควร

ซึ่งเมื่อได้ฟังคริสก็หัวเราะอย่างขันๆ แต่ก็ให้สัญญากับเธอ ซึ่งทำให้คุณธัญญาโล่งใจ เพราะเธอรู้ว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูด สิ่งใดที่เขาทำไม่ได้เขาจะบอกเธอทันที โดยไม่ต้องเก็บเอาไปพิจารณาให้เสียเวลา เมื่อเขารับปากเรื่องนี้เธอก็มั่นใจว่า ความรักของหนุ่มสาวทั้งสองจะดำเนินไปตามครรลองคลองธรรมและจารีตประเพณีอันดีงามของไทย

หลังเรียนจบลลิตาเข้าทำงานในบริษัทของจอห์น เลย์ตัน โดยเริ่มต้นด้วยการทำหน้าที่เป็นเลขาฯส่วนตัวของเขา คริสซึ่งเรียนจบก่อนหน้านั้นแล้วทำงานอยู่ในกระทรวงกลาโหมสองปีเต็ม ก่อนถูกส่งไปร่วมรบในสงครามที่อัฟกานิสถาน หนุ่มสาวทั้งสองคบกันอย่างเปิดเผย คุณลักษณามารดาของลลิตารับรู้เรื่องความสัมพันธ์ของลูกสาวเธอกับคริสด้วยความยินดี ทั้งสองครอบครัวรอคอยวันที่หนุ่มสาวทั้งสองจะตัดสินใจแต่งงานกันเท่านั้น

สองสามวันก่อนหน้าที่จะถูกส่งไปอิรัค คริสพาลลิตามาหาคุณธัญญาที่บ้านและบอกเธอว่าเขากับลลิตา ได้หมั้นกันตามธรรมเนียมอเมริกันแล้ว ซึ่งก็คือเขาได้ขอเธอแต่งงาน และเมื่อเธอตอบตกลงเขาก็ได้มอบแหวนหมั้น ที่ซื้อหามาด้วยเงินเดือนทหารของเขาให้แก่เธอเป็นสัญญาใจ เมื่อคุณธัญญาเห็นแหวนทองคำขาวหัวฝังเพชรรูปหัวใจเม็ดเล็กๆ บนนิ้วนางข้างซ้ายของลลิตา เธอก็บอกบุตรชายว่าหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่อิรัค เธอและสามีจะพาเขาและลลิตาเดินทางไปประเทศไทย เพื่อทำพิธีหมั้นตามประเพณีไทยอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง ต่อหน้าบิดามารดาและญาติสนิทของทั้งสองฝ่าย

วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่เธอได้พบคริสก่อนที่เขาจะหายตัวไป จนกระทั่งถึงวันนี้เกือบหนึ่งปีเต็มที่เขากลับมาให้เธอได้เห็นหน้าอีกครั้งหนึ่ง ในสภาพบาดเจ็บสาหัส




Create Date : 14 มีนาคม 2567
Last Update : 14 มีนาคม 2567 22:39:07 น.
Counter : 605 Pageviews.

4 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณปัญญา Dh, คุณหอมกร, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณSweet_pills, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณฟ้าใสทะเลคราม, คุณmariabamboo, คุณmcayenne94, คุณThe Kop Civil, คุณสองแผ่นดิน, คุณ**mp5**, คุณร่มไม้เย็น, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณpeaceplay

  
วันนี้ปูเรื่องยาวเลยค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 15 มีนาคม 2567 เวลา:8:59:19 น.
  
สวัสดีครับคุณดอยสะเก็ด ขออภัยผมแวะมาช้าหน่อยครับ แหะ ๆ

ผมเพิ่งอ่านจบตอนนี้เป็นตอนแรก แต่มันเป็นตอนที่ 21 แล้ว
อาจปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้มากนัก รู้อย่างเดียวว่าพระเอกเป็นลูกครึ่ง
ผมเคยอ่าน "คนละฟากฟ้า" ถึงจะไม่กี่ตอนแต่ก็พอจำได้ว่ามีชาวต่างชาติด้วย
น่าจะชื่อนิคมั้ง แต่เรื่องนั้นไม่รู้ใช่พระเอกเปล่านะ พอดีผมได้อ่านแค่ไม่กี่ตอน

(กลับมาพูดถึงเรื่องปัจจุบับ้าง)
อ่านถึงตอนรถตกข้างทางแล้วตกใจ
ดูช่าวรถตกข้าง ๆ ทางหลวงลึก 2 เมตร คนนั่งในรถยังสาหัสเลย
แต่นี่ตกข้างทางลึกมาก ระยะ 15 เมตร นี่มันสูงมากนะครับ
ตอนแรกผมก็นึกอยู่คนที่รอดได้นี่นอกจากโชคดีแล้วยังตกอึดจริง ๆ
พออ่านถึงกลางตอนถึงร้องอ๋อว่า คริส เคยเป็นทหารนี่เอง
ถึงมีร่างกายแข็งแรงรอดชีวิตจากอุบัติเหตุร้ายแรงแบบนี้ได้
โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 15 มีนาคม 2567 เวลา:23:51:56 น.
  
มาอ่านต่อครับ
เรื่องราวความเป็นมาของพระเอกครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 18 มีนาคม 2567 เวลา:20:20:32 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 19 มีนาคม 2567 เวลา:12:54:19 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]



New Comments
Group Blog
มีนาคม 2567

 
 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
10
11
12
13
15
16
17
18
19
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com