happy memories
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
13 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 

คนชื่อทักษิณ (๓)






บล็อกคนชื่อทักษิณ (๑)
บล็อกคนชื่อทักษิณ (๒)


"จะเป็นขี้ข้าทักษิณก็เป็นกันไป แต่ประเทศไทยต้องไม่เป็น"
จิตกร บุษบา


ไม่มีประเทศไหนในโลก ทำหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตส่งให้ผู้ร้ายใช้หลบหนีได้อย่างสะดวกสบายหรอกครับ จะมีก็แต่ประเทศไทย ในยุคนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรมว.ต่างประเทศ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ นี่แหละ ที่ทำพาสปอร์ตส่งไปให้ “ทักษิณ ชินวัตร”

ไม่ต้องมีความรู้อะไรมาก คิดง่ายๆแค่ว่า ทักษิณทำผิดกฎหมาย(กฎหมายทุจริต หรือกฎหมาย ปปช.) ต่อสู้คดีในศาล ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี จากคดีที่ดินรัชดา ศาลเปิดช่องให้อุทธรณ์ได้ ทักษิณไม่อุทธรณ์ แต่ก็ไม่รับโทษ เพราะก่อนศาลจะอ่านคำพิพากษา เขาขออนุญาตศาลเดินทางไปดูพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แล้วไม่กลับมาอีกเลย

เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจำคุก ๒ ปี ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล ต้องประสานกับอัยการ ตำรวจ และกระทรวงการต่างประเทศ ติดตามจับกุมทักษิณมาเข้าคุก ตามคำพิพากษาของศาล

แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่เพียงไม่ดำเนินการติดตามจับกุมเท่านั้น ยังอำนวยความสะดวกด้วยการทำหนังสือเดินทางส่งไปให้ บางครั้งมีพฤติกรรมติดต่อกับประเทศต่าง ๆ เพื่อให้วีซ่าทักษิณเข้าประเทศอีกต่างหาก

วันดีคืนดี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง หัวหน้าตำรวจนครบาลก็บินไปให้ทักษิณประดับยศให้ ซึ่งก็ไม่เห็นมีใครเรียกตัวไปคาดคั้นถึงถิ่นที่อยู่ ที่พำนัก ของผู้ร้ายหลบหนีหมายศาลและหมายจับจำนวนมากรายนี้ ทั้งไม่สอบความผิดทางวินัยและจริยธรรมข้าราชการในฐานะตำรวจ(ผู้รักษากฎหมาย) ที่ไปพบผู้ร้าย(ผู้หลบหนีกฎหมาย) อีกด้วย

ถัดมา พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และพวก (กุลธน ประจวบเหมาะ, สุรสิทธิ์ สังขพงศ์) จัดชกมวยที่มาเก๊า แอบอ้างว่ามีถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นรางวัล ก็เชิญทักษิณมาเป็นประธานในงาน ปล่อยให้พล่ามเรื่องการเมืองออกช่อง ๑๑ กรมประชาสัมพันธ์อยู่นานสองนาน แล้วจุดเทียนถวายพระพร ร้องเพลงสดุดีมหาราชา สรรเสริญพระบารมีกันพอเป็นพิธี ก็ไม่มีใครเรียกคนพวกนี้มาสอบอีกว่า รู้หลักแหล่งที่อยู่ ปกปิด หรือให้การช่วยเหลือทักษิณในการหลบหนีหรือไม่

มาบัดนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นคำวินิจฉัย ให้ทั้งรัฐมนตรีฯ ต่างประเทศ และนายกฯ ตัดริบบิ้น ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ซึ่งอธิบายชัดแสนชัด ว่าที่ทำ ๆ กันอยู่นั้นไม่ถูกไม่ต้องอย่างไร

โดยนายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เมื่อวันที่ ๑๒ ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา เพื่อให้สั่งการกระทรวงการต่างประเทศพิจารณากรณีการออกหนังสือเดินทางให้ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๒๑ และให้รายงานผลการดำเนินการให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบภายใน ๓o วันนับแต่ได้รับหนังสือ

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ได้ยื่นหนังสือขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาหาข้อเท็จจริงกรณีกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ ซึ่งเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบแล้ว กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงกลับมาว่า กรณีการออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยสุจริต คืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางให้แก่บุคคลดังกล่าวตามที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ได้มีข้อวินิจฉัยและคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๕ ต.ค. ๒๕๕๔ ว่านโยบายของรัฐบาลปัจจุบันเห็นว่าการคงอยู่ในต่างประเทศต่อไปของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ ตามข้อ ๒๓ (๗) ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ จึงยกเลิกคำสั่งในเรื่องนี้ที่ออกโดยนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว และให้ออกหนังสือเดินทางบุคคลทั่วไปให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ

จากคำชี้แจงดังกล่าว ทำให้ผู้ตรวจฯ เห็นว่าข้อเท็จจริงซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องคำนึงถึงสำหรับประกอบการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้ คือ ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคล ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางให้ตามข้อ ๒๑ ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ หรือไม่ เพราะเป็นจำเลยในคดีอาญาที่ศาลฎีกาออกหมายจับ เป็นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และเป็นบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางออกนอกประเทศตามฐานข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ

"ซึ่งพบว่ากระทรวงการต่างประเทศมิได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณา แต่กลับอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานเดิมเมื่อปี ๔๑ ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา ดังนั้น ที่กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาว่า การออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าข่ายที่กระทรวงจะใช้ดุลพินิจปฏิเสธหรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทางตามข้อ ๒๑ ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ นั้น จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่อาจคลาดเคลื่อนไม่สอดคล้องต่อข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในขณะพิจารณาคำขอหนังสือเดินทาง"

ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศอ้างว่า รมว.การต่างประเทศระบุว่า นโยบายรัฐบาลปัจจุบันเห็นว่าการคงอยู่ต่างประเทศต่อไปของผู้ขอหนังสือเดินทางรายนี้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศนั้น แต่นโยบายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือระเบียบราชการที่มีอยู่ ซึ่งระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. ๒๕๔๘ มิได้กำหนดให้ รมว.การต่างประเทศมีอำนาจดำเนินการในเรื่องนี้ได้โดยตรงไว้เป็นการเฉพาะ

“การใช้ดุลพินิจของปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในการพิจารณาคืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ได้มีการปฏิบัติให้ครบถ้วนตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศฯ และแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงการต่างประเทศกำหนดไว้ ซึ่งแม้นโยบายของ รมว.การต่างประเทศในเรื่องนี้จะสำคัญ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ไม่เพียงพอที่จะหักล้างข้อมูลที่ว่าศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ และศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้ ซึ่งหนังสือเดินทางเป็นเอกสารราชการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศ"

นายรักษเกชากล่าวว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการประสานประโยชน์ของราชการต่อการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของศาลและตำรวจ กระทรวงการต่างประเทศสมควรต้องตรวจสอบไปยังหน่วยราชการดังกล่าวเสียก่อน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบัน และเป็นการขอคำยืนยันสถานะบุคคลและคดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ขอหนังสือเดินทาง เป็นบุคคลเดียวกันกับที่ออกหมายจับไว้ และยังต้องการตัวมาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณต่อไป

แต่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ กลับยืนกรานว่า การคืนหนังสือเดินทางให้ทักษิณนั้น มองว่า โดยทั่วไปพาสปอร์ตมีสถานะเหมือนบัตรประชาชนที่ใช้ในต่างประเทศ เพราะบัตรประชาชนสำหรับคนไทย นำไปใช้ในต่างประเทศไม่ได้ แต่ต้องใช้พาสปอร์ตเพื่อเป็นการแสดงสัญชาติของบุคคลนั้น ๆ ดังนั้น การยึดพาสปอร์ตจึงเปรียบเสมือนการยึดสัญชาติซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง อีกทั้ง ขณะที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ได้สอบถามรัฐมนตรีต่างประเทศชาติอื่นไม่มีประเทศใดในโลกยึดหนังสือเดินทางคนของเขา ซึ่งก็เหมือนยึดสัญชาติของบุคคล

นายสุรพงษ์กล่าวด้วยว่า ได้ย้อนไปดูคำสั่งยกเลิกพาสปอร์ตสมัย นายกษิต ภิรมย์ เป็นรมว.ต่างประเทศ เป็นการยกเลิกโดยอาศัยมาตรา ข้อ ๒๓ (๗) ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ซึ่งระบุไว้ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้ เมื่อพิจารณาเห็นว่าผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง ยังคงอยู่ต่างประเทศต่อไป อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทยและต่างประเทศได้

เมื่อรัฐบาลนี้ไม่เห็นว่าการอยู่ในต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างความเสียหายให้กับรัฐบาล และรัฐบาลไม่มีนโยบายไปไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ จึงคืนพาสปอร์ตให้พ.ต.ท.ทักษิณโดยอาศัยมาตราเดียวกัน ขณะที่ข้าราชการทำตามขั้นตอนทุกอย่างถูกต้องหมด

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ชี้แจงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ ออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า หน้าที่หลักในการชี้แจงคงต้องเป็นกระทรวงการต่างประเทศ เพราะอยู่ในอำนาจหน้าที่ และยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการคืนหนังสือเดินทางดังกล่าว เพราะถือว่าทุกอย่างให้เจ้าหน้าที่ทำตามขั้นตอน และทำตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่

ช่างเป็นขนมผสมน้ำยาบูดจริงๆ นะครับ

๑.) เพราะสุรพงษ์โง่ แกล้งโง่ หรือเพราะเป็นขี้ข้าทักษิณก็ไม่รู้นะครับ เขาจึงเถียงเหมือนคนไร้สมอง ว่าการยึดพาสปอร์ตเท่ากับยึดสัญชาติคน นี่ถ้าเป็นวัยรุ่นเถียงกัน พวกเขาคงสบถดัง ๆ ว่า “ไอ้ควายเอ๊ย!” ออกมาแล้วล่ะ แต่พวกเราเกินวัยนั้นแล้ว ได้แต่นึกอยากเขกหนังหุ้มกะโหลกเลี่ยน ๆ แล้วบอกว่า พาสปอร์ตมันใช่สัญชาติคนที่ไหนล่ะ เป็นเพียงหนังสือรับรองที่รัฐบาลออกให้ เวลาจะไปนอกราชอาณาจักร และเป็นสมบัติของทางราชการ ไม่ใช่ยกให้ถาวร ซึ่งการออกให้ ก็มีระเบียบกำหนดอยู่ ใครขาดคุณสมบัติตามระเบียบก็ไม่ออก คนอื่นที่กระทรวงฯ ไม่ออกให้ หรือยึดไว้ก็มีอีกเยอะแยะ วัยรุ่นก็คงบอกว่า “ไม่เสือกทำใหม่หรือเอาไปคืนให้เขามั่งล่ะ”

๒.) นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ทั้งหนังหน้าและปัญญาสูสีกับรัฐมนตรีจริง ๆ ผู้ตรวจการฯ เขาถามในฐานะ“ผู้บังคับบัญชา” ซึ่งมีหน้าที่“กำกับดูแลให้เกิดความถูกต้อง” กลับดัดจริตบอกว่าดิฉันไม่แทรกแซง ครูบาอาจารย์เขาไม่ได้สอนมั่งเรอะว่า“แทรกแซง” กับ“กำกับดูแล” มันคนละคำกัน อะไรที่เป็นหน้าที่เรา เขาไม่เรียกว่าแทรกแซงหรือ “เสือก” ในภาษาสามัญหรอก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ

๓.) ผมคิดว่า ผู้ตรวจการฯ ก็อย่าไปมัวพิรี้พิไรอยู่เลย เมื่อคุณวินิจฉัยแล้ว ส่งหนังสือเตือนให้ทำเสียใหม่ ให้ถูกต้องแล้ว เขายังไม่ทำตามก็นำเรื่องส่งต่อไปยัง ปปช. ว่าสุรพงษ์กับยิ่งลักษณ์ “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” หรือ “ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ตามมาตรา ๑๕๗ ก็จบ

ขณะที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า “พรรคประชาธิปัตย์จะประสานผู้ตรวจการแผ่นดินว่ามีเอกสารส่วนใดสามารถมอบให้ทางพรรค เพื่อยื่นเพิ่มเติมในการดำเนินคดีกับ รมว.ต่างประเทศ ที่ขณะนี้เรื่องอยู่ในการไต่สวนของ ป.ป.ช.ได้บ้าง”

รอดูกันต่อไปครับ เรื่องนี้ชัดหมดแล้วทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย อย่าให้มันชักช้านักล่ะ ท่านผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะผู้คนจะสิ้นศรัทธากับกฎหมายและการลงโทษกันหมดบ้านหมดเมืองแล้ว

เร่งทำเสียให้ถูกต้อง เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนสุรพงษ์กับยิ่งลักษณ์ที่ไม่ทำให้ตรงไปตรงมาว่า จะเป็นขี้ข้าทักษิณก็เป็นกันไป แต่ประเทศไทย...ไม่เป็น!


จากคอลัมน์ "เส้นใต้บรรทัด"
นสพ.แนวหน้า ๑๗ ก.พ. ๒๕๕๖








"ทศกัณฐ์แห่งระบอบทักษิณ"
สารส้ม




ภาพทศหมึก ที่อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ใช้อธิบายระบอบทักษิณ


ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ยกตัวว่าเป็นประหนึ่ง “ทศกัณฐ์”

“สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ก้าวไม่ข้ามผม เหมือนคิดจะฆ่าทศกัณฐ์ เพราะทศกัณฐ์ถอดหัวใจไว้...”

คำกล่าวของทักษิณ มีนัยที่น่าวิเคราะห์ต่อไป


๑) คำว่า “ก้าวไม่ข้ามทักษิณ” น่าจะใช้ได้ตรงที่สุดกับพฤติกรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งยอมรับหน้าตาเฉยว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” และการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนั้นก็พัวพันอยู่กับเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของทักษิณ ชินวัตร ไม่หยุดหย่อน

ก้าวไม่ข้ามทักษิณ คือ ก้าวไม่พ้นการทำเพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ


๒) คำเปรียบเทียบของทักษิณที่ยกตัวเองประหนึ่งเป็น “ทศกัณฐ์” นั้น มีภาพสะท้อนที่น่าคิดอยู่ไม่น้อย

ทศกัณฐ์ เป็นยักษ์ มีสิบหน้า ยี่สิบกร

ปากแสยะ ตาโพลง มีนิสัยเจ้าชู้

ก็ลองนึกดูว่า พฤติกรรมของทักษิณ โดยเฉพาะการเดินเกมการเมือง บงการ สั่งการ จ้างวาน หรือชักใยการเคลื่อนไหวแสดงบทบาทขององคาพยพต่าง ๆ ในระบอบทักษิณนั้น มักจะมีลักษณะของการเล่นการเมืองหลายหน้าหลายมือ มีเครือข่ายโยงใย สลับสับเปลี่ยนไปมา จนยากที่จะจับได้ไล่ทัน

หน้าหนึ่งอาจจะปรองดอง แต่อีกหน้าหนึ่งอาจแสยะเขี้ยว

มือหนึ่งถือดอกไม้ แต่อีกสิบเก้ามืออาจถืออาวุธ เอ็ม ๗๙

ตามท้องเรื่องเดิม ไม่มีใครฆ่าทศกัณฐ์ได้ เพราะทศกัณฐ์ถอดดวงใจใส่กล่อง ฝากไว้กับอาจารย์ คือพระฤๅษีโคบุตร แม้จะสู้รบกับฝ่ายธรรมะ เปิดศึกสงครามกับฝ่ายพระราม ทศกัณฐ์ใช้ขี้ข้า บริวาร ญาติมิตร ล้มตายแทนตนไปจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ถูกศรพรหมมาศของพระรามปลิดชีพ ทศกัณฐ์พ่ายแพ้แก่ฝ่ายธรรมะในที่สุด


๓) พฤติกรรมของทักษิณ ตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นนายกฯ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีลักษณะคล้ายทศกัณฐ์

อาศัยอำนาจรัฐ เอื้อมือไปเล่นหลายบทบาท ทั้งผู้กำหนดนโยบายแผ่นดิน ผู้ถือหุ้นบริษัทเอกชน ทำให้มีการยักย้ายถ่ายโอนผลประโยชน์ เอื้อประโยชน์แก่ตนเองมากมายหลายกรณี หลายหน้า หลายมือ

ภาพการ์ตูนข้างต้นนั้น เป็นตัว “ทศหมึก” (เกิดจาก ปลาหมึก + ทศกัณฐ์) ซึ่งอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เป็นผู้นำมาใช้ประกอบการอธิบายระบอบทักษิณ แสดงพฤติกรรมการยึดครองบ้านเมืองและถือครองธุรกิจ หากินจากเครือข่ายสาธารณะ มีหลายหน้า ใช้ชื่อโอนหุ้นกันไปมา แค่อำนาจบงการแท้จริงอยู่ที่ตัวหัวบนสุด

ทั้งควบคุมสภา ส.ส. ส.ว. ควบคุมสื่อ ควบคุมพรรค ควบคุมรัฐบาล ควบคุมสัมปทาน ดาวเทียม มือถือ ตลาดหุ้น บิดเบือนใช้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ


๔) วันนี้ ทศกัณฐ์แห่งระบอบทักษิณ กำลังเหิมเกริม อุกอาจ ด้วยลำพองใจว่า “ตนเองถูกฆ่าไม่ตาย”

ทักษิณคุยโว เย้ยหยันว่าฝ่ายค้านคิดจะฆ่าทศกัณฐ์ ไม่มีวันสำเร็จ เพราะทศกัณฐ์ถอดหัวใจไว้แล้ว

ชวนให้นึกถึงข้อเขียนของ “สิริอัญญา” เรื่อง “กล่องดวงใจของระบอบทักษิณ” เขียนไว้หลายปีก่อนว่า

“...ได้เขียนบทความเรื่องสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างธรรมะกับอธรรม ที่มีพระรามหรือพระนารายณ์อวตารเป็นผู้นำทัพฝ่ายธรรมะ กับทศกัณฐ์หรือจอมมารอสูรเป็นผู้นำทัพฝ่ายอธรรม โดยทศกัณฐ์ได้ถอดดวงใจฝากไว้กับพระฤาษีโคบุตร จึงทำให้ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย

จนกระทั่งพระรามมีบัญชาให้หนุมานไปหลอกชิงเอากล่องดวงใจมาจากพระฤาษีโคบุตรได้แล้วทำศึกครั้งสุดท้าย จึงสังหารทศกัณฐ์และเหล่ามารอสูร แล้วนำสามโลกกลับสู่ความเป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง

ช่างบังเอิญเสียนี่กระไรที่เหตุการณ์บ้านเมืองโดยเฉพาะความเป็นไปในระบอบทักษิณแทบจะเหมือนกับความเป็นไปของระบอบทศกัณฐ์ไม่มีผิด

ข่าวคราวที่ปรากฏในขณะนี้ระบุว่าถ้าหากพรรคพลังประชาชนถูกยุบก็จะมีการใช้พรรคพลังไทยทำงานทางการเมืองแทนต่อไป โดยจะมีญาติพี่น้องของคุณทักษิณไม่ว่าจะเป็นคุณยิ่งลักษณ์ หรือคุณพายัพ หรือคุณชัยสิทธิ์ แห่งตระกูลชินวัตรเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อเตรียมเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป

เรียกว่าสร้างและสืบสันตติวงศ์ของระบอบทักษิณก็ว่าได้

สภาพที่เป็นมาและที่จะเป็นไปดังที่เป็นข่าวนั้นก็เหมือนกับการที่ทศกัณฐ์ถอดดวงใจฝากไว้กับพระฤาษีโคบุตร เพราะในวันนี้ถึงแม้จะมีการยุบพรรคก็ไม่สามารถทำให้ระบอบทักษิณสิ้นสูญลงไปได้ เนื่องจากสามารถตั้งพรรคใหม่เข้าแทนที่สืบไปไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะในวันนี้ถึงแม้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งหรือลาออก ก็ไม่สามารถทำให้ระบอบทักษิณสิ้นสูญลงไปได้ เนื่องจากสามารถนำเอาญาติวงศ์พงศามาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนสืบไปไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะในวันนี้ถึงแม้จะมีการยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ไม่สามารถทำให้ระบอบทักษิณสิ้นสูญลงไปได้ เนื่องจากสามารถใช้ “วิถีทางอันไม่ใช่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ” เอาชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

อย่างนี้ ถ้าพูดแบบสำนวนหนังสือกำลังภายในก็พูดได้ว่าระบอบทักษิณบรรลุถึงวิชาไหมฟ้าขั้นสูงสุดที่อยู่ยงคงกระพันแล้ว แต่ถ้าพูดตามภาษาวรรณคดีไทยโดยนัยแห่งรามายนะก็ย่อมพูดได้ว่าระบอบทักษิณได้ถอดดวงใจออกไปแล้ว...”

จากนั้น ลองอ่านคำทำนายของโหร “กรหริศ บัวสรวง” ผ่าดวงเมืองและสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี ๒๕๕๖ พูดถึงชะตากรรมของ “ทศกัณฐ์” ไว้ก่อนหน้า (อย่างกับรู้ล่วงหน้าว่าทักษิณจะมาอ้างว่าตัวเป็นทศกัณฐ์)

เดือนกันยายน ๒๕๕๖ โหรท่านว่า

“...ในทางการเมืองน่าจะได้ผู้นำคนใหม่หรือรัฐบาลชุดใหม่แบบโละทิ้งของเก่าไป เพราะขืนบริหารต่อเรื่อยๆไป ชาติไทยไร้อนาคตแน่ นักการเมืองฝ่ายค้านรุกหนักโดยมีมวลชนเป็นกองเชียร์ การตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้น จนสามารถยื่นให้ป.ป.ช.เชือดได้หลายคน หลายเรื่องทุจริตเดือนนี้มีเงื้อมเงาแห่งการเกิดสถานการณ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้ แต่ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ อย่างชัดเจน ดาวศุกร์ยังโคจรเร่งรุดต่อไปยังภพที่ ๗ ไปรวมกลุ่มกับดาวเสาร์และพระราหู แม้ว่าดาวศุกร์จะได้มาตรฐานเกษตร

แต่ก็เป็นคู่ศัตรูกับดาวเสาร์ที่เป็นพินทุบาทว์รอคอยอยู่แล้ว ดังหลักโหรอ้างอิงไว้ว่า “ศุโกรโคจรลี ถึงราศีที่โสรา สดายุต้องภัยยา เพราะวาจาจนตัวตาย จะเสียหายทรัพย์สิ่งสิน สิ้นชีวาขาดบรรลัย” และดาวศุกร์ถึงพระราหูก็กล่าวไว้ว่า “ศุโกรโคจคลา ถึงฐานาอสุรินทร์ ทศกัณฐ์อายุสิ้น ศรนรินทร์ต้องกายา ลูกเมียและข้าไท จะพลัดพรากจากเคหา เกรงชีวาจะมรณา ด้วยภัยยาแห่งศัตรู” นอกจากนี้ยังต้องอุบาทว์พระยมอีกด้วย

จึงสรุปได้ว่าในช่วงที่ดาว ๓ ดวงนี้มีองศาไล่เลี่ยใกล้เคียงกันในระหว่างวันที่ ๑๗ ถึง ๒๒ กันยายน ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจหยุดพัก อาจยุบสภาหรือลาออก แต่หากยังคงอยู่ต่อไปก็หมดความชอบธรรม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงเดือนนี้ กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว บริหารงานผิดพลาด แต่ละคนอยู่ใต้อิทธิพลของคนเสื้อแดง จึงทำให้ไร้เสียซึ่งศักดิ์ศรี มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มี นอกจากนี้อาจมีคนสำคัญทางการเมืองเสียชีวิต...”

ก็ต้องตามดูต่อไปว่า ใครจะเป็นหนุมานชาญสมร สามารถไปเอา “กล่องดวงใจของทศกัณฐ์” มาปลิดชีพระบอบทักษิณ!


จากคอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส"
แนวหน้า ๘ ม.ค. ๒๕๕๖








"White Lie หรือ โคตรโม้ หรือว่า 'โม้ทั้งโคตร'"
สารส้ม


การโชว์เดี่ยวไมโครโฟน (ปนอ่านเพาเวอร์พอยต์) ว่าด้วยเรื่อง “ยุทธศาสตร์ประเทศไทย” ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และยังพูดซ้ำในรายการโทรทัศน์ของนายกฯ ทางช่อง 11แสดงว่า เป็นความจงใจและต้องการที่จะให้ภาพเหล่านี้ออกสู่สาธารณชนอย่างยิ่งยวด

๑) สิ่งที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำไปนั้น คือ การขายฝันประเทศไทยในปี ๒๕๗o

ในขณะที่ปัญหาของประเทศไทยวันนี้มีมากมายหลายเรื่อง รุมเร้าให้นายกฯ แสดงบทบาทผู้นำในการแก้ปัญหา ไม่ใช่ตีกรรเชียง ลอยตัวหนีปัญหาไปเรื่อย ๆ

ไม่ว่าจะเป็น ปัญหา “กระชากค่าครองชีพ” ปัญหาภาคใต้ ปัญหาหนี้ท่วมประเทศ จำนำข้าว จีทูเจี๊ยะ ผลกระทบจากค่าแรง ๓oo บาท ปัญหาการทุจริตโกงกินงบน้ำท่วม ฯลฯ

การเปิดเวทีให้นายกฯ ได้พูดเรื่องอื่น ที่เป็นความฝันสวยๆ งามๆ
จึงเป็นโอกาสทองทางการเมืองที่จะต้องนำเสนอย้ำๆ ซ้ำๆ เพื่อกรรเชียงตัวเองจากปัญหาในปัจจุบันนั่นเอง

๒) นายกฯยิ่งลักษณ์โม้ว่า ภายในปี ๒๕๗o คนไทยจะ
หายจน

รายได้ต่อหัวคนไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น ๕๔๔,๒๑๓ บาท/คน/ปี

หากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในวันนี้แก้ปัญหาปัจจุบันอย่างดีเยี่ยมแล้วจะมาโม้อย่างนี้ก็คงไม่ว่ากระไร

แต่ด้วยความเป็น “ปูกรรเชียง” ในวันนี้ นี่จึงกลายเป็นคำคุยโม้ที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถึงวันนั้นนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะไปเสวยสุขอยู่ที่ไหน ว.๕ อยู่ที่ใด ไม่มีใครสนใจแล้ว

๓) ปีที่ผ่านมา คนไทยมีรายได้เฉลี่ย ๑๕๕,๙๒๖ บาทต่อคนต่อปี

ถ้าปี ๒๕๗o จะให้มีรายได้ต่อหัวคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น ๕๔๔,๒๑๓ บาท/คน/ปี

หมายความว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์กำลังโม้ว่า จะทำให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น ๓ เท่า ภายใน ๑๕ ปี

เท่ากับว่า มีรายได้ประมาณ ๔๕,ooo บาทต่อเดือน

ในความเป็นจริง... ย้อนดูสถิติ ๑o ปีก่อนหน้านี้ คนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี ๗๙,o๙๘ บาท ๑o ปีต่อมา รายได้เพิ่มขึ้นประมาณ ๑ เท่าตัว แต่อีก ๑๔ ปีข้างหน้า นายกฯ ยิ่งลักษณ์โม้ว่า รายได้จะเพิ่ม ๓ เท่าตัว คนไทยลองใช้สติพิจารณาดูก็แล้วกัน

อันที่จริง อาจเป็นไปได้... หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ปล่อยให้ “กระชากค่าครองชีพ” ทะยานขึ้นไปไม่หยุดด้วยอัตราเร่งแบบนี้

แต่ถึงวันนั้น ปี ๒๕๗o ราคาน้ำมันอาจขึ้นไปลิตรละหลายร้อยบาท

เช่นเดียวกับราคาก๋วยเตี๋ยว

ส่วนค่าเช่าห้องใน กทม. ขั้นต่ำ ก็อาจจะเพิ่มเป็น ๒o,ooo บาทต่อเดือน เป็นต้น

พูดง่าย ๆ ว่า รายได้อาจเพิ่มไม่ทันค่าครองชีพ หรือเงินเฟ้อ

๓) ที่น่าเชื่อกว่านั้น คือ ข้อสงสัยว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์อาจกำลังเคล็ดวิชาเดียวกับรองนายกฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง

นั่นคือการอ้างว่า เป็น “โกหกสีขาว” หรือ White Lie

แกล้งพูดสร้างความหวังและความฝันให้กับผู้คน กลบเกลื่อนความจริงแห่งประสิทธิภาพการทำงานของตนเองในวันนี้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง

จะว่าไปแล้ว ก็เหมือนกับที่ทักษิณ ชินวัตร เคยคุยโวว่าคนจนจะหมดประเทศภายใน ๖ ปี

ซึ่งความจริงที่เจ็บปวดสำหรับคนจนทั้งประเทศ ถูกเปิดเผยจากปากของนายเสนาะ เทียนทอง ในหนังสือ “รู้ทันทักษิณ ๔” บอกว่า

“...ทักษิณมีวุฒิการศึกษา แต่ขาดวุฒิภาวะของการเป็นผู้นำ ไม่มีสภาวะผู้นำ โดยเฉพาะในระดับประเทศลักษณะเฉพาะตัวเหล่านี้ นำไปสู่พฤติกรรมการใช้อำนาจ การกำหนดนโยบาย และการดำเนินนโยบายที่ไม่รอบคอบ สุ่มเสี่ยง และใช้การตลาดเป็นหลัก อาทิ การจดทะเบียนคนจน

ถามว่า จดทะเบียนคนจนแล้วจะทำอย่างไรต่อไป ผมเคยแนะนำว่า น้องไอ้นี่มันทำไม่ได้นะ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ การประกาศสงครามความยากจน แต่เอาเขามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้เป็นสินอยู่ แต่ไม่ใช่คนจน ก็มาจดทะเบียนด้วยนะมันก็จะบานปลายกันไปใหญ่ น้องไปให้เขาจดทะเบียนพี่ไม่เห็นด้วยมองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันทำไม่ได้ มันได้แค่ตัวเลขมาโชว์ตอนเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นมันไม่มีผลจริงแต่ทักษิณบอกว่า “โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ...”

ในเมื่อทักษิณเคยคุยว่ายิ่งลักษณ์นั้น “โคลนนิ่ง” กันมา

แบบนี้ จะเข้าข่าย “โม้ทั้งโคตร” หรือไม่


จากคอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส"
แนวหน้า ๒๘ ม.ค. ๒๕๕๖








"'กิม แซ่ตั้ง - ชิวต๋าซิน แซ่คู"
ผักกาดหอม


เป็นเรื่องน่าเอือมระอากับนโยบายหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. "พงศพัศ พงษ์เจริญ" ถูกเพื่อไทยทำให้เป็นเด็กไม่รู้จักโต

แยกแยะไม่ออกระหว่างนโยบายรัฐบาลกับนโยบายผู้ว่าฯ กทม.

ที่บอกว่าเอือมคือ ขนาดรัฐบาลยังจนปัญญา แต่ยังดันทุรังเอามาใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.

เมื่อวานพรรคเพื่อไทยเปิดมาอีก ๘ นโยบาย ผมเห็นด้วยกับนโยบายแก้ปัญหาการจราจร จะสร้างจะขุดอะไรก็เชิญ แต่ช่วยปราบลูกพรรคเพื่อไทยในกทม.นิด เพราะพวกนี้เคยโจมตี กทม.ว่าไม่ควรสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ควรให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล แต่สุดท้ายเพื่อไทยก็เอา Monorail รถไฟฟ้าขนาดเบามาหาเสียงซะงั้น

ที่เจ็บแสบคือ นโยบายซื้อสินค้าราคาถูก ลดหนี้นอกระบบ ใช้กองทุนชุมชนเมือง ลดรายจ่าย สร้างรายได้ มีแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ

และนโยบายขจัดยาเสพติดให้หมดไปจากชุมชน

ผมถามรัฐบาลนิด ปัญหาสินค้าราคาแพง ปัญหายาเสพติด ตอนนี้รัฐบาลแน่ใจแล้วหรือว่าตัวเองแก้ไขได้ หรือแก้ไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์

นายกฯ ยิ่งลักษณ์ แถลงนโยบายต่อรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ให้ความสำคัญกับ ๒ นโยบายนี้ว่าเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก

วันนั้นคุณเธอแถลงเอาไว้ว่า

"กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น 'วาระแห่งชาติ' โดยยึดหลักนิติธรรมในการปราบปรามลงโทษผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้มีอิทธิพล และผู้ประพฤติมิชอบ โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ยึดหลักผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม พร้อมทั้งมีกลไกติดตามช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ดำเนินการอย่างจริงจังในการป้องกันปัญหา ด้วยการแสวงหาความร่วมมือเชิงรุกกับต่างประเทศ ในการควบคุมและสกัดกั้นยาเสพติด สารเคมี และสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดที่ลักลอบเข้าสู่ประเทศ ภายใต้การบริหารจัดการอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งดำเนินการป้องกันกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไปไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ด้วยการรวมพลังทุกภาคส่วนเป็นพลังแผ่นดินในการต่อสู้กับยาเสพติด"

"แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค"

แล้ววันนี้เป็นไงครับ? วาระแห่งชาติ ยาเสพติดยังเกลื่อนเมือง ข้าวแกงจานละ ๒๕ บาทหาแทบไม่ได้ ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีสรรพกำลังเหนือว่า กทม.มากมายหลายเท่าตัว

ผมถามหน่อย ผู้ว่าฯ กทม.เป็นพ่อมดหมอผีหรือไง ถึงได้มีความสามารถเหนือรัฐบาล แก้ปัญหาได้สารพัด

ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า กรุงเทพฯ คือประเทศไทย ถ้าวันนี้ปัญหาในกรุงเทพฯ ได้รับการสะสางก็เท่ากับปัญหาของประเทศไทยถูกแก้ไขตามไปด้วย

แต่รัฐบาลยังจนปัญญา แล้วเสาไฟฟ้าจะไปทำอะไรได้

ทีมรองผู้ว่าฯ ด้านเศรษฐกิจเป็นใครก็ยังไม่รู้ ผมยังมองไม่เห็นว่า ลำพังตัว "พงศพัศ พงษ์เจริญ" จะแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนได้อย่างไร นอกเสียจากงานเอนเตอร์เทนนายที่ถนัด

หากรัฐบาลบอกว่าจะบริหารแบบไร้รอยต่อ ส่งคนของรัฐบาลมาช่วย กทม. ขอโทษเถอะ! รัฐบาลเอาตัวให้รอดเสียก่อน

คนบ่นกันทั้งเมืองแล้วครับแพงทั้งแผ่นดิน!

ทอล์กออฟเดอะทาวน์ นักโทษหนีคุกคดีคอรัปชั่นที่มีความสำคัญระดับต้นๆ ๓ คนของเมืองไทย ตอนนี้จับได้แล้ว ๑ คือ สมชาย คุณปลื้ม เหลืออีก ๒ คนโกง ประกอบด้วย ทักษิณ ชินวัตร และวัฒนา อัศวเหม ยังลอยนวล

“เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว...ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" ผมมองผลของการจับกุม "กำนันเป๊าะ" ไม่ต่างจากทฤษฎีเคออส

ผมไม่ได้แปลกใจกับการจับกุมกำนันเป๊าะสักเท่าไหร่ แต่สงสัยอย่างมาก ว่าทำไมถึงได้มาจับในช่วงเวลานี้ เพราะรู้ๆ กันอยู่ อดีตเจ้าพ่อชลบุรี เทียวไปเทียวมากรุงเทพฯ-ชลบุรี มาหลายปีแล้ว

เมื่อดูหน้าตาทีมจับกุม ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยมากขึ้นไปอีก แต่หลอดไฟบนหัวผมก็สว่างวาบขึ้นทันทีเมื่อเห็น พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ลงมาเล่นเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ หรือ "เดอะกิ๊ก" คนนี้แหละครับ คือตำรวจตัวจริงที่ประชาชนฝากผีฝากไข้ได้ และต่อไปจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เอาหละครับผมก็ว่าไปตามข่าว ตำรวจเขาได้เบาะแสว่า กำนันเป๊าะหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่เป็น "กิม แซ่ตั้ง" รักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ จึงไปดักจับที่ด่านเก็บเงินทางด่วนลาดกระบัง ถนนมอเตอร์เวย์ขาออก

ตำรวจกองปราบฯ กับสอบสวนกลาง เขาทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว คนผิดต้องได้รับโทษ แต่ที่นอกเหนือไปจากนั้น มันเป็นการเตือนให้รู้ว่า บรรดานักโทษหนีคุกทั้งหลายอย่าชะล่าใจ

อย่าคิดว่าตำรวจทุกคนเกียร์ว่าง หรืออยู่ในคอนโทรลไปเสียทุกคน! คนที่ปฏิเสธระบบ "มีวันนี้เพราะพี่ให้" นั้นมันมีอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

มาดูกันว่า ผีเสื้อขยับปีกแค่ครั้งเดียว พายุเฮอริเคนไปถล่มที่ไหนบ้าง

เบื้องต้นผมบอกได้เลยงานนี้รัฐบาลนอมินีนักโทษชายทักษิณ งงเป็นไก่ตาแตกครับ! เพราะไม่คิดว่าพ่อรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมจะถูกจับตัวได้

ที่จริงน้อยคนที่จะสนใจเรื่อง บิดาบังเกิดเกล้า สนธยา คุณปลื้ม ถูกจับกุมหลังหนีโทษจำคุกมา ๖ ปีกว่า และไม่ได้สนใจว่า "วัฒนา อัศวเหม" จะเป็นรายต่อไปหรือไม่

"น.ช.ทักษิณ" ต่างหากที่ผู้คนเฝ้าดูว่า หลังจากนี้แล้วยังจะกล้าโฉบไปโน่นมานี่เหมือนที่เคยทำหรือไม่ และชะตากรรมในประเทศไทยของ "พี่ชายคนแรก" จะเป็นเช่นไรหากเกิดเพลี่ยงพล้ำขึ้นมา

การจับกุมกำนันเป๊าะมีข้อดีครับ ทำให้เราสามารถแยกตำรวจดี ตำรวจมะเขือเทศออกจากกันได้ ในระดับหนึ่ง

เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๔ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ นั่งรอพบ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ในขณะนั้น ที่บริเวณทางขึ้นลิฟต์อาคาร 1 ซึ่งเป็นทางขึ้นไปสำนักงาน ผบ.ตร. เรียกร้องให้เร่งก่อสร้างอาคารที่พักข้าราชการตำรวจ

ผมยังนึกถึงวันที่ "สารวัตรเหลิม" จะใช้เหตุบ่อนพระราม ๙ เด้ง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ แต่ไม่สำเร็จ ขณะที่ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์" เอาเรื่องบ่อนไปซักฟอก "สารวัตรเหลิม" ในสภาฯ กล่าวหาว่าละเลย นั่นเป็นที่มาของคำสาบานว่า

"ไม่เป็นความจริง หากผมรับเงินจากบ่อนการพนันจริง ขอให้พบกับวิบัติหายนะ"

ครับ...มีคนมองไปไกลว่า คนที่ได้ประโยชน์จากการที่กำนันเป๊าะถูกจับคือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข ๑๑ เพราะเป็นผู้ทำคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะที่เขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

คดีนี้ศาลสั่งจำคุกกำนันเป๊าะ ๕ ปี ๔ เดือน

ผมว่ามันไกล และไม่มีเหตุต้องมาย้ำเรื่องความเป็นตำรวจมือสะอาดของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ในเวลานี้

แต่ผลงานของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ จะส่งผลด้านจิตวิทยากับนักโทษหนีคุกที่ยังเหลืออยู่ในทันที

ไม่แน่ใจว่าวันนี้มีนักโทษหนีคุกคนไหนใช้ชื่อปลอม เป็นชื่อจีน "ชิวต๋าซิน แซ่คู" เหมือนที่กำนันเป๊าะปลอมเป็นอาแปะ "กิม แซ่ตั้ง" มาใช้ชีวิตในเมืองไทยหรือไม่

ถ้ามีช่วงนี้คงชะงักไปสักพัก

เอาหละครับ มันสะท้อนให้เห็นว่า นักโทษที่หนีคุกต้องถูกจับมารับโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อรัฐมนตรี หรือพี่ชายนายกรัฐมนตรี

เมื่อศาลพิพากษาไปแล้วไม่มีข้อยกเว้น แม้คนคนนั้นจะเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยของคนเผาบ้านคนเผาเมือง

ทุจริตซื้อขายที่ดินเขาไม้แก้วเข้าคุกแล้ว ผมไม่ขอนับทุจริตที่ดินคลองด่าน

คงเหลือแค่ทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกที่ยังหลบหนีอยู่

เคยมีคนเห็นครื่องบินเจ็ต รุ่น GLOBAL EXPRESS เลขทะเบียน ๘๘๘ ลงจอดที่สนามบินในภาคเหนือ

ถ้า พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ สนใจ ลองวางสายสืบตามสนามบินในภาคเหนือ รวมทั้งสุวรรณภูมิ และดอนเมืองดู

เผื่อจะดักจับนักโทษหนีคุกได้เพิ่มอีกสักคน.


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๑ ก.พ. ๒๕๕๖








"'เอาวาระทางการเมืองของนายกเป็นที่ตั้ง' แล้วใช้ประเทศเป็นเดิมพัน/แบบฝึกหัดของมือสมัครเล่น"
นายซื่อตรงรักเมืองไทย


อยากจะทำอะไรก็ทำ ตามแนวทางรัฐบาลชุดนี้ หรือต้องบอกว่าตามสไตล์พี่น้องชินวัตร คู่นี้ จึงจะเหมาะกว่าเพราะวิเคราะห์ดูแล้วมีแนวทางแบบเดินตามรอยมาไม่ผิดเพี้ยน

๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ร่างกรอบเจรจาไทย-สหภาพยุโรป เข้าครม.แล้วค่อยทำรับฟังความคิดเห็นตามหลังในวันที่ ๒๓ มกราคม ก่อนจะดันร่างกรอบเจรจาชุดดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมร่วมรัฐสภาตามมาตรา ๑๙o ของรัฐธรรมนูญเพียง ๖ วัน คือเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา โดยไม่มีการแก้ไขใด ๆ ตามที่ที่ประชุมรับฟังความคิดเห็นเสนอไว้ ประหนึ่งเหมือนไม่ได้รับฟัง ด้วยข้ออ้างที่ว่าไม่สามารถแก้เอกสารที่เข้าครม.ไปก่อนแล้วได้

สิ่งที่รู้มา ทำให้ฝ่ายราชการในกระทรวงพาณิชย์ กดดันเป็นที่สุด เพราะคำสั่งตรงจากตึกไทยคู่ฟ้าบอกว่า “ทำอย่างไรก็ได้แต่ต้องการจะไปเจรจากับยุโรปให้ได้ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และต้องมีการลงนามสัก ๑ อย่าง” เทียบเวลาแล้วก็คือช่วงที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ จะไปเยือนสหภาพยุโรปอีกครั้ง ในต้นเดือนมีนาคมนี้ หลังจากไปเยือนเมื่อปีก่อน ซึ่งก็เคยถูกครหามาแล้วว่า ทริปเมื่อปีก่อนเป็นทริปเดินตามรอยพี่ชาย ๑ สัปดาห์หลังจากที่คุณทักษิณ ทัวร์ยุโรปเพื่อตกลงเรื่องธุรกิจ ก่อนจะเป็นที่ฮือฮาเรื่องอู่ตะเภา และวีซ่าเข้าอเมริกาสำเร็จซึ่งก็เป็น ๑ สัปดาห์หลังจากนายกฯยิ่งลักษณ์เยือนสหรัฐอีกเช่นกันแบบบังเอิญสุดสุด

หากแต่ข้อตกลง (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป(อียู)ที่แม้จะเป็นขั้นกรอบเจรจาก็ตาม แต่นี่คือ จุดเริ่มต้นของสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ไม่ใช่สัญญาบริษัทเอกชน ๒ บริษัท ที่จะอาศัยความเห็นของเจ้าของบริษัทหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่กี่คนของสองฝ่ายมาตกลงกัน

การคิดและทำแบบพ่อค้า หรืออาจบอกไปตรง ๆ เลยก็ได้ว่า เอาผลประโยชน์ของพ่อค้าไม่กี่คนไปเจรจาแลกกับผลประโยชน์รวมของคนทั้งประเทศแบบเดียวกับที่เกิดปัญหามาแล้วกับสินค้าเกษตร เมื่อทำ FTA ไทย-จีนหรือการมุ่งเป้าเจรจาแต่ผลประโยชน์เอกชนไทยในธุรกิจโทรคมนาคมในอินเดียแลกกับ FTA ไทย-อินเดีย หรือการได้เงินกู้แบบพิเศษแก่รัฐบาลพม่าแถมถนนฟรีอีก ๓ เส้น แลกกับการให้รัฐบาลพม่าลงนามเป็นลูกค้าชินแซท ในรูปแบบสัญญาเงินกู้แบบพิเศษระหว่างรัฐบาลพม่ากับ EXIM Bank ของไทย

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ความสะเพร่า แต่เรียกว่า “การขัดกันของผลประโยชน์” และทุกอย่างที่กล่าวมาคือ คดีที่ศาลพิพากษาแล้วว่าเป็นการกระทำที่ใช้อำนาจโดยมิชอบและก่อความเสียหายแก่ประเทศและประชาชนโดยส่วนรวม ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ยึดทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติและได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจำนวน ๗๖,๖๒๑,๖o๓,o๖๑.o๕ บาท

รัฐธรรมนูญ ฉบับต่อมา จึงได้กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมต่อการพิจารณาการทำ FTA ตลอดจนสนธิสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าชั้นใดเพื่อไม่ให้รัฐบาลใช้อำนาจบริหารแบบพร่ำเพรื่อในการไปตกลงรับเงื่อนไขระหว่างประเทศแทนประชาชน โดยที่ประชาชนไม่เต็มใจ หรืออย่างน้อยหากฝ่ายการเมืองไม่ว่าพรรคใดใจกว้าง ก็ควรมองว่ากระบวนการที่กำหนดตั้งแต่ชั้นรับฟังความคิดเห็นตลอดจนถึงตามมาตรา ๑๙o ในรัฐสภา จะถือเป็นการช่วยรัฐบาลได้รับรู้ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศและประชาชนที่รัฐบาลไม่อาจรอบรู้ไปซะทุกเรื่องได้ หากยอมรับตรงนี้ได้ก็จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย

หากแต่นายกรัฐมนตรีผู้น้อง อย่างคุณยิ่งลักษณ์ ก็ยังคงมีทัศนคติเรื่องนี้ไม่ต่างจากพี่ชาย เพราะด้วยการผ่าน ครม.แล้วค่อยมารับฟังความคิดเห็นนั้น ย่อมแสดงชัดเจนว่า มีทรรศนะต่อการเคารพเสียงของประชาชนในเชิงต่ำมากจนถึงไม่เคารพเลย แต่อย่างน้อยเมื่อจัดรับฟังแล้ว ซึ่งใครที่เข้าร่วมการประชุมรับฟังครั้งนั้น จะรู้ดีว่าข้อท้วงติงทั้งหลายมีมากมาย กลับไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำใดเลยในการกรอบเจรจา หรือหากเป็นเรื่องของเทคนิคที่เปลี่ยนไม่ได้ ก็ควรถอยไปเริ่มใหม่ มิใช่รีบเร่งแบบนี้ เพราะขนาดนายโอฬาร ไชยประวัติ ประธานผู้แทนการค้าไทย ที่ถูกแต่งตั้งเป็นผู้แทนเจรจาครั้งนี้ก็ยังปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ ด้วยการให้ทีมงานบอกตรง ๆ ว่า เพิ่งได้รับมอบเรื่องนี้มาก็เมื่อกรอบเขียนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งยังไม่ได้ศึกษารายละเอียด ก็ยิ่งสร้างความสงสัยเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์มาก

เจาะเอฟทีเอ ไทย-อียู

ประการแรก สิ่งที่ไทยจะได้หากทำ FTA ฉบับนี้การที่รัฐบาลอ้างถึงความจำเป็นในการทำ FTA เพื่อชดเชย ตัวเลขการค้าไทย-ยุโรป ๒.๙๗ แสนล้าน ที่ไทยอาจสูญเสียจาก การตัดสิทธิพิเศษทางภาษี GSP ของสินค้าไทยในปี ๒๕๕๗

แต่ในความเป็นจริง เราจะสูญเสียสูงสุด ๒,๕๖๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะต้องอยู่ในเงื่อนไขว่าโดนตัด GSP จริงทุกรายการที่เคยได้โดยสหภาพยุโรปไม่ต่อเลย และรายการสินค้านั้น ๆ ผู้ส่งออกไทยไม่สู้แล้วเลิกค้าขายกับสหภาพยุโรปทั้งหมด ซึ่งในความเป็นจริงกรณีไก่สดแช่แข็งที่โดนกีดกันจากสหภาพยุโรปกรณีหวัดนก ก็น่าจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าสุดท้ายเราแทบจะเสียน้อยมากเนื่องจากเอกชนไทยมีการพลิกแพลงรูปแบบสินค้าส่งในรายการอื่นแทน หากแต่ที่สำคัญอีกประการคือ แน่ใจหรือว่าตลาดส่งออกของไทยขณะนี้เราต้องการส่งไปยุโรปเป็นอันดับต้นๆ หรือฐานะการเงินของสหภาพยุโรปเองกำลังเฟื่องฟู ซื้อง่ายขายคล่องแบบในอดีต

ประการที่สอง สิ่งที่ไทยคาดว่าจะเสียประโยชน์หากทำเอฟทีเอฉบับนี้

-ต้นทุนภาคเกษตรกร เกษตรกรไทยจะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์แพงถึง ๓-๔ เท่าตัว และต่อไปจะเป็นห่วงโซ่กระทบต่อความมั่นคงทางด้านอาหาร

-การเข้าถึงยาจำเป็น ประชาชนคนไทยทุกคนจะต้องซื้อยาในหมวดจำเป็น แพงขึ้นโดยที่เรากำหนดไม่ได้เลย

ทั้งสองเรื่องนี้มาจากประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ต้องยอมรับกันเสียทีว่าเรายังไม่พร้อม อย่างเรื่องการเกษตรเมล็ดพันธุ์ แม้เราจะมีความหลากหลายทางชีวภาพตลอดจนความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน แต่กระบวนการให้ความรู้ประชาชนด้านทรัพย์สินทางปัญญาแม้กระทั่งต่อกระบวนการจัดการของรัฐเองก็ต้องยอมรับว่าเรามีเปอร์เซ็นต์การคุ้มครองตนเองที่น้อยมาก ขนาดที่ผ่านมาด้านทรัพย์สินทางปัญญาไทยที่ตั้งกำแพงตนเองตลอดว่าไม่ว่าจะเจรจากับใครแบบไหนกรอบระดับใดจะถูกกำหนดให้เขียนไว้เสมอว่า “ต้องรับไม่เกินไปกว่าความตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก หรือ TRIPS-plus” เราก็ยังเสียเปรียบประเทศพัฒนาแล้วและมีเทคโนโลยีสูงทั้งจากสหรัฐ และยุโรป มาตลอด แต่การลงนามในกรอบที่รัฐบาลจะนำไปเจรจากับยุโรปครั้งนี้ กลับเปิดช่องถ่างขาให้มีการเจรจาในสิ่งที่สหภาพยุโรปต้องการให้ไทยลงนามยอมรับข้อตกลงเงื่อนไขข้อนี้ของเขาให้ได้ ย่อมไม่ใช่แนวทางที่ฉลาดนักเพราะเปิดกรอบให้เขาเจรจาแล้ว ย่อมถอยยาก เช่นเดียวกับเรื่องยาที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าเราไม่ได้มีศูนย์วิจัยยา หรือเอกชนผู้ผลิตยาที่มีนัยสำคัญที่จะแข่งกับตลาดโลกได้เลย ซึ่งในประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาทั้งหลายก็ไม่มีใครเขายอมเจรจาเรื่องนี้ แต่ในกรอบนี้กับมีการเปิดช่องให้มีการยอมรับการผูกขาดข้อมูลยาซึ่งจะนำไปสู่การเปิดช่องให้เจ้าของสิทธิสูตรยาซึ่งก็คือยุโรปเองเข้ามากีดกันไม่ให้โรงงานยาไทยผลิตยาราคาถูกขายในประเทศได้อีกต่อไป บังคับให้ต้องซื้อยาฝรั่งเท่านั้น

หากนายกฯจะบอกว่า เอฟทีเอนี้จะทำให้สินค้าถูกลงก็คงมีอย่างเดียวก็คือ เหล้า บุหรี่นอกจะถูกและนำเข้าง่ายขึ้น รวมทั้งการปกป้องฉลากบุหรี่ ที่อาจทำให้ห้ามมีการติดรูปไม่น่าสูบหรือคำเตือนอันตรายจากบุหรี่ต่อไป

-การเสียสิทธสภาพทางศาล กรอบนี้ มีการเปิดให้มีการเจาจาเรื่องการคุ้มครองการลงทุนของทุนฝรั่ง โดยเปิดโอกาสให้ใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องค่าเสียหายจากงบประมาณแผ่นดินและล้มนโยบายสาธารณะต่างๆ

แม้รัฐบาลจะบอกกับประชาชนว่าได้จัดรับฟังความคิดเห็นไปแล้วเป็นร้อยครั้ง แต่

(๑) ประเด็นคือ ๙๙% ของที่เคยจัดรับฟัง มาจากรัฐบาลก่อน ๆ แทบทั้งสิ้นที่มีการจัดรับฟังอย่างละเอียดและเมื่อรวบรวมความเห็นเสร็จสิ้นรัฐบาลชุดที่แล้วตัดสินใจไม่เจรจาเนื่องจากมีผลเสียมากกว่าได้

(๒) แม้จะมีการเริ่มเจรจากับบางประเทศในอาเซียน แต่ถ้าหากเป็นประโยชน์ต่ออาเซียนโดยรวมจริงเหตุใดการเจรจาอาเซียน-ยุโรป จึงล่มในที่สุด และไทยในฐานะแกนนำกลุ่มประเทศในอาเซียนกลับกำลังหักหลังประโยชน์รวมของอำนาจการต่อรองในนามอาเซียนอย่างนั้นหรือ

(๓) ทั้งสามข้อหลัก(เมล็ดพันธุ์,การเข้าถึงยาจำเป็น,สิทธิสภาพทางศาล)ที่กลุ่มผู้คัดค้าน ตั้งคำถามกับรัฐบาลในการรับฟังความคิดเห็น ตลอดจนในรัฐสภาร่วมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลมีทางป้องกันหรือไม่ อย่างไรหากเกิดปัญหา กลับไม่ได้รับคำตอบหรือการเขียนหมายเหตุข้อห้ามการเจรจาในประเด็นสำคัญนี้แต่อย่างใด การจัดรับฟังความคิดเห็นหรือการนำเข้า ๒ สภา จึงจะ
ไปมีความหมายอะไร

และนี่หรือ คือการยึดถืออุดมการณ์ประชาธิปไตยของ คนที่ชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


“ในชีวิตของคน ความจริงเต็มไปด้วยการขัดแย้ง

ระหว่างผลได้ผลเสียยิ่งยากจำแนกโดยชัดแจ้ง”

(โกวเล้ง จากซาเสียวเอี้ย)


จากนสพ.แนวหน้า ๑ ก.พ. ๒๕๕๖








"ก้าวไม่พ้นทักษิณ"
.ผักกาดหอม


มาคุยกันเรื่องควันหลงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกันอีกสักวันครับ เพราะมีบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจของ "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" นักประวัติศาสตร์หมายเลข ๑ ของประเทศไทย ตีพิมพ์ใน "ข่าวสด" ฉบับวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖

เป็นมุมมองเกี่ยวกับการหยิบประเด็นเผาเมือง เสียกรุง ความกลัว และความเกลียดชัง ทักษิณ ชินวัตร โดยพรรคประชาธิปัตย์ ในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในโค้งสุดท้าย และเป็นผลให้ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ชนะการเลือกตั้งไปเฉียดฉิว

อาจารย์ชาญวิทย์สรุปว่า "พูดสั้น ๆ คือ ก้าวไม่พ้นทักษิณ"

"ก้าวไม่พ้นทักษิณ" เป็นวาทกรรมสาธารณะ ที่การเมืองทุกฝ่าย ประชาชนทุกกลุ่มนำไปใช้ แต่ความหมายกลับแตกต่างชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า

ผมเชื่อว่า อาจารย์ชาญวิทย์มิใช่สาวกทักษิณ เพราะปูมหลังของอาจารย์ยากที่จะประสานเป็นเนื้อเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ที่นำหุ้นไปซุกไว้กับคนขับรถ คนใช้ เพียงแค่มิให้การก้าวสู่การเมืองขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่โดยพฤตินัย คนใช้ คนขับรถ กล้าหือกับเจ้านายแสนล้านอย่างนั้นหรือ?

เอาหละครับ ผมยอมรับด้วยความสุจริตใจว่าจนถึงวันนี้ ผมก็ข้ามทักษิณไม่พ้นสักที ทั้งที่อยากจะก้าวข้ามใจจะขาด จะได้พ้น ๆ ไปเสียที

แต่จะมักง่ายเกินไปหรือไม่ หากเราก้าวข้าม "โคตรโกง" ทั้งที่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแปะไว้ตรงหน้าผาก

พรรคประชาธิปัตย์อาจถนัดในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม แต่ใช่ว่าประชาชนจะเชื่อตามไปเสียหมด พรรคการเมืองนี้เคยเกือบสูญพันธุ์ใน กทม.มาแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ได้โง่เชื่อพรรคการเมืองไปเสียหมด

ความกลัว ความเกลียดชังในตัวทักษิณ มิใช่กระแสที่ปลุกขึ้นมาโดยไม่มีข้อเท็จจริง แต่มันเป็นสิ่งที่ "ทักษิณ" ได้แสดงให้เห็นด้วยตัวเองตลอดเวลาว่า เขาน่ากลัวแค่ไหน

อาจารย์ชาญวิทย์อาจไม่กลัว ที่ทักษิณเป็นผู้ที่จิ้มเอาว่าให้ "พงศ พัศ พงษ์เจริญ" สมัครผู้ว่าฯ กทม.

หรืออาจไม่กลัวที่ "ขวัญชัย ไพรพนา" ออกมาลากไส้ด้วยความภาคภูมิใจว่า การแต่งตั้งนายตำรวจต้องปั๊มตรายางที่อุดรฯ ก่อนส่งไปดูไบ

และไม่กลัวเลยที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นหุ่นเชิดของนักโทษหนีคุก

สำหรับผมกลัวจริง ๆ กลัวว่าหากปล่อยไว้แบบนี้ ประเทศจะถึงกาลฉิบหาย ผมจึงสมัครใจไม่ก้าวข้ามทักษิณในเวลานี้ จนกว่าทักษิณจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นอย่างผู้สำนึกผิด

แต่ยังมีคนหนึ่งที่กลัวกว่าผม เขาคนนั้นคือ "จุมพล ณ สงขลา"อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากคดีซุกหุ้น

"สาเหตุที่ผมตัดสินคดีแบบนี้ ก็เพราะผมเห็นว่าประชาชนเขาพร้อมใจกันเทคะแนนเสียงให้ไทยรักไทย ๑๑ ล้านเสียง นี่คือเสียงสวรรค์ที่ประชาชนพร้อมใจกันเลือกทักษิณให้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๑o กว่าคน จะมาไล่เขาลงจากตำแหน่งได้อย่างไร วันนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าทักษิณผิด ป่านนี้คุณรู้ไหมอะไรจะเกิดขึ้น ขนาดกล้านรงค์ยังต้องหลบออกประตูหลังศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไล่เขาออก ป่านนี้ศาลรัฐธรรมนูญถูกเผาตั้งแต่วันตัดสินคดีไปแล้ว ".


จากคอลัมน์ "อ่านเอาเรื่อง"
นสพ.ไทยโพสต์ ๗ มี.ค. ๒๕๕๖


บีจีและไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor





 

Create Date : 13 มีนาคม 2556
0 comments
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 20:30:06 น.
Counter : 1817 Pageviews.


haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.