happy memories
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
24 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 
เศรษฐกิจไทย (๑)





"ชำแหละดราม่า 'นโยบายการเงิน' (ลิ่วล้อรัฐบาล vs ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ-นักวิชาการอิสระ)"
พัสณช เหาตะวานิช


ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาสังคมนี้อุดมไปด้วยดราม่า"นโยบายการเงิน"ว่าด้วย..เงินทุนไหลเข้า จนค่าเงินบาทแข็ง

ตัวละครฝั่งลิ่วล้อรัฐบาลได้แก่ ๑. ดร.วีระพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ประธานกยอ. อดีตรองนายกฯ สมัยพล.อ.ชวลิต ที่ปรึกษาเศรษฐกิจนายกฯ ทักษิณ-สมัคร อดีตที่ปรึกษาแบงก์บีบีซียุคต้มยำกุ้ง ๒. รองนายกฯและรมว.คลัง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง เจ้าแห่ง White Lie

ตัวละครฝั่งอิสระ ๑. ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ๒. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ อดีตรองนายกฯ และรมว.คลัง ๓. ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการอิสระ ด้านเศรษฐศาสตร์ อดีตประธาน TDRI อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

ต้นเหตุของดราม่าเหล่านี้เกิดจาก สหรัฐฯกระตุ้นเศรษฐกิจของตัวเอง ต้องพิมพ์เงินออกมามหาศาล เงินเหล่านั้นเมื่อหาที่ลงไม่ได้ ก็เลยต้องมาลงกับประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี แต่ย้ำว่า"ดี เนื่องจากบุญเก่าที่ไทยสั่งสมมาช้านาน" ไม่ใช่เพราะนโยบายประชานิยมของรัฐบาลนี้แต่อย่างใด ใครเอามาอ้างเอาหน้า โปรดตอกกลับให้หงายเงิบโดยพลัน

พอเงินทุนไหลเข้ามาในไทยมาก ส่งผลกระทบให้ "ค่าเงินบาทแข็ง" เนื่องจากพอเงินดอลลาร์มีในระบบมาก ค่าของมันก็ลดลงคืออ่อนลง ทำให้ค่าเงินของไทยแข็งขึ้น พูดง่ายๆคือขอเล่นตัวได้ เอาเงินบาทจำนวนนิดเดียวไปแลกกับ 1$ ก็ได้มาแล้ว ไม่ต้องใช้ถึง ๕o บาทกว่าจะได้มาสัก 1$ เหมือนสมัยต้มยำกุ้ง

ถาม: ค่าเงินบาทแข็ง ดีไม่ดียังไง ตอบ: ไม่เป็นผลดีต่อการ "ส่งออก" เพราะต้องรับเงินจากการขายของให้ต่างชาติเป็น ดอลลาร์ แต่สุดท้ายต้องแลกกลับเป็นเงินบาทอยู่ดี พอแลกกลับด้วยอัตราค่าเงินบาทที่แข็ง ก็จะได้เงินเข้ากระเป๋าน้อยลง เช่น เมื่อก่อนขายของ ๑o,ooo$ ได้เงิน ๕oo,ooo บาท เพราะคูณ ๕0บาท/1$ แต่วันนี้บาทแข็ง ได้แค่ ๒๙o,ooo บาท เพราะคูณ 29 บาท/1$ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเป็นการ “นำเข้า” ก็จะได้เปรียบเพราะใช้เงินบาทน้อยลงในการซื้อของเป็นสกุลดอลลาร์เข้ามา

ดราม่า "นโยบายการเงิน" ก็เลยเกิดขึ้น จนเป็นประเด็นว่า ทำยังไงดี กับ เงินทุนไหลเข้า ที่ส่งผลให้ ค่าเงินบาทแข็ง !!!!!?

คู่ปรับครั้งนี้ ก็ตามเคยครับ ฝ่ายหนึ่งก็หาเรื่องเขาเกินหน้าที่ก่อนประจำ "ลิ่วล้อรัฐบาล VS แบงก์ชาติ-นักวิชาการอิสระ"

ฝ่ายรัฐบาลพุ่งหอกมาก่อนโดยให้ ดร.โกร่ง พูดเรื่องให้แบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยลงหน่อย รองนายกฯ เศรษฐกิจ และรมว.คลัง รับลูกทันทีหวังปักศรกลางอกแบงก์ชาติ ให้สัมภาษณ์ เห็นด้วยกับดร.โกร่งด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา แต่ทั้งคู่ลืมไปว่านี่คือ “นโยบายการเงิน” ดูแลโดยแบงก์ชาติอย่างอิสระ แต่ส่วน"นโยบายการคลัง"ในอำนาจหน้าที่ส่วนงานของตัวเอง ก็มีเครื่องมือช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้เช่นกันแต่ไม่ทำ แต่ดันทำตัวเป็นปัญหาด้วยซ้ำที่ทำให้เรื่องนี้แย่ลงเช่น นโยบายประชานิยม ก่อให้ “หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นเป็น ๗๕% ของ GDP เทียบกับ ๕๘% ของ GDP สมัยปี ๒๕๕๒ รัฐบาลอภิสิทธิ์” ซึ่งสร้างความอ่อนแอทางการเงินใช้ประเทศทั้งระบบ

พอแบงก์ชาติโดยผู้ว่าประสารฯโดนหอกเรื่องอัตราดอกเบี้ยพุ่งมาแบบนี้ ก็หยิบโล่ห์ตราพระสยามเทวาธิราช สัญลักษณ์แบงก์ชาติ มาตั้งรับอย่างสง่างาม ด้วยภาระหน้าที่ดูแลนโยบายการเงิน เพื่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศทั้งระบบ ผู้ว่าฯประสารเลยต้องชี้แจงว่า ทุกอย่างมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ดูแลอย่างใกล้ชิด จากข้อมูลรอบด้านที่เหมาะสมอยู่แล้ว นอกจากนี้การลดอัตราดอกเบี้ย ไม่ใช่แค่เครื่องมือเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ และมีการย้อนอย่างสุภาพว่า การลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้เกิด“ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์” (แปลเป็นภาษาชาวบ้านว่า ..อ๋อ อยากให้ลดดอกเบี้ยเอื้อธุรกิจอสังหาฯ ของกลุ่มนักธุรกิจโฟร์ซีซันส์ใช่มั้ย ระวังเถอะ! โลภมากไปจะเกิดฟองสบู่ตอนหลัง)

นอกจากนี้ยังมี หม่อมอุ๋ย นักรบอาสา ในฐานะคนกลางออกมาให้สัมภาษณ์ สนับสนุนผู้ว่าฯ ประสาร ว่า.."เรามี กนง.(คณะกรรมการนโยบายการเงิน) ที่มีความเป็นอิสระ ความรู้มากกว่ารัฐบาลชุดนี้ด้วยซ้ำ หากรัฐบาลเก่งกว่านี้ค่อยน่าฟังและ กนง.ก็ใช้ข้อมูลครบทุกด้านประกอบการตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง คงไม่ตัดสินใจเพราะฟังคนบ้าเลือดมาตะโกนสั่ง"

หม่อมอุ๋ยย้ำต่อ ปักดาบย้ำลึกไปที่ฝั่งลิ่วล้อรัฐบาลอีกครั้งว่า "กนง.มีสติดี รักชาติ เรียนหนังสือมาเยอะ ดังนั้น ปล่อยให้เขาตัดสินใจเถอะ เพราะประธาน (ดร.โกร่ง) ไม่ได้อยู่ในกนง.ด้วยซ้ำ ไม่ดูได้ข้อมูลส่วนนี้ในกนง. ถึงออกความเห็น ก็ไม่มีผลอะไร"

เท่านั้นยังไม่พอ ดร.อัมมารควบม้าถือแส้มาอีกด้านฟาดลิ่วล้อรัฐบาลลงอย่างจัง บอก..“สิ่งที่รัฐบาลให้แบงก์ชาติทำนั้นไม่เห็นด้วย เพราะลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่ได้ แบงก์ชาติต้องดูแลเงินเฟ้อควบคู่ไปด้วย และรัฐบาลเองเป็นฝ่ายที่มีผลให้เงินเฟ้อเพิ่มจากนโยบายประชานิยม เช่นจำนำข้าว คืนภาษีรถคันแรก และลดภาษีนายทุนภาคเอกชน”

ขอสรุปดราม่านัดแรก ของนโยบายทางการเงินของประเทศครั้งนี้ครับว่า...จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด !! รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ก็มีนโยบายการคลัง ที่ต้องบริหารจัดการดูแลควบคู่กับ นโยบายการเงิน ของแบงก์ชาติ และที่สำคัญที่สุด ๒ ส่วนนี้ควรเป็นอิสระต่อกัน

นโยบายการคลัง ของรัฐบาลเองก็มีเครื่องมือทางการคลังไม่น้อยที่จะช่วยลดปัจจัยปัญหาต่างๆ ไม่ให้เกิดขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อย เช่น ลด ละ เลิก นโยบายประชานิยม ที่สิ้นเปลืองงบประมาณซึ่งจะเป็นกระสุนสำคัญของประเทศในยามยาก แต่นอกจากรัฐบาลยังไม่มีวี่แววจะลดแล้ว หนำซ้ำนโยบายประชานิยมของรัฐบาลเองซึ่งได้แก่ จำนำข้าว รถคันแรก ค่าแรง ๓oo บาทนี่แหละ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนให้ประเทศมีเสถียรภาพทั้งด้านการเงิน และการคลัง

หากคนของฝั่งลิ่วล้อรัฐบาลว่างมาก ถึงขนาดต้องมาระรานแบงก์ชาติ ทางเราในฐานะประชาชนคนไทยขอย้ำอีกรอบครับว่า

"จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน" และนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อตัวของท่านเอง และที่สำคัญที่สุด ต่อประเทศไทย..แผ่นดินเกิดที่ท่านต้องแทนคุณ


จากคอลัมน์ "การเมืองเรื่องเงิน ๆ"
นสพ.แนวหน้า ๓ ก.พ. ๒๕๕๖








"รัฐบาลเลอะเลือน เลื่อน เรื้อน"
พัสณช เหาตะวานิช


การกู้ทั้ง ๒ ก้อนรวมกัน เป็นผลให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทุบสถิติรัฐบาลที่กู้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แซงรัฐบาลไทยรักไทย ของนักโทษชายไปอีกหลายช่วงตัว

รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เลื่อนการทำงานหลายสิ่งหลายอย่างที่สุ่มเสี่ยงต่อการส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงของผู้สมัครจากพรรคตัวเอง ไปอยู่หลังเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดยสั่งให้มีการ หยุด ลด ละ เลื่อน “การทำงาน” หลายอย่างให้ช้าออกไป ได้แก่..

๑. การแถลงผลงานตามนโยบายรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารของประเทศต้องแถลงผลงานรัฐบาล ๑ ปีหลังเข้ารับตำแหน่ง และมีการแถลงนโยบายว่า หลังจากใช้เงินภาษีของประชาชนตามแผนในนโยบายที่ประกาศไปแล้ว สำเร็จมากน้อยแค่ไหนแต่ในท้ายที่สุดก็ปรากฏว่า รัฐบาลสั่งการให้เลื่อนไปแถลงผลงาน ในช่วงหลังมีนาคมนี้แทน

นับไปนับมาแล้ว สรุปได้ว่า..

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะแถลงผลงานรัฐบาล ๑ ปี ตอนครบ ๑ ปี ๗ เดือน หรือแปลอีกทางหนึ่งคือ อีก ๕ เดือน จะครบ ๒ ปี

ตลกดีมั้ยครับ กับรัฐบาลที่ปากพร่ำแต่พูด พร่ำแต่โม้ ถึงขนาดมีรองนายกฯ ดูแลด้านการโม้เป็นตัวเป็นตน ติดป้ายชมตัวเองทั่วทั้งเมือง ทั่วทางด่วนนี่ไม่รวมต่างจังหวัดที่ สส.พรรครัฐบาลหลายคนขึ้นป้ายชมตัวเอง บางรายแย่ขนาดขึ้นป้ายว่านักโทษชายฝากชมมาว่า จังหวัดนี้โชคดีที่มีสส.อย่างตัวเอง แบบน่าไม่อาย

...ประชาชนทุกคน ไม่ได้โง่ถึงขั้นไม่รู้ว่า “การติดป้ายว่าทำงาน ไม่ได้แปลว่า ทำงานจริง ๆ”

หรือว่าทั้งหมดนี้ รัฐบาลแค่เพียงกลัวว่า การแถลงผลงานรัฐบาลนั้น จะต้องมีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ แล้วฝ่ายค้านจะมีโอกาสอภิปรายกระชากกะซวกสาวไส้ในหลายๆ ข้อเท็จจริงออกมาให้ประชาชนได้รับรู้ จนทำให้ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรครัฐบาลเสียคะแนน

๒. การออก พ.ร.บ.กู้เงิน ๒.๒ ล้านล้านบาทรัฐบาลมีการเตรียมการจะนำ พ.ร.บ.เข้าครม.มาแล้ว ๓ สัปดาห์ แต่ก็ต้องมีการเลื่อนออกไป ด้วยความกังวลว่า จะถูกชาวบ้านหาว่า “ดีแต่กู้” เหมือนตอนที่เคยไปด่ารัฐบาลที่แล้วเอาไว้เสียๆหาย ๆ จนส่งผลต่อคะแนนเสียง ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่แท้จริงของการใช้เงินกู้ระยะยาวมากก้อนนี้ให้สาธารณชนได้ทราบ รวมทั้งตัวเลขของแหล่งเงินก่อหนี้ และวิธีการหารายได้มาใช้หนี้คืน แต่ก็แว่วมาว่า หนี้ ๒.๒ ล้านล้านบาทก้อนนี้ เมื่อกู้แล้วจะเริ่มใช้คืนในปีที่ ๑๑ คือ ๑o ปีแรกยังไม่มีแผนใช้คืนหนี้แต่อย่างใด สรุปคือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะขอเอาเงินกู้มาใช้ แต่พอถึงเวลาคืน ใครเป็นรัฐบาล ใครเป็นคนต้องหาเงินมาจ่ายก็ Let it be! ช่างแม่มัน..

อีกทั้ง พ.ร.ก.กู้เงิน ๓.๕ แสนล้านบาท ก็ถูกจับได้ว่ามีการใช้ไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ แถมยังมีการเปลี่ยนไส้ในหลายอย่างของขั้นตอนการเบิกจ่ายเงิน และแผนอนุมัติการลงทุนเพื่อให้ง่ายต่อการมุบมิบอีกด้วย นอกจากนี้ประเด็นนี้อาจถูกโยงการกู้ทั้ง ๒ ก้อนรวมกัน เป็นผลให้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทุบสถิติรัฐบาลที่กู้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แซงรัฐบาลไทยรักไทย ของนักโทษชายไปอีกหลายช่วงตัว

ตัวเลขหนี้ต่อหัวประชากร ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ อยู่ที่ ๗๖,ooo บาทต่อคน หากรวมเงินที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะกู้เพิ่มอีก ๒.๒ ล้านล้านบาท บวกรวมเข้ากับเงินกู้น้ำท่วมอีก ๓.๕ แสนล้านบาท จะรวมเป็นเงินกู้ทั้งหมดมูลค่า ๒.๕๕ ล้านล้านบาทจะทำให้ คนไทยมีหนี้ต่อหัวประชากร พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ ๑๑๕,ooo บาทต่อคน ...อย่าลืมใส่ไว้ในการแถลงผลงานรัฐบาลด้วยนะครับ !

หากรัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีเริ่มอนุมัติในหลักการพ.ร.บ.กู้เงิน นักข่าว และฝ่ายค้านก็จะเอาสถิติ ตัวเลข ขุดคุ้ยหาโครงการที่จะทำ มีการไปเก็งราคาที่ดินตรงไหนกันไว้แล้วบ้าง ต่าง ๆ นานา มาเปิดเผยต่อหน้าสื่อ แล้วกระแสข่าวก็จะเบนเข็มจากการโชว์ว่าผู้สมัครผู้ว่าฯ วันนี้ ปีนรถขยะที่ไหนสับหมูมืออะไร ไหว้ขอทานเขตของใคร ไปเป็นการโหมกระพือข่าว หนี้ของประเทศ จนทำให้ผู้สมัครตัวแทนพรรครัฐบาลเสียคะแนนไปไม่น้อยทีเดียว

ทั้งหมดนี้ ส่วนตัวมั่นใจครับว่า ประชาชนคนไทยและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

...ประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร คนเมืองหลวง รู้เท่าทันแผนร้ายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์


จากคอลัมน์ "การเมืองเรื่องเงิน ๆ"
นสพ.แนวหน้า ๑๖ ก.พ. ๒๕๕๖








"เปิดเครือข่ายธุรกิจกุมผลประโยชน์รัฐ"
เฉลา กาญจนา


คำว่า..พวกใครพวกมัน ดูเหมือนกำลังจะแพร่กระจายไปทั่ว แต่ที่เห็นได้ชัด ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้จำนวนมาก เห็นได้จากการวาง "เครือข่าย" เข้ามาสานผลประโยชน์กับโครงการของรัฐและหน่วยงานของรัฐ จากกลุ่มธุรกิจ กลุ่มเครือข่ายการเมือง และกลุ่มอำนาจของใครบางคน

การบริหารบ้านเมืองแบบสมรู้ร่วมคิด หรือการใช้เครือญาติเข้ามาจัดการ เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวด เพราะคำตอบสุดท้ายของการจัดการ คือ ผลประโยชน์นั่นเอง

วันนี้เราลองมาไล่เรียงดู จะเห็นเครือข่ายอำนาจ สานผลประโยชน์แบบกลุ่มก้อนชัดเจนขึ้น เริ่มที่กระทรวงคมนาคม แม้จะมี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รับหน้าที่เป็น รมว.คมนาคม แต่ตัวจริงเสียงจริง ที่อยู่เคียงข้างเป็น "แม่เหล็กใหญ่" คนผู้นี้ถือว่ามีบทบาทสำคัญมาก หากเอ่ยชื่อ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เขาคือ "เสี่ย อ" ซึ่งยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา ในวงการนักธุรกิจด้วยกันรู้จักดี เขายังได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์ปให้เป็นมหาเศรษฐีของไทยมาแล้ว แม้แต่ "นายใหญ่"ยังต้องยอม ส่วนจะมีบุญคุณมาแต่ชาติปางไหน คนที่อยู่ใกล้ชิดรู้ดี

เอาเป็นว่า "เสี่ย อ." สามารถกุมบังเหียนกระทรวงแห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ที่เป็นถนน รถไฟฟ้า เขาคนนี้แหละที่เข้าใจโจทย์ดี ส่วนจะประสานประโยชน์เพื่อประเทศชาติหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม เพราะธุรกิจของเขา ถือว่ามีส่วนได้เสียกับโครงสร้างพื้นฐานไม่น้อย

กลุ่มธุรกิจ อีกกลุ่มที่ถือว่ามีบทบาท มีส่วนได้เสียกับเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง เขาคือ "เสี่ย จ." แม้จะไม่ถูกกับ "นายใหญ่" มากสักเท่าไหร่ แต่ถือว่ามีบารมีพอที่จะเหนี่ยวรั้งเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับใครบางคนได้ในการปรับคณะรัฐมนตรีรอบที่ผ่านมา ก็เพราะธุรกิจอันยิ่งใหญ่ของเขาโยงอยู่กับระบบภาษี ก็ต้องทำอย่างไร ที่จะให้ระบบภาษีเอื้อกับธุรกิจให้มากที่สุด

กระทรวงแห่งนี้ยังมี "เจ๊ใหญ่" เครือญาติทางการเมือง ที่เข้าไปวางรากฐาน โดยส่งเด็กในคาถาไปกุมบังเหียนส่วนราชการเกือบทุกกรม กอง หากใครต้องการติดต่อหรือทำธุรกรรมในกระทรวงแห่งนี้ต้องผ่าน "เครือข่ายเจ๊ใหญ่" สายเหนือเท่านั้น

ความยิ่งใหญ่บนผลประโยชน์ ไม่เฉพาะแต่กระทรวงการคลัง แต่ยังทอดยาวไปยังกระทรวงคมนาคม ในส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และยังวางเครือข่ายยาวไปถึงกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ เรียกว่ายิ่งใหญ่ในสายผลประโยชน์เสียเหลือเกิน

ล่าสุด แว่วมาว่า ถึงขั้น "ล็อก" ผู้ที่จะเข้ามาเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)หรือ ทอท. ล่วงหน้า ก่อนที่จะเปิดสรรหาคนใหม่แทน ว่าที่เรืออากาศโทอนุรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ที่ถูกบอร์ดเลิกจ้างไปหมาดๆ เมื่อ ๒๗ พ.ย.

เครือข่ายสานผลประโยชน์ที่วางกันไว้ ไม่เฉพาะแต่ส่วนที่เอ่ยมา แต่ยังมีอยู่แทบทุกกระทรวง บางกระทรวงถึงขั้นใช้ "บุคคลล้มละลาย" มาเป็นเครือข่ายแสวงหาผลประโยชน์ คอยเป็นเหลือบเกาะกินพี่น้องเกษตรกร เรียกว่าเอาทุกรูปแบบ กินทุกทาง นอกจากนั้น ยังตั้งโต๊ะเรียกเก็บสินบนจากกลุ่มธุรกิจ ที่ไม่ใช่พวกพ้องสูงถึง ๓o% และกำลังกลายเป็นอัตราที่รู้ๆ กันในวงการไปแล้ว

ซ้ำร้ายไปกว่านี้ ยังมีนักธุรกิจจำนวนไม่น้อย ถึงขั้นต้องบินลัดฟ้า เพื่ออาศัยบารมี "นายใหญ่"เคาะว่า จะให้หรือไม่ให้ หากธุรกิจหรือโครงการนั้นเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ

ไม่เข้าใจว่า วันนี้บ้านเมืองเรา บริหารโดยคนแดนไกลหรือใครกันแน่ แต่ที่เห็น ๆ การบริหารงานในหลายกระทรวงของรัฐบาลชุดนี้ กำลังใช้ "เครือข่ายธุรกิจผสมเครือญาติ" บริหารจัดการผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม มากกว่าผลประโยชน์ประเทศชาติ

ฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ จึงอยากฝากไปถึง นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องแสดงภาวะผู้นำ ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด สลายเครือข่ายนี้ให้สิ้นซาก ให้สอดรับกันนโยบายรัฐบาลที่บอกว่าจะจัดการกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ใช่หนุนคอร์รัปชัน !!!


จากนสพ.กรุงเทพธุรกิจ ๑๓ ธ.ค. ๒๕๕๕








"ใครปล้นธนาคารรัฐ?"
สิริอัญญา


กงล้อประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยเดิมได้เสมอ วิกฤตต้มยำกุ้งที่สถาบันการเงินไทยล้มระเนระนาดเมื่อปี ๒๕๔o ก็อาจกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และมีสัญญาณบอกเหตุเตือนภัยที่รุนแรงปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ๆ แล้ว

จึงควรที่ประชาชนและภาคธุรกิจจะได้ตื่นตัวรู้เท่าทันแล้วหาทางป้องกันมิให้วิกฤตนั้นกระทบกระทั่งกระเทือนหรือทำลายกิจการที่สู้ทะนุถนอมมานานปีเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540

วิกฤตต้มยำกุ้งในปี ๒๕๔o เผยโฉมให้เห็นจากการล้มระเนระนาดของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และธนาคาร ทำให้ระบบการเงินของประเทศพังพินาศ ทำให้ธุรกิจทั้งประเทศที่อาศัยสินเชื่อจากสถาบันการเงินและธนาคารต้องพังพินาศวายวอดตามไปด้วย

สถาบันการเงินและธนาคารล้มระเนระนาดในปี ๒๕๔o ก็เพราะมีการฉ้อฉลปล้นเงินโดยพวกใส่เสื้อสูท ทำให้สินทรัพย์ของธนาคารและสถาบันการเงินซึ่งมียอดสูงดูดี และหลอกลวงชาวพาราว่ากิจการมีความมั่นคงแข็งแรง มีกำไร แต่แท้จริงแล้วสินทรัพย์ที่ปรากฏนั้นมีแต่ลม

เพราะมีการฉ้อฉลยักยอกเอาเงินของธนาคารและสถาบันการเงินออกไปเป็นประโยชน์ตนเป็นจำนวนมาก ในที่สุดประเทศชาติและประชาชนก็ต้องเข้าไปแบกหนี้ความเสียหายเหล่านั้นประมาณ ๒ ล้านล้านบาท และจนวันนี้ภาระหนี้ยังคงค้างคาอยู่ในกองทุนฟื้นฟูในธนาคารแห่งประเทศไทยอีกราว ๑.๔ ล้านล้านบาท

ที่ว่าเริ่มมีสัญญาณร้ายปรากฏให้เห็นว่าเหตุการณ์กำลังจะซ้ำรอยปี ๒๕๔o ก็เพราะว่าอาการของธนาคารหลายแห่งกำลังมีอาการอย่างเดียวกันกับสถาบันการเงินและธนาคารที่ได้ล้มไปในปี ๒๕๔o ซึ่งอาการล้มในครั้งนั้นเหมือนกัน คือ มีการโกงยักยอกเงินเอาไป ทำให้สถาบันการเงินต้องถูกปิดกิจการถึง ๕๘ แห่ง และธนาคารอีก ๖ แห่ง

ธนาคารของรัฐในวันนี้ที่มีอาการหนี้เน่าและชัดเจนแล้วว่าใกล้เจ๊งมีอยู่ ๒ แห่ง

แห่งหนึ่ง ปล่อยกู้ประมาณ ๘o,ooo ล้านบาท และขณะนี้ปรากฏตัวเลขหนี้เสียที่ต้องสำรองเป็นหนี้สูญแล้ว ๓๘,ooo ล้านบาท ในขณะที่มีข่าวกระเซ็นกระสายว่าวงเงินที่ต้องตั้งสำรองหนี้สูญที่แท้จริงเกือบ ๕o,ooo ล้านบาท

เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดว่าการปล่อยสินเชื่อถึง ๗๕% ของจำนวนทั้งหมดเป็นการฉ้อฉลยักยอกฉ้อโกงเงินออกไป

แต่ก็ยังมีผู้ห่วงใยว่าหนี้เสียหนี้สูญที่แท้จริงอาจจะมีจำนวนถึง ๙o% ของสินทรัพย์หรือจำนวนเงินที่ปล่อยเงินกู้ทั้งหมด

อีกแห่งหนึ่ง ก็มีหนี้เสียหนี้สูญในวงเงินเท่า ๆ กัน

ที่น่าแปลกก็คือทั้งสองแห่งนี้ ทั้งกรรมการและผู้บริหารล้วนเป็นคนของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งไม่ยอมหลาบจำ ทั้งๆ ที่คดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยที่แม้ธนาคารนั้นยังไม่ล้มแต่ศาลก็ได้ออกหมายจับบรรดาผู้เกี่ยวข้องฐานฉ้อโกงเงินธนาคารจนต้องหลบลี้หนีกันจ้าละหวั่นอยู่ในขณะนี้

มันแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีอำนาจได้ฉวยโอกาสใช้อำนาจทางการเมือง จัดวางผู้คนเข้าไปบริหารจัดการธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ แล้วอาศัยมือไม้ขายตัวเหล่านั้นร่วมกับฉ้อฉลยักยอกปล้นเงินออกไปจากธนาคารของรัฐ

เฉพาะธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้ก็มียอดหนี้เสียหนี้สูญรวมกันถึง ๑๖o,ooo ล้านบาท

เพื่อจะปกป้องพวกพ้องให้พ้นจากความผิด และปกปิดหัวโจกบงการให้ลอยนวลต่อไป จึงมีกระบวนการที่ยืมมือต่างประเทศให้แสร้งทำเป็นแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหา โดยให้มีการนำธนาคารที่เต็มไปด้วยหนี้เน่าดังกล่าวไปควบรวมกับธนาคารของรัฐที่มีฐานะดีอยู่

โดยผลที่แท้จริงก็คือถ่ายโอนหนี้เน่า หนี้เสีย หนี้สูญ และผลขาดทุนจากทุกยอดจำนวนหนี้เสีย หนี้สูญเหล่านั้นให้ไปเป็นภาระของธนาคารที่มีฐานะดีอยู่ เพื่อให้ธนาคารนั้นต้องรับภาระหนี้สินของธนาคารรัฐที่ถูกโกงเอาไป

นี่คือวิธีการปล้นชาติ ปล้นประชาชน ที่เคยทำกันมาตั้งแต่ครั้งก่อนปี ๒๕๔o และที่จริงแล้วก็ไม่ใช่วิธีการใหม่อะไร เป็นวิธีการเดียวกันกับที่นักการเมืองกลุ่ม ๑๖ ร่วมสมคบกับผู้บริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชยการโกงเงินธนาคารออกไปกว่า ๘o,ooo ล้านบาท จนทำให้ธนาคารนั้นล้มลง และเกิดผลกระทบเป็นโดมิโน่ทั้งระบบในเวลาต่อมา

วิธีการปล้นชาติปล้นประชาชนแบบนั้นได้ถูกนำมาใช้กับธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้ และยังนำไปใช้กับธนาคารรัฐแห่งอื่นอีกด้วย

เพียงแต่ขณะนี้ยอดหนี้เสียหนี้สูญปรากฏชัดเจนจากสองแห่ง จนกระทั่งสถาบันการเงินต่างประเทศต้องออกคำเตือน และออกคำเตือนโดยทั่วไปให้ใช้ความระมัดระวังว่าวิกฤตทางเศรษฐกิจการเงินอาจเกิดขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง

ดังนั้นประชาชนชาวไทยทั้งประเทศซึ่งไม่ได้รู้เห็นเป็นใจหรือเกี่ยวข้องใด ๆ กับการโกงชาติปล้นชาติเหล่านั้น แต่ในที่สุดก็ต้องแบกรับภาระหนี้ที่เขาโกงไป เช่นเดียวกับที่กำลังแบกรับภาระหนี้ของกองทุนฟื้นฟูอยู่อยู่ในปัจจุบันนี้

ดังนั้นประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศจึงต้องจับจ้องมองอย่างกะพริบตา และเพิ่มความระมัดระวังกิจการทั้งปวงให้หนาแน่น เพื่อไม่ให้ความพินาศฉิบหายวายวอดซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่ง

ที่สำคัญ ต้องตะโกนดังๆ พร้อมกันว่าจะต้องกระชากจับเอาตัวคนโกงชาติ ปล้นชาติ จากทั้งสองธนาคารนี้ให้มารับผิดตามกบิลเมืองเสียก่อน แทนที่จะช่วยกันกลบเกลื่อนปกปิดให้คนผิดลอยนวล ดังที่กำลังจะทำกันอยู่.


จากคอลัมน์ "บ้านเกิดเมืองนอน"
นสพ.แนวหน้า ๑o ก.พ. ๒๕๕๖








"ธปท.ต้องรีบดำเนินคดีกับมหาโจรเสื้อสูท"
สิริอัญญา


เป็นที่ทราบกันทั่วไปในบ้านเมืองของเราในบัดนี้แล้วว่า มีธนาคารของรัฐอย่างน้อยสองแห่งที่มีฐานะดำเนินการอยู่ในขั้นวิกฤต ซึ่งถ้าหากเป็นกิจการของเอกชน ก็เป็นที่แน่นอนว่าฐานะการดำเนินงานอยู่ในขั้นที่ต้องถูกควบคุมตามกฎหมายแล้ว

การควบคุมกิจการธนาคารหรือสถาบันการเงินคือ แบบอย่างที่เคยเกิดขึ้นให้เห็นมาแล้วเมื่อครั้งเกิดวิกฤตทางการเงินในปี ๒๕๔o นั่นคือ การหยุดหรือปิดกิจการ การตรวจสอบความเสียหาย การดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดกับมหาโจรเสื้อสูท ที่ปล้นสะดมสินทรัพย์ของสถาบันการเงินนั้นๆ ไปดำเนินคดี ซึ่งมีบทปฏิบัติถึงขั้นริบทรัพย์ จำคุก และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เป็นต้น

แต่เมื่อเป็นธนาคารของรัฐก็ย่อมมีอภิสิทธิ์อยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นทางการก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมการดำเนินงานของธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้แล้ว และกำหนดกรอบเวลาในการฟื้นฟูให้แล้วเสร็จภายใน ๙o วัน หรือประมาณ ๓ เดือนจากนี้ไป โดยที่ยังไม่อาจคาดเดาผลข้างหน้าได้ว่าจะออกรูปใด

ธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ ปล่อยสินเชื่อหรือให้กู้ยืมเป็นเงินรวมกันประมาณ ๑๖o,ooo ล้านบาท และตัวเลขที่มีการแถลงว่าเงินที่ปล่อยกู้เหล่านี้ได้กลายเป็นหนี้เสีย หนี้สูญ หรือที่เรียกเป็นภาษานักบัญชีว่าทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือสินทรัพย์จัดชั้นต้องสำรองหนี้สูญเป็นจำนวนถึง ๗๖,ooo ล้านบาท

ในขณะที่มีข่าวซุบซิบกระเซ็นกระสายให้ได้ยินว่าในจำนวนเงินปล่อยกู้ ๑๖o,ooo ล้านบาทนั้น อาจจะมีหนี้เสีย หนี้สูญ ถึง ๑๒o,ooo ล้านบาท

และไม่ว่าจะเป็นหนี้เสีย หนี้สูญ แค่ ๗๖,ooo ล้านบาท หรือ ๑๒o,ooo ล้านบาท มันก็เป็นหนี้จำนวนมหาศาล และทำให้ฐานะการดำเนินงานตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่าเจ๊งแล้ว แต่ที่ยังไม่ประกาศการเจ๊งอย่างเป็นทางการก็เพราะอาศัยอำนาจรัฐ อาศัยอำนาจนักการเมืองคุ้มครองป้องกันช่วยเหลือกันอยู่

หนี้เสีย หนี้สูญ เหล่านี้ชัดเจนเหลือเกินว่าไม่ได้เกิดจากพี่น้องประชาชนคนยากคนจนหรือชนชั้นกลาง แต่เป็นของนักการเมือง ลิ่วล้อบริวารของนักการเมือง ที่ส่งคนเข้ามาเป็นผู้บริหารธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ และปลุกเสกให้ลิ่วล้อบริวารหรือพวกผีโม่แป้งมาขอกู้เงินเอาไปจากธนาคาร โดยมิได้เอาไปดำเนินงานทางธุรกิจแต่ประการใด

คือกู้แล้วก็ไม่มีการใช้หนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จัดเป็นกระบวนท่ากู้แล้วโกงอย่างหนึ่ง คือกู้เงินจากธนาคารของรัฐ แล้วโกงธนาคารของรัฐ ไม่ใช้หนี้ เอาเงินกู้ไปจับจ่ายใช้สอยส่วนตัว นับเป็นการปล้นสะดมโดยคนเสื้อสูทที่สร้างความเสียหายร้ายแรงแก่บ้านเมือง

เป็นวิชาเดียวกันกับการกู้แล้วโกงระดับชาติ คือเอาฐานะของประเทศไปกู้หนี้ยืมสินมาจับจ่ายใช้สอย แล้วฉ้อฉลคอร์รัปชั่นเงินที่กู้มานั้นระหว่าง ๓o-๕o% โดยโยนภาระชำระหนี้ให้เป็นของประเทศชาติและประชาชน

ดังนั้นการกู้แล้วโกงทั้งที่ใช้ในธนาคารรัฐทั้งสองแห่ง และที่ใช้ในวงการเมืองระดับชาติจึงเป็นการปล้นประเทศชาติ ปล้นประชาชนที่ให้อภัยไม่ได้ และเป็นภารกิจของลูกไทยหลานไทยทั้งปวงจะต้องติดตามยึดทรัพย์กลับคืนแผ่นดินให้ได้ในสักวันหนึ่ง

แม้ว่าการกู้แล้วโกงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการเกิดขึ้นในธนาคารของรัฐ แต่มิได้หมายความว่าเมื่อเป็นธนาคารของรัฐแล้วจะไม่มีใครรับผิดชอบในการกำกับควบคุมตรวจสอบ หรือเมื่อเป็นธนาคารของรัฐแล้วจะสามารถโกงกันได้ตามอำเภอใจ

ก็ต้องประกาศให้ดังลั่นสนั่นประเทศว่าผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับ ควบคุม ตรวจสอบในการดำเนินงานของธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้รวมทั้งแห่งอื่น ๆ ด้วย คือหน่วยงานสองหน่วย ได้แก่ ฝ่ายกำกับและตรวจสอบธนาคารในธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานของกระทรวงการคลัง

กล่าวให้ครอบคลุมก็คือธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับควบคุมตรวจสอบในการดำเนินงานของธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้และแห่งอื่นๆ ด้วย

ผู้บริหารของทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และทั้งกระทรวงการคลัง จะต้องเปิดเผยแก่ประชาชนว่าใครโกงธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ ผู้บริหารธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้คือใคร มาจากการเสนอแต่งตั้งของใคร

จะต้องเปิดเผยต่อประชาชนว่าจำนวนเงินทั้งหมดที่กู้ไปเป็นจำนวนเท่าใด และจัดชั้นสำรองหนี้ประเภทต่างๆ แล้วเท่าใด ส่วนที่เหลือมีสภาพที่อาจต้องจัดชั้นสำรองหนี้อีกหรือไม่เท่าใด และการให้กู้เงินเหล่านั้นใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบ

ที่สำคัญ ต้องให้ประชาชนเชื่อและมั่นใจได้ว่ามีใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบในการปล่อยสินเชื่อที่เกิดความเสียหายเหล่านั้น และจะป้องกันแก้ไขความเสียหายเหล่านั้นได้อย่างไร เช่น

การเตรียมการมีคำสั่งห้ามผู้บริหารหรืออดีตผู้บริหารที่ต้องรับผิดชอบเดินทางออกนอกประเทศ หรือ

การอายัดหรือยึดทรัพย์ของผู้บริหารไว้เป็นการชั่วคราวในระหว่างการตรวจสอบ หรือ

การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับควบคุมตรวจสอบตามกฎหมายเพื่อปฏิบัติการรักษาประโยชน์ของรัฐให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพและทันกาล

เพราะถ้าหากปากพูดว่าควบคุม แต่แท้จริงเป็นเพียงแค่การปิดประตูช่วยโจรแล้วไซร้ คนที่มีอำนาจหน้าที่นั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบในสักวันหนึ่ง


จากคอลัมน์ "บ้านเกิดเมืองนอน"
นสพ.ไทยโพสต์ ๑๗ ก.พ. ๒๕๕๖








อย่าบีบ 'ธกส.' กลายเป็น "ธรณีกรรแสง"
สารส้ม


เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ระบายข้าวไม่ได้ ขายไม่ออก เก็บล้นสต็อก เน่าบ้าง ไฟไหม้บ้าง ฯลฯ

ไม่มีเงินไหลเข้ามาให้ใช้ในโครงการจำนำข้าวเหมือนที่คุยโวเอาไว้ ความซวยก็มาตกที่ ธ.ก.ส. หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร


๑) ฝ่ายการเมืองพยายามจะดึงเงินของ ธ.ก.ส. มาถลุงในโครงการจำนำข้าวเพิ่มขึ้นอีกกว่า ๖o,ooo ล้านบาท เพื่อให้สามารถรับจำนำข้าวฤดูการผลิตนาปรัง ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ต่อไปได้

อาการของโครงการับจำนำข้าวเวลานี้ลักษณะคล้ายคนหน้ามืด เงินขาดมือ แถมหนี้สินล้นพ้นตัว


๒) นายบุญไทย แก้วขันตี รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ออกมาสารภาพว่า การรับจำนำข้าวนาปรังที่จะเริ่มในเดือน เม.ย.นี้ จะใช้เงินประมาณ ๑๕o,ooo ล้านบาท กำลังดูว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ลำพังสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.ทั้งหมดมีอยู่ประมาณ ๑๙o,ooo ล้านบาท ต้องใช้ในการดำเนินการปกติทั่วไปของธนาคารประมาณ ๑๖o,ooo ล้านบาท จึงสามารถจะแคะกระปุกออกให้ใช้ในโครงการจำนำข้าวเพิ่มได้เต็มที่ ๒o,ooo ล้านบาทเท่านั้น

ผู้บริหาร ธ.ก.ส. ยืนยันว่า “ธนาคารต้องพิจารณาว่าการใช้สภาพคล่องของธนาคารจะต้องไม่กระทบการดำเนินงานปกติของธนาคาร ดังนั้น ส่วนที่ขาดรัฐบาลต้องดำเนินการกู้ หรือเร่งระบายข้าว เพื่อนำเงินมารับจำนำข้าวรอบใหม่”

แต่ปัญหาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คือ ขายข้าวไม่ออก และได้กู้+ค้ำประกันเงินกู้จนเกือบจะทะลุเพดานไปแล้ว ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถไปค้ำประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ได้อีกเลย

ที่เป็นห่วงกันเวลานี้ คือ กลัวว่าฝ่ายการเมืองจะเข้าไปบีบ กดดัน แทรกแซง หรือบังคับให้ ธ.ก.ส.เอาสภาพคล่องที่ต้องใช้ดำเนินการทั่วไปของธนาคารนำมาใช้ในโครงการรับจำนำข้าวนี้เอาจนได้

ถ้าทำสำเร็จ จะต่างอะไรกับ “ปล้น ธ.ก.ส.”?


๓) เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เพิ่งจะใช้อำนาจแต่งตั้งบอร์ด ธ.ก.ส.ล็อตใหญ่ ได้แก่ นายมนัส แจ่มเวหา ผู้แทนกระทรวงการคลัง, นายสมชาย ชาญณรงค์กุล ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์, นายวีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ ผู้แทน สปก., นางฤชุกร สิริโยธิน ผู้แทนแบงก์ชาติ, นายประยูร รัตนเมธางกูร ผู้แทนสหกรณ์การเกษตร, นายสมหมาย กู้ทรัพย์, นายธนรัชต์ วิเชียรรัตน์, นายวีรพล ปานะบุตร, นายวศิน ธีรเวชญาณ, นายวิรัติ ศักดิ์จิรพาพงษ์, นายทวีป ตันพิพัฒนกุล และนายยรรยง พวงราช อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์

รายชื่อเหล่านี้ หลายคนถูกมองว่าเป็นคนในเครือข่ายของระบอบทักษิณ อาทิ นายยรรยง เคยแก้ตัวเรื่องของแพงทั้งแผ่นดินสุดลิ่ม, นายสมหมาย ทนายของครอบครัว ร.ต.อ.เฉลิม คดีดาบยิ้ม, นายวศิน เคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ยุครัฐบาลสมชาย, นายวิรัติ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคไทยรักไทย เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ จึงถูกมองว่า ระบอบทักษิณเป็นการพยายาม “กระชับพื้นที่”

เพื่ออะไร...

จะเกี่ยวข้องกับการพยายามบีบเอาเงิน ธ.ก.ส. หรือจะควบคุมการดำเนินการของ ธ.ก.ส. มิให้แข็งข้อ หรือมิให้แพร่งพรายความเสี่ยหายที่อาจจะเกิดจากนโยบายของรัฐบาลหรือไม่?


๔) ที่น่ากลัวที่สุด คือ ถ้า ธ.ก.ส. ถูกดึงเข้าไปติดหล่มจำนำข้าว หายนะจะไปตกแก่เกษตรกรไทยทั่วประเทศที่ต้องพึ่งพาเงินทุนจาก ธ.ก.ส.หลายล้านคน (มากกว่าจำนวนชาวนาที่เข้าร่วมโครงการจำนำข้าว)

หาก ธ.ก.ส.ช็อตเงิน ไม่สามารถดำเนินการตามปกติ จะเป็นอย่างไร? ใครเดือดร้อน... เกษตรกร

อย่าลืมว่า ขณะนี้ ธนาคารของรัฐอย่างน้อย ๒ แห่ง คือ ธนาคารอิสลาม และเอสเอ็มอีแบงก์ ต่างแบกภาระหนี้เสียแห่งละกว่า ๔o,ooo ล้านบาท ต้นเหตุสำคัญก็มาจากนโยบายหรือการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง

เรื่องที่ ธ.ก.ส.จะเกิดปัญหาจากอำนาจการเมืองของระบอบทักษิณ เกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย

และเมื่อนั้น ธ.ก.ส. จะกลายเป็น “ธรณีกรรแสง” ทำให้เกษตรกรร้องไห้ทั้งแผ่นดิน!


๕) ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เคยวิพากษ์วิจารณ์ ตักเตือน และแนะนำเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวหลายครั้ง

ประเด็นข้อห่วงใยเกี่ยวกับ ธ.ก.ส. อาจารย์นิพนธ์เคยเตือนไว้ก่อนแล้วว่า

“ถ้ารัฐบาลขายข้าวไม่ได้ รัฐบาลก็ไม่ได้คืนเงิน ธ.ก.ส. และถ้า ธ.ก.ส.ปล่อยกู้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อจะไปกู้เงินในตลาดดอกเบี้ยต้องแพงขึ้น รัฐบาลก็ไม่ค้ำประกันแล้ว ธ.ก.ส.ต้องจ่ายชำระเอง ค่ารับประกันเอง หากกู้เงินมาเข้าโครงการรับจำนำ แล้วรัฐบาลขายข้าวไม่ได้ ท้ายที่สุด ธ.ก.ส.ก็จะมีปัญหาขาดสภาพคล่อง สิ่งที่จะตามมาคืออัตราดอกเบี้ยที่จะกู้ในตลาดจะสูงขึ้น จะกลายเป็นผู้กู้ประวัติไม่ดี ถ้าสภาพคล่องมีปัญหารุนแรงขึ้น จะกระทบเกษตรกร ๙o% ของครัวเรือนที่กู้เงินจาก ธ.ก.ส. หากวันหนึ่งสภาพคล่องขาดสะดุด ธ.ก.ส.ก็จะไม่มีเงินกู้ให้แก่เกษตรกรในการทำการผลิต นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่การดำเนินนโยบายไปดันประเทศและหน่วยงานต่างๆ ไปสู่สภาวะที่เสี่ยงมากขึ้นทุกที..”.

นอกจากนี้ อาจารย์นิพนธ์ยังเคยท้าทักษิณด้วยซ้ำว่าโครงการรับจำนำข้าวแบบนี้ไม่สามารถทำได้ตลอดไป และประเทศไทยจะเผชิญกับวิกฤติเข้าสักวัน

“...เวลานี้รัฐบาลรู้ดี เพราะมีข้อมูลทุกวัน ขึ้นอยู่กับว่าจะลงจากหลังเสืออย่างไรเท่านั้นเอง อย่างไรคุณทักษิณก็ไม่ยอม ผมก็เห็นว่าทำต่อไปเรื่อยๆ อย่าเลิก ประชาชนและชาวนาจะได้รู้สึกสักที นี่คือสิ่งที่ผมคิด และมาพนันกันมั้ย? ว่าถ้าผมชนะ คุณทักษิณจะกลับมาประเทศไทยติดคุก และถ้าผมแพ้ ผมจะลาออกจากทีดีอาร์ไอ”

น่าเสียดายที่ทักษิณไม่ยอมรับคำท้า ยังคงดีแต่โม้ คุยโวอยู่ต่างแดน ถ้าบ้านเมืองวิกฤติเมื่อไหร่ ทักษิณก็ยังสุขสบาย ไม่ได้ร่วมทุกข์ไปกับคนไทยในประเทศ

อย่าปล่อยให้ระบอบทักษิณบีบ “ธ.ก.ส.” จนกลายเป็น “ธรณีกรรแสง” ทั้งแผ่นดิน!


จากคอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส"
นสพ.แนวหน้า ๒๑ ก.พ. ๒๕๕๖








"เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนธปท."
ท่านขุนน้อย ณ ลีลาบุปผากระบี่


ฮื่ออ์อ์อ์อ์...แรกๆ นึกว่าผลจะออกมาเหมือนคู่ ผีแดง-แมนยูฯ เจอกับ ราชันชุดขาว-เรอัล มาดริด คือเสมอ ๑ - ๑ แต่ไป ๆ-มา ๆ ดันออกไปทางคู่ หงส์แดง-ลิเวอร์พูล เจอกับ หงส์ขาว-สวอนซี ไปซะนี่!!! คือถล่มประตูกันเละเทะชนิดแทบไม่ต้องเสียเวลาไปลุ้นรอบต่อไป หรือไม่ต้องเสียเวลามานั่งนับประตูโกลเด้นโกล์ใด ๆ อีกต่อไปแล้ว เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ๒.๗๕ เปอร์เซ็นต์เอาไว้อย่างเดิม ด้วยมติ ๖ ต่อ ๑ ในวาระการประชุม เมื่อวันวานที่ผ่านมา...
    

มีอยู่เพียงรายเดียวเท่านั้นที่ไม่อยากให้รัฐมนตรีคลังและประธาน ธปท.ต้อง หน้าแหก จนเกินไป ด้วยการเสนอให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาซัก o.๒๕ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็อย่างว่า...เรื่องของชาติบ้านเมือง มันคงไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครจะหน้าแหก ไม่หน้าแหก ในเมื่อด้วยเหตุด้วยผลที่ถูกนำมาถกเถียง แลกเปลี่ยนกันอย่างโปร่งใส โดยยึดเอาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง มติของคณะกรรมการ กนง.ในคราวนี้ จึงน่าจะมีส่วนสร้างความมั่นอกมั่นใจให้กับผู้คนทั้งในประเทศ และต่างประเทศได้มากซะยิ่งกว่า การลูบหน้าปะจมูกกันไปวัน ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความแน่วแน่ มั่นคงในการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศได้อย่างเป็นอิสระ โดยไม่ต้องหันซ้าย-หันขวา ตามใบสั่งของใครหรือคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มใด ก็ตาม...
    

อย่างที่ท่านผู้ว่าฯ ธปท. ท่านได้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละว่า เรื่องของความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป ระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารกลางในแต่ละประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ไม่ว่าประเทศไหนต่อประเทศไหน ต่างก็เคยปรากฏให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วไม่รู้ต่อกี่ครั้งกี่หน เพราะถึงจะถือตำราเศรษฐศาสตร์เล่มเดียวกัน แต่การตีความตามตำราในแต่ละวรรค แต่ละประโยคมันย่อมอาจมีผิด ๆ เพี้ยน ๆ กันไปมั่ง หรือระหว่างนักเศรษฐศาสตร์ที่ชอบใช้สบู่ยี่ห้อลักซ์ กับนักเศรษฐศาสตร์ที่ชอบใช้สบู่ตราบัวขาวยังมีสิทธิพิจารณาภาวะฟองสบู่แตกต่างกันไป ตามรสนิยมของใครก็ของมัน เรื่องของการ ลดดอกเบี้ยเพื่อป้องกันเงินไหลเข้ากับไม่ลดดอกเบี้ยเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อและฟองสบู่ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของความคิดความเห็นที่ย่อมผิดแผกแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา...
    

แต่อย่างว่า...ระหว่างที่ท่านผู้ว่าฯ ธปท. ท่านสงบเรียบนิ่งตั้งมั่นอยู่ในที่ตั้ง ฝ่ายท่านรัฐมนตรีคลัง และท่านประธาน ธปท.เองนั่นแหละ ที่กลับออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือจนเกินเหตุ ถึงขั้นเขียนจดหมาย ออกแถลงการณ์ ให้สัมภาษณ์ เขียนบทความ ประเคนอาวุธดอกแล้วดอกเล่าใส่ธนาคารแห่งประเทศไทยชนิดจะเป็นจะตาย กะจะเอาให้น็อกในยกหนึ่ง ยกสอง ให้ดั๊ยยย์ย์ย์อะไรประมาณนั้น ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากมันจะต้องเกิดรายการหน้าแหกขึ้นมาบ้าง มันก็คงไม่ได้แหก เพราะคมศอกคมหมัด ด้วยรอยแข้ง รอยตีนของท่านผู้ว่าฯ ธปท.แต่อย่างใดเลย แต่แหกเพราะตัวรัฐมนตรีคลัง และประธาน ธปท.เองนั่นแหละ ที่ดันเอาหัวไปทิ่มพื้นหรือสะดุดหัวแม่ตีนตัวเอง แล้วเอาหน้าไถไปกับขอบเวที แดงเป็นปื้น ๆ และยับเยินไปด้วยกันทั้งคู่...
     

อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าหลังการประชุมคณะกรรมการ กนง. ผ่านพ้นไปแล้ว ท่านผู้ว่าฯ ธปท. ท่านพยายามส่งเทียบเชื้อเชิญให้มานั่งจับเข่า จับหัวหน่าวปรึกษาหารือกันถึงความคิดความเห็นที่แตกต่างกันอีกรอบ หรือจะเอาแค่กินข้าวกินไวน์ก็ยังได้ เพื่อให้เกิดความเหนียวแน่น ลงตัว เกิดความเป็นเอกภาพในการเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจ โดยมีผลประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้ง แต่จนบัดนี้...ว่ากันว่ายังไม่ปรากฏร่างเงาใด ๆ ทั้งของรัฐมนตรีคลัง และประธาน ธปท. ที่ต่างใช้วิชาตัวเบา เหยียบหิมะไร้รอย และย้ายเงา-สลับร่าง เผ่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้!!! จะเป็นเพราะเคยปรารภปรามาสเอาไว้ถึงขั้นว่า ไม่รัฐมนตรีคลังไป...ก็ผู้ว่าฯ ไปหรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจคาดคำนวณได้ ความพยายามที่จะหลอมรวมให้เกิดความเป็นเอกภาพ ระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง ภายใต้สถานการณ์อันตราย ระดับก่อให้เกิดวิกฤติไปทั่วทั้งโลก มันจึงยังไม่ถึงกับราบรื่น พอได้โล่งอก โล่งใจ กันซักเท่าไหร่นัก...
     

แต่ก็เอาเถอะ...ถ้าหากรัฐมนตรีคลัง ยังไม่ถูกถีบออกไปจากโผปรับ ครม.ครั้งใหม่ ด้วยเวลาที่ทอดยาวออกไป ทุกสิ่ง ทุกอย่าง มันน่าจะพอพูด ๆ กันได้มั่ง กลัวแต่ว่าในเมื่อทีมชาติไทย ดันตกรอบแพ้คูเวต ตั้งแต่ยังไม่ทันได้กางมุ้ง อดีตผู้จัดการทีมชาติไทย อย่างรัฐมนตรีคลัง จะล่องจุ๊นตามไปด้วยหรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปชะตากรรมได้ชัด ๆ โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงการคลัง ภายใต้การบริหารจัดการของท่านรัฐมนตรีในช่วงหลัง ๆ นี้ ชักต้องหันไป หายใจทางเหงือก หนักขึ้นเรื่อย ๆ ไอแบงก์ ก็ดันไอค็อก ๆ แค็ก ๆ ไอกระด๊อกกระแด๊ก ชนิดซัดยาแก้ไอชวนป๋วยปี่แป่กอ เข้าไปเป็นโหล ๆ ก็ยังไม่หายไออยู่จนทุกวันนี้ เอสเอ็มอีแบงก์ ก็แทบจะต้องเปลี่ยนโลโก้ เปลี่ยนชื่อแบรนด์เนมกันใหม่ กลายเป็น เอสโอเอสแบงก์ ที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่านั้นก็คือ แบงก์ ธ.ก.ส. ที่ถ้าหากยังไม่สามารถทวงหนี้จากกระทรวงพาณิชย์ ได้เลยแม้แต่บาทเดียว ไม่ว่าจะไปหาที่กู้ใหม่ ไปควักเอาเงินสภาพคล่อง ออกมาอีกกี่ล็อต ต่อกี่ล็อต ก็แล้วแต่ ยังไง ๆ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้อง ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ไม่วันใดวันหนึ่งจนได้...
     

ด้วยเหตุนี้...การที่ท่านรัฐมนตรีคลัง รวมทั้งปลัดกระทรวงการคลัง ท่านหันไปทุ่มเทเวลา ให้กับการตามทวงหนี้จากกระทรวงพาณิชย์ จนแทบไม่มีเวลามากินข้าว กินไวน์ กับผู้ว่าฯ ธปท.ในช่วงนี้ ก็ถือเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ และน่าอนุโมทนาด้วยซ้ำ ไม่ว่าในอนาคตข้างหน้า ท่านจะอยู่หรือไปก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากกระทรวงการคลัง สามารถไล่บด ไล่บี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ คายอ้อยออกมาจากปากช้าง ได้อย่างเป็นเนื้อ เป็นหนัง บ้างแล้ว อย่างน้อย...ไม่ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลังรายใหม่ โอกาสที่จะอ้างโน่น อ้างนี่ แล้วหันไปควักเงินจากย่ามหลวงตามหาบัว มาใช้จ่ายแบบอีลุ่ย ฉุยแฉก กันอีกครั้ง มันอาจพอได้ลดๆ เงื่อนไข ข้ออ้าง ลงไปได้บ้าง...
    

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Gulzariral Nanda (อีกครั้ง)...Simple living will automatically prevents corruption. The less the need, the lesser the need for money. - การกินอยู่อย่างง่ายๆ ช่วยป้องกันมิให้เกิดการทุจริตได้โดยอัตโนมัติ ความต้องการมีน้อยเท่าใด ความจำเป็นที่จะต้องหาเงินก็จะมีน้อยเท่านั้น...


จากนสพ.ไทยโพสต์ ๒๒ ก.พ. ๒๕๕๖


บีจีและไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor





Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 20:42:20 น. 0 comments
Counter : 1140 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.