happy memories
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
12 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
ปัญหาภาคใต้ (๔)





"ข้อเสนอดับไฟใต้ ของเก่า-เล่าใหม่"


ของเก่า : มีนักวิชาการด้านเมืองใต้
ซึ่งได้ให้ความเห็นเป็นคุณค่า
นักปกครอง-นักการเมืองเฟื่องวาจา
น่าพินิพิจารณาไตร่ตรอง


อาจารย์พีรยศ ราฮิมมูลา
เสนอห้าปัญหาควรสอดส่อง
หนึ่ง ผู้ใหญ่ทั้งหลายฝ่ายปกครอง
ต้องมานั่งกลั่นกรองต่อหน้ากัน


สอง อำนาจในพื้นที่ต้องมีดุล
เพราะให้คุณให้โทษโหดมหันต์
อย่าให้ฝ่ายหนึ่งใดได้เหนือชั้น
ตำรวจนั้นควรอยู่ในใจประชา


สาม การแก้ปัญหาต้องต่อเนื่อง
อย่าเหมือนเรื่องไฟไหม้ฟาง-สร้างปัญหา
ใช่คิดปุ๊บยุบปั๊บฉับพริบตา
เกิดสุญญากาศได้จึ่งร้ายแรง


สี่ งบประมาณการแก้ไขปัญหา
ต้องแบ่งสรรกันทั่วหน้าทั่วทุกแห่ง
หน่วยจำเป็นเช่น “ข่าวกรอง” ต้องสำแดง
อย่าให้เกิดเคลือบแคลงกันและกัน


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การมวลชน”
ต้องถึงลูกถึงคนเข้ม-แข็งขัน
ราชการอย่าเมินความสำคัญ
เรื่อง “มวลชนสัมพันธ์” ต้องใส่ใจ


ห้า ข้าราชการด้านปกครอง
โปรดไตร่ตรองหากจะส่งลงไปใต้
ต้องเชื่อมั่นเป็น “คนดี” มีวินัย
อย่าส่งไปเป็น “ลงโทษ” ข้าราชการ


ยิ่งคนที่ชอบอำนาจใช้บาตรใหญ่
เหมือนส่งไปให้ประชาถูกประหาร
ต้องคัดเลือกคน “มีใจ” ไปทำงาน
เพื่อก่อสานแก้ไขให้สังคม


อีกควรมี “ศูนย์วิเคราะห์” จำเพาะใต้
จากสามฝ่ายคนในให้เหมาะสม
“ฝ่ายปกครอง” “ตำรวจ-ทหาร” สานความคม
อีกระดมปัญญา “นักวิชาการ”


ทุกข้อมูลรวมศูนย์มาวิเคราะห์
วิพากษ์เจาะปัญหามาทุกด้าน
แล้วมอบให้คนในรัฐบาล
พูด-สั่งงานเป็นกระแสแควเดียวกัน


“สยามปริทรรศน์ โดย คำทอง อินทุวงศ์ – สยามรัฐ- มิย.2545
นสพ.แนวหน้า ๒o มกราคม ๒๕๕๖




บล็อกปัญหาภาคใต้ (๑)
บล็อกปัญหาภาคใต้ (๒)
บล็อกปัญหาภาคใต้ (๓)


"สันติภาพกับ 'กองโจรไม่ทราบฝ่าย"
เปลว สีเงิน


ประเดิม "เดือนมีนา" กันด้วยเรื่องอะไรดีล่ะ เดี๋ยว...ขอบอกก่อน เดือนมีนาจะเป็นเดือน "ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่" แต่พอตกปลายเดือน "ลำไม้ไผ่จะกลายเป็นหอก" เตรียมตัวกันไว้เหอะ เมื่อวาน ผมอ่าน "มติชน ออนไลน์" เขาเอาคอลัมน์ "ลับพอสมควร" จากหน้า ๓ ข่าวสดมาลงต่อ แค่เห็นชื่อเรื่อง "ปู-ท้าสู้แดด" ผมก็โดดใส่แล้ว เรื่องอย่างนี้ผมล่ะช่ำชองนัก ช่ำชองในวิธีจนเขาขนานนามผมว่า "กูรู-สูตรสู้แดด"

ฉะนั้น วันนี้ ๑ มีนาคม ๒๕๕๖ "หน้าลมว่าว" คุยกันด้วยเรื่องเบาๆ จะเข้าฤดูกาลมากกว่า แต่ก่อนจะเบา เกริ่นที่มันหนักๆ ชนิดท้องไส้ผูกซักเรื่องก่อน

นายกฯ ปูส่งเลขาฯ สมช.เป็นทัพหน้า ไปเจรจาสันติภาพกับตัวแทน "ขบวนการแบ่งแยกดินแดน BRN" ที่มาเลย์ แล้วตัวเองเป็นทัพหลังตามไปสมทบวานนี้ (๒๘ ก.พ.๕๖) แต่ทำเก๋ไก๋ไฉเฉตอนเช้าว่า

ไปด้วยเหตุ "คนละเรื่องเดียวกัน"!?

ก็เป็นลีลาของ "ปู-สู้แดด" เขา เรื่องนี้มันจะเป็น "สันติภาพ ๓ นาที" หรือจะเป็นสันติภาพ "ลับ-ลวง-พราง" ของรัฐบาล เร็วเกินไปที่ผมจะออกความเห็นไปทางใด-ทางหนึ่งได้ขณะนี้

เพราะผม ไม่รู้แผน-ไม่รู้เจตนา-ไม่รู้เนื้อหา ที่รัฐบาลและทหารเขาใช้เป็นกรอบและตั้งเป็นธงในการไปพูดคุยหาจุดสันติภาพกับกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวเป็น หัวหน้า-หัวนำ โจรป่วนเมือง ๓ จังหวัดใต้เลย?

และทั้งไม่รู้ด้วยว่า ที่ไปจับไม้จับมือกับกลุ่มบุคคล อ้างว่าเป็นตัวแทนหัวหน้าขบวนการแบ่งแยกดินแดน BRN แล้วแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งออกโทรทัศน์ เป็นสัญญา-สัญญาณว่า ประตูสันติภาพใน ๓ จังหวัดใต้เริ่มขึ้นแล้ว นั้น

เป็นการ "ลดระดับรัฐบาล" แล้ว "ยกระดับโจร" ที่วันนี้ถึงยุคโจรเป็นผู้แต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ-ผู้ว่าฯ กันแล้ว อย่างนั้นหรือไม่...

และวันนี้-วันพรุ่ง จะมีใครอีกมั้ย...โผล่ออกมาอ้างตัวเป็นรายต่อไปว่า...ผมนี่แหละหัวหน้าโจรแท้ ที่ออกโทรทัศน์ช่อง ๓ ก็ดี ที่ไปจับไม้-จับมือกันที่มาเลย์ก็ดี...นั่นโจรเทียม

จัดฉาก "ชิงพื้นที่ข่าว...แหกตาประชาชน!?"

แต่ถ้าต่อจากนี้ ไม่มีเสียงบึ้ม ไม่มีการฆ่าครู ฆ่านักเรียน ฆ่าชาวบ้าน ฆ่าทหาร ฆ่าพระ ใน ๓ จังหวัดใต้ให้เห็นซักเดือน ก็พอจะเชื่อได้ว่า ที่รัฐบาลไทยกับโจรแบ่งแยกดินแดน BRN (ตามที่เขาอ้าง) นั่งโต๊ะเจรจาแสวงหาสันติภาพกันนั้น.....

"มาถูกทางแล้ว"!

ถึงตอนนั้น จับปู-สู้แดดแห่รอบ ยะลา-นราธิวาส-ปัตตานี ให้ชาวบ้านเลือกที่ปิดทองเอาตามถนัด นั่นก็ยังไม่สาย!!

เอ้า...ก็ฟังนายกฯ ยิ่งลักษณ์แถลงด้วยเรื่องเดียวกันแล้วตอนเย็น (๒๘ ก.พ.) ที่มาเลย์ ก็จะเห็นว่า "เบื้องหลังของเบื้องหน้า" เป็นมาอย่างไร

"......ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุว่า การพูดคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของไทยกับตัวแทนกลุ่มบีอาร์เอ็นเกิดขึ้นได้ มาจากการสนับสนุนส่วนหนึ่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่อยากเห็นบ้านเกิดเมืองนอนมีความสงบสุข ซึ่งก็เหมือนกับทุก ๆ คน จึงไม่อยากให้มองเจตนารมณ์ผิดเพี้ยนไป........ฯลฯ

วันนี้ถือเป็นเพียงการเริ่มกระบวนการพูดคุย ยังไม่เข้าสู่การเจรจาอะไร และไม่ได้พูดคุยเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่เราต้องการพูดคุยกับทุกกลุ่มทุกคน ต้องมีการศึกษาก่อน จากนั้นจึงไปสู่ขั้นตอนการเจรจา ซึ่งทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ

ส่วนที่มีบางฝ่ายเกรงว่า จะเป็นการยกระดับให้กลุ่มก่อความไม่สงบกลายเป็นปัญหาระดับชาตินั้น ขอยืนยันว่าครั้งนี้เป็นการพูดคุยเท่านั้น และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เป็นห่วง ส่วนจะลดความรุนแรงในพื้นที่ได้หรือไม่นั้น คงต้องบอกว่า เราเห็นทิศทางการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น และถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี"

แหม...ว่าจะเบาก่อนหนัก กลับหนักก่อนเบาจนได้ เข้าเรื่อง "ปู-ท้าสู้แดด" ตามต้นฉบับเดิมเขาดีกว่า จากมติชน ออนไลน์ เริ่มแต่ต้น ดังนี้

ปูท้าสู้แดด ใช้ครีมอะไร เบอร์ไหน โบ๊ะหน้า ????

ลับพอสมควร ศันสนีย์ โตสวน รายงาน ข่าวสด ๒๘ ก.พ. ๒๕๕๖

ควันหลงช่วงสุดสัปดาห์ก่อนเหินฟ้าไปเยือนแดนกิมจิและฮ่องกง

นายกฯ ปู ทุ่มสุดตัวช่วย จูดี้-พล.ต.อ.พงศพัศ หาเสียง นำทีมแห่รอบฝั่งธนฯ ไม่หวั่นไอแดดที่ร้อนเปรี้ยง แถมไร้ผ้าหมวกคอยกันแดดให้เสียภาพสาวติดดิน

เงยหน้าท้าแสงบนรถแห่ ยิ้มให้ชาวบ้านที่รอมอบดอกไม้ให้กำลังใจตลอดทาง เสร็จงาน นายกฯ ปู ก็ตรงดิ่งมาหากลุ่มนักข่าวที่นั่งรออยู่

"ขอโทษ จะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว ที่พาตระเวนตั้งแต่เช้ายันเย็น" ก่อนส่งเสียงอ้อนนักข่าวที่แต่ละคนตากแดดกันตัวดำปี๋

"แต่ขอวันที่ ๒ มี.ค. อีกวันได้มั้ยคะ"

นักข่าวได้แต่ยิ้มแหยๆ บอกไปไหนก็ไปกัน ก่อนกระแซะถามเคล็ดลับว่า

"โดนแดดเผาซะขนาดนี้ แต่ทำไมหน้ายังเด้งใสปิ๊งอยู่เลย?"

นายกฯ ปู ยิ้มชอบอกชอบใจ แต่ยังไม่ทันตอบก็ถูกซักต่อ

"ใช้ครีมอะไรเป็นพิเศษ ถึงได้เอาอยู่ขนาดนี้"

นายกฯ ยิ้มกว้างกว่าเดิม พร้อมเอามือลูบแก้มเหมือนกำลังทาครีมทั้งสองข้าง ก่อนเอียงคอบอกเสียงหวาน

"ใช้ครีมยี่ห้อกำลังใจค่ะ"

ฝากให้คู่แข่งที่หน้ากำลังหมองๆ ซักกระปุกสิ (อิอิ)

ครับ...ผมอ่านแล้วชอบ ชอบทั้งลีลาการรายงานข่าวของคุณศันสนีย์ ชอบทั้งกิริยาท่าทาง (หลับตานึกตาม) และคำตอบของนายกฯ ปู...ใช้ครีมยี่ห้อกำลังใจค่ะ!

ถึงจะยี่เก๊...ยี่เก แต่ก็น่ารักอ่ะ การที่นักข่าวหยิบเรื่องนายกฯ ปูเอาหน้าสู้แดดแล้วยังเด้งใสปิ๊งขึ้นมาถาม ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเล่าอยู่เรื่อง จะอยู่ในรวมเล่ม "นิทานก่อนนอน" ของ กระจกฝ้า หรืออย่างไรนี่แหละ อ่านนานแล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก ชักสับสน

เรื่องนี้ก็ยังมีผู้นำมาเล่าต่อๆ กันไปแม้ถึงทุกวันนี้ แก๊กเดิม...แต่พลิกแพลงเนื้อเรื่องกันไปต่างๆ นานาตามถนัด ต้นตำรับจริงๆ เป็นวรรณกรรมโปกฮาของท่านไหนก็ไม่ทราบ กระจกฝ้า คือ พ.อ.อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้โด่งดังจากวิทยุยานเกราะ แห่งยุคสมัย ๖ ตุลาโน่น

เรื่องมีอยู่ประมาณว่า สมัยนั้น พอตกหน้าหนาว ยามค่ำคืน ย่านถนนเยาวราชและสีลม จะมีนกนางแอ่นเป็นหมื่น-เป็นแสนตัว บินมาเกาะตามสายไฟเป็นการพักผ่อน-นอนหลับ ยาวพรืดตลอดไปทั้งถนน

เกาะนอนจนถึงเช้า ก่อนจะผละสายไฟ บินแยกย้ายกันไปหากิน แล้วจะกลับมาเกาะนอนใหม่ตอนพลบค่ำ ตอนเช้าในหน้าหนาว นกจะเกาะรอจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น รอตากไออุ่นจากแสงแดดอ่อนๆ แล้วแต่งตัวด้วยการไซ้ขนให้กัน ก่อนบินแยกย้าย

ทีนี้ก็เกิดมีคนช่างสงสัยปุจฉาขึ้นว่า "แล้วจะรู้ได้ไงว่าตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย?"

ก็มีผู้ชำนาญการด้านจำแนกเพศนก แหงนหน้ามองนกที่อาบแดดอยู่บนสายไฟซักครู่ ก็วิสัชนาว่า

"อ๋อ...ไม่ยากหรอก ดูซี ตัวไหนหันหัวให้แดด ตัวนั้นเป็นตัวผู้ ตัวไหนหันตูดให้แดด ตัวนั้นเป็นตัวเมีย ชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์"!

จบ...!

เนี่ย...พออ่านเรื่อง "ปู-สู้แดด" ผมก็นึกถึงวรรณกรรมโปกฮาเรื่องนี้ขึ้นมาได้ติดหมัด นายกฯ ปูไม่ยอมบอกว่าใช้ครีมยี่ห้ออะไรโบ๊ะหน้า ทั้งที่หันหน้าสู้แดดทั้งวัน แต่หน้าก็ยังเด้งใสปิ๊ง ตามสำนวนคุณศันสนีย์

ผมก็ว่า นายกฯ ท่านอาจไม่ได้ใช้ครีมอะไร แต่มีเคล็ดลับในการสู้แดดเป็นสูตรเฉพาะตัวก็ได้ จึงตอบว่า ใช้ครีมยี่ห้อกำลังใจ

ฉะนั้น ใครต้องการหน้าเด้งใสปิ๊ง ไร้ไฝ-ไร้ฝ้า ทั้งที่หันหน้าสู้แดดทั้งวันเหมือนนายกฯ ปูล่ะก็ ตอนแต่งหน้าคอยสังเกตทิศให้ดี

แดดตอนเช้าแยงมาทางไหน รีบกลับหลังหัน เอาหน้าไปแต่งทางทิศตะวันตกเข้าไว้ รับรอง...จะเด้งใสปิ๊ง เหมือนปู "สู้แดด" ไม่เชื่อก็...ลอง!.


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๑ มี.ค. ๒๕๕๖








"ไร้รอยต่อ 'กำมะลอสันติภาพ' "
เปลว สีเงิน


ที่นราธิวาส-ตอนเช้ามืด มอ'ไซค์บอมบ์กลางตลาดสด ทหาร-ชาวบ้านกะร่องกะแร่งไปอีก ๖ ตกบ่าย คาร์บอมบ์ตรงข้ามกองบังคับการตำรวจ โชคดีไม่มีใครตาย-เจ็บ หันไปทางปัตตานี ผู้ใหญ่บ้านออกจากมัสยิดหลังละหมาดเสร็จ มันล่อซะพรุน ไปตายโรงพยาบาล ส่วนตอนค่ำ จะมีบึ้ม-มีฆ่าฉลอง เป็นการสมโภชงาน "โหมไฟใต้" ที่ไหนอีกหรือไม่ ก็สดับตรับฟังเอากันเองตอนเช้านี้แล้วกัน

ครับ...นั่นคือเหตุที่เกิด หลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ดันหลังเลขาฯ สมช. "พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร" ออกฉากเป็นพระเอก "สันติภาพกำมะลอ" รับหน้าเสื่อเซ็น "บันทึกช่วยจำ" กับกลุ่มโจรบีอาร์เอ็น ที่มาเลย์เมื่อ ๒๘ ก.พ.๕๖

หมึกแห่ง "ปาหี่สันติภาพ" ยังไม่ทันแห้งดีมั้ง โจรใต้ก็ขานรับตั้งแต่เช้ามืดวันรุ่งขึ้น (๑ มีค.) ทั้งที่นราธิวาสและที่ปัตตานี อย่างที่เป็นข่าว!

สงสัยจะเสียค่าจัดฉาก ค่าเสื้อผ้า-หน้า-ผม นายกฯ คนสวยไปโดยเปล่าประโยชน์ซะละมั้ง...งานนี้ เพราะโจร "ตัวจริง-เสียงจริง" ในพื้นที่ มันไม่ยอมไว้หน้ากันเลย!

ผมก็ว่า เรื่องนี้มันทะแม่งๆ ยังไงชอบกล ถ้าเป็น "ของจริง" งานที่ได้หน้า-ได้ตาแบบนี้ มีหรือคนเป็นนายกฯ จะขมิบเกาะอยู่ข้างฉาก ด้วยความชำนิ-ชำนาญการตลาด ป่านนี้พวกไอ้ห้อย-ไอ้โหน ไม่เชิญ ซีเอ็นเอ็น บีบีซี ฟอกซ์ เอเอฟพี อัลจาซีเราะห์ รอยเตอร์ เอพี กระทั่งสำนักข่าวกะเหรี่ยง มาถ่ายทำสัมภาษณ์ข่าว "นายกฯ หญิง" สร้างสันติภาพใน ๓ จังหวัดใต้สำเร็จ ให้ระเบิด-ระเบ้อไปทั้งโลกแล้วหรือ

โนเบลไพรซ์ เสมอไหล่อองซาน ซูจี เชียวนะ....แม่คุณ!?

แต่ข่าวที่ออกมาปรากฏว่า รัฐบาลก็บอก "รัฐบาลไม่เกี่ยว" หันไปดูทางกองทัพ คนกองทัพก็บอก "ฝ่ายทหารไม่เกี่ยว" ถึง ผบ.ทบ.จะเดินทางไปกับคณะนายกฯ แต่ดูคล้าย ๆ "ผู้มีจิตศรัทธาไม่ประสงค์จะออกนาม" อะไรประมาณนั้น

ก็มีแต่ "สุกำพล" แห่ง กห. ที่ล่อหน้า-ล่อตาเป็นพิเศษ!

ผมดู ๆ แล้ว คนที่ได้ประโยชน์มากสุดจากเรื่องนี้ ๑. รัฐบาลนายกฯ นาจิบ ราซัก ๒. ทักษิณ ที่ทั้งนาจิบและยิ่งลักษณ์ยกขึ้นอวยว่า...มีวันนี้เพราะทักษิณ ถ้าไม่มีทักษิณอยู่เบื้องหลัง ประตูสันติภาพก็จะไม่ถูกเปิด

และ ๓. กองโจรก่อการร้ายบีอาร์เอ็น การนั่งโต๊ะเซ็นสัญญาสันติภาพกำมะลอกับไทย โดยมีมาเลย์เป็นสักขีพยาน นั่นเท่ากับได้เขยิบฐานะจากกองโจรขึ้นเป็น "องค์กรตีเสมอ"

มีศักดิ์และสิทธิ์เป็น "คู่เจรจา" กับรัฐไทย!

นี่คือการ "เขยิบฐานะ" จากกองโจร ๓ จังหวัดใต้ ที่ผิดกฎหมาย อยู่นอกกรอบ-นอกกฎกติสากล ไต่ระดับเข้ามาอยู่ในเส้นทางสิทธิสากล

และจะค่อย ๆ ใช้สิทธิ์นั้น เขยิบบทบาท-ฐานะให้เข้ามาอยู่ใต้ร่มเงาองค์การสากลขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปก็จะมีศักดิ์เสมอไทย ที่จะเจรจา-ต่อรองความเป็น "รัฐปัตตานี" ได้

ภายใต้ "องค์การสากล" หนุนหลัง!

เนี่ย...นอกจาก ๓ เจ้าที่จะได้ประโยชน์จากปาหี่นี้แล้ว รัฐบาลเพื่อไทยอาจอาศัยเป็นแต้มตีกินทางการเมืองได้บ้าง นอกนั้น ผมยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้กับประเทศชาติผ่านสันติภาพกำมะลอนี้

การเจรจาน่ะ ไม่มีใครบอกว่าไม่ดี แต่ทำเหมือนเล่นปาหี่อย่างนี้ มันจะมีผลร้ายตามมามากกว่าผลดี อย่านึกว่าแค่สร้างภาพเซ็นๆ กันไป ไม่มีเนื้อหาอะไรผูกมัด

เราน่ะ...เข้าใจอย่างนั้น พูดอย่างนั้น!

แต่คนอื่นเขาล่ะ...?

ไม่เพราะเราคิดมักง่าย ทำมักง่ายแบบนี้ดอกหรือ จึงถูกเขมรอาศัยช่องจากความซื่อด้วยมักง่าย ฟ้องร้องศาลโลกเอาปราสาทพระวิหารไปครอง และก็ยังไม่สำนึกในความมักง่าย วัวไม่หาย แต่ปราสาทฯ หายให้เขมรไปทั้งหลัง ก็ยังไม่ใช้เป็นบทเรียน เพื่อหาทางล้อมคอกกัน

ก็ด้วยมักง่ายเป็นสันดาน จึงถูกเขมรตีกินด้วยการรื้อคดีเก่าฟ้องให้ศาลโลกตีความอีก กลางเดือนหน้าขึ้นศาลนัดสุดท้าย คงได้ร้อนฉ่าพร้อมสะสมความมักง่ายเป็นมรดกตกทอดไปเรื่อยๆ อีก!

อยากจะหา "ตัวการ" มาพูดคุยเพื่อสร้างสันติภาพใน ๓ จังหวัดใต้น่ะ ไม่ต้องแถแตหลอไปถึงมาเลย์หรอก ตัวการมันอยู่ในบ้าน-ในเมืองไทยเรานี่แหละ

หาเอาซี...แถวทำเนียบฯ แถวกระทรวง แถวกองทัพ แถว สตช. แถวพรรคการเมือง แถวสถาบันศึกษา แถวนักวิชาการ แถวพวกสื่อ-พวกสอนทางศาสนา ฯลฯ

แค่ลูบหน้า ก็ขี้เกียจปะจมูก!

ผมคุยกับคนพื้นที่ ที่เขาบึ้ม..บึ้ม..กันประจำนั่นแหละ เขาบอกว่า..."ก็ไม่รู้มันพวกไหน แต่เห็นมันลงมือเสร็จแล้ว พอถูกตำรวจ-ทหารไล่กวด เดี๋ยวๆ มันก็เลี้ยวรถแผล็บบบ หายเข้าไปทางบ้านคนนี้มั่ง ถ้าเป็นทางอำเภอ....ก็เข้าบ้านคนโน้นมั่ง"

คนนี้-คนโน้น เขาบอกชื่อกับผมอยู่หรอก บอกไปก็ร้องอ๋อ...กันทั้งเมือง แต่เป็นเพียง "เขาเล่าว่า" ผมจะเอามาทึกทักเป็นตุ-เป็นตะ เดี๋ยวจะยุ่งกันใหญ่

ฉะนั้น ผมอยากบอกว่า จะเล่นอะไรกันก็เล่น แต่อย่าดึงเอาความเป็นรัฐ-ความเป็นประเทศไปเป็นเดิมพันต่อรองผลประโยชน์ เรื่องสันติภาพ ๓ จว.ใต้น่ะ มันไม่ยากและมันก็ไม่ง่าย อย่างน้อยก็ไม่ง่ายเหมือนลิงปอกกล้วยอย่างที่จัดฉากกันวานซืน

กับการฟอกทักษิณคนเดียว จะเอาความเป็นประเทศไปวางเป็นเดิมพันกับ "สันติภาพกำมะลอ" อย่างนั้น มันไม่คุ้ม อีกอย่าง ปัญหาใต้ที่รุนแรงขณะนี้ ตัวเหตุก็ทักษิณนั่นแหละก่อ จากกรณี "กรือเซะ-ตากใบ" ถึงทักษิณสร้างสันติภาพได้จริง

ก็แค่ "ทำคุณไถ่โทษ" ไม่มีค่าถึงขนาดยกเป็นพระเอกในหัวข้อสปีชผู้นำแต่ละฝ่ายเช่นนั้นหรอก!

อีกอย่าง ผมอยากถามเป็นความรู้ว่า ด้วยสถานภาพ "เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ" มันมีศักดิ์และสิทธิ์อะไร และมีน้ำหนักของน้ำยาขนาดไหน ที่จะเที่ยวไปเซ็นสัญญาล่อแหลมต่อบูรณภาพแห่งดินแดนประเทศอย่างนั้น? ได้รับมอบหมายจากรัฐสภาแล้วหรือ?

และก่อนไปพูดจาตกลงเซ็นขี้หมู-ขี้หมากัน ส่งเรื่องให้รัฐสภาเขาพิจารณาเห็นชอบ และกำหนดเป็นกรอบก่อนหรือเปล่า?

ระวังเถอะ...ในโลกยุคกฎหมายเป็นอาวุธ ถูกพวกหัวหมอของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหยิบเอาที่ไปพูด-ไปเซ็น พลิกแพลงเป็นประเด็นกฎหมายค้ำคอไทยขึ้นมาละก็ ผมอยากรู้นักว่า...ใคร พล.ท.ภราดรเรอะที่รับผิดชอบได้ หรือยิ่งลักษณ์ หรือรัฐมนตรี กห.ที่จะแอ่นรับ?

เรื่องที่มีสถานภาพประเทศเกี่ยวพัน มันไม่ใช่แค่นายกฯ แค่รัฐบาลโดดๆ หรือแค่ใครบางคนจะตัดสินใจได้เอง หรือมุบมิบ- รู้เรื่องรู้ราวกันเฉพาะกลุ่ม อย่านึกนะว่าเปิดรัฐธรรมนูญอ้างได้ฝ่ายเดียว

ฝ่ายโจรเขาก็เปิดอ้างได้ แถมเขามีใช้ได้ตั้ง ๒ ฉบับ คือทั้งรัฐธรรมนูญฉบับโจร และรัฐธรรมนูญฉบับแห่งราชอาณาจักรไทย

เห็นบอกว่าอีก ๒ อาทิตย์จะไปคุยลงรายละเอียดกันที่มาเลย์อีก อย่ามุบมิบคุยกัน-รู้กันแค่ที่โต๊ะ ศปก.กปต. โต๊ะนายกฯ โต๊ะกลาโหม โต๊ะ ศอ.บต.หรือที่โต๊ะดูไบเลย

เพื่อไม่ให้มันเลวร้ายเกินแก้ เผื่อมีอะไรขึ้นทีหลัง ผมเห็นว่า นางนายกฯ น่าสั่งให้นำเรื่องนี้เข้าไปพูดจากันในรัฐสภา

"ประชุมลับ" ก็ได้.....

ดีกว่าสุมหัวทำกันเองลับๆ ล่อๆ เผลอก็แอบไปล่อกันเองในที่ลับ อย่างนั้นไม่ดีหรอก ให้คนอื่น คือรัฐสภาเขาได้รู้เห็นเป็นบุญตาบ้างดีกว่าน่า!

พูดถึงเรื่องบุญ เมื่อวาน มติชนออนไลน์เขาลงข่าว "ทักษิณโผล่งานครบรอบวันเกิดท่านผู้หญิงวิระยา โฟนอินอวยพรแบบ 'ไร้รอยต่อ' " แล้วก็ให้ปูมประวัติว่า

ท่านผู้หญิงเป็นกรรมการมูลนิธิสายใจไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ประธานกรรมการ และเลขาธิการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์, ประธานกรรมการมูลนิธินพรัช-รัตนโกสินทร์, กรรมการมูลนิธิศาสตราจารย์นายแพทย์หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ กิติยากร

เนื่องในวันเกิด อยากถามว่า ท่านผู้หญิงวิระยา ไม่คิดสร้างประโยชน์ให้เป็นบุญเพิ่มขึ้น ด้วยการ "ลาออก" จากตำแหน่งในมูลนิธิเหล่านั้นบ้างหรือครับ?


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒ มี.ค. ๒๕๕๖








"เจรจาสันติภาพชายแกนใต้...มาเลเซียได้ ไทยมีแต่เสีย"
สุทิน วรรณบวร


ข่าวต่างประเทศแทบทุกสำนักเสนอข่าวรัฐบาลไทยลงนามเริ่มเจรจาสันติภาพกับกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “กลุ่มขบถมุสลิม” เพื่อยุติข้อขัดแย้งที่ซึ่งปะทุขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า ๕,๓oo คน และเป็นที่น่าสังเกตว่า สื่อทุกสำนักยังมีข้อกังขาอยู่ว่า ผู้ที่มีลงนามในข้อตกลงเจรจาในเบื้องต้นนั้น “เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจริงหรือไม่?” และรายงานว่า นายกรัฐมนตรี มาเลเซีย-นายนาจิบ ราซัก กำลังตักตวงผลประโยชน์ทางการเมืองจากข้อตกลงของรัฐบาลไทย กับตัวแทนผู้ก่อความไม่สงบในครั้งนี้

ดูจากงานข่าวทุกสำนัก และจากที่พูดกับแหล่งข่าวที่เคยทำงานร่วมกันมาหลายสิบปี บอกได้ว่า นี่เป็นรายการตลกระดับโลก เป็นเรื่องโปกฮาที่น่าอดสูกว่าตอนที่ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร นำกลุ่มโจรกำมะลอมาออกรายการในโทรทัศช่อง ๕ หลายเท่า คราวนี้ตัวละครเป็นถึงนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

“นี้เป็นก้าวแรก ที่เริ่มพูดคุยสันติภาพกับผู้แทนจากกลุ่มขบถมุสลิม” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ รอยเตอร์ ด้วยโทนเสียงที่ออกจะมั่นใจว่าได้พูดกับโจรตัวจริง แต่ในข่าวชิ้นเดียวกันรอยเตอร์รายงานว่า ยังไม่แน่ว่าผู้ที่มาร่วมลงนามเป็นตัวแทนขบถจริงหรือไม่

สำนักข่าว ฮาลจาซีระ ซึ่งเป็นสำนักข่าวจากประเทศมุสลิม ที่รายงานข่าวผู้ก่อการร้ายและกลุ่มขบถมุสลิมประเภทวิเคราะห์เจาะลึกได้มากกว่าสำนักข่าวอื่นๆรายงานว่า นายฮาซัน ตาฮิบที่เป็นตัวแทนจากกลุ่มขบถมาลงนามในครั้งนี้ มีถิ่นฐานอยู่ในมาเลเซีย และรายงานว่า บีอาร์เอน หนึ่งในกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งยังอยู่ในเงามืด จะเห็นด้วยกับข้อตกลงที่นายฮาซันมาลงนามหรือไม่ เมื่อถามถึงที่มาของการเจรจาในครั้ง นายฮาซัน ตอบได้แต่เพียงว่า

“เป็นประสงค์ของพระเจ้า เราจะทำให้ดีที่สุด เพื่อแก้ปัญหา เราจะไปบอกคนของเราให้มาร่วมมือกันทำงานเพื่อแก้ปัญหา” คนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนโจรใต้ มีบ้านอยู่ในมาเลเซีย มาลงนามแล้วค่อยไปบอกโจรมาร่วมมือกันแก้ปัญหา และไม่สามารถบอกได้ว่า ผู้นำองค์กรของเขาเป็นใคร

นอกจากสำนักข่าวต่าง ๆ แสดงความกังขาว่า ผู้ที่มาลงนามเป็นตัวแทนโจรจริงหรือไม่ คนที่เคยผ่านงานข่าวและความมั่นคงมาอย่างนายถวิล เปลี่ยนสี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในฐานะ อดีตเลขาฯสมช.ยังแสดงความกังวลว่า สิ่งที่ สมช.กำลังดำเนินการอยู่นั้น ทำอย่างถูกคน และเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจริงหรือไม่ เพราะกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้มีหลายกลุ่ม ตนคิดว่า การพูดคุยกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่เราเห็นว่าเป็นตัวแทน เป็นอันตรายเกินไป

คำเตือนจากนายถวิล ปรากฏเห็นจริงเพียงไม่ทันข้ามคืน หลังจากการลงนามปาหี่ครั้งนี้ โจรใต้ เริ่มตั้งแต่หกโมง ระเบิดมอร์เตอร์ไซค์หน้าตลาดสด ตกบ่ายระเบิดคาร์บอมในพื้นที่สีเขียว กลางเมืองนราธิวาส ตกกลางคืนยิงผู้ใหญ่บ้านตายที่ปัตตานี เป็นการฉลองการลงนามปาหี่ของกลุ่มโจร ตั้งแต่วันลงนามมาถึงวันนี้ เหตุร้ายเกิดขึ้นทุกวัน

นายวิทยา วิเศษรัต นักวิชาการมุสลิมผู้ซึ่งผ่านการศึกษามาจาก ปากีสถาน อัฟกานิสถาน และ อินเดีย ผู้ช่ำชองกับข่าวกลุ่มผู้ก่อการร้าย และความไม่สงบในภาคใต้กล่าวว่า ผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ไม่มีองค์การจัดตั้งที่เป็นตัวตนชัดเจน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า นายฮาซัน ที่ว่าเป็นตัวแทนใคร

“พวกที่ออกมาอ้างตัวว่าเป็นตัวแทนกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ เป็นพวกลวงโลกทั้งนั้น” นายวิทยากล่าว สื่อบางสำนักลงข่าวว่า นายสะแปอิง บาซอ เป็นประธานกลุ่ม บีอาร์เอนคอร์ดิเนต โดยมีนาย มะแซ ฮุเซง เป็นเลขาธิการ “ผมว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการสร้างภาพ และ ฟอกตัวให้กับกลุ่มโจร แต่ถึงอย่างไรตาม เด็กรุ่นใหม่มันไม่ฟังใครหรอก เหตุร้ายยังดำเนินต่อไป” นายวิทยากล่าว

นายสะแปอิง หนีการจับกุมไปได้อย่างหวุดหวิดในปี ๒๕๔๗ หลังจากดีเอสไอ จับกุมนายฮุสมาน อุเซง พร้อมเอกสารหลักฐานยืนยันว่า นายสะแปอิง เป็นตัวการใหญ่ของกลุ่มโจรใต้ ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมากคือ นายสะแปอิงและนายมะแซ ฮุเซง ซึ่งถูกกล่าวว่าเป็นผู้นำอันดับสองรองจาก สะแปอิง เดินลอยนวลอยู่ในเมืองตลอดเวลา แต่กลับหลบหนีไปได้ไม่กี่นาที ก่อนเจ้าหน้าตำรวจจะไปจับกุมตัว ทั้งสะแปอิงและมะแซ ฮุเซง เป็นสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจการบริหารประเทศในเวลานั้น กลุ่มการเมืองซึ่งมีข้อสงสัยว่า เป็นผู้มีอิทธิพลในหมู่โจรใต้ กำลังรุ่งโรจน์

คนใกล้ชิดของมะแซ ฮุเซง ผู้ต้องหาตัวสำคัญในคดีปล้นค่ายทหาร เคยนัดหมายให้เราสัมภาษณ์ในพื้นที่ชายแดน ไทย-มาเลเซีย แต่พอถึงเวลานัดหมาย มะแซไม่ยอมปรากฏตัว ส่งคนมาขอยกเลิกสัมภาษณ์อ้างความไม่ปลอดภัย

แหล่งข่าวที่เคยนัดหมายให้เราได้สัมภาษณ์ นายลุกมาน บินลิมา ในประเทศอินโดนีเซียเมื่อสี่ปีก่อน กับแหล่งข่าวซึ่งคลุกคลีอยู่กับความไม่สงบ ในสามจังหวัดภาคใต้มานาน บอกว่า สคริป ละครลวงโลกครั้งนี้เขียนขึ้นโดยนายพลชรา จากการร้องขอของสัมภเวสีหนีคุก เพื่อสร้าง ภาพให้รัฐบาล และ ฟอกผิดให้กับกลุ่มการเมือง ที่เคยมีอำนาจในห้วงเวลาที่ความรุนแรงทางภาคใต้ปะทุขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีข้อครหาว่ามีส่วนสำคัญในความรุนแรงที่เกิดขึ้น หลายคนเคยถูกจับดำเนินคดี หลายคนกำลังหลบหนีคดี

“ถ้าเรื่องนี้ยังดำเนินต่อไป อีกไม่นานจะได้ยินการพูดถึง นิรโทษกรรมให้โจรที่กำลังหนีคดี รวมไปถึงนายสะแปอิง และ นายมะแซ” อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายเชื่อว่า ละครลวงโลกฉากนี้คงจบลงแค่การลงนามสร้างภาพ ออกสื่อในกัวลาลัมเปอร์ เพราะมาเลเซียได้ไปเต็ม ๆ จากความเสียหายของไทย

นักวิเคราะห์ทางด้านความมั่นคง และความไม่สงบในภาคใต้ ชี้ให้เห็นว่า ความรุนแรงซึ่งสงบมานานตั้งแต่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประกาศนิรโทษกรรมด้วยนโยบาย ๖๖/๒๓ กลับรุนแรงขึ้นอีกในช่วงเวลาที่ กลุ่มการเมืองที่มีความสัมพันธ์กับผู้ก่อความไม่สงบ ร่วมมีอำนาจในการบริหารประเทศ

ความรุนแรงครั้งใหม่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนแรก ที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองในเวลานั้น แจกจ่ายปืนลูกซองสั้น ๕,ooo กระบอกให้กับอาสาสมัครชุมชน และผู้นำท้องถิ่นในสามจังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่นั้นมาก็เกิดการปล้นปืนจากอาสาสมัครไปและผู้ชุมชน ไปใช้งาน นโยบายครั้งนั้นเหมือนกับการติดอาวุธเบื้องต้นให้โจร เพราะพวกที่มาปล้นอาวุธมาจากคนที่มีความสัมพันธ์หรือใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจแจกจ่ายปืน มีครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับผู้ต้องหาปล้นปืนอาสาสมัครชุมได้หกคน ทำให้เกิดการประท้วงกดดันจนตำรวจต้องปล่อยตัว เพราะผู้ต้องหาที่ถูกจับเป็นคนที่ดูแลบ้านให้กับนักการเมืองใหญ่ แกนนำของกลุ่ม

หลังจากเหตุการณ์การปล้นปืน ปล้นอาวุธก็ลุกลามออกไปมาก จนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในมือมากพอที่จะก่อความรุนแรงรายวัน ชนวนเหตุของโศกนาฏกรรมที่ตากใบ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง ๙๒ ก็มาจากการจับกุมโจรปล้นปืน ไปขังไว้ที่ตากใบ นักการเมืองใหญ่แกนนำกลุ่ม จัดการให้ประชาชนไปประท้วงกดดันตำรวจให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา จนจบลงด้วยการสลายม็อบด้วยความรุนแรง ถ้าสังเกตให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการปล้นปืนค่ายทหาร หรือนักการเมืองที่เคยถูกดำเนินคดีในข้อหาผู้ก่อการร้าย ล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มนี้ คำพูดเรื่องรัฐปัตตานีก็มาจากคนกลุ่มนี้แหละ แหล่งข่าวจึงสรุปทิ้งท้ายไว้เป็นปริศนาว่า

“ถ้าจะลงนามสันติภาพกันจริง ไม่ต้องไปถึงกัวลาลัมเปอร์หรอก เพียงเดินข้ามถนนไปก็ตกลงกันได้แล้ว” จึงสรุปได้ว่าแผนสร้างสร้างภาพให้รัฐบาลและแผนการฟอกตัวให้กับกลุ่มโจร ครั้งนี้มาเลเซียได้ ไทยมีแต่เสีย

มาเลเซีย ซึ่งเคยเป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างขบถมุสลิมกับรัฐบาล ฟิลิปีนเมื่อเดือน ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นผู้ริเริ่มยกประเด็นความขัดแย้งในภาคใต้ของไทยขึ้นมาสู่โต๊ะเจรจา นักวิเคราะห์ลงความเห็นว่า นายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งจะลงรับเลือกตั้งใหม่ปลายเดือนเมษายน นี้คงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางการเมือง จากการช่วยเจรจาปัญหาภาคใต้ของไทย

ข่าวล่าสุดที่ออกมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยเดินทางไป สวีเดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปาหี่ระดับชาติที่เกิดขึ้นใน กรุงกัวลาลัมเปอร์ จะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยในสต็อคโฮม เมืองที่บรรดา พูโล เก่าคร่ำครึ ไม่ว่าจะเป็นนาย ลุกมาน บิน ลีมา หรือ นายคัสตูดี่ ต่างก็เคลื่อนไหวโฆษณาชวนเชื่อให้กับตัวเอง ว่าเป็นผู้นำพูโล อยู่ในสวีเดน

พูโลชราเหล่านี้ไม่เป็นที่ยอมรับของโจรรุ่นใหม่และไม่มีอิทธิพล หรือ บทบาทใดๆต่อเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้ ถ้ารัฐบาลไปอุปโลกน์ยกระดับคนเหล่านี้ขึ้นมาเป็นตัวแทน เหตุการณ์จะเลวร้ายลงไปอีกหลายเท่าทวีคูณ


จากคอลัมน์ "วิภาคื่อเทศ วิเทศสื่อไทย"
นสพ.แนวหน้า ๗ มี.ค. ๒๕๕๖








"ว่าด้วยเรื่องอธิปไตยกับเขตแดนไทย-เขมร"
กษิต ภิรมย์


มีขบวนการการเมืองพร้อมด้วยเครือข่ายสื่อประเภทต่างๆ และเครือข่ายแวดวงวิชาการกล่าวว่า ไทยได้สูญเสียอธิปไตยอันได้แก่ ดินแดนไทยส่วนหนึ่งไปให้แก่กัมพูชา แต่มิได้ระบุบ่งชัดว่า มีการสูญเสียอธิปไตยหรือดินแดนไปตรงไหน และเป็นเนื้อที่ หรือพื้นน้ำไปเท่าไร

หากเป็นจริงดังว่า ฝ่ายเขมรฮุนเซนก็คงต้องป่าวประกาศฉลองชัยชนะ การได้เขมือบหรือฉกฉวยดินแดนสยามไทยไปอย่างครึกโครม หรรษากันทั่วดินแดนเขมร แต่ทว่าก็ยังไม่มีข่าวเป็นเช่นนั้น

หากเป็นจริงดังว่า ฝ่ายเขมรฮุนเซนก็คงยุติการหาเรื่องไทยในเรื่องเขตแดน แล้วถอนข้อกล่าวหาไทยออกจากเวทีระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น ที่อาเซียน ที่สหประชาชาติ รวมทั้งองค์การยูเนสโก และที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก

หากเป็นจริงดังว่า ป่านนี้ฝ่ายเขมรฮุนเซนคงจัดทำแผนบริหารจัดการเพื่อรองรับการที่ปราสาทพระวิหารได้รับการยอมรับให้เป็นมรดกโลกเสร็จสิ้นไปแล้ว และคงเตรียมการบูรณปฏิสังขรณ์ตัวปราสาท และเตรียมการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวปราสาทพระวิหารอย่างคึกคัก ขะมักเขม้น

แต่ฝ่ายเขมรฮุนเซนก็ยังไม่ได้ทำ ดังที่กล่าวมา

และล่าสุดได้มีการพบปะระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมของไทย กับของเขมร เพื่อดำเนินการตามคำสั่งศาลโลกว่าด้วย “มาตรการชั่วคราว” (Provisional Measures) อันได้แก่ การถอนทหารออกจากในปราสาทและรอบๆปราสาทพระวิหาร ในพื้นที่รอบๆ ปราสาทประมาณ ๘.๗ ตารางกิโลเมตร และการนำตำรวจและพลเรือนเข้าไปดูแลพื้นที่แทนทหารอันเป็นมาตรการชั่วคราวจนกว่าศาลโลกจะได้ตัดสินเรื่องพื้นที่พิพาท ๔.๖ ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารที่ไทยและเขมรพิพาทอยู่

การที่ศาลโลกกำลังพิจารณาข้อพิพาทพื้นที่อยู่นี้ ก็หมายความว่า ยังไม่มีฝ่ายใดได้ครอบครองพื้นที่ หรือในอีกแง่หนึ่งก็ยังไม่มีฝ่ายใดสูญเสียพื้นที่ และการไปโต้กันที่ศาลโลกและการใช้ศาลโลกเป็นเวทีสะท้อนความประสงค์ที่จะใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีและด้วยองค์กรกลาง

อีกทั้งตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชากว่า ๗oo กิโลเมตรนั้น ต่างฝ่ายต่างใช้แผนที่ของตนเองเพื่ออ้างสิทธิ์ นอกจากนั้นทั้ง ๒ ฝ่ายต่างตีความเนื้อหาของสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสต่าง ๆ และเอกสารผนวกและเอกสารประกอบที่ต่างกัน ซึ่งหมายความว่า เรื่องยังไม่แล้วเสร็จ และยังไม่มีการได้เสียพื้นที่กันอย่างเด็ดขาด ยังไม่มีการสูญเสียอธิปไตย

ในขณะเดียวกัน เรื่องเส้นเขตแดนทั้ง ๗oo กว่ากิโลเมตรนั้น มีกรอบและกลไกทวิภาคีไทย-เขมรที่จะอำนวยให้มีการเจรจาสำรวจ ปักปัน ค้นหาเสาเขตแดนที่ทำไว้สมัยเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสกับรัฐสยาม ซึ่งได้แก่ บันทึกช่วยจำปี ๒๕๔๓และคณะกรรมาธิการร่วมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ (Joint Border Commission) และคณะกรรมการเทคนิคอื่น ๆ ซึ่งได้มีการดำเนินการมาโดยตลอด ก็ชะงักงันติดขัดอยู่เป็นระยะๆ อันสืบเนื่องมาจากการขัดแย้งในเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และเรื่องต่อเนื่อง อันได้แก่ การทำแผนบริหารจัดการปราสาทและพื้นที่ ซึ่งฝ่ายไทย (โดยเฉพาะ พรรคประชาธิปัตย์) เห็นว่า ควรเป็นการขึ้นทะเบียนร่วม และต้องตกลงในเรื่องอธิปไตยเหนือพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหารภายใต้กรอบและกลไก MOU 43 ก่อน แต่ระหว่างนี้นั้นก็อาจมีมาตรการร่วมมือชั่วคราวได้ในฐานะมิตรประเทศ ในฐานะสมาชิกประชาคมอาเซียน ในฐานะที่เป็นลูกหลานบรรพบุรุษ และอารยธรรมเดียวกันหรือใกล้ชิดกัน ในการอำนวยความสะดวกเรื่องการท่องเที่ยว

เรื่องคงไม่ลามถึงขั้นบาดหมางใจกัน ถ้าฝ่ายเขมรฮุนเซนรับเหตุและผลของฝ่ายไทย และถ้าไม่มีกลุ่ม หรือพรรคการเมืองไทยใช้เรื่องนี้เพื่อตีคะแนนการเมืองภายในไทย เสมือนไปเข้าข้างฝ่ายเขมร
ฮุนเซน เพื่อร่วมถล่มพรรคประชาธิปัตย์ หรือถ้าไม่มีกลุ่มหรือพรรคการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งที่ประสงค์จะสร้างคะแนนนิยมด้วยนโยบายการเผชิญหน้ากับฝ่ายเขมรฮุนเซน ซึ่งก็ช่วยเติมเชื้อไฟ ความรุ่มร้อนและอารมณ์ขุ่นมัวให้กับฮุนเซนขึ้นไปอีก

เราคนไทยทั้งหลายก็ต้องถอดถอนเรื่องส่วนตัว ส่วนกลุ่มออกจากอก ออกจากพฤติกรรม แล้วมาร่วมแรงร่วมใจกัน เพราะการรักษาดินแดนอธิปไตยนั้นเป็นหน้าที่ร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ

อย่างน้อยเราก็ต้องร่วมกันให้กำลังใจ ให้ความเชื่อมั่นต่อคณะผู้แทนไทย ซึ่งนำโดยท่านทูตวีรชัย พลาศัย ในการต่อกรกับฝ่ายเขมรต่อหน้าศาลโลกครั้งสุดท้ายในเดือนเมษายน ศกนี้ และเราต้องเรียกร้องให้ฝ่ายเขมรกลับสู่โต๊ะเจรจา ๒ ฝ่าย เพื่อเร่งรัดการร่วมทำงานที่คั่งค้างอยู่ในเรื่องเขตแดนทั้ง
บนดิน (เดินสำรวจ) ในอากาศ (ภาพถ่ายทางอากาศ) และบนโต๊ะ (จัดทำเอกสารต่าง ๆ) ซึ่งเป็นวิธีแห่งสันติ และวิธีที่ดีที่สุด

และก็ต้องเรียกร้องให้รัฐบาลทำงานเพื่อประเทศชาติไทยอย่างไม่วอกแวก ไม่สับสน และไม่ต้องพินอบพิเทาต่อนายฮุนเซน อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาอยู่เหนือเรื่องของชาติ จงนำพาและรักษาอธิปไตย


จากคอลัมน์ "เวทีอิสระ"
นสพ.แนวหน้า ๖ มี.ค. ๒๕๕๖








"ก่อนถึงก้าวย่างเจรจา...ต้องตอบคำถามให้ชัด"
กาแฟดำ


ใครที่ไม่ได้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด จะงง ๆ กับรายงานที่ว่า นายกฯ ไทย กับ นายกฯ มาเลเซีย จะพบกันในวันสองวันนี้

และอาจจะมีการพูดถึงการให้มาเลเซียทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” เจรจา ระหว่างทางการไทยกับกลุ่มก่อเหตุทางชายแดนภาคใต้

ที่ว่างงก็เพราะว่าคนในรัฐบาลพูดเรื่องนี้หลายคน ไปกันคนละทางสองทาง และไม่มีแนวทางชัดเจนจากระดับสูงสุดทางการเมือง

รองนายกฯ เฉลิม อยู่บำรุง ไปเจอ นายกฯ นาจิบ ราซัค ของมาเลเซียมาแล้ว แต่ไม่มีอะไรชัดเจนว่ามีการพูดจากันเรื่องนี้อย่างไร

ข่าวบางกระแสบอกว่า มีการ “พูดจาอย่างไม่เป็นทางการ” ระหว่างคนของรัฐบาลกับตัวแทนของฝ่าย “พูโล” แต่ฝ่ายความมั่นคงบางคนของเรา บอกว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่รับทราบการเจรจาเหล่านั้น

อยู่ดี ๆ คุณเฉลิม เสนอให้มีการใช้ “เคอร์ฟิว” แต่หนึ่งสัปดาห์ต่อมาก็มีข้อเสนอทางการว่าจะใช้มาตรา ๒๑ เพื่อให้มีการตั้งวงพูดคุยหาทางยุติอย่างสงบ

ถามผู้เกี่ยวข้องจริง ๆ ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าที่ว่าไปพบปะพูดคุยกับฝ่ายเรียกร้องแยกดินแดนนั้นเป็นฝ่ายไหนกันแน่

และรู้ได้อย่างไรว่าคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น สามารถพูดแทนคนที่กำลังก่อเหตุต่าง ๆ ในสามจังหวัดชายแดนได้จริง ๆ

ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้น ก็คือ คำถามที่ว่าตัวแทนที่อ้างว่าพูดในนามของรัฐบาลไทยนั้น สามารถสะท้อนทิศทางและนโยบายที่เป็นเอกภาพของรัฐบาลไทยวันนี้ หรือไม่

มีการแสดงความเป็นห่วงต่อข่าวที่ว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะไปตกลงอะไรกับ นายกฯ นาจิบ ราซัค ในช่วงนี้ และจะผูกพันประเทศไทยเพียงใด แค่ไหน โดยเฉพาะในจังหวะที่การเมืองไทยมาเลเซียกำลังเข้าสู่ช่วงการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ และอาจจะมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่นั่นทั้งฝ่ายรัฐบาลฝ่ายค้าน เพื่อจะช่วงชิงโอกาสหาเสียงกับเรื่องร้อน ๆ ทางภาคใต้ของไทยหรือไม่อย่างไร

จริงอยู่ นายกฯ นาจิบ ราซัค ได้เล่นบทเป็น “คนกลาง” ระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์ กับกลุ่มแยกดินแดนทางใต้ของประเทศนั้น จนมีการลงนามในสัญญาสงบศึก แต่กว่าจะถึงจุดนั้น ต้องมีกระบวนการที่จะต้องทำการบ้านกันทุกฝ่ายอย่างละเอียดรอบด้านและวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมอย่างรอบคอบยิ่ง

วันก่อน คนที่อ้างว่าเป็นหัวหน้า “พูโล” ออกให้สัมภาษณ์ทีวีช่องหนึ่ง เรียกร้องสิทธิปกครองตนเองสำหรับชายแดนภาคใต้ และบอกว่ารัฐบาลไทยไม่จริงใจในการแก้ปัญหา

แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าหากรัฐบาลไทยตัดสินใจจะ “เจรจา” เพื่อหาทางระงับความรุนแรงทางภาคใต้จะพูดจากับกลุ่มไหน และฝ่ายข่าวกรองของไทย สามารถวิเคราะห์แยกแยะออกไหม ว่า ทุกวันนี้อีกฝ่ายหนึ่งมีโครงสร้างที่แบ่งเป็นกลุ่มก้อนกันอย่างไร ใครเป็นใคร และอำนาจการตัดสินใจแบ่งแยกกันอย่างไร

ตราบเท่าที่ฝ่ายรัฐบาลยังไม่มีความเป็นเอกภาพที่ชัดเจน และยังไม่สามารถบอกกล่าวกับประชาชนคนไทยว่าทิศทางของการแก้ปัญหาเป็นอย่างไร มีเงื่อนไขกับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไร อีกทั้งยังเสนอกับคนไทยทั้งหลายไม่ได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือใคร และเขาต้องการอะไรเพียงใด การที่ผู้นำรัฐบาลจะไปตกปากรับคำกับผู้นำมาเลเซีย จึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงกับการสร้างความสับสนเพิ่มเติม

แน่นอนว่า การจะแก้ปัญหาที่สั่งสมมาช้านานเช่นนี้ จะต้องลงเอยด้วยวิธีการสันติและร่วมกันสร้างสังคมที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่การเจรจาต่อรอง ซึ่งย่อมหนีไม่พ้นว่าจะเป็นกระบวนการที่ยืดเยื้อและสลับซับซ้อน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องสร้างความกระจ่างกับคนไทยกันเองเสียก่อน

แค่ประเด็นว่า นายกฯ ต้อง “ดุ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เรื่องไม่ยอมไปลงพื้นที่ภาคใต้ ก็สร้างความงุนงงสับสนไม่น้อยแล้ว


จาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ๒๘ ก.พ. ๒๕๕๖








"ดับหรือจุดไฟกันแน่"
ผักกาดหอม


เข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้วครับ สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ขณะที่สถานการณ์ของผู้สมัครดูแล้วยังกั๊ก ๆ กันอยู่ แม้ "เสาไฟฟ้า" จะนำเล็กน้อยอยู่นี้ กลับเกิดปรากฏการณ์ส่งแรงหนุนกันอย่างขนานใหญ่

เพื่อให้เสาไฟฟ้าติดลมบน!เลือกผู้ว่าฯ กทม. ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการก่อความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เวลานี้ถูกทำให้เกี่ยวพันกันในแง่การสร้างภาพเพื่อเรียกคะแนนแล้วครับ

ตีปี๊บแหกตากันสำเร็จ "ภราดร พัฒนถาบุตร" เลขาธิ การ สมช. ลงนามความตกลงเริ่มกระบวนการเจรจาเพื่อสันติ ภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับกลุ่ม BRN ภายใต้การนำของ "ฮัสซัน ตอยิบ"

ผมแปลกใจหลายประเด็น ประเด็นแรก คือเลขาฯ สมช. กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะพูดถึงความเกี่ยวข้องในบทบาทของ "ยิ่งลักษณ์" ที่เดินทางไปหลังมีการลงนามกับ BRN แล้ว แม้แต่ตัว "ยิ่งลักษณ์" เองก็ไปพูดเรื่องอื่น คือไปลงนามเอ็มโอยู ๒ ฉบับ คือความตกลงว่าการด้วยเดินทางข้ามแดนและการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเยาวชนและกีฬา

ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ BRN เลยเข้าใจว่าเป็นยุทธศาสตร์กัน "ยิ่งลักษณ์" ออกจากความผิดพลาด เหมือนที่เพื่อไทยมักกัน "ยิ่งลักษณ์" ออกจากความรับผิดชอบต่อสภาฯ นั่นเอง

แต่ก็แปลกมีการประโคมว่าการเจรจาในครั้งนี้คือผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยฝีมือ "น.ช.ทักษิณ" เอาล่ะเรื่องนี้เริ่มที่ "น.ช.ทักษิณ" บินไปเจรจากับแกนนำ BRN และอีกหลายกลุ่มรวม ๑๘ คน ที่มาเลเซีย เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว

ในทางกลับกันเรื่องนี้เป็นความต้องการของรัฐบาลมาเลเซีย เพราะเขาต้องการเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้

และครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลมาเลเซียยอมรับอย่างเป็นทางการว่า กลุ่ม BRN ใช้มาเลเซียเป็นฐานที่มั่น หลังจากที่เรารู้มาพอสมควรแล้วว่า กลุ่มนี้ตั้ง "สำนักงาน" อยู่ในมาเลเซียอย่างเปิดเผย

ช่วง ๑o ปีที่ผ่านมา BRN เคลื่อนไหวน้อยครั้ง เพราะมีกองกำลังไม่กี่สิบคน และส่วนใหญ่มีสัญชาติมาเลเซีย

ผิดกับ RKK ลูกหลานไทยมุสลิม มีกองกำลังติดอาวุธ ๓,ooo คน แกนนำเป็นคนรุ่นใหม่ที่เจ็บแค้นจากเหตุการณ์ตากใบ และ RKK เคยถูกทางการมาเลเซียกวาดล้างจนต้องกลับเข้ามาฝั่งไทย

กลุ่มนี้จึงไม่มีสายสัมพันธ์กับรัฐบาลมาเลเซีย "น.ช.ทักษิณ" คงวางแผนว่าหากเจรจากับ BRN สำเร็จ ก็สามารถใช้ BRN ต่อสายไปยัง RKK แต่จะเป็นเช่นนั้นได้หรือไม่ เพราะ ๘๕ ศพที่ตากใบคือฝีมือของรัฐบาลทักษิณ

เมื่อ ๓ ปีที่แล้วเคยได้ข่าวว่า "น.ช.ทักษิณ" จะแก้ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้ เพื่อทำให้ทุกฝ่ายยอมรับในตัวเขา แล้วใช้เงื่อนไขนี้ทำคุณบูชาโทษกลับเข้าสู่ประเทศไทย

ผมอยากให้ BRN กล่อมให้ RKK วางอาวุธได้สำเร็จ อย่าให้ล้มเหลวเหมือนที่ "น.ช.ทักษิณ" เคยให้ "เบอร์ซาร์ตู" ไปเจรจา แต่คุยไม่รู้เรื่องมาแล้ว

และผมอยากให้ "น.ช.ทักษิณ" กลับมาประเทศไทยรับโทษติดคุก ๒ ปี แต่มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ

รอดูเสียงตอบรับจาก RKK ตามที่กองทัพเขาคาดการณ์ไว้ได้เลยครับ ไม่น่าจะเกินอาทิตย์.


จากคอลัมน์ "อ่านเอาเรื่อง"
นสพ.ไทยโพสต์ ๑ มี.ค. ๒๕๕๖








"เจรจาผิดฝาผิดตัว ระวังไฟใต้ยิ่งกระพือ"


คณะของ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเดิมเปิดการ “พูดคุย” กับกลุ่มขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนกลุ่มแรกในช่วงสายของวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ในประเทศมาเลเซีย

บริบทดังกล่าวถูกจับตามองอย่างมากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะสื่อต่างชาติเกาะติดและวิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้อย่างใกล้ชิด

พล.ท.ภราดร และคณะ เดินทางถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ตั้งแต่เมื่อบ่ายวันพุธที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ด้านหนึ่งเพื่อเตรียมการก่อนการเดินทางเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมประชุมประจำปีของทั้งสองประเทศ (Annual Consultation) ครั้งที่ ๕ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ โดยมีกำหนดเข้าพบหารือกับ นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่ปุตราจายาด้วย

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง คณะของ พล.ท.ภราดร ได้เตรียมเปิดการพูดคุยกับแกนนำขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน จากการประสานงานและอำนวยความสะดวกของทางการมาเลเซีย ตามที่ได้ตกลงกันไว้ช่วงการเดินทางเยือนมาเลเซียอย่างไม่เป็นทางการของ พล.ท.ภราดร และคณะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ให้ฝ่ายความมั่นคงมาเลเซียมีบทบาทเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” (facilitator) ให้เกิดการพูดคุย ขณะที่ พล.ท.ภราดร ในฐานะเลขาธิการ สมช. จะเป็นผู้แทนฝ่ายไทยในกระบวนการพูดคุยกับแกนนำขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนหรือกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐนับแต่นี้เป็นต้นไป

สำหรับผู้นำขบวนการกลุ่มแรกที่เข้าพบปะพูดคุยกับคณะของเลขาธิการ สมช. นำโดย นายฮัสซัน ตอยิบ แกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น โดยมีบุคคลสำคัญของไทยจากหลายฝ่ายเข้าร่วมในวงพูดคุย ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง

นายฮัสซัน ตอยิบ แกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น แต่ก็มีข้อมูลจากการตรวจสอบเรื่องราวเก่า ๆ ระบุว่าเขาเป็นแกนนำองค์กรพูโลสายเก่า พำนักอยู่ในประเทศมาเลเซีย โดยมีข่าวบางแหล่งอ้างว่าเขาเป็นผู้ดูแลเรื่องที่พักให้กับแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนหลายคนระหว่างที่พำนักอยู่ในมาเลเซีย และเคยมีแผนเดินทางกลับมารายงานตัวต่อทางการไทยด้วย

ที่สำคัญนายฮัสซัน ตอยิบ ผู้นี้ ได้ตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อปีที่แล้วว่าร่วมอยู่ในวงพูดคุยเจรจาระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ กับแกนนำขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนหลายคน ที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งในมาเลเซีย

และคล้อยหลังจากนั้นไม่นาน ได้เกิดเหตุคาร์บอมบ์ครั้งใหญ่ที่โรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และที่ อ.เมือง จ.ยะลา ในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี ไม่มีหลักฐานใด ๆ ชี้ชัดว่าเหตุคาร์บอมบ์ดังกล่าวเชื่อมโยงกับข่าวการพูดคุยของอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยกับแกนนำขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน เพียงแต่มีบทวิเคราะห์หลายชิ้นระบุว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ปฏิบัติการอยู่ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบัน ไม่พอใจการเปิดเวทีพูดคุยดังกล่าว จึงก่อเหตุรุนแรงครั้งใหญ่เพื่อส่งสัญญาณ ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่าไม่มีการพูดคุยดังกล่าวเกิดขึ้น และ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

รายงานจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายฮัสซัน ตอยิบ เคยติดต่อประสานงานกับทีมของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตั้งแต่สมัยที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วงก่อนการรัฐประหารปี ๒๕๔๙ ด้วย ขณะที่ในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็มีข่าวว่าพยายามทาบทาม พล.อ.ชวลิต ให้กลับมาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง หรือที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไม่ปรากฏว่าเป็นจริง

นอกจากนี้ น่าสังเกตว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูการพัฒนาตามวิถีวัฒธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา เมื่อวันพุธที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ได้เชิญ นาย Yasri Khan จากสวีเดน ลูกชายของ นายซัมซูดิน คาน แกนนำกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐในอดีต ซึ่งมีการระบุว่าเป็นแกนนำองค์กรพูโล เข้าชี้แจง จากการประสานงานของทีมงานสถาบันพระปกเกล้า

นาย Yasri Khan ระบุว่า รัฐบาลไทยต้องเร่งจัดการพูดคุยกับกลุ่มที่เห็นต่างจากรัฐ ก่อนที่ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะถูกหยิบยกไปเป็นประเด็นนานาชาติ เพราะทั้งสวีเดน สหภาพยุโรป (อียู) และองค์กรความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) ล้วนต้องการยื่นมือเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง

และหากย้อนมอง เมื่อช่วงวันที่ ๒๔-๒๕ กุมภาพันธ์ รายการข่าวโทรทัศน์ช่องหนึ่งได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ นายกัสตูรี มาห์โกตา ที่อ้างตัวว่าเป็นประธานองค์กรพูโลด้วย โดยนายกัสตูรีบอกว่าเขาและพูโลพร้อมเจรจากับรัฐไทย และแม้เขาจะมีเป้าหมายคือเอกราชรัฐปัตตานี แต่ก็พร้อมรับฟังข้อเสนออื่นๆ ของไทย การเผยแพร่ดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากหลายฝ่าย ทั้งบุคลากรของฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายต่างประเทศ นักวิชาการ รวมถึงในสื่อสังคมออนไลน์ อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า สำนักสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ ศอ.บต. ได้นำคลิปวิดีโอบทสัมภาษณ์นายกัสตูรี ไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ด้วย

เมื่อพิจารณาถึงการขับเคลื่อน พบว่าบรรยากาศตอนนี้ ดูเหมือนกลุ่มขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนหรือกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐหลายกลุ่มจับทางรัฐบาลได้ว่าต้องการเปิดการพูดคุยเจรจา จึงเสนอตัวและมีความเคลื่อนไหวหลายด้านพร้อมกัน หรืออีกมุมมองหนึ่งก็อาจเป็นความพยายามของซีกรัฐบาลหรือเปล่าที่ไปจัดเตรียมการ เพื่อให้เห็นว่าปัญหาไฟใต้มีหนทางที่ใกล้บรรลุเป้าหมาย

แต่เหตุใด...พลันที่ข่าวการลงนามของเลขาธิการ สมช.กับแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบปรากฏออกมา แม่ทัพภาคที่ ๔ ได้ออกมาพูดทันควันว่า เรื่องไปเจรจาลงนามครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับทหาร เป็นนโยบายของรัฐบาล แถมยังส่งสัญญาณเตือนไว้ด้วย

เรื่องนี้รัฐบาลต้องระมัดระวัง เพราะกลุ่มที่เสนอตัวพูดคุยส่วนใหญ่ อาจไม่ได้มีส่วนหรืออิทธิพลใดๆ เหนือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ในปัจจุบัน หากมีการส่งสัญญาณผิด อาจทำให้เกิดการก่อเหตุสถานการณ์รุนแรงขึ้นอีก

รัฐบาลจะเสียรังวัดโดยรู้ตัวเมื่อสายเสียแล้ว !


จากนสพ.คม ชัด ลึก ๑ มี.ค. ๒๕๕๖


บีจีและไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor





Create Date : 12 มีนาคม 2556
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 20:33:40 น. 0 comments
Counter : 1155 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.