เวลา
แห่งรัก...น้อมรำลึกวันราชาภิเษกสมรส ๒๕๖o
| | | |
เวลา
แห่งรัก
ที่ไม่เคยหยุดเดิน
แม้จะผ่านไปนานเท่าใด
สองดวงใจยังเคียงคู่อยู่นิรันดร์
ปี พุทธศักราช ๒๔๙๑ ขณะที่หม่อมเจ้านักขัตรมงคลรับราชการในฐานะเอกอัครราชทูตนั่นเอง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ จากเมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มายังชานเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ครอบครัวของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลจึงได้มาเฝ้ารับเสด็จ
ในครั้งนั้น สมเด็จพระราชชนนี มีรับสั่งให้พระราชโอรสทอดพระเนตร หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ด้วยว่าสวยน่ารักไหม ท่านผู้หญิงเกน หลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เขียนเล่าใน บันทึก เป็น อยู่ คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ว่า หม่อมเจ้านักขัตรมงคล ก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นหลานแท้ ๆ ของสมเด็จย่า และเป็นคนดี หม่อมหลวงบัว ก็เป็นลูกสาวเจ้าพระยาวงศาฯ ซึ่งเป็นคนดี ซื่อตรง และยังทรงกำชับว่า ถึงปารีสแล้วโทรฯบอกแม่ด้วย ท่านผู้หญิงเกนหลงทรงเล่าในบันทึกต่อมาว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ถึงปารีสแล้ว จึงโทรศัพท์ตอบคำถามพระราชชนนีว่า เห็นแล้วน่ารักมาก
วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ในระหว่างเสด็จประทับยังต่างประเทศ ขณะที่พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเฟียส ทอปอลิโน จากเจนีวาไปยังโลซาน ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กล่าวคือ รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส หลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หากแต่พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น กระทั่งวินิจฉัยแล้วว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านทางพระเนตรขวาของพระองค์เองได้ต่อไปแล้ว จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด ทั้งนี้ ม.ร.ว. สิริกิติ์ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำจนกระทั่งหายจากอาการประชวร
ตอนที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุ ก็มีรับสังให้ครอบครัวเราเข้าเฝ้า เพราะทรงได้รับบาดเจ็บที่พระเนตรและพระเศียร คุณแม่ก็เข้าไปก่อน ตอนเข้าเฝ้าฯ ก็ให้จับพระหัตถ์ท่านแล้วบอกชื่อ พอถึงสมเด็จฯ ท่านก็ทูลว่า หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เพคะ พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงจับมืออยู่นานพอสมควรเลย ท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงษ์ เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นในหนังสือ ด้วยพลังแห่งรัก
อันเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นต้นเหตุให้เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ สมเด็จพระราชชนนี ได้รับสั่งขอ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ต่อหม่อมเจ้านักขัตมงคล โดยพิธีหมั้นได้จัดขึ้นอย่างเงียบ ๆ เรียบง่าย ณ โรงแรมวินด์เซอร์ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสวมพระธำมรงค์เป็นของหมั้นต่อ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ซึ่งเป็นพระธำมรงค์องค์เดียวกับที่ สมเด็จพระบรมราชชนกทรงมอบต่อ สมเด็จพระบรมราชชนนี
จนวันที่ ๑๒ สิงหาคม ปีเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข่าวทรงหมั้นให้คนไทยทราบในงานเลี้ยงอันเรียบง่าย ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ข่าวอันเป็นสิริมงคลนี้ ทำให้คนไทยเกิดความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งดังแสงสว่างที่ส่องสู่หัวใจทุกดวง ท่ามกลางข่าวอันน่าเศร้าสลดที่จะทรงมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓
ประวัติความเป็นมาของการจัดพิธีบรมราชาภิเษก
การจัดพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีที่จัดต้อนรับหรือรับรองฐานะความเป็นประมุขของสังคมอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งมีมาแต่ครั้งพ่อขุนผาเมือง ได้อภิเษกพ่อขุนบางกลางหาว หรือพ่อขุนบางกลางท่าว ให้เป็นผู้ปกครองเมืองสุโขทัย ดังปรากฏในหลักฐานในศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไท
ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี พระองค์ได้ทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมของชาติทุกสาขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูพระราชพิธีบรมราชาภิเษกให้ถูกต้องสมบูรณ์
พระมหากษัตริย์ที่ยังมิได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จะไม่ใช้คำว่า "พระบาท" นำหน้า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" และคำสั่งของพระองค์ก็ไม่เรียกว่า "พระบรมราชโองการ" และที่สำคัญประการหนึ่งคือ จะยังไม่มีการใช้ นพปฎลเศวตฉัตร หรือฉัตร ๙ ชั้น
ในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้ทรงประกอบ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามแบบอย่างโบราณ ในวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นวันจุดเทียนชัย และวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ อันเป็นวันประกอบ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
สำหรับขั้นตอนของพิธีที่สำคัญต่างๆ แบ่งออกเป็น ๕ ลำดับ ดังนี้
ขั้นเตรียมพิธี พิธีเบื้องต้น พิธีบรมราโชวาท พิธีเบื้องปลาย และ เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร พระราชพิธีที่ประกอบขึ้นก่อนวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก
สำหรับพิธีราชาภิเษกของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ นั้น ทรงจัดขึ้นเมื่อ วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๓ ณ วังสระปทุม โดยมีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (พระราชมารดาของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ทรงเป็นประธาน พระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ จากนั้นสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเจิมพระนลาฎพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงเจิมหน้าผากหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ตามลำดับ เวลานั้นทรงมีพระราชดำรัสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ด้วยว่า "เอ้า ! หันออกไปยิ้มกับผู้คนที่เขามางานซิ เขาอุตส่าห์มากันเต็ม ๆ ออกไปให้เขาเห็นหน่อย"
ลำดับต่อมาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ทรงจดทะเบียนสมรส ตามกฏหมายด้วย นับว่าเป็นปรากฏการณ์ ครั้งแรกสำหรับพระมหากษัตริย์ไทยในยุคประชาธิปไตย ที่ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยทั่วไป
และในวันนั้น หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระราชินี ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสสริยาภรณ์ตามฐานะและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงฉลองมงคลราชาภิเษกสมรสเป็นการภายใน ระหว่างพระญาติสนิทและข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดประมาณ ๒๐ คน การเลี้ยงคืนนั้น นับเป็นการเลี้ยงในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสสำหรับพระมหากษัตริย์ที่ง่าย เรียบ และสิ้นเปลืองน้อยที่สุดในโลก หลังจากการเลี้ยงร่วมโต๊ะเสวยแล้ว มีการฉายหนังผีเรื่อง Return of Frankenstein ให้แขกชม อาจจะเป็นพระราชพิธีแบบใหม่ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงค้นพบวิธีที่จะหาทางข่มพระขวัญเจ้าสาว ให้ทรงหันเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและยึดพระองค์เป็นที่พึ่งในวันราชาภิเษกสมรส เพราะกลัวผีก็เป็นได้ และไม่มีพิธีส่งตัวเจ้าสาวตามประเพณีทั่วไป
ในส่วนของฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ก็ทรงเลือกฉลองพระองค์แบบไทยสีงาช้างงดงามวิจิตร รอบคอฉลองพระองค์ปักไหมทอง พระภูษายกทอง ขณะที่ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทรงพระภูษายกทองและทรงสะพัก สวมสร้อยคอเพชร สร้อยข้อมือเพชร ของเก่า ของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตุ้มหูเพชรของเก่าฝีมือทำขึ้นใหม่ และสวมสายสะพายปฐมจุลจอมเกล้า เพื่อตอกย้ำถึงความงดงามของศิลปวัฒนธรรมไทย ทรงเป็นต้นแบบแห่งการใช้ชุดไทยแบบต่าง ๆ ในวันแต่งงานของหญิงไทยนั่นเองค่ะ
ในวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๙๓ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ วังไกลกังวล หัวหิน ๓ วัน ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นการไปดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์ ที่ไม่เป็นการฟุ่มเฟือยเช่นกัน และในศุภวาระโอกาสอันเป็นมหามงคลยิ่งนี้ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ เสด็จอยู่เป็นคู่พระมิ่งขวัญร่มโพธิ์ทองของปวงประชาชาวไทย ตลอดไปชั่วกาลนาน
| | | | |
พระบรมสาทิสลักษณ์ ภาพและข้อมูลจาก 2bbride.com wikipedia.org welovemyking.com FB Art of EidMu< pinterest.com คลิปเพลง "เวลา
แห่งรัก" หนังสือ "ประเพณี พิธีมงคล และวันสำคัญของไทย"
อัพบล็อกช้าอีกแล้ว อยากอัพบล็อกตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายนที่ผ่านมา เป็นวันราชาภิเษกสมรสของในหลวงรัชกาลที่ ๙ และพระราชินีสิริกิติ์ บังเอิญได้ชมคลิป "เวลา
แห่งรัก" ที่บริษัทแปซิฟิค อินเตอร์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด จัดทำขึ้น เป็นคลิปสั้น ๆ แค่สองนาทีกว่า ๆ ชมแล้วทั้งประทับใจและเศร้าไปด้วย เพลงพระราชนิพนธ์ "ในดวงใจนิรันดร์" ที่อัญเชิญมาประกอบในคลิปก็เพราะมาก ๆ
ขออนุญาตปิดเม้นท์ต่ออีกสักพัก งานยังไม่หายยุ่งสักที แต่จะพยายามหาเวลาอัพบล็อกอยู่เรื่อย ๆ ต้องขอบพระคุณเพื่อนบล็อกทุกท่านที่แวะมาโหวตให้นะคะ ช่วงนี้ทั้งร้อนทั้งฝนปนกันไป เพื่อน ๆ ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ
บีจีจากคุณญามี่ กรอบจากคุณ KungHangGerman และ คุณ ebaemi
Free TextEditor
Create Date : 02 พฤษภาคม 2560 |
Last Update : 8 กรกฎาคม 2560 21:48:13 น. |
|
0 comments
|
Counter : 5440 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณClose To Heaven, คุณmambymam, คุณเรียวรุ้ง, คุณRinsa Yoyolive, คุณtoor36, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณเนินน้ำ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณSweet_pills, คุณข้ามขอบฟ้า, คุณสองแผ่นดิน, คุณTui Laksi, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณmoresaw, คุณnewyorknurse |
|
|