happy memories
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
13 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ (๒)





รัฐบาลยิ่งลักษณ์ (๑)


เมื่อ 'องค์กรบ้านเมืองไม่เอาธุระ'
เปลว สีเงิน


หมู่นี้เห็น "องค์กรกฎหมายต้นน้ำ" ฟิตเหลือเกิน ป.ป.ช.ลุยตรวจสอบทุจริตภาครัฐ อายัดทรัพย์สิน "พลเอกเสถียร เพิ่มทองอินทร์" อดีตปลัด กห.หลายสิบล้านบาท หันไปดูทาง DSI ก็ขะมักเขม้น "เค้นเอาให้ตาย" กับอภิสิทธิ์-สุเทพ คดีประมูลโรงพัก ส่วนอัยการ กลุ่มชำนาญ "ลิฟต์ลับตึกชิน" ทำตัวสูงสุดต่อคำถามสังคม กรณีสมคบ DSI ซื้อตั๋วเครื่องบินให้ตำรวจผู้ต้องหาหนีหมายจับศาล "บินออกนอกประเทศ" ไปซุกดูไบ!

เมื่อกระบวนการทำงานองค์กรกฎหมายเบื้องต้นขยับเขยื้อน ประชาชนก็นอนตาหลับ ด้วยเบาใจว่า ตราบที่ "ขื่อ-แป" ของบ้านเมืองยังไม่ตาย ทำหน้าที่ "กำจัดคนพาล-อภิบาลคนดี" ด้วยดุลที่เป็นธรรมให้สังคมชาติบ้านเมือง อาณาประชาราษฎร์ก็จะเป็นสุข

แต่ทุกวันนี้-ขณะนี้ อาณาประชาราษฎร์ "ไม่เป็นสุข" เลย!?

การดื้อแพ่งกฎหมาย การทำตนเหนือกฎหมาย การใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ และการที่ผู้ใช้กฎหมาย "เป็นเสียเอง" เหล่านี้ กำลังเป็น "หนามแค้น" ฝังคาใจอาณาประชาราษฎร์

เพราะขณะที่การบริหารประเทศ "ขาดธรรมาภิบาล" กำลังสร้างความล่มสลายให้กับเสถียรภาพทางการเงิน-การคลัง กับความอยู่ดี-กินดีของคนในชาติด้วยมั่งคั่งยั่งยืน และกับความมั่นคงในเอกภาพ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์

แต่องค์กรตรวจสอบและองค์กรใช้กฎหมายเบื้องต้น แทนที่จะทำหน้าที่ ควบคุม-ร้อยรัด-กำจัด สิ่งและบุคคลอันเป็นปฏิปักษ์ต่อความถูกต้อง ด้วยสัตย์ซื่อ มั่นคง ทันปัญหา-ทันการณ์

การณ์กลับตรงกันข้าม!

ดูเหมือนว่า ทั้งตำรวจ ทั้งดีเอสไอ ทั้งอัยการ ทั้ง ป.ป.ช. เหล่าท่าน จะมีวิจารณญาณในการทำหน้าที่-ไม่ทำหน้าที่ สร้างความ "กังขา-คับแค้น" ให้กับสุจริตชนมากขึ้นทุกวัน

โดยเฉพาะการลำดับความสำคัญ-ความเร่งด่วนของเรื่อง-ของปัญหา เพื่อใช้กฎหมาย ใช้อำนาจ-หน้าที่เข้าจัดการในลักษณะ "ทันการณ์-ทันท่วงที"

หลาย ๆ เรื่องคล้ายเลือกปฏิบัติ เพื่อบุคคล-กลุ่มบุคคลเป็นการเฉพาะ มากกว่าใช้กฎหมายเข้าจัดการ เข้าระงับเข้ายับยั้ง เข้ากำจัด "สิ่งชั่วร้าย" ให้ทันต่อสถานการณ์เร่งด่วน

กับตำรวจและอัยการ ไม่ต้องพูดถึง ชาวบ้านรู้แจ้ง-เห็นจริงแล้ว วันนี้...ทั้งสององค์กรนั้น ทำงานลักษณะไหน ด้วยทัศนคติและทิศทางไหน?

แต่ ป.ป.ช.นี่ซิ นอกจากศาลยุติธรรม และศาลรัฐธรรมนูญแล้ว สังคมที่ไร้หวัง ต่างฝากความหวังในการทำหน้าที่ต้นน้ำ "ป้องกันปราบปราม" พวกโกงบ้าน-กินเมืองในหมู่ข้าราชการและนักการเมืองไว้สูงมาก

แต่การทำหน้าที่ของท่าน "ช้ามาก"!

ช้าจนน่าสงสัยว่า คดีมาก ละเอียด ถี่ถ้วน สุขุมคัมภีรภาพ หรือช้าเพราะมีเหตุปัจจัยที่มองไม่เห็นทำให้ช้า?

โดยเฉพาะในคดีอันว่าด้วย เจ้าหน้าที่รัฐร่ำรวยผิดปรกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

นอกจากคดีแล้ว การเสนอมาตรการ-ความเห็น หรือข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้ปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผน-วางโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ

ป.ป.ช.ก็แทบจะไม่ได้ทำหน้าที่!

รวมถึงการส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ยกเลิก หรือเพิกถอนสิทธิ หรือเอกสารสิทธิ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้อนุมัติหรืออนุญาตให้สิทธิประโยชน์หรือออกเอกสารสิทธิแก่บุคคลใดไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือระเบียบของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ

นี่ก็แทบไม่เห็น!

เมื่อไม่ค่อยเห็นการทำหน้าที่ป้องกันการทุจริต หรือทำ-แต่ไม่ทันการณ์ ดังนั้น การเสริมสร้างทัศนคติและค่านิยมเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตให้เกิดผล มันจึงไม่มีผลอันใดเกิด

สมมุติโกงกันโครมๆ ต่อหน้า-ต่อตา ทุจริตเชิงนโยบาย ประชาสังคมรับรู้ได้คาหนัง-คาเขา แทนที่ ป.ป.ช.จะทำหน้าที่ทันการณ์ เป็นการสกัดกั้น-ระงับยับยั้ง "เป็นด่านแรก" ไว้ก่อนตามอำนาจ

แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือน ป.ป.ช.จะเย็นฉ่ำ จนแฉะเหมือนอยู่ขั้วโลกเหนือ

ก็พูดไป...คดีค้างเป็นแสน เป็นไปตามคิวเลขคดี หรือไม่ก็...เรื่องนี้ ผู้เกี่ยวข้องที่ต้องตรวจสอบมีทั้งบุคคล ทั้งเอกสาร ทั้งข้อมูลมากมาย ต้องใช้เวลาเป็นปี..ปี!

อย่างเช่นเรื่อง รัฐบาลรับจำนำข้าวเปลือกชาวนาทุกเมล็ด เกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ประชาธิปัตย์เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประเด็นทุจริตจำนำข้าว พร้อมยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๕

รับเรื่องก็บอกว่า "มีข้อเท็จจริงเพียงพอ" ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ก็ทั้งไต่-ทั้งสวนเบื้องต้น แค่ประมวลเรื่องส่งให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ชี้เท่านั้นว่า คดีมีมูล หรือไม่มี

เข้าเดือนที่ ๔ แล้ว ก็ยังชี้ไม่ได้!

จนขณะนี้ ด้วยนโยบายประชานิยม "รับจำนำข้าวทุกเม็ด" จากเริ่มต้น ถ้า ป.ป.ช.ตระหนักถึงผลได้-ผลเสียอันมีต่อประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม แล้วจัดลำดับความสำคัญของเรื่อง ทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เร่งด่วน

จากเสียหายระดับหมื่นล้าน การคอรัปชั่นผูกขาดแฝงนโยบาย ก็จะไม่ลุกลามเป็นระดับแสนล้าน และเข้าสู่หลัก ๔-๕ แสนล้าน ดังขณะนี้!

ไม่เพียงในประเทศ ที่หลายๆ ฝ่ายช่วยกันชี้แนะ บอกกล่าวให้รัฐบาล "เห็นแก่ชาติบ้านเมือง" เถอะ อย่าทำอย่างนั้นเลย นอกประเทศ...คนต่างบ้าน-ต่างเมือง อดรนทนเห็นไทยจมห้วงหายนะไม่ไหว เขาก็ช่วยเตือน-ช่วยบอก

แต่ยิ่งลักษณ์...ตะแล้ดแต๊ดแต๋!

กระทั่ง ล่าสุด....ปลัดกระทรวงพาณิชย์เอง คล้ายทนอดสูและทนเอาความวินาศของบ้านเมืองไปสนองตัณหาการเมืองไม่ไหว ขยับขยายจะลดราคารับจำนำ แต่ยิ่งลักษณ์-บุญทรง ยืนกราน คอรัปชั่นเชิงนโยบายลดได้ไง

ต้องเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาทขาดตัว!

แล้วใครจะไปยับยั้งขบวนการผลาญประเทศให้ล่มจมต่อหน้า-ต่อตาได้ล่ะ ในเมื่อ "องค์กรรัฐ" ทั้งหลายก็มีอันวิปลาส และมีอันเป็นไป นอกจากไม่ทำหน้าที่พิทักษ์ชาติ-พิทักษ์ประชาชน กลับทำหน้าที่ "สนองบุคคล" เช่นนี้

ที่พึ่งสุดท้าย คือ ป.ป.ช.!

แต่แค่ชี้มูลยังไม่ขยับ ปล่อยให้ขบวนการใช้นโยบายบังหน้าคอรัปชั่นตั้งงบเป็นแสนๆ ล้าน รับจำนำนาปรัง-นาปีรอบใหม่อีก ทำเหมือนองค์กร "ทองไม่รู้ร้อน" งั้นแหละ

คลังเข้าสู่ขั้น "ตูดขาด" แล้ว

ธ.ก.ส.รอมร่อ...ร่อแร่แล้ว

ป.ป.ช.กลับหยิบเรื่องพลเอกเสถียร "รวยผิดปกติ" ๖๕ ล้าน ขึ้นมาโชว์ก่อน!?

แต่ที่กำลังฉิบหายขายประเทศ เฉพาะจำนำข้าวเรื่องเดียวปีละ ๓-๔ แสนล้านคาตาจะจะ ป.ป.ช.กลับคล้ายเห็นว่า...นิดหน่อยเท่าหอยเด็ก

"ทิ้งไว้ก่อน...เมื่อไหร่ก็ได้"?

จำนำข้าวปีละ ๓-๔ แสนล้าน แก้น้ำท่วมอีก ๓.๕ แสนล้าน เมกะโปรเจ็กต์อีก ๒ ล้านล้าน อุจจาระซักก้อนเป็นรูปร่างใส่พานให้คนไทยได้ขูดหาหวยยิ่งลักษณ์ก็ยังไม่เห็น เห็นแน่ๆ แต่ "หนี้สาธารณะ" ทับถม

เฉยกันหมดทั้งประเทศ!?

เมื่อ "กลไกรัฐหลับใหล" ปล่อยให้ "บริหาร-นิติบัญญัติ" สมประโยชน์เช่นนี้ ประชาชนจะพึ่งใคร ควรทำอย่างไร หรือปล่อยมันไป

ใครอยากตอบ...เชิญ!


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๖ มี.ค. ๒๕๕๖








"๓.๕ แสนล้าน 'ของมัน' ก้อนแรก"
เปลว สีเงิน


"คอรัปชั่น" น่าจะเกิดคู่คำว่า "ข้าราชการ" และ "นักการเมือง" การขนเงินสดไปฟอกนอกประเทศ ไม่มีเส้นทางไหนปลอดการตรวจค้นเท่าเส้นทาง "พาหนะนักการเมือง" บ้านเราตอนนี้ ชื่อกระฉ่อนติดอันดับโลก ถ้าอยากรู้ นักการเมืองรายไหน "ส่อพฤติกรรม" ก็ไม่ยาก ลองไปตรวจสอบดู แก๊งไหนตั้งบริษัทไว้แถวๆ เกาะเคย์แมน หรือเกาะเวอร์จิน ไอส์แลนด์ ในทะเลแคริบเบียนนั่น...สันนิษฐานได้เลย "มีความน่าจะเป็น" สูงมาก!

หลายวันก่อน Voice Of America เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการคอรัปชั่น ตอนหนึ่งระบุว่า.......

".........หากให้ประเมินว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องสูญเสียเงินไปกับการคอรัปชั่นเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้น คงยากที่จะบอกเป็นตัวเลข ทว่าผลศึกษาจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยล่าสุด สรุปว่า "มากกว่า ๒% ของผลผลิตภายในประเทศ" หรือประมาณ ๑๑,๐๐๐ ล้านเหรียญฯ (๓๓๐,๐๐๐ ล้านบาท) จะต้องสูญเสียให้กับการคอรัปชั่นในปีนี้"

การสำรวจยังระบุด้วยว่า..."ภาคเอกชนยอมรับว่า พวกเขากำลังจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองมากขึ้น เพื่อให้ได้สัญญากับหน่วยงานรัฐ"

ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง กล่าว........

"นักวิเคราะห์หลายคนบอกตรงกัน การใช้จ่ายงบประมาณ ๓.๕ แสนล้านบาท ในแผนป้องกันน้ำท่วม และงบประมาณ ๒.๒ ล้านล้านบาท ในแผนโครงสร้างพื้นฐาน และการใช้จ่ายในโครงการรับจำนำข้าวอีกเกือบ ๑ ล้านล้านบาท กำลังเต็มไปด้วยข้อกล่าวหาทุจริตโกงกิน"

ครับ...ผมก็ยกมาให้ดูกันขำๆ เท่านั้น เอออ...ตอนนี้ (๒๖ ก.พ.๖๕) นายกฯ หญิงของเราจากเกาหลีใต้ไปนอนอยู่ฮ่องกงแล้วกระมัง ฮ่องกงเป็น "ปากประตู" ทั้งเรื่องลับ-เรื่องแจ้ง รอไว้เธอกลับมาคงเจื้อยแจ้วในเรื่องที่เธออยากจะเจื้อยให้ฟังบ้างหรอก ทำนองว่า

"เปล่าพบพี่ชายที่นั่น!"

การไปทั้งเกาหลีใต้และฮ่องกงของเธอ นัยว่าทิ้งปริศนาลึกลับแห่งรอยเท้าให้ค้นหาน่าพิศวง โดยเฉพาะเกาหลีใต้ คงจำกันได้ หลังน้ำท่วมปี ๕๔ เธอไปมาครั้งหนึ่ง ด้วยเรื่องบริหารจัดการน้ำ ภายใต้งบ ๓.๕ แสนล้านนี่แหละ

แต่ไม่ใช่รอยตีนแรกที่ไป หากแต่เป็นการไป "ตามรอยตีนทักษิณ" ที่ไปย่ำในฐานะเซลส์แมนเพื่อไทยไว้ล่วงหน้า น้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้น เป็นทุกข์คนไทย แต่ในสายตาเซลส์แมน "เป็นลาภใหญ่ของนักขาย" คงจำกันได้ ช่วงนั้นทักษิณจะบินเข้าจีนบ้าง เข้าญี่ปุ่นบ้าง เข้าเกาหลีบ้าง

เป็นงานในหน้าที่ "ทักษิณคิด-ยิ่งลักษณ์ทำ" น่ะ!

เงิน ๓.๕ แสนล้าน เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและป้องกันอุทกภัย ๑ ในหลายบริษัทที่สนใจมีทั้ง ไทย ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ แต่จะเห็นชัด บริษัท เค วอเตอร์ ของเกาหลีใต้ เป็นไข่ในหินเป็นพิเศษ ผ่านรอบเสนอกรอบแนวคิดในการออกแบบโครงการก่อสร้างไปสบายๆ

และติด ๑ ใน ๗ บริษัท ที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นเป็นอันดับ ๑ ด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้ เค วอเตอร์ ติด ๑ ใน ๖ ที่ผ่านการคัดเลือกคุณสมบัติรอบสุดท้าย ไปถึงขั้นตอนจัดทำข้อเสนอรายละเอียดด้านราคาและเทคนิค ที่จะชี้ขาดกันในเดือน เมย.นี้แล้ว

โครงการที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) อันมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นประธานมี ๑๐ โมดูล วงเงิน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้ยินนายปลอดประสพบอกว่า ภายใน ๒ สัปดาห์นี้ จะชี้แจง TOR ว่าด้วยการจัดซื้อ-จัดจ้างให้ทั้ง ๖ บริษัททราบ

ทั้ง ๖ บริษัท มีไทย-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ เท่านั้น ชาติฝรั่งมังค่าไม่ติดเลย และที่น่าสังเกต บริษัทจีนไม่ผ่านการคัดเลือกด้วยซ้ำ นายปลอดประสพบอกเหตุผลตรงนี้ว่า "เพราะบริษัทจีนไม่ได้การรับรองจากสถานทูตจีนในไทย"!

๖ บริษัทประกอบด้วย ๑.กลุ่มบริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (K.Water) ๒.กลุ่มบริษัทกิจการค้าร่วมญี่ปุ่น-ไทย ๓.กลุ่มบริษัท ITD-POWORCHINAJV ๔.กลุ่มบริษัทค้าร่วมล็อกซเล่ย์ ๕.กลุ่มบริษัทกิจการร่วมค้าซัมมิท เอสยูที และ ๖.กลุ่มบริษัทกิจการร่วมค้าทีมไทยแลนด์

ที่ผมเท้าความซะยาว ก็เพื่อยกให้เห็นเป็นข้อสังเกตว่า ยิ่งลักษณ์ไปร่วมแสดงความยินดีกับการขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่ของประธานาธิบดีหญิงเกาหลีใต้ นั่นก็ไม่มีปัญหา จะไปคารวะผู้ที่กำลังกลายเป็นอดีตประธานาธิบดี นั่นก็ไม่มีใครว่าอะไร

แต่การยกเรื่อง K Water ที่ยังอยู่ในฐานะ "ผู้ร่วมแข่งขัน" ขึ้นประจี๋ประจ๋อ โทนข่าวที่ออก ทั้งลีลานายกฯ หญิงไทย ยากที่ใครจะไม่สรุปว่า...ไม่ถูกกาลเทศะ รังแต่จะนำไปสู่ข้อครหา K Water มีอะไรกับทักษิณ-ยิ่งลักษณ์

แบบนี้...สอบผ่านตั้งแต่ข้อสอบยังไม่ออกด้วยซ้ำมั้ง!?

K Water เป็นรัฐวิสาหกิจเกาหลี ไม่ใช่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง เป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญ ยื่นแข่งขันด้วยตัวเดียวโด่ๆ ไม่มีพันธมิตรผู้ชำนาญการแต่ละด้านร่วมด้วยเลย เรียกว่ามาแต่ตัวกับหัว ได้งานก็ต้องหาเอาทุกอย่างจากที่อื่นทั้งหมด หาความแน่นอนไม่ได้ว่า...มีแบรออยู่ที่ไหน?

ลงท้ายจะเหมือน "บริษัทเดียวก่อสร้างโรงพัก" สุดท้าย ทิ้งร้างโด่เด่ทั่วประเทศ จะอย่างนั้นหรือเปล่าก็...น่าคิด สมมติว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงตอนนั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ถลกตูดไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้

แล้วจะไปเอาอะไรกับบริษัทตัวเปล่าเล่าเปลือย!?

ก็ฝากให้จับตากันไว้ ที่มือเปล่านำโด่ง จะเป็นเพราะบริษัทเกาหลีมีเทคโนโลยีที่คนอื่นไม่มี เข้าตาทักษิณ-ยิ่งลักษณ์เป็นพิเศษก็เป็นได้ เพราะทั้งพี่-ทั้งน้องเทียวไป-เทียวมาบ่อยมาก และไม่ใช่แค่เรื่องน้ำ เรื่องข้าวก็มีตัวแทนเจ๊ๆ ไปคุยกัน แต่คุยกันได้แค่ไหนผมไม่ทราบ

บริษัทจีนไม่มีทั้งนโยบายและทั้งเทคโนโลยีเหมือนเกาหลี เลยตกคุณสมบัติแต่แรก เทคโนโลยีในการออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำนั้น ได้ยินเขาเรียกกันว่า

เป็นเทคโนโลยีระบบ อันเดอร์ เดอะ เทเบิล อะไรๆ ประมาณนี้!?

ที่น่าสนใจสุด ๆ ตอนน้ำท่วม ไทยไปขอให้ไจกา (องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น) มาช่วยศึกษาและจัดทำร่างแผนการบริหารจัดการอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ล่าสุด (๒๒ ก.พ.๕๖) ไจกาศึกษาแล้ว ก็เสนอ กบอ.ของนายปลอดประสพ

น่าเสียดาย ข่าวดี ๆ อย่างนี้ ไม่ถูกนำเผยแพร่มากนัก มีแต่ไทยพีบีเอสออกเป็นข่าวช่องเดียว ผมว่าสำคัญมาก แต่เป็นความสำคัญที่ "ไม่ถูกใจ" รัฐบาลเอามากๆ เพราะอะไร...ลองฟัง

"แผนสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่รัฐบาลไทยมีแผนจะสร้างถึง ๑๐ โครงการ มูลค่า ๓.๕ แสนล้านบาทนั้น อาจไม่จำเป็นต้องสร้างทุกโครงการ เพราะสามารถใช้มาตรการที่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างทดแทนได้ เช่น สนับสนุนให้ชุมชนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาปรับตัวให้อยู่กับน้ำได้โดยไม่เดือดร้อนเมื่อน้ำท่วม

รัฐบาลไทยควรบริหารจัดการน้ำในเขื่อนใหญ่ ๒ เขื่อนในลุ่มเจ้าพระยา แก้ปัญหาน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นหลัก ร่วมกับการปรับปรุงขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างทางระบายน้ำหรือฟลัดเวย์เพิ่มขึ้นบริเวณอยุธยา และขยายคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริทางฝั่งตะวันออกของ กทม. สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ โดยงบประมาณก่อสร้างจะลดลงได้ถึงร้อยละ ๗๐"

ร้อยละ ๗๐ นั่นแค่แสนล้านก็เหลือแล้ว!

แต่...นายปลอดประสพไม่ต้องการให้เหลือ ยังไงก็จะต้องสร้างครบทั้ง ๑๐ โมดูล ถลุงให้หมดทั้ง ๓.๕ แสนล้าน!

ครับ...ก็คอยดูเขา โครงการ ๓.๕ แสนล้านนี้ รัฐบาลไม่รู้ซักอย่างว่า ต้องทำอะไร-แบบไหน-แค่ไหน-ตรงไหน รู้อยู่อย่างเดียวเรื่องเงิน กูต้องใช้ ๓.๕ แสนล้าน และในความไม่รู้อะไรทั้งสิ้นนั้น

ทะลึ่งจะออก TOR วงเงิน ๓.๕ แสนล้าน!?

ผมบอกได้เลย ๓.๕ แสนล้าน วอดวายแน่ แต่การก่อสร้าง ๑๐ โมดูล ที่หมายมั่นปั้นยัดกันนั้น จะ "ทิ้งร้าง-ทิ้งคา" น้ำมาก็ท่วมทั้งโครงการ-ทั้งคนเหมือนเดิม

ก็จะทำได้ไง...สิ่งแวดล้อมก็ยังไม่ผ่าน ชาวบ้านในพื้นที่ก็ยังไม่ตกลง จะเอาพื้นที่ที่ไหนไปมอบให้เขาตอนลงมือได้ล่ะ...?

แต่ถึงตอนนั้น พวก อี-อ้าย มันสบายไปแล้ว!.


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๖ ก.พ. ๒๕๕๖








"แร้งลงที่ดงขมิ้น"
เปลว สีเงิน


ก็จริงอย่างที่ "นิวยอร์กไทมส์" เขานินทาไว้แหละครับว่า ประเทศไทยมีนายกฯ ๒ คน คนหนึ่งเป็นน้องสาว โชว์สวยอยู่ในประเทศ ส่วนอีกคนเป็นพี่ชาย โชว์ห่วยอยู่นอกประเทศ นายกฯ ท็อปโมเดลไม่ต้องกรี๊ดดด..กรี๊ดดด..ปฏิเสธหรอก การที่ทักษิณสไกป์เข้ามากระตุกโซ่กลางที่ประชุมพรรคเพื่อไทยวานซืน (๑๑ มี.ค.๕๖) มันเหนือคำตอแหลตอหลดตดใต้น้ำของใครทุกคนว่า...หัวหน้าโจรก่อการร้ายไม่ใช่ผู้สั่งการรัฐบาลประเทศไทย!
   
ผมดูรูปการณ์แล้ว เมื่อชัดเจนว่าทุกปฏิบัติการของรัฐบาลล้วนขมวดปมสู่ ๒ เป้าหมาย "เอาเงิน-เอาประเทศแปลงเป็นทุน+กำไร" ให้ระบอบทักษิณ คู่ขนานไปกับเร่งออกกฎหมายล้างโทษให้ทักษิณ แบบนี้....เมษา-สงกรานต์ปีมะเส็ง
   
หนี "สงกรานต์เลือด"...ยาก!
   
๒.๒ ล้านล้าน ต้องเอาให้ได้ แก้รัฐธรรมนูญ กับกฎหมายนิรโทษกรรม ก็ต้องทำให้ได้ เมื่อเป็นประกาศิตทักษิณ "ขีดเส้นตาย" ด้วยอารมณ์ทั้งขู่ ทั้งปลอบ ทั้งตัดพ้อ กับบรรดาสมุนรับใช้เช่นนี้ จึงไม่แปลกที่เช้าวาน (๑๒ มี.ค.) จะเห็นไพร่สถุล แย่งกันเลียมือนายแต่เช้า
   
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ.....
   
"ต้องการให้ฝ่ายค้านเห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งการนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองทุกคน ก็ควรจะรวมไปถึงตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะเคยเป็นผู้นำและหัวหน้าพรรคการเมือง"
   
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์......

"ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าในการนิรโทษกรรม โดยไม่ต้องรอพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากทุกอย่างต้องเร่งแก้ปัญหา เพื่อให้ประเทศลดความขัดแย้ง"
   
มั้ยล่ะ...ตอนแรกอ้าง ที่เร่งออก พ.ร.บ.นิรโทษ เพราะต้องการช่วยคนร่วมชุมนุมทางการเมืองให้พ้นคุก เร่งถึงขนาดออกเป็น พ.ร.บ.ทางสภาฯ ไม่ได้ ก็ให้รัฐบาลใช้อำนาจหักดิบ ออกเป็น พ.ร.ก.ไปเลย
   
พอทักษิณสไกป์มาเบิ๊ดกระบาลเท่านั้นแหละ หางที่ซ่อนไว้โผล่ออกมาทันที คนร่วมชุมนุมที่อ้างยังอยู่ในคุก มันเป็นเพียงข้ออ้างบังหน้าเท่านั้น 
   
คนที่เขาต้องการล้างโทษให้จริง ๆ ก็คือทักษิณคนเดียว ส่วนพวกรากหญ้าที่จ้างบ้าง หลอกบ้างให้มาติดคุกบ้างมันแค่ "ผลพลอยได้" คล้ายโคลนติดตีน เมื่อล้างตีนให้ทักษิณ ก็เท่ากับล้างโคลนไปด้วย เลยอ้างเป็นความจริงใจจากฝ่ายแกนนำที่มีให้ผู้ตามซะเลย  
   
ก็อย่างที่ทักษิณกับพวกแกนนำเขาว่านั่นแหละ ต้องเคลื่อนไหวให้เห็นจริงจังว่า..ช่วยแล้ว..ไม่ได้ทอดทิ้ง ไม่งั้นจะเสียมวลชน หลอกพวกเขามาเป็นทัพหน้าเดนตายจนถูกจับติดคุก ติดตะราง ตัวเองได้ดิบ-ได้ดี เป็นรัฐมนตรีไพร่สถุลบ้าง ได้กินบ้าน-กินเมืองกันอิ่มหมีพีมันบ้าง
   
ก็ต้องแสดงบทบาทตบตาในเรื่องนิรโทษกรรมไปวัน ๆ ให้เห็น ซึ่งจริง ๆ แล้ว "ยังหรอก" พวกชาวบ้านที่เขาหลอกมาติดคุก จะยังต้องติดคุกเพื่อทักษิณต่อไป 
   
ต่อไป...จนกว่าทักษิณใช้อำนาจบริหารผ่านรัฐบาลน้องสาวหุ่นเชิด ควบคุมกระบวนการ ได้ทั้งบ้านทั้งเมือง ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งความสยบยอมสวามิภักดิ์ จากมวลหมู่ข้าราชการ และองค์กรใต้อำนาจรัฐ!
   
ถามว่า...ระยะเวลา "ตามแผน" ของเขาอีกนานไหม? 
   
คำตอบคือ ต้องปิด "ดีลประเทศ" ภายในไตรมาส ๒ นี้ให้ได้ ซึ่งหมายความว่า "เรื่องสำคัญอันดับแรก" กฎหมายเงินกู้ ๒.๒ ล้านล้าน ต้องให้ได้อยู่ในกำมือ ก่อนปิดสมัยประชุมนิติบัญญัติ กลางเมษานี้ เพราะนี่คือ "ต้นน้ำ" ของการแปลงประเทศเป็นธุรกิจสัมปทานผูกขาด
   
ของกู.....!
   
แล้วนางเอกท็อปโมเดล แสดงบทนี้ว่าไง ก็อย่างนี้ไง....
   
"คงต้องขออนุญาตเรียนคำตอบเดิมว่า เรื่องการออกพระราชบัญญัติเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งตอนนี้ทราบว่ามีหลายฉบับ คงต้องให้ทางวิปทั้ง ๓ ฝ่ายไปตกลงกันในรายละเอียดว่าจะอย่างไรต่อไป!"
   
อืมมม...ความจำแม่นดีนี่ เขาให้ท่องไว้ตั้งนานก็ยังไม่ลืม แต่ขอถามหน่อย...ฝ่ายนิติบัญญัติที่ว่านั่น หน้าตามันเป็นยังไง มันแบบที่พี่ชายสไกป์ขู่ ใครหลังยาวคราวหน้าจะไม่ส่งลงเป็นเสาไฟฟ้าให้หมายกขาเยี่ยวรดใช่มั้ย แล้วมันคอตรง คอตั้ง หรือคอหยัก ขออนุญาตเรียนคำตอบหน่อยซิเคอะ?
   
ระหว่างฉายหนังรถไฟมหาสนุกหลอกให้ชาวบ้านเคลิ้ม เพื่อเคลมเอาเงิน ๒.๒ ล้านล้าน รัฐบาลก็ยังมีเรื่องรับจำนำข้าวเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ เป็นออเดิร์ฟ ฤดูกาลจำนำที่แล้ว ร่วม ๕ แสนล้านหายวับไปกับตา แต่อ้างว่าขายจีทูจีได้เงินคืน ธ.ก.ส.ไปราว ๆ ๖ หมื่นล้าน
   
นายบุญทรง ช่วยเปิดเผยประเทศคู่ค้า เปิดเผยจำนวน เปิดเผยราคา และเปิดเผยแอล/ซี ซิว่า เงิน ๖ หมื่นล้านมันเป็นเงินจีทูจีจากไหน ราคาเท่าไหร่ ซื้อขายกันกี่ตัน? 
   
จำนำข้าวเปลือกรอบ ๒ ของปี ๒๕๕๖ มาอีกแล้ว เป็นข้าวนาปรัง เห็นบอกว่ามีประมาณ ๗ ล้านตัน ต้องใช้เงินหมุนเวียนอีกแสนกว่าล้าน ธ.ก.ส.จะเอาเงินที่ไหนมารับจำนำ คำตอบคือ ก็จะเงินของพ่อ-ของแม่ใครที่ไหนล่ะ เงินประชาชนผ่านคำว่า รัฐบาล "กู้เอามาให้ ธ.ก.ส." โดยกระทรวงคลังค้ำประกันนั่นแหละ
   
เดือนก่อนบอกว่า คลังจะไม่ค้ำประกันเงินก้อนใหม่ให้ ธ.ก.ส.อีกแล้ว แล้วนี่...แมวหรือหมาที่ไหนกันล่ะ?
   
นายบุญทรง รมว.พาณิชย์ลอยหน้าพูดวันก่อนว่า "ก็ไม่ได้บอกนี่ว่า รัฐบาลรับจำนำข้าวแล้วจะไม่ขายขาดทุน...."!?
   
เอาก๊ะมันซี...ปีแรกซื้อมาร่วม ๕ แสนล้าน ขายได้เงินแค่ ๖ หมื่น แล้วปีที่สอง จะอีกกี่แสนล้าน ขี้เกียจจำตัวเลข ก็มันขาดทุนทับถมแบบไร้สาระ นอกจากคนกลุ่มหนึ่งพอใจในวันนี้ แต่ทั้งประเทศจะล่มจม กู้ไม่ฟื้นเหมือนอาร์เจนตินาในวันหน้า รวมทั้งชาวนาและเกษตรกรทั่วไปด้วย 
   
ในเมื่อรัฐบาลใช้ "ราคาประชานิยม" ซื้อใจ-ซื้อคะแนน จนติดอก-ติดใจ เมื่อรัฐบาลนี้ฉิบหายตายจาก สังคมชาวไร่-ชาวนา ก็จะอยู่กับความเป็นจริงตามระบบเป็นจริงไม่ได้! 

เพราะไม่มีรัฐบาลไหนหรอก ถ้าซื่อสัตย์กับชาติบ้านเมืองและประชาชนแล้ว เขาจะบริหารแบบผลาญประเทศ ด้วยการเอาเงินภาษี+สร้างหนี้สะสมมาทำประชานิยม "มอมเมาชาวบ้าน" จนระบบสังคม ระบบธุรกิจการค้า ระบบตลาด ระบบเงินออม ระบบก่อร่างสร้างตัว ระบบซื่อสัตย์-ขยันหมั่นเพียร ต้องล่มสลายไปในที่สุด 
   
การบริหารแบบทำลายระบบ ทำลายองค์กร ทำลายสังคม ทำลายคน ด้วยวิธีการ มอมเมา-แบ่งแยก-กัดเซาะ ก่อนครอบงำแล้วยึดครอง ว่าไปแล้ว มันเลวร้ายและน่ากลัวกว่าการล่าอาณานิคมของกลุ่มจักรวรรดินิยม และน่ากลัวกว่าระเบิดปรมาณูลงเสียอีก!
   
เพราะแบบนั้น สูญสลายเพราะถูกทำลายแค่วัตถุ อันเป็นภายนอก แต่แบบมอมเมา-แบ่งแยก-กัดเซาะ มันจะทำลายด้วยละลายจิตวิญญาณอันเป็นภายใน 
   
ชาติไม่สูญ-ประเทศไม่สูญ.....แต่ประชาแห่งความเป็นชาติสูญ!
   
สูญซึ่งจิตวิญญาณอันเป็นฐานรวมเอกลักษณ์ชาติ มีแต่แบบนี้แหละ เป็นแบบล้างชาติที่สามารถ ถอนราก-ถอนโคน "ระบอบ-สถาบัน" ได้ โดยไม่ทันรู้ตัว หรือกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไป ในเมื่อจิตวิญญาณฐานรวม ถูกสลายด้วยสารเสพติดประชานิยมเป็นส่วนใหญ่ไปแล้ว 
   
มันไม่ใช่การดายหญ้า แต่เป็นการ "ขุดหัว-ขุดราก" ที่ฝังในดินให้ "สิ้นเชื้องอก" กันเลยทีเดียว!
   
ที่พูดนี่อาจไม่เห็นภาพ คำไทยมีอยู่ว่า "ถ้าไม่ถึงหาม ก็ไม่ไปโรงพยาบาล" หรือ "สัญชาติคางคก ยางหัวไม่ตกก็ไม่สำนึก" ระวัง....สังคมรากลอยในวันนี้ จะเป็นอย่างนี้ อาร์เจนตินาก็ดี กรีซก็ดี อยู่คนละขั้วโลกกับไทย ส่วนใหญ่หลับตาก็ไม่เห็นภาพ 
   
เลยไม่รู้ฤทธิ์ "ประเทศตายผ่อนส่ง" ด้วยพิษประชานิยม เป็นยังไง?

ด้วยทรัพยากร-ความมั่งคั่ง-เครดิตที่สะสมเป็น "ต้นทุนประเทศ" มันมีมากพอให้อำนาจเลวใช้เป็น "ต้นทุนล้างผลาญประเทศ" ได้ โดยคนไร้สำนึกจะไม่รู้สึกตัวถึงหายนะนั้น เป็นเวลานานกว่า ๑๐-๒๐ ปี 
   
ก็ขอให้ "คนไทยทุกคน" จงโชคดี มีสุขถ้วนหน้ากับ "อนาคตประชานิยม" เถิด.


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๑๓ มี.ค. ๒๕๕๖








การบ้าน 'ประชาชนและผู้บริหาร'
เปลว สีเงิน




ผ่านมา ๑ ปี ของเหตุการณ์ ”ว.๕ ชั้น ๗ โฟร์ซีซั่น” เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นที่ปรึกษาสำคัญของนายกรัฐมนตรี และ เป็นที่มาของ“ก๊วนโฟร์ซีซั่น” ที่ทักษิณ ชินวัตรเริ่มหงุดหงิด

วันศุกร์ ๘ ก.พ.นี้ ครบรอบ ๑ ปี คดีเด็ด “ว.๕ ชั้น ๗ โฟร์ซีซั่น” คดีการเมือง ผสมการมุ้งที่ยุ่งเหยิงอิรุงตุงนังและอื้อฉาวกระฉ่อนมากที่สุด นับแต่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

เรื่องราวปริศนาดำมืดบนโรงแรมหรูกลางกรุงเทพ ที่เกิดขึ้นระหว่างนายกรัฐมนตรีหญิง กับ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ “แสนสิริ” ที่ยังคงลี้ลับจับต้นชนปลายไม่ถูก เป็นข่าวการเมืองที่ผู้คนพูดกันให้แซ่ดทุกเพศทุกวัยกระทั่งเด็กเล็กก็ไม่เว้น และ ผลของความอื้ออึงนี้จึงเกิดวลี ว.๕ ชั้น ๗ โฟร์ซีซั่น ที่เป็นยันต์สักกลางหน้าผากของนายกรัฐมนตรีหญิงไปอย่างช่วยไม่ได้

ผ่านไป ๑ ปี ดูเหมือนว่าคดีนี้ไม่มีความคืบหน้าอะไร แต่ตัวละครทุกตัวบนชั้น ๗ กลับได้ดิบได้ดีทางการเมืองในรัฐบาลของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไปตามๆกัน ทั้ง“กิตติรัตน์ ณ ระนอง “ รองนายกฯและรมว.คลังที่ข่าวว่า ทักษิณชังแต่ยิ่งลักษณ์ชอบ หรือแม้แต่ “เศรษฐา ทวีสิน” ที่กำลังถูกสำนักข่าวอิศราเจาะหีบสมบัติว่าเชื่อมโยงไปถึงเกาะสวรรค์“บริทิช เวอร์จิ้น” ก็เป็นตัวละครเอกของ ว.๕ ชั้น ๗ โฟร์ซีซั่น ที่ผันกายมาเป็นหนึ่งในทีม” ก๊วนโฟร์ซีซั่น ” ที่สื่อมวลชนรายงานตรงกันว่า ที่ปรึกษาคนนี้” เก่ง” และ “สำคัญ” ดุจลมหายใจของนายกหญิงเลยทีเดียว

ผลผลิตที่เห็นชัดของ “ก๊วนโฟร์ซีซั่น” คือ “นพ.ประดิษฐ สินธุวณรงค์” เพื่อนสนิทเศรษฐา และ กิตติรัตน์ ที่กลายมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อไปศึกษา”สำนักข่าวอิศรา” พบว่าคุณหมอเจ้าของ” เด๊กคอร์ มาร์ท “ ในซอยทองหล่อ มีหุ้นทำธุรกิจกับเศรษฐาทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย ไม่ต่างจากสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ที่หุ้นกันพัวพันแม้ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย

เศรษฐา- กิตติรัตน์ และยิ่งลักษณ์ เป็นกลุ่มก๊วนกันมาตั้งแต่ทำมูลนิธิดาวเทียมไทยคม กีฬาฟุตบอลทำให้เขาและเธอมาเจอกัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไรทำให้เธอไปเจอเขาบนชั้น ๗ ในบ่ายสองของวันนั้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นของเพื่อนสนิทก๊วนนี้ เป็นที่มาของฉายา “แก๊งค์โฟร์ซีซั่น”…เธอกับเขาและเราสี่คน …ยิ่งลักษณ์ –เศรษฐา –กิตติรัตน์ และ สุรนันทน์… แก๊งค์การเมืองที่ทรงพลังมากที่สุดในเวลานี้ และ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่สำนักข่าวอิศราเปิดขุมทรีพย์แสนสิริของ “เศรษฐา” ในสัปดาห์ของวันครบรอบ ๑ ปีกรณีโฟร์ซีซั่นพอดีพอดิบ

จะพูดถึงเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในบ่ายสองวันนี้เมื่อปีกลาย (๘ ก.พ ๕๕) ที่รร.โฟร์ซีซั่น ถนนราชดำริ กทม .นายเอกยุทธ อัญชัญบุตร นักธุรกิจระหว่างประเทศ ที่ รู้จักกันดีในฐานะคู่กัดของ พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีนัดพบปะกับเพื่อนนักธุรกิจที่ล๊อบบี้ของโรงแรมหรูแห่งนี้

เขานั่งที่นี่เป็นประจำใช้ที่นี่เป็นที่รับรองแขกเพื่อพูดคุยเจรจาธุรกิจ ที่นั่นในวันนั้นเขาพบนายกรัฐมนตรีหญิงเดินเข้ามาอย่างเงียบและง่ายตอนบ่ายสอง ก่อนกลับออกไปในลักษณาการเหมือนตอนเข้ามาในตอนสี่โมงเย็น

ไล่ๆกันนั้นเขาพบเจ้าพ่อแสนสิริ “เศรษฐา ทวีสิน” ที่หน้าลิฟท์

ก่อนหน้านั้นเขาเห็น”กิตติรัตน์ ณ ระนอง” บนชั้นลอยในงานเปิดโครงการเอสเอ็มอีของธนาคารไทยพาณิชย์ ?

ระหว่างที่คนนั้นเดินมา คนนี้ออกไป เอกยุทธก็ยังนั่งรอแขก – รับแขก และคุยงานต่อไปตามปกติ จนเกืยบๆ 5โมงเย็น เอกยุทธเริ่มชักชวนแขกของเขาให้ออกไปสังสรรค์กันต่อในสวนของโรงแรม แล้วจ่อมอยู่ตรงนั้นด้วยความสำราญ จนเวลาล่วงไปถึงหัวค่ำ

ขณะที่กำลังเพลิดเพลิน ชายผู้มากมิตรและศัตรูพอๆกันก็ล้มครืนอย่างไม่ทันตั้งตัว มารู้สึกอีกทีเมื่อมีชายในชุดซาฟารีกรากเข้ามารัวหมัดใส่เขาไม่ยั้ง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและเอะอะ ทีมการ์ดของเอกยุทธเข้ามาช่วยเหลือจนเกืยบปะทะกันด้วยอาวุธ แต่ในที่สุดเสียงโครมคราม หวีดร้อง ก็หยุดลง ทิ้งไว้แต่โต๊ะ– เก้าอี้ที่ล้มระเนนระนาด ขวด–แก้ว จาน ชาม ช้อน หล่น แตก เกลื่อนกระจายเต็มพื้น และเอกยุทธที่ค่อยๆพยุงกายขึ้น…กรณี ว.๕ ชั้น ๗ โฟร์ซีซั่นเริ่มต้นที่ตรงนี้และนาทีนั้น

เอกยุทธผู้คลั่งแค้นพุ่งไปร้องขอดูกล้องวงจรปิดในโรงแรม ในนั้นเขาเห็นชายในชุดซาฟารี แม้ไม่เห็นหน้าชัดๆ แต่ฟังธงได้เลยว่าเป็นคนของนายใหญ่ ด้วยเคยเห็นสมัยที่เปล่งรัศมีบนเก้าอี้ผู้นำ และเรื่องราวต่างๆถูกเชื่อมโยง

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรที่ร.ร.โฟร์ซีซั่น ขณะที่นายกรัฐมนตรีตรงดิ่งกลับไปเซ็นชื่อออกจากรัฐสภาและบ่ายหน้ากลับไปพักผ่อนที่บ้านพัก ด้านเอกยุทธก็พาหน้าบวมปูดอัพขึ้นเฟส บุ๊ค ส่วนตัวในตอนค่ำ และ เตรียมการเงียบๆคนเดียวเพื่อแถลงข่าวในวันรุ่ง

ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่ห้องบิสสิเนส รูม ร.ร.โฟร์ซีซั่น เอกยุทธปลุกให้คนไทยทั้งโลกตื่นขึ้นมากับข่าว “ว.๕ ชั้น ๗ โฟร์ซีซั่น” ที่แสนอื้อฉาว คละคลุ้งกลิ่นการเมืองผสมการมุ้ง ข่าวนี้ดังเปรี้ยงปร้าง และยังถูกพูดถึงตราบเท่าวันนี้ ขณะที่วลี “ว.๕ ชั้น ๗ โฟร์ซีซั่น” ไม่ต่างจากชนักปักหลังนายกรัฐมนตรีหญิงและ บิ๊กแสนสิริ ที่ตอบไม่ได้ไปไม่เป็น

จากวันนั้นถึงวันนี้ ยังไม่มีใครออกมาตอบชัดๆเลยว่า นายกรัฐมนตรีหญิงทิ้งการประชุมรัฐสภาฯ แต่มาโผล่ที่ ร.ร.โฟร์ซีซั่น โดยออกวิทยุ “ไม่ให้สื่อมวลชนและ เจ้าหน้าที่ ติดตาม (ว.๕) “ นั้นเพราะอะไร มีการงานสำคัญอะไรหนักหนาหรือ ทำไมไม่ไปพบปะหารือกันในห้องประชุมรัฐสภาหรือทำเนียบรัฐบาล เหตุใดต้องปิดลับ และทำไมต้องมาพบภาคเอกชน ทำไมต้องมีเศรษฐา ทวีสิน อีกทั้งนักธูรกิจที่เหลือ ๖-๗ คนที่กิตติรัตน์เอ่ยถึงเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไรกันบ้าง รวมถึงกิตติรัตน์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวบอกว่าอยู่บนชั้น ๗ ด้วย แต่อีกเดี๋ยวปฏิเสธปากสั่นว่าไม่ใช่ …เอาไงกันแน่…เอาอยู่กันไหม…จะเอากันยังไงต่อไป

….ทั้งหมดนี้ไม่มีใครออกมาตอบให้ชัดเจน ไม่ตรงไปตรงมา มีแต่อึกอัก และขอไปที จึงช่วยไม่ได้ที่ผู้คนจะคิดไปในทางอื่นซึ่งหนีไม่พ้นเรื่อง “ชู้สาวคาวสวาท” และ “ทุจริตคอรัปชั่นเชิงนโยบาย”

น่าสงสัยไม่น้อยเลย เพราะ “ว.๕ ชั้น ๗ โฟร์ซีซั่น” ยิ่งอื้อฉาวกระฉ่อนมากเท่าไร นายกรัฐมนตรีหญิงยิ่งนิ่งเฉยปิดปากมากขึ้นเท่านั้น สิ่งเดียวที่เธอทำคือเอกสารเวิ้งว้างชี้แจงไปถึงผู้ตรวจการแผ่นดินแค่ครึ่งหน้า

ขณะที่เศรษฐา ทวีสินไม่ร่วมมือใดๆ จากที่เคยออกมายอมรับสั้นมากว่า “ประชุมกับนายกรัฐมนตรี และ นักธุรกิจอีกหลายคนบนชั้น ๗ ร.ร.โฟร์ซีซั่น แต่ไม่มีเรื่องลับลมคมในทางอื่น มีแต่เรื่องการงานล้วนๆ ”

บัดนี้ผ่านมา ๑ ปี เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นที่ปรึกษาสำคัญของนายกรัฐมนตรี และ เป็นที่มาของ “ก๊วนโฟร์ซีซั่น” ที่ทักษิณ ชินวัตรเริ่มหงุดหงิด ยิ่งวันนี้ที่ “หีบสมบัติ” ของแสนสิริ กับสายสัมพัน์ฉันท์ธุรกิจกับหมอประดิษฐ รมว.สาธารณสุขถูกเปิดดังพลั้วจาก สำนักข่าวอิศราด้วยแล้ว ความว่าทักษิณยิ่งคลั่ง เพราะสำรวจคลังแสนสิริแล้วผิดหูผิดตา…น้ำผึ้งจะขมเสียแล้วก็ไม่รู้ เพราะดูทีพี่ชายเอาจริง แม้น้องสาวจะยืนกรานว่าเอาอยู่ งานนี้มีวัดกันระหว่าง”สายเลือดกับสายสัมพันธ์”

เวลานี้เท่ากับว่านายกรัฐมนตรีนั่งอยู่ท่ามกลาง “พี่ชาย และ เพื่อนชาย” …แสนรัก กับ แสนสิริ…ใครจะรู้ว่า เธออยู่มาถึงวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะ สไกป์แต่เป็นสมอลล์

วันนี้ครบรอบวาระ ๑ ปี คดีโฟร์ซีซั่นก็ยังคงเป็นปริศนาดำมืด เป็นความลับที่ปิดประตูใส่ความจริง เป็นเรื่องร้อนที่รู้จริงกันแค่ “คนรู้จัก” และ “คนรู้ใจ” ส่วนใครเป็นใคร หาคำตอบได้จากนวนิยาย “น้ำเซาะทราย”


จากคอลัมน์ "มิติโลกาภิวัฒน์"
นสพ.ไทยโพสต์ ๑ มี.ค. ๒๕๕๖








"บริหารประเทศ ไม่ใช่ 'เล่นขายของ' นายกฯ ต้องเลิกทำตัวเป็น 'เฟอร์บี้'"
สารส้ม


เริ่มจะนึกออกกันหรือยัง ว่าทำไมทักษิณ ชินวัตร ถึงเลือกเอานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาภารกิจนี้

เพราะเก่งหรือ...

เพราะสวยหรือ...

เพราะเป็นน้องสาวหรือ...

อะไรจะสำคัญเท่ากับความ “ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว” ไม่ตระหนักว่าการกระทำหรือไม่กระทำของตนเองในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศชาตินั้น มันส่งผลกระทบร้ายแรงขนาดไหน?

ภารกิจประเภทว่า ให้มาตัดริบบิ้น ถ่ายรูป ออกงานสวยๆ เฉิดฉาย ลอยตัวอยู่เหนือทุกปัญหา ไม่ต้องอนาทรร้อนใจ ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องสนใจ ใส่ใจ หรือทุ่มเทตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนแท้จริงของประเทศชาติและประชาชน ถ้าเป็นใครที่ใจไม่ด้านพอ คงจะทำไม่ได้แน่ๆ

มันเป็นเวรกรรมของประเทศไทยจริงๆ


๑) ปัญหาค่าครองชีพแพง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ทะยานสูงขึ้น สวนทางกับโพยหาเสียงที่นางสาวยิ่งลักษณ์เคยอ่านบนเวทีราชมังคลากีฬาสถานฯ “จะกระชากค่าครองชีพลงมา...”

ถึงวันนี้ ถ้าเป็นนักการเมืองที่มีสำนึกความละอายเหลืออยู่บ้าง ส่องกระจกทีไร ก็คงละอายแก่ใจตนเอง


๒) ราคาพลังงานทะยานขึ้นต่อเนื่อง ตรงกันข้ามกับที่นางสาวยิ่งลักษณ์เคยอ่านโพยหาเสียงบนเวทีราชมังคลากีฬาสถานฯ “จะยุบเลิกกองทุนน้ำมัน... จะลดราคาน้ำมัน...”

ถึงวันนี้ ราคาน้ำมันแพงกว่าช่วงที่หาเสียงเลือกตั้ง แล้วกองทุนน้ำมันก็ยังอยู่ ซ้ำร้าย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สูงกว่ารัฐบาลที่แล้วเสียอีก

พูดง่าย ๆ คือ นอกจากจะโกหกแล้ว ยังทำตรงกันข้าม ร้ายแรงกว่าเดิมอีกต่างหาก

ถ้าเป็นนักการเมืองประเทศที่มีสำนึกรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง ป่านนี้อาจจะฮาราคีรีตัวเอง หรือกระโดดหน้าผาตายไปแล้วก็ได้


๓) ปัญหาไฟใต้ลุกโชน แต่นายกฯ ยังระริกระรี้

ครั้งที่มีระเบิดโรงแรมซีเอส นายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังร้องคาราโอเกะต่อไป สุขกันเถอะเรา

ครู-ทหาร ถูกฆ่าตายราวผักปลา ชาวบ้านมีชีวิตอย่างหวาดผวา นายกฯ ยังคงลอยหน้าลอยตา ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

ล่าสุด เกิดเหตุระเบิดเพลิงทั่วเมืองปัตตานี อส.ตาย ประชาชนเจ็บระนาว นายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังเดินช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ หาเสียงต่อไปที่ห้างพารากอน

ถึงวันนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังไม่สามารถทำให้รัฐมนตรีที่ตนมอบหมายให้ดูแลแก้ปัญหาไฟใต้ยอมก้าวเท้าลงไปกำกับการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ร่วมทุกร่วมสุขกับประชาชนได้เลยด้วยซ้ำ

ชาวบ้านในพื้นที่ภาคใต้เหมือนถูกลอยแพ แต่นายกฯ ลอยตัว “ปูกรรเชียง” ต่อไป

เพราะตัวนางสาวยิ่งลักษณ์เองกลับไปเดินสายเปิดงาน แต่งชุดสวย ฟ้อนรำอยู่จังหวัดนครพนม


๔) โครงการรับจำนำข้าว โกงกินไร้รอยต่อ ถลุงเงินกว่า ๕๖o,ooo ล้านบาท ชาวนาขายไม่ได้ ๑๕,ooo เหมือนราคาคุย แถมผลประโยชน์ไปถึงมือชาวนาจริงๆ ไม่ถึง ๓o% ของเงินที่ถลุงไป

ที่เหลือตกเข้ากระเป๋าโรงสี คนใกล้ชิดนักการเมือง นักธุรกิจค้าข้าวที่มีเส้นสายซื้อขายข้าวจากโกดังของรัฐ

ถ้าไม่รับจำนำข้าว แต่ใช้วิธีให้ชาวนาขายข้าวตามปกติ สมมติได้ราคาต่ำกว่า ๑๕,ooo บาทเท่าใดก็ให้ไปเอาเงินส่วนต่างจากรัฐบาล วิธีนี้จะใช้เงินน้อยกว่า เสียหายน้อยกว่า โดยที่ชาวนาได้ผลประโยชน์มากกว่า ทั้งจำนวนเงินและจำนวนคน

นักวิชาการ นักวิจัย นักเศรษฐศาสตร์ ป.ป.ช. ส.ว. ส.ส.ฝ่ายค้าน สื่อสารมวลชน ฯลฯ ประสานเสียงกันว่า วิธีการรับจำนำข้าวทำให้มีการรั่วไหลมากกว่า โกงมากกว่า เสียหายมากกว่า แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังไม่ยอมเลิก เพราะมีผลประโยชน์ค้ำคอ ใช่ไหม?

คนเป็นนายกฯ จะอับจนปัญญาถึงขนาดคิดไม่ได้เลยเชียวหรือ?

ถามจริง ๆ... นายกฯ คิดอะไรบ้างหรือเปล่า?

จะรับผิดชอบอะไรบ้างไหม?

หรือจะทำตัวเหมือน “เฟอร์บี้” คอยส่งเสียงไร้สาระไปวัน ๆ คิดอ่าน ตัดสินใจเองไม่เป็น

ล่าสุด นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย และกรรมการติดตามตรวจสอบกรณีเกษตรกรเข้าโครงการรับจำข้าวเกิน ๕ แสนบาทต่อครัวเรือน ออกมาประจานว่า คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เลื่อนประชุมไป ๓-๔ ครั้งแล้ว

อ้างว่า นายกฯ มีภารกิจอื่น ทั้ง ๆ ที่ เวลานี้ การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวมีปัญหามากมาย ชาวนาไม่ได้เงิน ข้าวไม่มีที่เก็บ ข้าวเน่าคาโกดัง ฯลฯ

การระบายข้าวก็ไม่เข้าเป้า ไม่สมราคาคุย กระทบสภาพคล่อง กระทั่งว่าจะต้องไปบีบคอเอาเงิน ธกส.มาใช้ในโครงการเพิ่มอีก ๖o,ooo ล้านบาท รวมเป็นเงินที่เอามาจาก ธกส.ในการรับจำน้าวนาปรัง ๑๕o,ooo ล้านบาท

ถ้าเป็นนักการเมืองที่มีความตระหนักต่อหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะนายกรัฐมนตรี ป่านนี้อาจจะเอาหัวซุกกองข้าวเน่าตายไปแล้วก็ได้


๕) ยังไม่ต้องพูดถึงนโยบายกู้เงิน ๓๕o,ooo ล้านบาท อ้างโครงการแก้ปัญหาน้ำ แบ่งเค้ก โดยมีเอกชนประเภท “นอนมา” ผ่านเข้าประมูลได้ทุกโครงการอยู่ ๒ รายใหญ่

ไหนจะความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะกู้เงิน ๒,๒oo,ooo ล้านบาท เอามาทำโครงการขนาดใหญ่ครั้งมหึมา

เงินก้อนนี้ เกือบๆ จะเท่ากับงบประมาณแผ่นดินทั้งปี

ยอดหนี้สาธารณะจะยิ่งพุ่งกระฉุด สวนทางกับคำหาเสียงที่นางสาวยิ่งลักษณ์เคยบอกว่าจะล้างหนี้!

ถึงวันนี้ เมื่อดูจากพฤติกรรม ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความสามารถของผู้บริหารประเทศแล้ว ถามจริงๆ ว่า คนไทยยังไว้วางใจให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลอยหน้าลอยตาและลอยตัว บริหารประเทศแบบเล่นขายของ ทำตัวเป็นพริตตี้ประจำรัฐบาล ต่อไปอีกหรือ?


จากคอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส"
นสพ.แนวหน้า ๑๙ ก.พ. ๒๕๕๖








"ไม่อยากจะเชื่อ"
รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา


การบริหารบ้านเมืองของเรานั้น เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ การตัดสินใจว่าควรจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไรนั้น จะต้องเกิดจากการทำงานของคนที่มีความรู้ มีสติปัญญาความสามารถในระดับสูง เพราะไม่ว่าจะเป็นการประกาศนโยบาย ออกโครงการ วางยุทธศาสตร์ หรือแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบคนหมู่มาก หลายกลุ่มหลายภาคส่วนที่มีความต้องการมีปัญหา และมีโอกาสแตกต่างกันไป คนที่โฉดเขลาเบาปัญญา ไม่มีความรู้ ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่สามารถประมวลข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์อันแยบยล ไม่มีตรรกะ ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นเหตุและผลต่อกัน ไม่สามารถคิดเชิงระบบ ไม่สามารถคิดเชิงยุทธ์ได้ ไม่สมควรที่จะมาบริหารประเทศ เพราะหากใช้ความอับปัญญาในการบริหารประเทศ ก็จะตัดสินผิด คิดไม่เข้าท่า แสดงถึงความด้อยปัญญา เห็นได้ชัดจากวาจาที่ชอบพูดความเก่งกับสื่อมวลชน เพียงแค่ตนเองเป็นคนมีตำแหน่ง มีอำนาจ นึกว่าข้าแน่เต็มประดา แต่ที่พูดออกมานั้น มันคือการเปิดเผยขี้เท่อให้คนรู้ จนคนที่เขามีสติปัญญาเริ่มเครียดหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งห่วงว่าประเทศไทยจะมีอันเป็นไปในวันใด หรือบางครั้งก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า คนไทยทำเวรทำกรรมอะไร ที่ทำให้มีบาปมหันต์ติดตัว จนต้องมาอยู่ภายใต้การบริหารของคนบางคนที่ไร้ความสามารถ ไร้จริยธรรม ไร้ตรรกะขนาดนี้ และเมื่อใดพวกเราจะพ้นบาปกรรมนั้นกันเสียที

พยายามคิดหลายแง่หลายมุม หลายครั้งหลายครา ว่า ทำไมเราจะต้องเยียวยาคนที่เป็นโจรที่ตั้งใจมาทำร้ายทหาร แต่แผนงานผิดพลาด ทำให้โดนฆ่าตาย ถ้าหากแผนงานไม่ผิดพลาด ทหารในค่ายที่โจรพวกนั้นบุกเข้ามาคงตายกันหมด ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าหากเหตุการณ์กลับกัน แทนที่จะเป็นโจรตาย แต่เป็นทหารตาย คนที่เขามีอำนาจจะตัดสินใจว่าจะเยียวยาทหารเหล่านั้นอย่างรวดเร็วอย่างที่เขาคิดจะเยียวยาโจรที่ถูกทหารยิงตายหรือไม่ ข้อนี้เรายังสงสัย เพราะเราก็ได้ยินมาว่าผู้มีอำนาจคนหนึ่งเขาบอกว่าทหารตายก็เป็นเหมือนชีวิตประจำวัน เฮ้อ ช่างคิดได้นะ แล้วก็ช่างกล้าที่จะพูดออกมา ไม่มีสติปัญญาพอที่จะเข้าใจว่าการพูดเช่นนั้น เป็นการมองไม่เห็นคุณค่าชีวิตของทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ

เมื่อได้ยินผู้มีอำนาจที่ประกาศว่าตนเองเป็นผู้ทรงภูมิ เรียนมาสูง ตอบกระทู้ในสภาว่า ผู้บริหารระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เป็นผู้เซ็นอนุมัติเรื่องการสร้างโรงพัก ก็เซ็นไปอย่างนั้น ตามหน้าที่ เขาไม่รู้อะไรหรอก เขาคิดอย่างนี้จริงๆ หรือว่าเขาเพียงแถข้าง ๆ คู ๆ เพื่อเถียงให้ชนะ (ซึ่งมันไม่ชนะ) แล้วถ้าหากเขาคิดอย่างนี้จริง ๆ แล้วข้าราชการระดับสูงในหน่วยงานราชการอีกหลาย ๆ หน่วยงาน เขาเป็นกันอย่างนี้จริงหรือเปล่า เขาเซ็นอนุมัติเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปตามหน้าที่ เป็นการทำงานรายวันที่ไม่จำเป็นต้องรู้อะไร ลูกน้องส่งหนังสืออะไรขึ้นมาให้เซ็นก็เซ็นไป ไม่ต้องอ่านไม่ต้องพิจารณา ถ้าหากการเป็นผู้มีอำนาจมีตำแหน่งสูงในวงการข้าราชการไทยทำกันอย่างนี้แล้ว เราจะต้องมองหาคนเก่ง คนที่มีความรู้ความสามารถไปทำไมกัน คนไหนนายรักนายชอบ คนไหนสอพลอยกยอปอปั้นเจ้านาย เขี้ยวลากดินลิ้นกระดาษทราย ก็เอาตำแหน่งไปเลย เพราะการเซ็นอนุมัติอะไร ไม่ต้องรู้ก็เซ็นได้

แปลกใจมาก เมื่อฝ่ายค้านนำเอาข้าวเน่ามาแฉกลางสภา แทนที่ผู้มีอำนาจรับผิดชอบเรื่องการรับจำนำข้าว จะไม่พอใจกับปัญหาข้าวเน่า กลับไม่พอใจคนที่เอาเรื่องข้าวเน่ามาแฉในสภา แล้วก็จะยัดเยียดข้อกล่าวหาขโมยข้าวอีกด้วย ช่างคิด ช่างหามุมมองในการแก้ปัญหาที่ตนเองต้องเผชิญได้เป็นเลิศ แล้วเรื่องที่ข้าวที่เก็บไว้เน่าไปแล้ว จะอธิบายให้ประชาชนเข้าใจอย่างไร จะวางแนวแก้ไขอย่างไร อันที่จริงแล้ว การแก้ไขเรื่องข้าวเน่าน่าจะสำคัญกว่าการแจ้งจับคนที่เอาข้าวเน่ามาแฉกลางสภานะ เพราะถ้าหากไม่รีบแก้ ข้าวที่รับจำนำไว้จะเสียหายเป็นจำนวนมาก ลำพังไม่มีข้าวเสียหาย โครงการรับจำนำข้าวก็ส่อเค้าว่าเราจะเสียหายไม่น้อย นักเศรษฐศาสตร์ระดับชั้นนำทั้งในและต่างประเทศต่างก็วิเคราะห์ว่า โครงการนี้เป็นอันตรายสำหรับประเทศไทย ส่อเค้าว่าประเทศไทยจะต้องขาดทุนจากโครงการนี้เป็นหมื่นเป็นแสนล้าน คนที่เขาพูดนั้น เขาไม่ได้พูดลอยๆ เขาไม่ได้พูดด้วยอคติที่มีต่อรัฐบาล แต่เขาใช้ตัวเลขมีวิเคราะห์ มีเป็นหลักฐาน มาเป็นข้อพิสูจน์ ผู้มีอำนาจทั้งหลายก็ไม่นำพา เล่นบทหูหนวกตาบอด ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน จนเราไม่แน่ใจว่า เขาโง่ที่คิดไม่ออก เขาอวดดื้อถือดีไม่ฟังใคร หรือว่าเขาได้ผลประโยชน์อะไร มากแค่ไหน จึงตัดสินใจเดินหน้าต่อไป ไม่ให้ความสำคัญกับข้อท้วงติงทั้งหลาย มิใยใครจะขอรายละเอียดเรื่องการขายข้าวแบบ G to G ก็ไม่ยอมที่จะเปิดเผย อ้างเป็นความลับ จนหลายคนฉงนว่าการขายข้าวเป็นความลับพอๆ กับการซื้ออาวุธหรืออย่างไร ทำไมจึงเปิดเผยไม่ได้ หรือว่าจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรจะเอาออกมาเปิดเผย

สิ่งที่ตกใจและไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง ก็คือเมื่อผู้อำนาจที่อวดอ้างการเป็นผู้มีความรู้เพราะเรียนสูง พยายามจะแสดงว่าตนเองเป็นคนเก่ง เป็นคนแน่มาก ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเปิดเผยว่า จะมีผู้ก่อการร้ายก่อเหตุวินาศกรรมสถานทูตอเมริกันในเชียงใหม่ ไม่เข้าใจจริง ๆ เรื่องอย่างนี้เขาให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนกันด้วยหรือ จะอ้างสื่อมาถามจึงต้องเปิดเผย เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นหรือ ถ้าหากคิดเป็น มีสติปัญญามากพอให้สมกับตำแหน่งที่ดำรงอยู่ ก็น่าจะมีวิธีเลี่ยงที่จะตอบ เหมือนกับเป็นการตอกย้ำว่าอันตรายดังกล่าวนั้นมีอยู่จริงในพื้นที่เชียงใหม่ เราไม่ได้บอกให้โกหก แต่เราเชื่อว่าจะต้องมีวิธีพูดที่ไม่โกหก แต่ต้องไม่ยืนยันเรื่องที่อันตรายที่จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และมีผล กระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของเชียงใหม่ ดูเหมือนจะภูมิใจในความเก่งผิดที่ผิดเรื่องผิดจังหวะนะ ลองคิดใหม่อีกทีว่าเรื่องอย่างนี้คนเขาเปิดเผยรายละเอียดกับสื่อกันหรือไม่ ทางสหรัฐเองเขายังไม่พูดอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นกับสื่อมวลชนหรือในพื้นที่อินเทอร์เน็ต ที่เขาเงียบไม่พูดอะไร ก็เพราะเขามีสิตปัญญาความสามารถที่จะคิดเชิงวิเคราะห์และเชิงยุทธ์เป็น จึงรู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด และเขาไม่มีความจำเป็นต้องอวดความเก่งกับใคร

ยังไม่หมดหรอกนะ เรื่องที่ไม่น่าเชื่อสำหรับการบริหารบ้านเมืองไทยในยามนี้ แต่หากพูดไปทั้งหมด ทั้งคนเขียนและคนอ่านอาจจะเครียดตายด้วยกันทั้งสองข้าง ยามนี้ทำอะไรไม่ได้ ต้องทำใจอย่างเดียวเท่านั้น จึงพอจะอยู่ต่อไปเห็นวันฟ้าสางได้.


จากคอลัมน์ "คิดเหนือกระแส"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๖








"รัฐมนตรีโวหาร รัฐบาลจำอวด"
สารส้ม


เที่ยวไปชี้หน้าด่าคนอื่นว่าชอบประดิษฐ์โวหาร... ทั้ง ๆ ที่ “ระบอบทักษิณ”พรรคพวกตัวเองนั่นแหละ ที่หากินกับโวหารและการประดิษฐ์วาทกรรมมากที่สุด!

ไล่ตั้งแต่ตัวพ่อ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อกระทำผิดกฎหมาย ก็ประดิษฐ์ข้ออ้าง “บกพร่องโดยสุจริต”-“รวยแล้วไม่โกง”-“ศาลยุติความเป็นธรรม” ฯลฯ

เฉลิม อยู่บำรุง ขี้ข้าทักษิณอีกคน ก็บอกว่า “ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม”

แดงทั้งขบวนการก็สร้างวาทกรรม “ฆาตกร ๙๑ ศพ” โดยนับเอาการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงรวมอยู่ด้วย

โดยเฉพาะเจ้าของวาทะ “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง”ผู้ใช้วาทะ โต้วาที ปราศรัยปลุกระดมคนเสื้อแดง กระทั่งเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง บุกปล้นสะดมขโมยทรัพย์สินในห้างหรู กลบเกลื่อนด้วยวาทกรรม “ตกใจ”

นั่นคือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

๑) นายณัฐวุฒิเคยตีฝีปาก อวดโวหาร รับปากกับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา คุยโวว่า “จะทำให้ราคายางพาราถีบตัวสูงกว่า ๑๒o บาทต่อกิโลกรัม และจะมีมาตรการระยะยาวต่อไป”

ทั้ง ๆ ที่ เมื่อปี ๒๕๕๒-๕๓ เกษตรกรเคยขายยางได้กิโลกรัมละ ๑๘o บาท

ในที่สุด เมื่อล้มเหลว ถลุงเงินแผ่นดินไปหลายหมื่นล้านบาทแต่ราคายางยังต่ำเตี้ย

นายณัฐวุฒิออกมาพลิกลิ้นแก้ตัวว่า “ตัวเลข ๑๒o บาท เป็นเพียงตัวเลขนำร่อง”

๒) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปราศรัยหาเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ณ สนามราชมังคลาฯ เมื่อวันที่ ๑ ก.ค. ๒๕๕๔

ประกาศสัญญาประชาคมว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่กู้มาสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง บอกว่า

“...จะมีรถไฟความเร็วสูงไปทั่วทุกมุมเมือง จะมีรถไฟรางคู่ไปทุกมุมเมือง พรรคประชาธิปัตย์บอกเราโกหกเพราะจะหาตังค์มาจากไหน ประเทศไทยไม่มีตังค์ทำไม่ได้ พี่น้องที่เคารพ ไปบอกนายอภิสิทธิ์ด้วยว่าถ้าเราโง่เท่าคุณ เราไม่เสนอตัวเป็นรัฐบาลหรอกแต่นี่เรามั่นใจว่า เราทำได้พี่น้องที่เคารพครับพรรคเพื่อไทยไม่ต้องกู้เงิน แต่หมุนเงินเป็นไม่ต้องยืมใครแต่ใช้เงินในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

วันนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์เตรียมกู้ ๒.๒ ล้านล้านบาท เพื่อมาทำโครงการรถไฟความเร็วสูงและโครงการขนาดใหญ่มหึมาอื่น ๆ แบบลืมอาย ลืมไปว่าจะใช้เงินในอากาศ

รัฐบาลเพื่อไทยกลายเป็นรัฐบาลที่อภิมหาโคตรกู้

การใช้โวหารวาทะ “ไม่กู้” แต่ “ใช้เงินในอนาคต” – “หมุนเงินเป็น” หลอกคนที่มีความรู้ไม่ได้ ถึงวันนี้คงหลอกได้แค่ตัวเองและคนที่ยอมตนเป็นขี้ข้าทักษิณ

๓) ล่าสุด... ไม่แปลกใจที่คนอย่างนายณัฐวุฒิจะใช้สติปัญญาที่ตนคิดว่าเต็มเปี่ยมบริบูรณ์

กลั่นสมองในฐานะรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ผลิตไปไอเดียที่จะแก้ปัญหาของร้านโชห่วย

ก่อนประกาศว่า จะเปลี่ยนชื่อ “โชห่วย” มาเป็น “โชว์สวย”

อ้างว่า คนปัจจุบันไม่ทราบแล้วว่าโชห่วยมีความหมายอย่างไร การเรียกแบบนี้ทำให้คนเข้าใจว่าเป็นร้านที่จัดโชว์สินค้าห่วย ไม่มีความสวยงาม

นี่คือผลงานรัฐมนตรี “โชว์ห่วย(แตก)” ของแท้

ปัญหาของร้านค้าโชห่วยมิได้อยู่ที่ชื่อเรียกขาน คือความเข้าใจของคนที่เกิดจากชื่อเลย

ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของร้านโชห่วย หลักๆ มาจากต้นทุนสินค้า ค่าโสหุ้ย รวมถึงการจัดการที่สู้กับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ไม่ได้

ไม่ใช่เพราะชื่อมีคำว่า “ห่วย”

จะเอาเงินภาษีแผ่นดินไปโฆษณา สร้างภาพ สร้างชื่อใหม่ เปลี่ยนชื่อใหม่ เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีซะจะดีกว่า

วิธีคิดที่นำมาซึ่งคำตอบแบบของนายณัฐวุฒิ คือ วิธีคิดของพวกโต้วาที

คิดเป็นแต่จะเอาชนะด้วยคำพูด วาทะ และโวหาร

ลาออกจากรัฐมนตรี กลับไปเป็นเล่นสภาโจ๊กเถอะไป๊

๔) การใช้วิธีคิดและสติปัญญาเยี่ยงนายณัฐวุฒิ ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์มุ่งแต่จะสร้าง “วาทกรรม” – “โวหาร” – “ตีฝีปาก”กลายเป็น “ดีแต่พูด” และ “ดีแต่โม้” ของแท้!

รับซื้อข้าวราคาแพงกว่าตลาด เรียกว่า “จำนำข้าว”

ใครประจานเผาบ้านเผาเมือง อ้างว่า “มุขเก่า”

ล้างผิดคนโกง เรียกว่า “ปรองดอง”

กาสิโน ก็จะเรียกว่า “เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์”

หนี้ท่วมประเทศ ก็คงจะเรียกว่า “เครดิตดี” ฯลฯ

รัฐมนตรีโวหารคู่กับรัฐบาลจำอวด... น่าหัวร่อ น่าสมเพช

แทนที่จะแก้ปัญหา กลับเน้นการแก้ตัว แก้เกี้ยว และแก้แค้น

แทนที่จะสร้างผลงาน กลับประดิษฐ์วาทกรรม

และแทนที่จะใช้สมองและสองมือทุ่มเททำงาน กลับใช้การกระดกลิ้นและน้ำลายเป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน!


จากคอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส"
นสพ.แนวหน้า ๑๑ มี.ค. ๒๕๕๖



บีจีและไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor





Create Date : 13 มีนาคม 2556
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 20:30:26 น. 0 comments
Counter : 2309 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.