happy memories
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
16 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
พระพายัพ ชินวัตร





"'อาณาจักร-พุทธจักร' ที่เป็นไป"
เปลว สีเงิน


บ้านเมืองถึงยุค "สวรรค์ปิด-นรกเปิด" แล้วหรืออย่างไร มนุษย์ขี้เหม็นตลอดถึงพระสงฆ์องคเจ้าจึงได้วิปริตผิดเพี้ยนจากทำนองคลองธรรมและจารีตประเพณีไปกันหมด ณ วันนี้ ราชอาณาจักร-คล้ายทักษิณยึด, รัฐบาลผู้บริหารราชอาณาจักร-คล้ายส่งน้องสาวสมคบข้าราชการบางส่วนยึด, และพุทธจักร-คล้ายกำลังปูทางให้น้องชายสมคบบางสมณะโล้นยึด..........

เห็นแล้วก็น่าขันทักษิณ และน่าหยันคนรัฐ-สมณะโล้นซะจริง ๆ!

ก็ไม่ตั้งใจพูดเรื่องนี้ แต่ฟัง "พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์" หรือพระนวกะ คือพระผู้บวชใหม่ชื่อ "พระพายัพ ชินวัตร" ให้สัมภาษณ์

ฟังอธิบดีกรมศาสนาพูด ฟัง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พูด ฟังรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธฯ พูด และเห็นความเคลื่อนไหวจากผลประชุมมหาเถรฯ เมื่อวาน (๒๐ ก.พ.๕๖)

กูต้องพูดบ้าง!

ทั้งพระ-ทั้งข้าราชการ ทำไมจึงเห็นกงจักรเป็นดอกบัว-เห็นดอกบัวเป็นกงจักรกันไปได้ถึงปานนี้ นับวันจะกระเย้อกระแหย่งแข่งขันเปลือยสันดานอสัตย์ต่อบ้านเมืองอวดกัน ว่าข้า..ว่าฉัน เป็นคน "ระบอบทักษิณ" ชนิดไม่เกรงฟ้า-กลัวดินกันแล้ว

เวลานี้ แต่ละหน่วยราชการและองค์กรรัฐ หลายๆ ส่วน ค่อนข้างชัด ปฏิบัติการงานแห่งรัฐ-แห่งศาสน์เพื่อสนองตัณหาซาตานที่หวังเปลี่ยนบ้าน-เปลี่ยนเมือง-ล้มสถาบัน แลกกับเงินทองบ้าง แลกกับตำแหน่งหน้าที่บ้าง แลกกับผลเอื้อทางธุรกิจบ้าง

ทำกันแบบเหิมเกริม อะร้าอร่าม เย้ยฟ้า-ท้านรก ไม่แคร์ใครจะรู้-จะเห็น-จะจับได้ และต่อให้รู้-ให้เห็น หน้าไหน...ใครจะมาทำอะไรพวกกูได้ เพราะระบบรัฐวันนี้ มันอยู่ที่ "ระบอบทักษิณจะบันดาล (โว้ย)"

ปีกว่า ๆ ของรัฐบาลระบอบทักษิณ.....

งานยึดครองประเทศคืบหน้าตามแผน "แดงทั้งแผ่นดิน" ไปมากแล้ว นอกจากมอมชาวบ้านด้วยการหว่านประชานิยมแล้ว การยึดบอร์ด-ยึดงบฯ และเปลี่ยนหัวตำแหน่งหลัก ตั้งแต่ปลัดยันระดับ ผอ. ตั้งแต่ประธานบอร์ด ยันกรรมการ

ข้าราชการคนไหนซื่อสัตย์ ทำงานดี แต่ถ้าไม่สนองตอบระบอบทักษิณ ถูกย้ายหมด!

ลองสังเกตดู ครม.แต่ละนัด แทบไม่เว้นเอาคนระบอบแดงเข้ามาฝังตัวในระบบราชการงานเมืองผ่านตำแหน่งข้าราชการการเมืองบ้าง บอร์ดรัฐวิสาหกิจแทบทุกแห่งบ้าง องค์กรตามรัฐธรรมนูญ-องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญบ้าง

กระทั่งแต่ละกระทรวงเงิน-กระทรวงทอง จะมีคนระบอบทักษิณ สุดแต่ละกระทรวงไหน ว่าเจ๊ไหน-เฮียไหน-พระครูไหน เป็นเจ้าของโควตา ก็จะมีคนเข้ามาตั้งโต๊ะช่วยอำนวยบูรณาการกับทางราชการ เรียกกันในวงการนี้ว่า "ระบบอันเดอร์ เดอะ เทเบิล"

เนี่ย..วัน-สองวันนี้ก็คงมีอีก แว่ว ๆ ว่าที่กระทรวงพาณิชย์ภายใต้โควตาเจ๊ เตรียมวางตัวข้าราชการสายแดงเข้ายึดเก้าอี้อธิบดีอีกตัวแล้ว คือเก้าอี้ "อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา" ตอนนี้อยู่ระหว่าง จัดแถว "รอเสียบ" เตรียมตั้งซี ๑๐ ไปจ่อตูดไว้ก่อน

ถามคนสายกระทรวงพาณิชย์ว่า...แล้วกรมนี้ ไม่มีรองฯ ระดับซี ๑๐ ที่จะพิจารณาขึ้นไปบ้างหรือ เขาบอกว่า...มี เช่นรองฯ กุลณี อิศดิสัย เป็นซี ๙ มา ๑๐ ปี และเป็นรองอธิบดีมา ๖ ปี แต่เพราะรองฯ ท่านนี้ไม่ยอมปรับสี ยึดมั่นในความเป็น ข้า-ราชะ-การ เหนียวแน่น

พวกซี ๙ ที่เพิ่งขึ้นมาคนละปี แต่ยอมปรับสีเข้าระบบบูรณาการแล้ว ๒-๓ คน ก็เลยได้คิว ข้ามหัวอาวุโสเข้าไปอยู่ในลิสต์ "สุดแต่เจ๊ประทาน"

ตอนนี้ต่างคนต่างแย่งกันสร้างผลงานให้เข้าตาเจ๊ และใน ๒-๓ คนนี้ จะมีซี ๙ ปีเดียว ๑ คน โดดขึ้นเป็นซี ๑๐ จ่อคิว "ว่าที่-อธิบดีกรมทรัพย์สินฯ" คนต่อไป ส่วนจะเป็นคนไหนนั้น ก็คงอยู่ที่ใครจะไป "เพิ่มสี" ตัวเองได้ "จุใจเจ๊" นั่นแหละ

ถามว่า...ยิ่งลักษณ์รู้เรื่องระยำตำบอนพวกนี้บ้างไหม และคิดจะแก้ไข ด้วยยึดระบบอาวุโสไว้บ้าง คำนึงผลงานและหัวจิต-หัวใจคนทำงานด้วยสัตย์-ด้วยซื่อบ้างหรือไม่?

"มติ ครม." ที่จะออกมา นั่นจะถือเป็นคำตอบของหัวหน้ารัฐบาล!

ดูปฏิบัติการระบอบทักษิณยึดแต่ละยูนิตประเทศฝ่ายอาณาจักรก่อนจะดีเดย์ไปแล้ว ก็มาดูการคืบคลานเข้ายึดฝ่ายพุทธจักรบ้าง ระบอบทักษิณกับลัทธิจานบิน ประสานเป็นตาข่าย "แยกกันเดิน-ร่วมกันยึด" เนิบ ๆ แต่หนักหน่วง และกินลึก

ภายใต้การ (ทำเป็น) ไม่รู้-ไม่เห็นจากทางคณะสงฆ์ และทางสำนักงานพระพุทธฯ ทางกรมศาสนา!?

เพ่งเล็งผ่าน "ความเป็นไป" ผ่านตัวตน "พายัพ ชินวัตร" น้องชายอดีตนายกฯ ทักษิณ, พี่ชายนายกฯ ปัจจุบัน และประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย

โกนหัว-เอาผ้าเหลืองพันตัวปุ๊บ บวชเป็นพระปั๊บ "สมเด็จพระธีรญาณมุนี" วัดเทพศิรินทราวาส อวยยศ ตั้งเป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง "พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์" ในทันที-ทันใด

พระทำได้ แต่ฆราวาส-ญาติโยม "เจริญพร" กันพึม!

ผมก็อยาก "ทำใจ" ตรงนั้น แต่ฟัง "นายปรีชา กันธิยะ" ใช้ตำแหน่ง "อธิบดีกรมการศาสนา" ฟอก "ตำแหน่งพระครูปลัดฯ" เหมือนเห็นชาวบ้านโง่เป็นควายไม่รู้-ไม่เข้าใจเกี่ยวกับยศช้าง-ขุนนางพระอย่างนั้นแหละ ที่ว่าทำใจ ก็เลย..ใจแตก

"การแต่งตั้งพระพายัพเป็นพระครูปลัดฯ นั้น เป็นเพียงแค่การตั้งฉายาของพระอุปัชฌาจารย์เท่านั้น ไม่ใช่สมณศักดิ์ตามที่หลายฝ่ายเข้าใจแต่อย่างใด...."

ฉายาคือ "ชื่อใหม่" ที่พระอุปัชฌาย์ตั้งให้สำหรับพระบวชใหม่ทุกคน ชื่อใหม่ของพายัพคือ "เขมคุโณ" เรียกให้ถูกตามภาวะก็คือ "เขมคุโณ ภิกขุ" แต่คนทั่วไปด้วยไม่เข้าใจบ้าง ด้วยเรียกง่ายเข้าว่าบ้าง จึงเรียกว่า "พระพายัพ" ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร

แต่คำว่า "พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์" นั้น ไม่ใช่ฉายา คำว่า "พระครูปลัด..." คือยศพระอันบอกตำแหน่งฐานะทางการปกครองสงฆ์ ส่วนคำต่อท้าย "...สัมพิพัฒน์ญาณจารย์" เป็นสร้อยประดิด-ประดอยคำขึ้นมาให้มันดูขลังเท่านั้น

โดยปกติ เอาชื่อเจ้าตัวไปต่อท้ายตำแหน่งก็เหลือหลายแล้ว เป็น "พระครูปลัดพายัพ" นี่ก็คงกลัวจะยับน้อยไป ก็เลยประดิษฐ์สร้อยให้กันซะอะร้าอร่าม

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) บอกว่า.........การแต่งตั้งพระฐานานุกรมนั้น เป็นสิทธิ์ที่พระราชาคณะตั้งแต่ชั้นสามัญขึ้นไปสามารถทำได้อยู่แล้ว โดยพิจารณาจากพระสงฆ์ผู้ซึ่งมีความเหมาะสม และเหตุผลของพระราชาคณะรูปนั้น โดยไม่ต้องแจ้ง พศ.

นี่มันเป็นการพูด "ความจริงครึ่งเดียว" ใช่...พระราชาคณะมีสิทธิ์ตั้งได้ แต่ไหน...ตอบซิว่า มันถูกตามจารีตประเพณี ตามแบบแผนพึงปฏิบัติ และมีพระราชาคณะรูปไหนบ้าง ที่ตั้งพระบวชใหม่ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศีลคืออะไร ธรรมคืออะไร ให้เป็นพระฐานานุกรมแบบนี้?

อ้างพิจารณาจากสงฆ์ที่มีความเหมาะสม...น้องทักษิณ พี่ยิ่งลักษณ์ หัวหน้า ส.ส.เสื้อแดง สมุนล้มแผ่นดิน และมีเงินทำบุญ เนี่ยนะ...."ความเหมาะสม"?

ฟังเจ้าตัว "พระพายัพ" พูดถึงตำแหน่งทางปกครองสงฆ์ที่ได้รับบ้างว่า เขารู้สึกและเข้าใจอย่างใดต่อฐานานุกรมนั้น

"ก็คล้ายรับปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นกรณีพิเศษที่สมเด็จพระธีรญาณมุนีเห็นว่าอาตมาสร้างวัดมามาก ทำนุบำรุงศาสนาและปฏิบัติธรรมมาเยอะ เป็นความเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา ตำแหน่งนี้ก็เพื่อส่วนหนึ่งของศาสนา อนุเคราะห์หมู่สงฆ์ต่อไป ดังนั้น จึงเป็นภาระตำแหน่ง ไม่ใช่ความยินดี อย่างไรก็ตาม วันที่ ๒๓ ก.พ.นี้จะกลับประเทศไทย เพราะมีเทศน์ที่สวนอัมพรร่วมกับพระพยอม"

คล้ายปริญญาเอก........โอ๊ยยยย...กูจะบ้าตาย รับตำแหน่งนี้เพื่ออนุเคราะห์หมู่สงฆ์ พายัพจะมาเทศน์กับพยอมในงานครบรอบ ๓ ปีเครือข่ายวิทยุของพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๒๓-๒๔ ก.พ. เอาธรรมะข้อไหนมาเทศน์โปรดญาติโยมล่ะท่านพระครูปลัดพายัพ?

เห็นตั้งแต่บวช เอาแต่ขะมักเขม้น "ส่งไลน์" หยอกเย้ากระเซ้าแหย่สาวแก่แม่ม่ายบ้าง สั่งซื้อหุ้น-ขายหุ้นให้วุ่นไปหมดในแต่ละวันบ้าง ไลน์อวยพร เบิร์ธเดย์ คนนั้น-คนนี้บ้าง ยังดีนะที่ไม่ไลน์ในเรื่องธุรกิจสัมปทาน

นี่ใช่เปล่า...คุณสมบัตินำไปสู่เหตุผลที่ "สมเด็จพระธีรญาณมุนี" ตั้งพระพายัพเป็นพระฐานานุกรม?

อ้อ...เมื่อวาน ที่วัดสระเกศฯ มีการประชุมมหาเถรสมาคม เรื่องหนึ่งคือ มีการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเพิ่มเติมอีก ๕ รูป "สมเด็จพระธีรญาณมุนี" ได้รับการแต่งตั้งด้วย.


จากคอลัมน์ เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๑ ก.พ. ๒๕๕๖








"เมื่อ 'เสฐียรพงษ์ วรรณปก' พูด"
เปลว สีเงิน


เมื่อพฤหัสบดี ดาวคุณธรรมประจำเมืองหลับใหล โจรศาสนาจึงได้จังหวะสมคบดาวเสาร์ "โจรในรัฐบาล" และดาวราหู "โจรในรัฐสภา" เป็น ๓ ประสานเข้ากระทำย่ำยี ตามขั้นตอนสถาปนาอำนาจโจรครองเมืองเบ็ดเสร็จ ทั้งราชอาณาจักรและศาสนจักร!

วันนี้ (๒๓ ก.พ.๕๖) น้องทักษิณ-พี่ยิ่งลักษณ์-ประธาน ส.ส.นปช.เพื่อไทยสายอีสาน "พายัพ ชินวัตร" จะเดินทางจากอินเดียถึงไทยในคราบ "พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์" ฐานานุกรมที่ "สมเด็จพระธีรญาณมุนี" ผู้ที่สมเด็จเกี่ยว วัดสระเกศฯ เพิ่งตั้งร่วมทีม "ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" ได้ตั้งให้

พระครูปลัดพายัพ ผู้เอตทัคคะด้านส่งไลน์กระซิบสาว-เล่นหุ้น-ตั้งด่าน จะมาเทศน์โปรดสัตว์ร่วมพระพยอม วัดสวนแก้ว ที่สวนอัมพร ในงานฉลองครบรอบ ๓ ปีสถานีโทรทัศน์คณะสงฆ์ DDTV อันเป็นเครือข่ายวิทยุกระจายเสียงพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ก็สถานีวิทยุที่ญาติโยมเคยได้ยินมหาศิษย์เทวทัต ปากหนาเป็นปากกระโถน ตาเหลือกโปนเหมือนยักษ์ริดสีดวงทวารกำเริบ "เจ้าประจำ" เจ้านั้น และที่ทหารนายหนึ่ง อาศัยใบบุญพระพุทธศาสนา สึกแล้วเอาความรู้ไปแลกตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ ใช้สถานีนี้เป็นที่ปลุกระดมร่วมเครือข่าย นปช.นั่นแหละ

ใครอยากเป็นสัตว์ให้พระครูปลัดพายัพโปรด ๒๓-๒๔ กุมภานี้ก็ไปได้ ฟังแล้วเผื่อบรรลุ ตายไปจะได้อยู่โลกันตนรก ร่วมกับขบวนการคนเทศน์นั่นแหละ!

แต่ก่อนที่พระครูปลัดพายัพจะเทศน์ ลองฟังที่ท่าน "ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก" ราชบัณฑิต ท่านเทศน์ ให้ทั้งพระครูปลัดพายัพ ทั้งพระอุปัชฌาย์ ทั้งพระมหาเถระในวงการสงฆ์ และทั้งคนสำนักงานพระพุทธฯ ตลอดถึงคนกรมการศาสนาได้ฟัง โดยเทศน์ฝากผ่านมาทางผม

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.สำนักนายกฯ ในฐานะผู้กำกับสำนักงานพระพุทธฯ อีกคนด้วย ผมหลงดีใจว่าเป็นรัฐมนตรีใบ้ เพราะไม่ปรากฏว่า เป็นแล้วได้พูด-ได้ทำอะไร นอกจากประกบซ้าย-ประกบขวา คอยเป็นแคมให้ยิ่งลักษณ์ในที่แจ้ง และคอยประคองไข่ให้ทักษิณในที่ลับ

แต่กรณีพายัพบวชปุ๊บ สมเด็จพระธีรญาณมุนีตั้งเป็นพระครูปลัดปั๊บ นายนิวัฒน์ธำรงพูดได้แฮะ คือพูดว่า...

"ท่านเคยตั้งพระรูปอื่นเป็นพระฐานานุกรม ทำหน้าที่เป็นคณะทำงาน แต่ไม่มีใครสนใจ แต่คราวนี้พระพายัพ นามสกุลชินวัตร เลยถูกจับตามองจากสังคม...."

เอ้า...ฟังท่านราชบัณฑิต สาขาศาสนศาสตร์ "เสฐียรพงษ์ วรรณปก" ท่านพูดไว้ในเรื่องเหล่านี้ดีกว่า ท่านอดรนทนไม่ไหวกับพฤติกรรมมารหัวโล้นกับมารหัวแดง "ตะแบงพระพุทธศาสนา" จึงเขียนผ่านมาทางผม ดังนี้ครับ


ถึงเปลว สีเงิน....เสฐียรพงษ์ วรรณปก
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

กรณีสมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ ๑o ก.พ.ที่ผ่านมา ที่วัดป่าพุทธคยา ประเทศอินเดีย ได้เพียงไม่กี่วัน ก็แต่งตั้งให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์ เป็นที่ฮือฮาในวงการพระพุทธศาสนามากว่าไม่เหมาะสม เพราะพระบวชใหม่พรรษายังไม่ถึงกำหนด มาได้รับตำแหน่งนี้ได้อย่างไร

ทั้ง ๆ ที่ท่องบทสวดได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ บวชแล้วเท่าที่ทราบว่า ไม่ได้ไปปฏิบัติกับพระเพื่อนฝูง บวชแล้วก็อยู่แต่ในวัดเล่นเกม แชตไปตามเรื่อง ไม่ต้องพูดถึงความรู้ธรรมะ ศาสนา แถมยังไปบอกว่าจะไปเทศน์กับพระพยอม เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ซึ่งเป็นพระนักเทศน์ชื่อดัง ซึ่งตนยังสงสัยว่าจะเอาเนื้อหาอะไรไปเทศน์

พระพยอมก็เหลือเกินให้ท้าย พระผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน รับลูกกันไปทั่วว่าไม่ผิดอะไร ไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม

ส่วนอธิบดีกรมการศาสนาก็ไม่ได้เรื่อง กับแก้ตัวให้แบบข้างๆ คูๆ ว่าตำแหน่งพระครูปลัดฯ คงเป็นเพียงฉายา โดยชื่อของพระพายัพขึ้นต้นด้วยตัว พ. ดังนั้นพระครูปลัดฯ ของพระพายัพก็คงไม่ใช่สมณศักดิ์ของพระ ทั้ง ๆ ที่สมภารบอกแล้วว่าเป็นตำแหน่งสมณศักดิ์จริงๆ

ประเด็นอยู่ที่ว่า การบวชแล้วได้รับสมณศักดิ์ทันทีเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และผู้ที่รับก็รับ ทำเหมือนการบวชไม่ศักดิ์สิทธิ์ ใคร ๆ จะทำอะไรก็ทำได้ โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่ ควรจะพิจารณาเหตุผลให้เหมาะให้ควร ไม่ใช่ประจบประแจงผู้มีเงิน

พุทธศาสนาสมัยนี้ทุกอย่างเรียวลง พระสงฆ์องคเจ้าก็ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และกฎเกณฑ์ทางพระศาสนา แม้กระทั่งการบวชก็บวชกันได้ง่าย ๆ ผู้บวชท่องบทสวดก็ไม่ได้ อุปัชฌาย์บอกเอง ทำเหมือนเด็กเล่นขายของ

พูดถึงเรื่องนี้ นึกถึงเจ้าคุณอาจารย์ "พระธรรมเจดีย์" วัดทองนพคุณ ของข้าพเจ้า ท่านเป็นคนเคร่งครัดในกฎระเบียบเป็นอย่างมาก

คนที่มาบวชสวดบทสวดไม่ได้ ท่านยังไม่ยอมบวชให้เลย ต้องให้กลับไปท่องมาใหม่ ถ้าอยากจะบวชก็ต้องท่องและจำบทสวดให้ได้ ถึงจะบวชให้ สมัยนี้บวชง่ายเกินไป เมาแอ๋ไปขอบวช ก็บวชให้ ท่องบทสวดไม่ได้ก็บอกเขา

พระพุทธศาสนามิใช่ของมาทำเล่น การอ้างว่าตำแหน่งฐานานุกรม จะตั้งใครก็แล้วแต่พระผู้ใหญ่เจ้าของตำแหน่ง “ไม่ถูก” ถึงแม้ท่านจะมีสิทธิ์ตั้งได้ แต่มิใช่ตั้งนายกอ นายขอ ตามอำเภอใจ ต้องดูแลความเหมาะสมด้วย โดยเฉพาะอายุพรรษา ก็ต้องบวชมาเป็นเวลานานพอสมควร มิใช่จะตั้งใครตามอำเภอใจ ดุจตั้งปลัดขิกอะไรเช่นนั้น

ยิ่งเป็นพระผู้ใหญ่ ยิ่งต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ ไม่ให้เป็นที่กล่าวหา ว่าตั้งตำแหน่งเพราะจะประจบประแจง หรือเห็นแก่หน้าค่าตาของญาติโยม

พระศาสนาควรจะเป็นที่พึ่งของญาติโยมได้ ฝากพระคุณเจ้าดูแลพระศาสนาให้ดีด้วยเถิด เพื่ออนาคตของลูกหลาน!!!!

จบจากเรื่องพระ ก็มาถึงเรื่องไฟ ที่สังคมกำลังโจษขานด้วยเคลือบแคลง "พฤติกรรมรัฐบาล" ที่ประกาศวิกฤติพลังงาน ว่าระบอบทักษิณ มันจะมากินตับประเทศไทย ด้วยลูกเล่นแบบไหนอีก?

แบบนี้หมายความว่า เพียงแค่ใคร "ระเบิดท่อส่งก๊าซ" ซักแห่ง เหมือนตอนเผาบ้าน-เผาเมือง ประเทศไทยต้องตาย "ทั้งประเทศ" เพราะไม่มีความพร้อมด้านแผนสำรองใด ๆ ในด้านพลังงานเลย งั้นหรือ?

ผมคุยไปแล้วเมื่อวาน วันนี้ก็ลองฟัง "เจ้าของประเทศร่วม" คือชาวบ้านเขาพูดบ้าง ฟังดูซิว่า ที่รัฐมนตรีพงษ์ศักดิ์และนางสาวยิ่งลักษณ์เล่นยี่เกตบตานั้น มีเสียงสะท้อนกลับว่าอย่างไรบ้าง

Toey Chulatep

การหยุดผลิตเพื่อทำ Yearly Maintenance เป็นเรื่องปกติ ทุกปีต้องมีเรื่องนี้ การหยุดจะใช้เวลาประมาณ ๑o วัน ในช่วงนี้ ทุกอย่างจะถูกวางแผนไว้หมด การเลื่อนแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะในการบำรุงรักษาแท่นผลิตกลางทะเลมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าเรือ ค่าแรง การดำเนินการเป็นแบบองค์รวม ทำทุกระบบ ทดสอบพร้อมกันทุกระบบ.

ส่วนเรื่องการผลิตไฟฟ้านั้น เมื่อไม่มีก๊าซจากพม่ามา ทางโรงไฟฟ้าราชบุรีก็จะเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันแทน ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว และไม่เห็นจะต้องตระหนก เพราะพลังงานมีพอเพียงแน่นอน คำถามคือ ทำไม รมต.เพ้งจึงประกาศให้ตระหนกจนเกิด Panic กันขนาดนี้

คำตอบ (ที่แอบได้ยินมา) คือ รัฐบาลอยากจะนำเข้าน้ำมันอะไรก็ไม่รู้ จึงทำเรื่องให้เป็นเรื่องด่วน ต้องตระหนก ต้องรีบแก้ไข สุดท้ายเรื่องนี้ก็มี วิชามาร มากำกับอยู่ดี.

Cholee Saelim

การหยุดซ่อม เป็นเรื่องปกติ ของโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซ เหมือนกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางที่ ทำกันเป็นประจำ เขาไม่หยุดการผลิตทุกโรง แต่หยุดโรงเดียวที่มี แผนเรียบร้อยแล้ว คนที่เคยทำงานในแถบนี้เขารู้กันทุกคน ถามบริษัทจัดส่งคนงานที่ไปทำงานก็จะรู้ความจริง นี่แหละความซวยที่เราภูมิใจที่ได้ นายกฯ หญิง.

Parperm Petchudomsomboon

ที่เพ้งออกมาให้ข่าวน่ะ มันมีนัยและ สร้างช่องทางให้โจรเหลี่ยม เข้าสู่ธุรกิจพลังงานครับ เรื่องการผลิตไฟฟ้านั้น ทาง กฟผ.เขามีแผนการผลิตไฟฟ้าได้อย่างพอเพียง เขาเรียกว่าแผน PDP 2007 ซึ่งคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕o และมีการปรับปรุงครั้งที่ 1 คณะรัฐมนตรีรับทราบแผนปรับปรุงดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕o โดยในปี ๒๕๕๖ จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ๒๗,๑๘๘ เมกะวัตต์ ในขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้ามี ๓๗,oo๓ เมกะวัตต์ กฟผ.เขาสำรองไว้ตั้งเกือบ ๑o,ooo เมกะวัตต์ มันจะขาดแคลนได้อย่างไร..เพ้ง.

ความจริง เอาแค่แผนผลิตไฟฟ้าในปี ๒๕๕๕ ซึ่งมีกำลังการผลิตที่ ๓๔,๑๗๒ เมกะวัตต์ ก็พอเพียงแล้ว เป็น รมต.นะ อย่าเอา ข้อมูลมั่ว มาทำให้ประชาชนเกิดความโกลาหล และทำให้พวกตัวเองได้ประโยชน์บนความทุกข์ของประชาชนในประเทศ โกงได้ไปตั้งเยอะแยะแล้ว ยังไม่พอกันอีกหรือไงทักษิณ.

แล้วเพ้งล่ะ...นายใหญ่-เจ๊ใหญ่เขาสั่งว่าไง จะให้ปูตีบทแตกถึงขั้น "ถอดถึงชั้นใน" เมื่อไหร่ละก็...อย่าลืมบอกกันเชียว!


จากคอลัมน์ ""เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๑๒ ก.พ. ๒๕๕๖








"แร้งลงที่ดงขมิ้น"
อัญชะลี ไพรีรัก


พิธีกรรมสุดท้าย...ใครบางคนอาจจนตรอก ถึงกับต้องเกาะชายจีวรพระน้อง หรือไม่ก็เอาจีวร”ห่มคลุมตัวเอง แล้วเดินนำหน้ากล้าเข้ามาติดคุก เหมือนใช้รูปแบบเดือนตุลามหาวิปโยคผสมกับกำนันเป๊าะ

หลายสิบปีก่อน..มีพระหนุ่มรูปงามนามว่า “จิ๋ว” เดินทางออกจากวัดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์เพื่อไปร่วมกับคณะสงฆ์ไทยในต่างแดนและบรรดาญาติโยมผู้ทรงศีล ก่อร่างสร้างวัดไทยในเมืองฮิวสตัน เท็กซัส อเมริกา เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางยึดเหนี่ยวจิตใจ-เผยแผ่ศาสนา–ให้ความรู้แก่คนไทยในต่างแดน

ที่นี่เองทำให้ชื่อเสียงของ “พระจิ๋ว” ผู้เทศน์หวาน ขานเพราะ และดูดวงแม่น โด่งดังไปทั่ว จนมีลูกศิษย์ลูกหามากมายและหนึ่งในนั้นคือ “พายัพ”

“พายัพ” มาเรียนหนังสือพร้อมทำงาน เป็นคนพูดเก่งจนลิงหลับ เมื่อแรกเห็นพระจิ๋วกับ“ซาวด์เบาท์”ยังคาหูก็ออกจะขวางหู ขวางตา วันนั้นพายัพถึงกับบ่นเปรยกับคนใกล้ชิดที่ไปด้วยกันว่า “พระห่าอะไรว่ะฟังซาวด์เบาท์ด้วย”

แต่พอชายสองคนจากคนสองโลกได้นั่งลงคุยกัน นรกก็เป็นใจ สวรรค์ก็ปิดประตู เขาสองคนเป็นที่ถูกคอซึ่งกันและกัน เพราเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์เหมือนๆ กัน ในที่สุดก็ผูกพันและโชคชะตาก็พากันเดินบนถนนคนบาปมาจนถึงซึ่งวันนี้

พายัพเรียนเก่ง อ่านหนังสือเยอะ ชอบด้านไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา และเรื่องลี้ลับ จึงถูกจริตกับพระจิ๋วที่อวดอ้างว่า มีตาที่สาม และขมังเวทย์

วันเวลาผ่านไป วัดใหญ่ขึ้น คนเยอะขึ้น เมื่อขยายขึ้น ก็มีเรื่องไม่ดีไม่งามตามมา? ทั้งเรื่องเงินและสีกา เหมือนงูพิษในย่ามร้อน เมื่อจีวรเปื้อน พระจิ๋วก็อยู่ยาก ในที่สุดก็ถูกบังคับให้ “ห่มขาว” แล้วบากหน้ากลับสุรินทร์บ้านเกิด

หลายปีผ่านไปไวเหมือนโกหก...อเมริกาเปลี่ยนไปมาก คนไทยแห่ไปอยู่เยอะ พระไทยก็บินไปอยู่แยะ พระดีปะปนกับพระเลวแยกไม่ออก วันนั้น - ปีนั้นมีการก่อสร้างวัดไทยอีกแห่งหนึ่งที่เมืองลาพวนเต้ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีพระรูปงามนามว่ “พระจิ๋ว” พระเก่งจากเมืองสุรินทร์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง

ขณะที่วัดกำลังก่อสร้าง พระจิ๋วพำนักอยู่กุฏิซึ่งเป็นเรือนไม้สวยหวานของโยมสาวใกล้กับที่สร้างวัด มีเสียงร่ำลือไปทั่วสังคมคนไทยในลอสแองเจลิสว่า “พระจิ๋วมีตาที่สาม ดูดวงชะตาด้วยทางใน แม่นเหลือเกิน จอมขมังเวทย์ที่สุด”

ด้วยสรรพคุณเหาะเหินเดินอากาศได้เยี่ยงนี้ มีหรือว่าญาติโยมจะลดน้อยต้อยติ่ง ที่ไหนได้เรือนเล็กแน่นไปด้วยญาติโยม และที่มากที่สุดคือ สีกา ผู้หญิงเหล่านี้ติดใจคำหวาน ช่างเอาใจ และมาขอให้ช่วยจับยามสามตา

พระจิ๋วก็แปลก!!!...กลางวี่กลางวันมีก็ไม่รู้จักโทร.หาสีกาและ ญาติโยม กลับชอบใช้ยามค่ำคืนดึกดื่นเที่ยวโทร.หาสีกาคนโน้นที คนนี้ที เพื่อบอกดวงห่วงใย

ความที่พระปากหวานอมน้ำผึ้งผสมยูคาลิปตัส ผนวกกับถ้อยคำกำลังใจ สลับกับการทักทายอนาคต จึงเป็นทั้งน้ำทิพย์ชะโลมใจและความซาบซ่านที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่ช้าไม่นานพระจิ๋วก็ตีเมืองขึ้น รอบบ้านเก๋ที่ปรับมาเป็นกุฏิชั่วคราวในเมืองลาพวนเต้ ก็แน่นไปด้วยญาติโยมมาทำบุญ และ ความนี้ล่วงรู้ไปถึงหูคนไทยที่ฮิวสตัน เท็กซัส แต่ไม่มีใครอยากออกมาพูด ด้วยธุระไม่ใช่ ผลคือ วัดแห่งใหม่ก็เสร็จสวยสมใจ ชื่อเสียงของวัดนี้ขจรขจาย ชื่อเสียงของพระจิ๋วที่แสนใหญ่ แต่ไม่ใช่เจ้าอาวาสก็หอมหวนทวนลม มีพระผู้ใหญ่หลายรูปมาช่วย แต่ไม่มีใครใหญ่เกินพระจิ๋ว และ ดังเกินพระจิ๋ว

ชื่อเสียงพระจิ๋วกำจายทั่วทุกทิศ แล้ววันหนึ่งพระจิ๋วก็หันมาพบกับ“พายัพ”ที่เดินทางตามหามาทุกทิศทั่วไทยและในแอลเอด้วย ชายสองคนจากสองโลกโคจรมาเจอกันอีกที่แคลิฟอร์เนีย คนหนึ่งบวชแล้วสึก สึกแล้วบวช อีกคนเรียนจบกลับบ้านทำงานไม่สำเร็จ หวนมาขุดทองที่แอลเอ คนร้อนมาเจอพระเจื้อยแจ้ว คราวนี้สองคนแน่นแฟ้นแทบแกะกันไม่อออก ถ้าไม่เพราะสีกา“แองเจล่า” โผล่เข้ามา

“แองเจล่า” เป็นหญิงไทยมาตั้งรกรากในแอลเอนานมากแล้ว เธอชอบดูหมอ ชอบเข้าวัด และ ชอบฟังพระจิ๋วเทศน์ เหมือนกับสีกาสาวๆ แทบทุกคนที่ติดพระจิ๋วขาดไม่ได้

แต่นักร้องชายชื่อดังคนหนึ่งซึ่งไปตั้งรกรากในแอลเอ กลับเริ่มสงสัยในพฤติกรรมประหลาดๆของพระจิ๋วที่ชอบหายไปกับสีกาสาว โดยเฉพาะกับสีกา “แองเจล่า“ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่สงสัย ใครหลายคนก็ทนเห้น ทนกลิ่นไม่ไหวเช่นกัน

ในที่สุดคนไทยกลุ่มหนึ่งก็วางแผนสืบจนจับพระจิ๋วได้คาหนังคาเขาพร้อมหลักฐานการอัดเทป คราวนี้เจ้าอาวาสวัดไทยแห่งหนึ่งอดสูใจไม่กล้ามองหน้าได้แต่โศกา โยนผ้าขาวให้ห่มแทนจีวรที่เปื้อนกาม

วันนั้นพระจิ๋ว ห่มขาวหนีกลับสุรินทร์ เป็นการสึกเพราะคาวและราคีอีกครั้ง

ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ...การก่อสร้างวัดไทยในดินแดนพุทธภูมิ “พุทธคยา” กำลังขึ้นหน้าขึ้นตา หนึ่งในนั้นคือ วัดป่าแห่งหนึ่งหัวเรี่ยวหัวแรงของวัดนี้คือ หนึ่งพระกับหนึ่งฆราวาส คนหนึ่งดูหมอแม่น อีกคนหนึ่งปั่นหุ้นเก่ง และสองคนคบหากันมาแต่ฮิวสตันยันแอลเอ....พระจิ๋วและพายัพ...ชายสองคนจากคนสองโลกแต่จิตเดียวกันมาเจอกันอีกครั้ง บนดินแดนกำเนิดธรรม

พระจิ๋วมีพายัพช่วยสร้างวัดไทยในเมืองพุทธคยาด้วยเม็ดเงินกว่า ๓oo ล้านบาท เพียงไม่กี่ปี วัดแห่งนี้ก็งามสง่าสมใจคนสร้าง ตั้งแต่ถนนทางเข้าวัดลาดยางอย่างดี วัดถูกออกแบบด้วยช่างมีฝีมือถูกต้องตามลักษณะทุกประการ เครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งเครื่องทำน้ำร้อน เครื่องปั่นไฟ อินเตอร์เนต แอร์และ ฮีทเตอร์ ส่วนที่พักผู้แสวงบุญก็โก้หรู ญาติโยมผ่านไปก็โมทนาสาธุกันถ้วนหน้า

สร้างวัดได้สักพัก พายัพก็หายไปเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ หลังเปลี่ยนตับ เขาบวชเพื่ออุทิศบุณให้เจ้าของ แต่คุณภาพตับที่มาจากนักโทษอยู่ได้อย่างดีก็แค่ ๑o ปี เวลาผ่านมาต้องเปลี่ยนตับใหม่ และนี่คือสาเหตุการบวชครั้งที่ ๒ ของพายัพ คือ บวชนี้เพื่อตับ

ตอนบวชครั้งที่ ๑ พี่ชายเป็น ๑ ในตองอู พอบวชครั้งที่ ๒ พี่ชายกลายเป็นนักโทษหนีคดี และมาแก้กรรมที่อินเดียออกบ่อย ๆ เพราะพระจิ๋วแนะนำ

เวลานี้พระจิ๋ว กลับมาใหญ่ในพุทธคยา เป็นหัวหอกทะลวงฟันวันพระเดือดจีวรแดง และประสานสิบทิศกับพระผู้ใหญ่ที่หลงพระจิ๋วหนักหนา

น้องชายบวชแล้ว ๑ พี่ชายอาจบวชตามอีก ๑ ก็เป็นได้ใครจะรู้ แต่ที่รู้ ๆ คือ ไม่ได้ซาบซึ้งรสพระธรรม แต่อยากบวชแก้กรรมและทำเลวได้ต่อไปไม่อาทร คนพวกนี้เรียกขานหวานเพราะว่า เลว ยังน้อยไป

พักเรื่องพระจิ๋วกับพายัพ มาที่เรื่องของเราดีกว่า ต้องเล่าหลังไมค์กันแล้วว่า การที่พระพายัพหรือ “พระครูปลัดพิพัฒน์ญาณจารย์” จะขึ้นเทศน์สั่งสอนญาตฺโยมร่วมกับพระพยอม กัลยาโณ ที่สวนอัมพรในงานฉลอง ๓ ปีสถานี DDTV ของมหาเถรสมาคมนั้น จะเทศน์เรื่องอะไร เพราะวัน ๆ เห็นญาติโยมเล่าว่า ส่งไลน์มาซื้อขายหุ้น แถมคุยเล่นเย็นใจกับสีกาทั้งวัน

แต่ที่รู้มาจากพระสงฆ์ สายพุทธคยา...ทักษิณพี่ชายพระพายัพเชื่อการผูกดวงของพระจิ๋วไม่น้อยไปกว่ากัน เที่ยวแก้กรรมไปทั่วทุกสารทิศของชมพูทวีป ไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรี –พี่สาว และนักการเมืองไทยหลายคนที่ไปบนบานศาลกล่าวที่อินเดียกันครึ่ด ๆ

ส่วนพิธีกรรมสุดท้าย...ฮั่นแน่ !!! ใครบางคนอาจจนตรอก ถึงกับต้องเกาะชายจีวรพระน้อง หรือไม่ก็เอา ”จีวร” ห่มคลุมตัวเอง แล้วเดินนำหน้ากล้าเข้ามาติดคุก เหมือนใช้รูปแบบเดือนตุลามหาวิปโยค ผสมกับกำนันเป๊าะ

ยึดเมืองได้ ยึดประเทศได้ อยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องอมพระมาพูดอะไรกันอีกแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้พระอมที่ดิน อมสีกา อมความจริง อมพะนำความดี ยังไม่สะทกสะท้านสะเทือนซางอะไรเลย

ลองอีหรอบนี้ บ้านนี้เมืองนี้เริ่มอยู่ยากขึ้นทุกทีแล้ว


จากคอลัมน์ "เล่าหลังไมค์"
นสพ.แนวหน้า ๒๒ ก.พ. ๒๕๕๖








"พระพายับ - พาพระยับ"
สารส้ม


นายพายัพ ชินวัตร (น้องชายของทักษิณ ชินวัตร) ทำการอุปสมบท ได้รับฉายา “พระพายัพ เขมะคุโณ”

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีข่าวว่าท่านได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส สมเด็จพระธีรญาณมุนี ให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อึงมี่

เนื่องจากพระพายัพเพิ่งจะบวชได้ไม่ถึง ๑o วัน ในขณะที่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระสงฆ์ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมจะต้องบวชมาแล้วอย่างต่ำ ๑o พรรษา



๑) เมื่อวันที่ ๑๘ ก.พ. ๒๕๕๖ สื่อมวลชนโทรศัพท์ไปสัมภาษณ์พระพายัพขณะอยู่ที่ประเทศอินเดีย

พระพายัพ เขมะคุโณ ให้สัมภาษณ์ว่า “มีความตั้งใจที่จะบวชมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาและโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งวันบวชก็ทำพิธีเงียบ ๆ แบบเรียบง่ายทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ทราบข่าวหลังจากที่บวชแล้วเพราะไม่ได้แจ้งให้ทราบ”

พระพายัพชี้แจงทางโทรศัพท์ ยืนยันว่าได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์จริง

โดยอธิบายว่า “การได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์นั้น ก็คล้ายกับการรับปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษที่สมเด็จพระธีรญาณมุนีท่านเห็นว่าอาตมาสร้างวัดมามาก ทำนุบำรุงศาสนาและปฏิบัติธรรมมาเยอะ ซึ่งเป็นความเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา ตำแหน่งดังกล่าวก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา อนุเคราะห์หมู่สงฆ์ต่อไป ดังนั้น จึงเป็นภาระตำแหน่งไม่ใช่ความยินดี ท่านก็มอบภาระนี้ให้อาตมาก็รับไว้ อย่างไรก็ตามวันที่ ๒๓ ก.พ.นี้จะเดินทางกลับประเทศไทยเพราะมีเทศน์ที่สวนอัมพรร่วมกับพระพยอม”



๒) พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ ให้สัมภาษณ์เห็นดีเห็นงามไปกับพระพายัพ

อ้างว่า พระพายัพมีผลงานในการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น การสร้างโบสถ์ จึงมีสิทธิได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมได้ แม้ว่าหลักเกณฑ์การแต่งตั้งพระฐานานุกรมจะต้องบวชหลายพรรษาก็ตาม “อาตมาเห็นว่า เราไม่ควรจะไปยึดเรื่องพรรษากันได้แล้ว เพราะพระบางรูปบวชมานานหลายพรรษา แต่ไม่เคยทำคุณงามความดี หรืออะไรที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ก็ไม่ควรเลื่อนตำแหน่งอะไรให้เลย”

ที่ร้ายกว่านั้น คือ พระพยอมอ้างว่า เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเลย หากพระพายัพไม่ใช่น้องชายของทักษิณ

ทำเหมือนกับจะให้เข้าใจว่า คนที่วิจารณ์เรื่องนี้เป็นพวกจะหาเรื่องทักษิณ

“พระบางรูปบวชมาหลายพรรษา...”

ถ้าพระพุทธศาสนาถือปฏิบัติตามแนวทางที่พระพยอมอ้าง ก็เท่ากับว่า ใครมีเงินมาก ไม่ต้องมีศีลธรรม ไม่ต้องเป็นคนดี ก็สามารถใช้เงินซื้อตำแหน่งในวงการสงฆ์ได้อย่างอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงพระวินัย ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือพรรษาของการบวช

ประเดี๋ยวคงมีโจรปล้นเงินแผ่นดิน เจียดเงินไปสร้างโบสถ์ วิหาร กุฏิหรูๆ หอระฆังใหญ่ ๆ โต ๆ ยอยกพระสงฆ์ด้วยทรัพย์ แล้วก็บวชสักเดือน พ่วงขอโบนัสเป็นตำแหน่งใหญ่โตในวงการสงฆ์



๓) ล่าสุด นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะแก้เกี้ยวกรณีดังกล่าว

อ้างว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่การแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรม แต่เป็นเพียงการตั้ง “ฉายา” สำหรับพระบวชใหม่

อธิบายเรื่องใหม่ บอกว่า พระอุปัชฌาย์ของพระพายัพได้ตั้งฉายาให้ว่า “พระครูปลัด”

ยอมรับว่า การจะได้รับตำแหน่งพระฐานานุกรมนั้น จะต้องผ่านการอุปสมบทมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑o พรรษา และเป็นพระที่มีคุณงามความดีเผยแผ่พุทธศาสนา และต้องเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม เพื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา

น่าคิดว่า นายปรีชามีหน้าที่เป็น “อธิบดีกรมการศาสนา” มิใช่ “โฆษกของพระพายัพ”

การพยายามแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ทำนองว่า ตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์” เป็นเพียงฉายา จะเป็นการดูถูกสติปัญญาของคนไทยมากไปไหม เพราะในข่าวปรากฏฉายาอยู่ทนโท่ว่า “พระพายัพ เขมะคุโณ”

ยิ่งกว่านั้น พระพายัพยังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจากประเทศอินเดีย ยืนยันว่าตนเองได้รับแต่งตั้งตำแหน่ง “พระครูปลัดฯ” จริงๆ ก่อนหน้าที่อธิบดีจะโผล่ออกมาแก้เกี้ยวเสียอีก!

ถ้าตกข่าว ก็ขอให้กลับไปอ่านข้อ ๑

หรือถ้าอธิบดีกรมการศาสนาจะยืนยันว่า พระพายัพโกหก อวดอ้างว่าตนเองได้รับแต่งตั้งเป็น “พระครูปลัดฯ” ก็พูดออกมาดัง ๆ ชัดถ้อยชัดคำ!



๔) เห็นพฤติกรรมของพระที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้างต้นแล้ว ช่างน่าสลดใจ...

ดูท่าว่า งานนี้ “พระพายัพ” จะพาพระยับ(เยิน) ไปเสียหรือไม่?

สำหรับพระที่บวชมานาน หากไม่ได้แก่แต่พรรษา หรือมีกิเลสบังตา พึงสังวรว่า ในสมัยพุทธกาล เคยมีพระสงฆ์พยายามประจบเอาใจคฤหัสถ์ เพียงเพราะพึงพอใจในของฉันที่เขาถวาย

ถึงกับพยายามแสดงความเห็นที่ไม่ถูกต้องต่อคณะสงฆ์

ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงติเตียน แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท มีใจความว่า “ภิกษุประทุษร้ายสกุล (ประจบคฤหัสถ์ ทอดตนลงให้เขาใช้) มีความประพฤติเลวทราม เป็นที่รู้เห็นทั่วไป ภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวและขับเสียจากที่นั้น ถ้าเธอกลับว่าติเตียน ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศ (เป็นการสงฆ์) ให้เธอละเลิก ถ้าสวดครบ ๓ ครั้ง ยังดื้อดึง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.”

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังเตือนภิกษุที่มาบวชให้สำเหนียกว่า การมาบวชแล้วกลับไปแสวงหากามที่ละแล้ว (คือ รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสที่ทำให้เจริญราคะ) ย่อมเป็นของต่ำทรามและไม่สมควรปฏิบัติ และที่สำคัญคือ พระองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า “พวกเธอ (ภิกษุ) ทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาท (คือรับมรดกธรรม) ของเราเถิด อย่าเป็นอามิสทายาท (คือรับมรดกสิ่งของ) เลย”


จากคอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส"
นสพ.แนวหน้า ๒o ก.พ. ๒๕๕๖








"ยิ่งกว่านิทาน"
กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม


รัฐนิวยอร์กเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๖๒๔ โดยมีปีเตอร์ สไตร์วีซ้ง เป็นข้าหลวงปกครองอาณานิคมแห่งนี้ และได้ตั้งชื่ออาณานิคมนี้ว่า “นิวอัมสเตอร์ดัม” เพื่อให้สอดคล้องกับ “กรุงอัมสเตอร์ดัม” เมืองหลวงของฮอลแลนด์

ครั้นปี ค.ศ. ๑๖๖๔ อาณานิคมดังกล่าวได้ตกเป็นของอังกฤษ โดยอังกฤษได้เปลี่ยนชื่อจาก “นิวอัมสเตอร์ดัม” เป็น “นิวยอร์ก” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อจังหวัดยอร์กในอังกฤษ

แม่น้ำ “ฮัดสัน” เป็นแม่น้ำสายสำคัญในรัฐนิวยอร์ก โดยเป็นการนำชื่อของ “กัปตันฮัดสัน” โจรสลัดชื่อดังตั้งแต่ฮอลแลนด์เป็นเจ้าอาณานิคมมาตั้งเป็นชื่อแม่น้ำ เพราะโจรสลัดผู้นี้ปล้นชิงทรัพย์สินจากชาวบ้านบนแม่น้ำดังกล่าว

โจรสลัดฮัดสันไม่ได้ถูกทางราชการกำจัดจนสิ้นชื่อแต่จู่ ๆเขาและสมุนได้หายสาบสูญไปบนเทือกเขาของต้นน้ำฮัดสัน และได้เกิดตำนานเล่ากันต่อ ๆ มาว่า กัปตันฮัดสันจะมาปรากฏกายให้ชาวบ้านได้เห็นใน ๒o ปีต่อครั้ง

หลังจากกัปตันฮัดสันสาปสุญไปกว่าสองร้อยปี ปรากฏว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งมีอาชีพตัดฟืนได้ไปจ๊ะเอ๋กับกัปตันฮัดสันและเหล่าโจรสลัดบนยอดเขา โดยพวกเขากำลังมีงานรื่นเริงกัน โดยชายหนุ่มคนตัดฟืนได้ถูกกัปตันฮัดสันบังคับให้มีหน้าที่เฝ้าถังเหล้าและรินสุราแจกจ่ายแก่เหล่าโจรสลัดทั้งปวง

สุราที่ชายตัดฟืนรินแจกนั้น หอมเย้ายวนจนเขาทนไม่ได้ต้องแอบดื่มอย่างห้ามใจไม่อยู่ไปหลายแก้ว จนเขาเมาสลบอยู่ข้างถังเหล้า

เมื่อชายตัดฟืนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง (โดยเขารู้สึกว่าคล้ายหลับไปชั่วราตรีเดียว) ปรากฏว่าโจรสลัดทั้งหลายต่างหายไปหมด และเขาพบตัวเองมีหนวดยาวถึงเข่าเคราถึงนม ผมขาวโพลนไปทั้งหัว เขารีบลงจากเขาไปหาครอบครัวทันที แล้วเขากลับต้องช็อกเพราะหมู่บ้านที่เขาจากมาเพียงคืนเดียวได้หายไปจากโลก กลายเป็นป่าคอนกรีตของมหานครนิวยอร์กที่มีแต่ตึกสูงเสียดฟ้างอกเงยขึ้นมาแทน

ส่วนภรรยาสาวของเขานั้น สอบถามแล้วนางตายไปเกือบร้อยปีแล้ว แม้แต่ลูกสาวคนเล็กที่เขาจากมาตอนแบเบาะ วันนี้ก็กลายเป็นหญิงชราอายุร่วมร้อย มีลูกมีหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะเหล้าพิเศษของกัปตันฮัดสันแท้ ๆ ทำให้เขาเมาหลับไปเกือบร้อยปี

ตำนานของนิวยอร์กเรื่องนี้ถูกเล่าขานสู่กันฟังมายาวนาน

ในวันนี้ มีพระบวชใหม่ ที่วัดเทพศิรินทราวาส กทม. ก็มีเรื่องประหลาดใคร ๆ กัน โดยพระรูปนี้บวชแค่ ๗ วัน ฉันข้าวเช้าแค่ ๗ มื้อ จู่ ๆ ก็หลับไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้งกาลเวลากลับเปลี่ยนไปแล้ว ถึงสิบกว่าปี จนเป็นเหตุให้เจ้าอาวาสรีบแต่งตั้งพระรูปดังกล่าวเป็น “พระครูปลัด”

นิทานเรื่อง “คนตัดฟืนกับสุราพิเศษของกัปตันฮัดสัน” และนิทานเรื่อง “ฉันข้าวทิพย์งีบไป ๑o ปี” คุณผู้อ่านคิดว่านิทานเรื่องไหนโกหกได้สนุกกว่ากัน?


จากคอลัมน์ "เลียบวิภาวดี"
นสพ.แนวหน้า ๒๑ ก.พ. ๒๕๕๖








"ลากออกมาทำไม"
สันต์ สะตอแมน


โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า..เป็นธรรมะของพระเดชพระคุณเจ้าพระพยอม กัลยาโณ แห่งวัดสวนแก้ว ที่ได้เทศนาสอนผู้คนเอาไว้เมื่อ ๒o กว่าปีก่อน คนที่นำมายึดถือปฏิบัติก็คงจะได้รู้ซึ้งกับตัวเอง ถ้าไม่โกรธ ไม่โมโห ก็ "ไม่โง่" และ "ไม่บ้า" ..ผมนั่นก็เพียรพยายามอย่างหนักหน่วง แต่ก็ยังคงโง่และบ้าอยู่ในบางครั้งบางโอกาส

เช่นว่า..ได้ยินได้ฟังนักการเมืองพูดโกหก หยาบคาย ตอหลดตอแหล หรืออย่างตอนนี้ก็ชักบ้าอีกแล้ว ที่เห็นข่าวพระบวชใหม่ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง "พระครูปลัดฯ" ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันจะท่องบทสวดสัพพีได้

ผมไม่ได้โมโหพระ แต่ผมกำลังโมโหตัวเอง ที่ชอบจะไปจุ้นไปวุ่นวายกับเรื่องของพระของพุทธศาสนา เห็นพระสงฆ์องคเจ้าปฏิบัติตัวในทางเสียหาย นอกรีตนอกวินัยก็ให้รู้สึกอึดอัดขัดหูขัดตาไปเสียทุกที

ที่เป็นเช่นนี้ ก็ด้วยสำนึกของความเป็นพุทธบริษัท ไม่อยากเห็นศาสนามีความเศร้าหมองและเป็นที่เสื่อมศรัทธาของชาวพุทธ ซึ่งปากผมก็มักจะอยู่ไม่สุข ชอบที่จะฉุดเท้าให้ก้าวเข้าใกล้เหวนรกทุกคราวไป!

อย่างกรณีที่เป็นข่าวนี้ก็อีก ว่าจะไม่ข้องแวะเพราะกลัวนรกจะกินหัว แต่เมื่อได้ฟังพระผู้ใหญ่บางท่านออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องตำแหน่งพระครูปลัดฯ แล้วก็ให้รู้สึกคันไม้คันมือ และ "คันปาก" ขึ้นมายิก ๆ

ที่จริงเรื่องนี้ ถ้าจะไม่ให้ต่อความยาวสาวความยืด พระรูปอื่นที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรที่จะสงบปากสงบคำ รอฟังคำชี้แจงจากพระคุณเจ้าที่เป็นผู้แต่งตั้งดูจะเหมาะสมกว่า

ยิ่งพูดกันมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นข่าว และข่าวที่ออกมานั้นนอกจากจะไม่เป็นผลดีกับฝ่ายไหนไม่ว่าจะพระบวชใหม่ หรือพระผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพกราบไหว้ของผู้คนแล้ว พุทธศาสนาก็เสื่อม-เสียหาย ทั้งในสายตาพุทธศาสนิกชนและผู้นับถือศาสนาอื่น

หรือหากอดรนทนไม่อยู่ จะต้องพูดให้ได้กับเรื่องนี้ ท่านก็ควรที่จะพูดอย่าง "พระผู้มีอุเบกขา" ไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง โดยเฉพาะการสรุปเอาแบบหยาบ ๆ ที่ว่า..

"ปัญหานี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ถ้าพระพายัพไม่ได้เป็นน้องของคนที่ชื่อทักษิณ"

ซึ่งก็จริง ถ้าไม่ใช่น้องคนชื่อทักษิณ ก็คงจะไม่มีการแต่งตั้งตำแหน่งนี้ให้กับพระที่เพิ่งจะบวชได้ไม่พ้นวัน!

แต่ไม่จริง ถ้าจะมองว่าปัญหาที่เกิดเพราะพระพายัพเป็นน้องคุณทักษิณ ซึ่งดูจะเป็นทัศนะที่แคบเกินไปกับการที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือให้ความกระจ่างในสิ่งที่พุทธศาสนิกชนกังขา

นี่หากไม่ใช่น้องคุณทักษิณ แ ต่เป็นนักการเมืองคนอื่น ๆ หรือผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งคนใดบวชแล้วได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระปลัดฯ สังคมพุทธก็ย่อมจะเกิดคำถาม ซึ่งก็เป็นคำถามจากสำนึกห่วงพุทธศาสนา

หาได้มีเจตนาถาม เพราะเป็นน้องคุณทักษิณไม่!และถ้าพระผู้แต่งตั้งมีเหตุมีผล มีอำนาจโดยชอบในการแต่งตั้ง มีหรือที่ชาวพุทธจะไม่ฟังไม่เชื่อ ไม่มีพุทธบริษัทคนไหนหรอกที่จะหาเรื่องให้นรกกินหัว..ผมเองที่พูดก็กลัวจนตัวสั่นอยู่นี่เหมือนกัน

ไม่กี่วันแล้ว พระพายัพท่านก็จะสึก อยากกราบนมัสการพระคุณเจ้า ขออย่าพูดอะไรอีกเลยขอรับ ลูกศิษย์ท่าน ว.วชิรเมธีก็เช่นกัน

ท่านนั่งอยู่ในที่ร่ม (เย็น) ดี ๆ จะลากดึงให้ออกมาเปียกฝนทำไม..หือ?


จากคอลัมน์ "วิสามัญบันเทิง"
นสพ.Xcite ไทยโพสต์ ๒๑-๒๒ ก.พ. ๒๕๕๖








"ศาสนาพุทธไม่มีพระครูกิตติมศักดิ์"
เปลว สีเงิน


เรียนคุณวิภาวดีฯ

สังคมไทยมีปัญหาเพราะคนไทยทั้งสังคมนอกวัดและในวัด ท่านไต้ ตามทางซึ่งเคยเป็นเจ้าคุณ สอบได้เปรียญ ๙ ประโยคตั้งแต่ครั้งยังเป็นเณร ถึงจะลาสิขาบทเป็นฆารวาสนานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นครูแท้ ท่านเคยเขียนบทความไว้ว่า"พุทธังก็ยังดี ธรรมมังก็ยังดี แต่สังฆังนั้นเต็มที"

สมเด็จที่แต่งตั้งพระครูปลัด "Pichit csojSiriam Yonee" หรือพระครูสำเร็จกิจฯ ทั้งที่บวชได้ยังไม่ถึงสิบวันให้เป็นพระครูฯ ทั้ง ๆ ที่กฎของมหาเถรฯบัญญัติไว้ชัดเจนว่า ต้องบรรพชามานานมากกว่า ๑o พรรษาว่า เหมือนกับการแต่งตั้งศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ (Honor Professor)นั้น เป็นการผิดศีลชัดเจน เพราะตำแหน่งพระครูกิตติมศักดิ์ ไม่มีบัญญัติไว้ในกฎของมหาเถรฯ

พระภิกษุสงฆ์คือผู้ที่สละแล้วซึ่งบ้านเรือน ยศถาบรรดาศักดิ์ เพื่อแสวงหาโลกุตระธรรม ต้องการของแท้ ไม่ต้องการของปลอม ดังนั้นหัวโขนต่างๆที่ฆารวาสนำมาสวมให้ จึงไม่มีความหมายสำหรับพระแท้ พระพิมลธรรมที่ถูกจอมพลผ้าขะม้าแดงจับสึกหาว่ามีการกระทำเป็นคอมมูนิสต์นั้น ท่านไม่เคยสนใจตำแหน่งสมเด็จที่รัฐบาลคืนให้ภายหลัง ท่านบอกว่าท่านเป็นพระแก่ๆรูปหนึ่งเท่านั้น แต่พันตำรวจโทที่เป็นผู้กระชากสังฆาฏิของท่านนั้นก็ตายภายในเจ็ดวัน

ในสมัยพุทธกาล มีการแบ่งพระสงฆ์เป็นสองกลุ่มคือพระอรหันต์กับพระสงฆ์ที่ยังเป็นปุถุชนเท่านั้น แต่ปัจจุบันเอากฎทางโลกมาใช้กับสงฆ์มากมาย โกงหรือขโมยเงินมากกว่า 1บาทก็จะต้องปาราชิกหรือขาดจากความเป็นพระในวินาทีนั้นแล้ว แต่ทุกวันนี้โกงเงินวัดนับพันล้าน ก็ยังไม่ขาดจากความเป็นพระ เพราะอัยกวนไม่ส่งฟ้อง ทุกวันนี้คนออกบวช เพราะบวชแล้วสบายดี ไม่ต้องหากิน ไม่ต้องล้างชาม นอนห้องแอร์ เล่นคอมฯทั้งวัน เรียนปริยัติเพื่อเป็นสมเสร็จ เรียนทางโลกก็สอบบีเน็ตได้ด้วย ดังนั้นพระทุกวันนี้จึงไม่ใช่พระแท้ "สังฆังนั้นเต็มที"

ระบอบทักษิณทำลายทุกสถาบันหลักของชาติไทย ชาติเสียอธิปไตยก็ยินดีปล่อยให้เขมรรุกราน ชดเชยผู้ก่อการร้ายป้ายสีทหารหาญ ศาสนาก็แย่งในหลวงแต่งตั้งสังฆราชยังไม่พอ ยังปล่อยให้สมเสร็จทำผิดกฎมหาเถรฯ สนับสนุนเรื่องที่ว่า "ทักษิณทำได้ทุกอย่างในประเทศไทย"

ซีม่าร์ทาแก้สังคัง


ตอบ คุณซีม่าร์ฯ

ระบอบทักษิณทำให้ทางโลกพินาศวุ่นวายมามากต่อมาก แต่ก็ไม่พอ ยังทำให้ทางสงฆ์แปดเปื้อนมัวหมองในกรณีพระครูกิตติมศักดิ์นี้อีก...เจ้าลัทธิหน้าเหลี่ยมคงต้องถูกธรณีสูบสักวัน

วิภาวดี หลักสี่


จากคอลัมน์ "มิติโลกาภิวัฒน์"
นสพ.ไทยโพสต์ ๑ มี.ค. ๒๕๕๖


บีจีและไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor





Create Date : 16 มีนาคม 2556
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 20:29:45 น. 0 comments
Counter : 2494 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.