happy memories
Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
24 เมษายน 2556
 
All Blogs
 
คดีปราสาทพระวิหาร (๘)






บล็อกคดีปราสาทพระวิหาร (๑)
บล็อกคดีปราสาทพระวิหาร (๒)
บล็อกคดีปราสาทพระวิหาร (๓)
บล็อกคดีปราสาทพระวิหาร (๔)
บล็อกคดีปราสาทพระวิหาร (๕)
บล็อกคดีปราสาทพระวิหาร (๖)
บล็อกคดีปราสาทพระวิหาร (๗)



'กรมพระยาดำรงราชานุภาพ'
เปลว สีเงิน


"ไทยสามัคคี" ก้มหน้า-ก้มตาเชียร์ "ทีมวีรชัย" สู้เขมรที่ศาลโลกแผล็บเดียว อยู่ทางนี้ "เจ้าไข่ฝังแร่" สั่งกองโจรเสื้อนอก "สภาบน-สภาล่าง" ที่ขุนไว้จนเชื่องน้ำข้าวให้ "ปฏิเสธอำนาจศาล" เป็นการประกาศสงครามระหว่างสถาบันนิติบัญญัติ กับสถาบันตุลาการ ใน "ศึกชิงประเทศ" ซะแล้ว!

ศึกนอกกระหนาบ-ศึกในก็กระหน่ำ ความจริงเขาประกาศตั้งแต่ พฤหัสบดีที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๖ โน่น ประกาศพร้อมดันกฎหมายล้างโทษเข้าไปจ่อวาระแรก "ก่อนปิดสมัยประชุม" เปิดสภาวันไหน พร้อมใช้มือมากลากเป็นกฎหมายวันนั้น

สงสัยจะได้ยาบำรุงกำลังจาก "นางมโหธรเทวี" ที่ไสยาสน์โทงเทงมาบนหลังนกยูงแน่ๆ กองกำลังกบฏสถาบันหลักชาติ จึงฟึ่ดฟั่ดกันชนิดไม่เกรงฟ้า-อายดินขนาดนี้ ทั้งๆ ที่แต่ละคนโตจนเลียตูดหมาไม่ถึงกันทั้งนั้น แต่หามีความคิดไม่?

ก็อย่างที่บอก ชาวบ้าน-ชาวช่อง "คนไทยใจไตรรงค์" มัวแต่เชียร์ทีมท่านทูตวีรชัย ส่งใจไปช่วยกันอยู่หน้าจอเหยง ๆ เลยถูกโจรทรยศชาติ-อสัตย์ประชาชน "ทุกคน-ทุกสี" ตลบหลังบ้าน มันกะล่อกระทั่งหมอข้าว-หม้อไห ก็จะไม่ให้เหลือนะนี่!

พวกนี้...พวกเด็กติดยาซะที่ไหน ขนาดประธานวุฒิ-ประธานผู้แทน เป็นหัวโจก ยกกำลัง ส.ส.-ส.ว. "ที่สวามิภักดิ์ทักษิณ" เหิมเกริม-อหังการรวมเป็นกองทัพ คล้ายว่าบ้านนี้-เมืองนี้ อยู่ในตีนพวกกูแล้ว จะทำอะไร แบบไหน มนุษย์หน้าไหนใครก็ไม่กล้าหือ

ศาลรัฐธรรมให้ยื่นคำร้องแก้ข้อกล่าวหากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ขัดรัฐธรรมนูญ ภายใน ๑๕ วัน แทนที่พวกมันจะทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีในการเอื้อเฟื้อต่อระบอบและกลไกกระบวนการบ้านเมือง กลับทำตัวอย่างเลว...พวกกูไม่ยื่น-ไม่แก้ หน้าไหน ใครจะทำไม?

เพราะพวกกู...ประชาธิปไตยระบอบทักษิณ "แผ่นดินแดง" โว้ย!

อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือชาติ แค่อำนาจตุลาการ จะมาก้าวก่ายสั่งการอะไรกับสถาบันนิติบัญญัติอย่างพวกกู ที่มี "สถาบันบริหาร" นายกฯ ยิ่งลักษณ์เปี่ยมล้นอำนาจสยายชายกระโปรงบงการประเทศ เป็นแบ็กคุมหลัง

แท็กทีมน่ะ...รู้จักมั้ย ประเทศไทย มี ๓ ขั้วอำนาจประชาธิปไตย สถาบันบริหาร-สถาบันนิติบัญญัติ-สถาบันตุลาการ แต่ตอนนี้สถาบันบริหารจับมือสถาบันนิติบัญญัติ

"ทำเนียบจับมือรัฐสภา" ทำสงคราม "เผด็จศึก" สถาบันตุลาการ มีไรมั้ย...รึใครข้อง?

บ้านเมืองพวกกูยังเผามาซะแล้ว วัดพระแก้ว...ก็ยังบึ้มซะ เพียงแต่พลาดไป กกต.-รัฐสภา กระทั่งโรงพยาบาลจุฬาฯ ยังบุกซะกระเจิง ขนาด "สมเด็จพระสังฆราช" ยังต้องหามทุลัก-ทุเล "หลีกทาง" ไปประทับที่ศิริราชแทน...เห็นมั้ย!

ฉะนั้น...แค่ศาลรัฐธรรมนูญมีน้ำยาอะไรกับประชาธิปไตยระบอบทักษิณ กล้าดีนัก มือซ้าย-ส.ส.ชงเรื่อง ส่งมือขวา-ส.ว.ให้ส่งต่อ ป.ป.ช.

"ถอดถอน" ซะเลย!

นี่..."สงคราม ๒ สถาบัน" จับมือล้ม "สถาบันตุลาการ" อันเป็นสถาบันสุดท้ายของบ้านเมือง (ที่ยืนต้านอยู่) ถ้าระบอบทักษิณล้มสำเร็จ นั่นเท่ากับว่า ประเทศไทย...เหมือนเต่า-เหมือนตะพาบในไห

ทักษิณ เชิญแขกวีไอพี จากเขมร-พม่า-ญวน ฯลฯ มาตั้งโต๊ะ แล้วล้วงควักขึ้นมาแหกกระดองยำ-พล่าแกล้มเหล้าเลี้ยงกันสนุกสนาน ในวโรกาสยึดบ้าน-ยึดเมืองไทยวันไหนก็ได้ เพราะ "ทั้งหมด" อยู่ในกำมือได้เบ็ดเสร็จ!

แต่...วันนี้ ผมไม่ได้ตั้งใจคุยเรื่องนี้ เพียงปรารภให้ฟัง เพราะยังคาเรื่อง "ทีมไทย-ฮีโร่ศาลโลก" อยู่ เมื่อวาน (๒๒ เม.ย.) เสร็จศึกนัดสุดท้าย ท่านทูตวีรชัยยกทั้งคณะจากเฮกมาบางกอก โดยเฉพาะ มิสอลินา มิรอง ที่แฟน ๆ ร้องหา...อยากเห็นหน้า อยากสบตา...มิรอง

ตอนนำคณะขึ้นเวทีให้นักข่าวสัมภาษณ์ มีประเด็นหนึ่งที่ท่านทูตวีรชัย "ปรารภ" ในเชิงอยากอธิบายให้พี่น้องคนไทยได้เข้าใจในความเป็นจริงที่ถูกต้อง

คือประเด็นเกี่ยวกับ "สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ที่ศาลโลกเคยอ้างในคำตัดสินปี ๒๕๐๕ ว่า การเสด็จขึ้นไปในฐานะ "นักโบราณคดี" โดยมีข้าหลวงฝรั่งเศสที่ยึดครองเขมรอยู่มาต้อนรับ ว่าเท่ากับยอมรับเส้นเขตแดน และฝ่ายเขมรยกมาอ้างอิงอีก ระหว่าง ๑๕-๑๙ เม.ย.๕๖ นี้

"ความจริง" ใน "ข้อมูลบิดเบือน" นั้น เป็นอย่างไร? ถ้าท่านฟังที่ ศ.อแลง แปลเลต์ โต้กลับฝ่ายเขมร เมื่อ ๑๗ เม.ย. ก็จะเข้าใจ นายอแลง แปลเลต์ ให้การต่อศาลโลกว่า.....

"....แม้ไทยยอมรับคำพิพากษาเมื่อปี ๒๕๐๕ อย่างชอกช้ำ แต่ก็ได้ปฏิบัติตามแล้ว และมติ ครม.ของไทย เมื่อปี ๒๕๐๕ ก็เพื่อถอนทหารและมอบพื้นที่รอบพร้อมปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา โดยรัฐบาลไทยกังวลถึงความไม่ชัดเจน จึงได้ทำป้ายและรั้วลวดหนาม เพื่อกำหนดพื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหาร

แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเขตแดน แต่กัมพูชาตอนนี้กลับอ้างว่า ไทยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ทั้งที่ผ่านมา กัมพูชาไม่เคยทักท้วงใด ๆ และ "พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ" ประมุขของกัมพูชา ก็ทรงยินดีเกี่ยวกับสิ่งที่ไทยดำเนินการ โดยไม่ติดใจที่ไทยขึงลวดหนามล้ำเข้าไป ๒-๓ เมตร

โดยทรงเห็นว่า "ไม่มีความสำคัญ" เช่นเดียวกับการเสด็จฯ เยี่ยมของ "สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ของไทย ในอดีต ที่ศาลโลกเคยใช้เป็นหลักฐานผูกมัดการยอมรับของไทยในการพิพากษาเมื่อปี ๒๕๐๕ ศาลโลกจึงจะมาทำ ๒ มาตรฐานไม่ได้ มันเห็นชัดจนแทบไม่ต้องพูดอะไรอีก....."

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น "คุณทวิช จิตรสมบูรณ์" ซึ่งท่านเสียบหู "ฟังตรง" จากศาลโลก ได้เขียนประเด็นนี้กระจายให้ทราบทั่วไป ผมจะก็นำมากระจายต่อ ดังนี้

"วันนี้มู้ดแตกกรณีพระวิหาร เลยขอสานต่อว่า ปี ๒๕๐๕ ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทฯ ตกเป็นของเขมร โดยหลักฐานสำคัญอันหนึ่งคือ “การปิดปาก” ของกรมฯ ดำรง (สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ที่เสด็จเยี่ยมปราสาทฯ ในการยึดครองฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๓ แต่ก็ไม่ทรงตรัสโต้แย้งใด ๆ ซึ่งศาลโลกถือว่าเป็นการยอมรับว่าเป็นดินแดนของฝรั่งเศส

ต่อมาผมเขียนในเฟซบุ๊กว่า กรมฯ ดำรงมิได้เป็น head of state การปิดปากของท่าน แม้จริง ก็ไม่น่ามีผลผูกพันต่อประเทศไทย

เพื่อนในเฟซบุ๊ก (ท่าน Conductor Logos ขออนุญาตให้เครดิต) เมนต์ต่อท้ายว่า ปีที่ท่านฯ ดำรงเสด็จนั้นท่านพระชนมายุ ๖๘ แล้ว และมีตำแหน่งเป็น "นายกสมาคมราชบัณฑิตยสถาน" ลองดูตำแหน่งท่านนะ

- พ.ศ. 2458 ดำรงตำแหน่งนายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร
- พ.ศ. 2466 ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร และเป็นนายพลเอก
- พ.ศ. 2468 ดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี
- พ.ศ. 2469 ดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภา
- พ.ศ. 2472 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ"

จริงอยู่สมัย ร.๕ ท่านเป็นถึงเสนาบดีมหาดไทย แต่น่าสังเกตว่า พอเข้ารัชสมัย ร.๖ ท่านตกต่ำมาก (สงสัยมีอะไรไม่ลงรอยกัน) เลยถูกลดมาเป็น นายกหอพระสมุด กระทรวงมุรธาธร (เดาว่าคือ กระทรวงศิลปากร) อภิรัฐมนตรีคงคือตำแหน่งกำนัล เป็นตำแหน่งลอย แบบว่าให้เกียรติ แต่ไม่มีอำนาจใดๆ (ประมาณที่ปรึกษาพิเศษ) สุดท้าย นายกราชบัณฑิตฯ ก็เหมาะแล้ว.

การตกต่ำทางหน้าที่ราชการของท่านนี่กระมัง ที่ทำให้หันเหชีวิตมาทางวิชาการ มาศึกษาประวัติศาสตร์ โบราณคดี แทนการปกครองบ้านเมือง จนชำระประวัติศาสตร์ไทยไว้มากหลาย

ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า การเสด็จไปเยี่ยมปราสาทพระวิหารใน พ.ศ.๒๔๗๓ ของท่านนั้น เป็นการเยี่ยมทางวิชาการ ในฐานะนายกราชบัณฑิต ที่มิใช่การเยี่ยมทางการเมือง

ดังนั้น “การปิดปาก” ของท่าน แม้จริง ก็ไม่น่ามีผลผูกมัดประเทศไทยแต่อย่างใด แต่อนิจจา ศาลโลก เมื่อปี ๒๕๐๕ ก็ยังอุตส่าห์เอาประเด็นนี้มาเป็นข้อผูกมัดในการยกปราสาทพระวิหารให้เขมรจนได้ เพราะศาลโลกในขณะนั้นยังอยู่ใต้อำนาจของฝรั่งเศสมาก

แต่สมเด็จสีหนุนั้นเป็น head of state มีอำนาจการเมืองเต็มที่ ไปเยี่ยมปราสาทปี ๒๕๐๖ แล้ว "เปิดปาก" ว่า “เพียงสองสามเมตร ไม่เป็นไร” อีกทั้งตระหนักดีในกฎหมายปิดปากแล้วด้วย เพราะคดีความเขาพระวิหารเพิ่งเสร็จ ก็แสดงว่ายอมรับว่า..."รั้วไทยดีแล้ว ควรกำหนดเป็นเส้นเขตแดนระหว่างกัน" ซึ่งทำให้เส้นเขตแดนในแผนที่ผนวก ๑ นั้น ไม่มีผลอีกต่อไปโดยปริยาย

ดังนั้นดินแดน ๔.๖ ตร.กม. เป็นของไทย...ใช่ไหม??

ประเด็นนี้ เราเปิดคดีใหม่ ฟ้องศาลโลกขอวินิจฉัยดินแดน ๔.๖ ตร.กม.เป็นของไทยได้ไหม โดยใช้หลักฐานเปิดปากของสีหนุนี้เป็นข้อผูกมัด...คดีนี้ไม่ใช่การอุทธรณ์คดีเขาพระวิหาร (ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว) แต่เป็นคดีฟ้องใหม่ ที่ไปพาดพิงคดีเขาพระวิหารโดยบังเอิญ
.
คนถางทาง (๒๐ เม.ย.๒๕๕๖)

ป.ล. อ้อ..ลืมไป เราไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลกแล้ว คงฟ้องไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ตระหนักกันไว้ในใจนะ สักวันเราจะแก้เผ็ดไอ้เศษฝรั่งให้จงได้ ตามที่กรมหลวงชุมพรฯ ท่านสอนไว้

ใฝ่รู้ ใฝ่คิด ใฝ่ดี คือวิถีของปัญญาชน

ทวิช จิตรสมบูรณ์

ครับ...ภาค "ศาลโลก" ก็จบ จะเป็น "ภาคจวก" ในวันต่อไป จองตั๋วได้ที่ "ไทยทิกเก็ต"


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๓ เม.ย. ๒๕๕๖








"เพราะความลับไม่รั่วไหล"
ผักกาดหอม


การมาถึงของ ท่านทูตวีรชัย พลาศรัย ไม่ต่างจากนักรบชนะศึกกลับมาตุภูมิ หรือวีรบุรุษกลับจากการทำงานเพื่อชาติ และผู้คนต่างพากันยกย่องเชิดชู

ศึกเขาพระวิหารใกล้ถึงฉากสุดท้ายแล้ว คาดว่าภายในเดือนตุลาคมที่จะถึงน่าจะรู้คำตัดสินของศาลโลก ไทยจะแพ้ ชนะ หรือเสมอ ไม่มีใครข้องใจในความทุ่มเทของท่านทูตวีรชัย และคณะทนายความ แต่กับฝ่ายการเมืองนั้นความไม่ไว้วางใจยังเป็นที่ประจักษ์

ผมสะดุดคำพูดของท่านทูตวีรชัยอยู่คำหนึ่ง"รู้สึกภูมิใจในเรื่องของการเก็บความลับก่อนที่จะนำไปชี้ แจงต่อศาลโลก ซึ่งเป็นไปตามหลักการเก็บรักษาความลับทางราช การ เพราะหากทางกัมพูชารู้ข้อมูลก่อนก็อาจดักทางการต่อสู้คดีได้"

น่าสนใจครับ ผมคาดว่านี่อาจเป็นข้อกังวลแรกๆ ของทีมทนายไทย เพราะมันคือหัวใจของการสู้คดี หากความลับรั่วไหลไปถึง "เฒ่าฮอร์ นัมฮง" วันนี้มีหวังแพ้ตั้งแต่ยังไหว้ครูไม่เสร็จ

มันไปตรงกับข้อความที่ "สมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา" ซึ่งเดินทางไปร่วมสังเกตการณ์ที่กรุงเฮก โพสต์ลงเฟซบุ๊กก่อนหน้า ๑ วัน

"เคล็ดลับหมัดเด็ดที่หลายคนอยากให้ผมตอบว่าคืออะไรนั้น เฉลยได้แล้วครับ คำแถลงสุดท้ายที่ทูตวีรชัยเขียนไปแถลงศาลที่ไม่มีใครได้เห็นก่อนไงครับ แม้รัฐมนตรีคนใด ๆ ไม่งั้นคงไม่ออกมาเช่นนี้"

ทำให้ผมจินตนาการเอาว่า มีคนไทยที่พร้อมจะขายชาติตลอดเวลา เราเห็นหน้าฉากทีมทนายไทยใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ยวดในการอธิบายให้ศาลฟังถึงเอกสารหลักฐาน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่า กัมพูชามีอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่ ใช่พื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร แต่หลังฉาก ท่านทูตวีรชัยกับคณะคงจะประสบปัญหาการแทรกแซงประมาณหนึ่ง

ซึ่งแน่นอนว่าการรักษาความลับเอาไว้ได้ คือสิ่งที่ท่านทูตวีรชัยมีความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ในศาลจบไปแล้ว รอวันศาลตัดสินอย่างเดียว แต่ที่ยังไม่จบคือฝ่ายการเมือง ที่จะห้อยโหน ช่วงชิงเอามาเป็นผลงาน

เป็นความไร้มารยาท และไร้ยางอายอย่างสิ้นเชิง ที่ "อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด" รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวชื่นชมความสำเร็จในขั้นต้นนี้ โดยยกย่องและชื่นชม "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นลำดับแรก ถัดมาเป็นรัฐมนตรีที่ไปศาลโลก และสุดท้ายคือทีมทนาย

ผู้ที่เจริญแล้ว เขาจะแสดงความขอบคุณนักรบที่ออกศึก ก่อนที่จะขอบคุณหรือยกย่องผู้บังคับบัญชาที่อยู่แนวหลัง

หรือว่านี่คือวิถีของพรรคเพื่อไทย! ๒-๓ วันมานี้ คุณยิ่งลักษณ์ทำอะไรไปบ้างครับ นอกจากกินจนอาหารเป็นพิษ และระวังตัวไม่ให้ตัวเองเข้าไปพัวพันกับกฎ หมายนิรโทษกรรม ตามยุทธศาสตร์กันตัวเองออกจากความขัดแย้งแล้วค่อยตีกินทีหลัง

อีกคนที่หากไม่พูดถึงเลยดูจะไม่หายคันปาก เขาคือ "นพดล ปัทมะ"

"อลินา มิรอง" เป็นนักกฎหมายดีกรีชั้นเอกที่หนึ่ง เธอทำงานตามสายอาชีพของเธอ และรับค่าจ้างจากรัฐบาลไทย ต่อให้เธอไม่มีความรู้สึกหวงแหนเขาพระวิหารเหมือนที่คนไทยมี แต่งานที่เธอทำได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทย และเป็นความหวังไม่ให้ไทยเสียดินแดน

ขณะที่ "นพดล ปัทมะ" เป็นนักกฎหมายทุนอานันทมหิดล เป็นคนไทยโดยกำเนิด มีความเป็นไทยตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ผมไม่แน่ใจว่า มีความรู้สึกหวงแหนเขาพระวิหารเท่าหรือมากกว่า "อลินา มิรอง" แค่ไหน

ความผิดพลาดที่ "นพดล ปัทมะ" ก่อขึ้น แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ยอมรับ หนำซ้ำยังจินตนาการเอาว่า เขาคือผู้กอบกู้เขาพระวิหาร

มีการพูดถึงไปมากพอสมควรแล้วว่า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากระทรวงการต่างประเทศ "นพดล ปัทมะ" สั่งย้ายทีมข้า ราชการกระทรวงการต่างประเทศที่รับผิดชอบคดีเขาพระวิหารชนิดกราวรูด โดยเฉพาะ "วีรชัย พลาศรัย" จากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปนั่งตบยุงเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง

เหตุผลของการย้ายดูเหมือนยังไม่ใครเอาของเก่ามาเล่าใหม่กันเท่าไหร่ งั้นมาดูกันครับ

"ม้าแต่ละตัวในกระทรวงมีประสิทธิภาพทั้งสิ้น ตัวไหนก็วิ่งได้ แต่ต้องการม้าที่วิ่งในลู่ที่จะให้วิ่ง"

ขณะนั้น "ท่านวีรชัย พลาศรัย" เป็นม้าง่อยอย่างนั้นหรือ เปล่าเลย แต่เป็นม้าแข่งชั้นดี

เป็นม้าสีหมอกของพ่อขุนแผนด้วยซ้ำไป ฉลาดเกินไปครับ มีบางคนกลัว "นายใหญ่" จะไม่ปลอดภัย เพราะ "ท่านวีรชัย พลาศรัย" รู้มากไป

นั่นจบไปเรื่องหนึ่ง อีกเรื่อง "นพดล ปัทมะ" ปกป้องพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรจริงหรือ

หมุนเข็มนาฬิกากลับไปวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑ "นพดล ปัทมะ" ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้ประ เทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

และหมุนเลยกลับไปอีกหน่อยจะพบว่าใน ๒๕๔๘ กัมพูชายื่นเอกสารต่อยูเนสโก ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว แต่ "มนัสพาสน์ ชูโต" เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐ ไปคัดค้านไว้ในการประชุมบอร์ดมรดกโลกที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ จนกัมพูชาได้แต่ฝันเปียก

มีการคัดค้านการขึ้นทะเบียนโดยกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวมาโดยตลอด เพราะเป็นหมากที่กัมพูชาวางไว้เพื่อรุกคืบเอาพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร

แผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทของกัมพูชาที่จะจดทะเบียนโดยสมบูรณ์จะต้องมี สถูปคู่ สระตราว ฯลฯ ซึ่งอยู่ในฝั่งไทย นี่คือสิ่งที่กลัวกันและมีการทักท้วงรัฐบาลสมัคร-นพดล ตลอดในช่วงเวลาดังกล่าวว่าอย่าไปสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเพียงฝ่ายเดียว

และวันนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ที่เคยกังวลกันนั้นมันเป็นความจริง เขมรรุกคืบจะเอาเพิ่ม

ท่านทูตวีรชัย พลาศรัย เมื่อครั้งเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ท่านก็มีบันทึกช่วยคำคัดค้านแถลงการณ์ร่วมนี้ แต่ผลคือถูกหาว่าเป็นม้าง่อย

อย่าทำตาเหล่มองข้ามแผ่นดินลงไปในทะเลบ่อยเลยครับ ประชาชนเขารู้ไต๋หมดแล้ว ถ้าสารภาพตอนนี้ ประชาชนยังน่าจะยกโทษให้กึ่งหนึ่งอยู่นะครับ

แต่คดีที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช.อันนั้นไม่เกี่ยว ถ้าผิดก็ต้องรับไปเต็ม ๆ.


จากคอลัมน์ "อ่านเอาเรื่อง"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๒ เม.ย. ๒๕๕๖








"เล่ห์ร้ายป้ายความผิดไปให้ศาลโลก"
สิริอัญญา


ตามบรรยากาศในขณะนี้ถ้าหากศาลโลกตัดสินยกคำฟ้องของเขมรให้ไทยเป็นฝ่ายชนะคดีก็คงได้เฮลั่นสนั่นเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองก็จะโหนกระแสว่าเป็นเจ้าบุญนายคุณที่รักษาแผ่นดินเอาไว้ได้ในคราวนี้

แต่ด้วยกระแสที่ครืนครั่นอยู่ในขณะนี้ถ้าหากว่าศาลโลกตัดสินให้ประเทศไทยแพ้คดี ไม่ว่าจะมีวิธีในการระบุในคำตัดสินอย่างไร คนทั้งปวงที่กำลังเริงกระแสอยู่ก็จะพากันโกรธแค้นด่าว่าศาลโลกว่าไม่ดำรงรักษาความยุติธรรม ชะดีชะร้ายก็จะก่อเกิดกระแสใหญ่เดินขบวนกันทั้งบ้านทั้งเมืองเพื่อประท้วงศาลโลก

และถึงจะประท้วงอย่างไร ประเทศไทยก็จะเสียดินแดนตามมากตามน้อยสุดแท้แต่ผลของคำพิพากษานั้น แต่นักการเมืองก็จะรอดตัวไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพราะคนไทยทั้งประเทศได้สำเร็จในการหลงกระแสไปด่าศาลโลกเสียแล้ว

ในฐานะที่เป็นผู้สนใจในกลยุทธ์ทั้งหลายและติดตามกลยุทธ์ของนักการเมืองมาอย่างใกล้ชิด ก็ต้องชมว่าการกลับลำหันมาถ่ายทอดสดและปลุกกระแสรักชาติรักษาแผ่นดินของนักการเมืองในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่เก่งมาก ๆ อาจทำให้การก่อกรรมทำเข็ญคิดคดกบฏชาติขายชาติขายแผ่นดินสามารถทำการได้สำเร็จโดยความผิดทั้งปวงถูกป้ายไปอยู่ที่ศาลโลก

กล่าวดังนี้มิได้ปรารถนาให้ประเทศไทยแพ้คดีแต่อย่างใด และขอภาวนาให้ศาลโลกยกคำฟ้องของเขมร แม้จะถูกกล่าวหาในภายหลังว่าออกความคิดความเห็นที่ผิด ๆ พลาด ๆ ก็ยังดีกว่าที่จะเสียแผ่นดิน

ความปรารถนาของคนไทยทั้งประเทศคือการไม่ยอมเสียแผ่นดินไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว แต่ก็ต้องไม่โง่หรือหลงกระแสไปกับสิ่งที่นักการเมืองสร้าง จะต้องมีสติรู้เท่าทันถึงความเป็นไปทั้งปวง และที่สำคัญอย่าลืมง่ายจนเกินไป

คนไทยเพียงรำลึกย้อนหลังไปไม่นานก็ย่อมทราบความจริงอย่างชัดเจนว่า

ประการแรก เมื่อครั้งเป็นรัฐบาลใหม่ ๆ นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แถลงกับสื่อมวลชนว่าประเทศไทยจะไม่ต่อสู้คดีและจะไม่แถลงการณ์ปิดคดี จะปล่อยให้ศาลตัดสินไป และมีรัฐมนตรีในรัฐบาลอย่างน้อย ๓ คน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไปในทางเดียวกัน

ประการที่สอง แกนนำสำคัญในรัฐบาลได้แสดงท่าทีต่อสื่อมวลชนอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง ว่าคดีที่เขมรฟ้องเรียกเอาดินแดนประเทศไทยในขณะนี้นั้น ประเทศไทยมีแต่เจ๊งกับเจ๊า บ้างถึงขนาดกล่าวว่าคนไทยต้องเตรียมใจหากว่าต้องแพ้คดี

ประการที่สาม นับตั้งแต่เขมรยื่นฟ้องคดีมาจนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ รัฐบาลไทยจากทุกพรรคล้วนปกปิดความจริงไม่ให้คนไทยทั้งประเทศได้รับทราบว่ากรณีนี้เขมรฟ้องประเทศไทยเรียกเอาดินแดนตามแผนที่อัตราส่วน ๑ : ๒oo,ooo ซึ่งเป็นคดีใหม่ แต่หลอกลวงคนไทยว่าเป็นคดีเก่า ที่จำต้องเข้าไปชี้แจงต่อศาล ดีกว่าให้เขมรพูดเอาข้างเดียว และเพิ่งมายอมรับความจริงตามเอกสารที่กระทรวงการต่างประเทศแจกจ่ายเมื่อไม่นานมานี้ว่าเป็นคดีใหม่ แต่ไม่ยอมรับผิดที่ไม่ได้ขอรับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและไม่ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

สมคบกันเอาประเทศไทยและอธิปไตยของประเทศเข้าไปอยู่ใต้อุ้งตีนของศาลโลก แล้วชักชวนคนไทยทั้งประเทศตลอดจนทหาร ตำรวจ และข้าราชการให้ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก นั่นคือให้ยอมรับนับถือการปล้นแผ่นดินไทยไปให้เขมรอย่างไม่รู้จักอายนั่นเอง

ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลจากทุกพรรคไม่เคยบอกกล่าวประชาชนว่าให้การต่อสู้คดีนี้ว่าอย่างไร มีพยานหลักฐานอะไร ปกปิดซ่อนเร้นตลอดมา อ้างว่าศาลโลกห้ามเปิดเผย ซึ่งเป็นเท็จ เพราะศาลโลกไม่ได้ห้าม และการพิจารณาคดีของศาลก็ต้องกระทำโดยเปิดเผย ดังที่สามารถถ่ายทอดสดการแถลงการณ์ปิดคดีได้

ประการที่สี่ ศาลโลกออกมาเผชิญสืบดูสถานที่พิพาทที่เขมรฟ้องถึงสองครั้งในปี ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ซึ่งฝ่ายเขมรได้ขนเอาทหารและสื่อมวลชนพร้อมคณะทนายเต็มอัตราขึ้นไปนำชี้ว่าดินแดนเขมรอยู่ตรงไหนบ้าง ชี้นี่ปราสาทพระวิหารก็ของเขมร ชี้โบราณสถานต่าง ๆ อันต่อเนื่องกับปราสาทว่าเป็นของเขมร ชี้วัดแก้วสิกขาคีรีศวร ชี้ชุมชนเขมร ชี้ตลาดเขมร ชี้ประชาชนเขมรและชี้ทหารเขมรให้ศาลเห็นกับตา ในขณะที่ฝ่ายไทยไม่มีใครไปชี้

ซึ่งต้องรู้ว่าการเผชิญสืบที่เกิดเหตุของศาลเป็นกระบวนพิจารณาที่สำคัญ เพราะศาลไปดูไปเห็นด้วยตาตนเอง เมื่อศาลเห็นและเข้าใจอย่างไรแล้วก็จะมีน้ำหนักเหนือกว่าพยานหลักฐานทั้งปวง หากไม่คิดขายชาติก็ต้องไปนำชี้ให้เห็นประจักษ์ว่าบนพื้นที่เขาพระวิหารทั้งหมดนั้นอยู่ภายในเขตสันปันน้ำและเป็นของประเทศไทยซึ่งปักปันกันแล้วเสร็จมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ ทั้งปกปิดไม่ให้ประชาชนทราบ นี่จะเป็นจุดแพ้คดีที่สำคัญ

ประการที่ห้า ในท่ามกลางลีลาท่าทางและโวหารทางการทูตอันน่าเลื่อมใส แต่เนื้อในจะเป็นอย่างไรนั้นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เป็นเรื่องยากลำบากที่จะอธิบายในยามที่กระแสไหลหลากเหมือนกับบรรยากาศการหลงเชียร์ฟุตบอลหรือเชียร์มวย ซึ่งไม่มีใครฟังใคร

ก็ต้องบอกว่าการไปยอมรับคำตัดสินของศาลปี ๒๕o๕ ยอมรับว่าได้ปฏิบัติตามคำตัดสินนั้นบริบูรณ์แล้วก็ดี การที่บางคนในคณะไปยอมรับว่าตัวปราสาทเป็นของเขมร บางคนยอมรับพื้นที่ตั้งตัวปราสาทเป็นของเขมร คือการทำลายการสงวนสิทธิ์ที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สงวนไว้ และทำให้คำพิพากษาตลอดจนแผนที่อัตราส่วน ๑ : ๒oo,ooo ของเขมรมีฤทธิ์เดชที่จะกินดินแดนของประเทศไทยถึง ๑๙ ล้านไร่

ก็เตรียมตัวเตรียมใจด่าศาลโลกกันไว้เพื่อช่วยให้นักการเมืองที่ขายชาติ ทรยศชาติและสมคบกันล้มมวยยืมมือศาลโลกปล้นแผ่นดินไทยให้เขมรได้ลอยนวลต่อไป.


จากคอลัมน์ "บ้านเกิดเมืองนอน"
นสพ.แนวหน้า ๒๓ เม.ย. ๒๕๕๖








"นายกฯ​ ต้องกล้าบอกกับกัมพูชา"
ศรุติ ศรุตา


การออกมาเรียกร้องให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อกรณีเขาพระวิหาร ภายหลังการขึ้นให้การครั้งสุดท้ายต่อศาลโลกทั้งของฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาเสร็จสิ้น ไม่ใช่มีแต่เพียง สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีนเท่านั้น หากแต่คนไทยทั้งประเทศก็ต้องการเช่นนั้น

ดูได้จากกระแสความชื่นชมยินดีที่มีต่อทีมทนายความฝ่ายไทย ที่นำโดย ทูตวีรชัย พลาศัย ได้กลายเป็นวีรบุรุษที่ยังอยู่ตัวเป็น ๆ

แต่การออกมาเรียกร้องของ สุริยะใส กลับถูกตอบโต้จากโฆษกรัฐบาล นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อย่างรุนแรง

อ้างว่า การแสดงท่าทีของรัฐบาลนั้น จะต้องมีขั้นมีตอน รวมทั้งจะต้องวางแผนเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้

แล้วก็ตบท้ายด้วยการย้อนยอกไปที่ สุริยะใส ว่า “ไม่อยากให้นายสุริยะใส หรือใครก็ตามทำเป็นแกล้งโง่ไร้เดียงสา"

แต่ท่าทีอันแข็งกร้าวของโฆษกรัฐบาลกลับเป็นคนละเรื่องกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ที่มีมติให้รัฐบาลชี้แจงรายละเอียดแก่ประชาชน

กับด้วยว่า ให้แถลงอย่างละเอียด แล้วก็เอา "ของจริง" ให้ประชาชนได้รับรู้

นั่นก็อาจเป็นเพราะอาจมีกระแสข่าวบางอย่างกระทบถึงหูของกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย

ไม่ใช่เรื่องแค่ว่า กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ไม่พอใจหรือจับตาท่าทีของรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่ง สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แนบแน่นเสียยิ่งกว่าพี่น้อง และมีข่าวลือเกี่ยวกับการประสานธุรกิจของทั้งสองฝ่ายมาอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งหลานสาวของนายกฯ ยิ่งลักษณ์เอง ก็มีข่าวว่ากำลังจะเกี่ยวดองกับบุตรชายของ ส.ส.กัมพูชา

ท่าทีของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จึงเป็นสิ่งที่ถูกจับตามองว่า จะออกมาอย่างไร ภายหลังกระแสชื่นชมวีรบุรุษทีมทนายความฝ่ายไทยที่กว่าครึ่งเป็นคนต่างชาติ แต่ได้รวมใจกันสู้เพื่อชาติไทย

ถามว่า ใครที่อยากฟังมากที่สุด ?

คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยย่อมต้องรู้ดีว่าใคร ?

ย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจาก กองทัพไทย

เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องดินแดน เป็นเรื่องอธิปไตยที่กองทัพไทยมีหน้าที่โดยตรงที่จะปกป้องอธิปไตยไทย

ไม่ว่าศาลโลกจะออกมาอย่างไร หน้าที่นี้ก็ไม่อาจผลักไสไปให้ใครอื่นได้ และก็มีแนวโน้มว่า สถานการณ์ด้านตะวันออกของไทยยากที่จะเงียบสงบได้อย่างง่ายดาย เพราะทั้งสองประเทศแม้จะรู้ดีว่า ย้ายหนีจากกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีลดราวาศอกให้แก่กัน

ฮอร์ นัมฮง รองนายกฯ กัมพูชา ถึงกับบอกว่า ถ้าไม่ได้ตามขอก็ยากที่จะเกิดสันติภาพ ณ ที่แห่งนั้น

ซึ่งก็ไม่ต่างจากกองทัพไทย ที่ระดับผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ต่างก็พร้อมรบอย่างเต็มที่

นั่นก็คือ หากศาลโลกวินิจฉัยออกมาแล้วว่า ไม่อาจพิจารณาคำร้องของกัมพูชาได้ กัมพูชาก็ไม่พอใจและอาจเกิดการประทะกันอีกระลอก

เช่นเดียวกัน หากศาลโลกพิจารณาให้พื้นที่รอบตัวปราสาท ๔.๖ ตารางกิโลเมตร เป็นของกัมพูชา กองทัพไทยก็คงจะยอมไม่ได้

มองทุกมุมทุกด้านแล้ว "สงครามทิศตะวันออก" มีโอกาสปะทุขึ้นได้ทุกด้านของลูกเต๋า

โดยการปะทะกันนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการยินยอมจากรัฐบาล เพราะสิทธิในการปกป้องอธิปไตยเป็นของกองทัพ

ในทางกลับกันหากรัฐบาลแสดงท่าทีขัดขวาง หรือเห็นต่างจากการปกป้องอธิปไตย ภัยก็อาจมาถึงตัวรัฐบาลก่อนที่การรบครั้งใหญ่จะประทุขึ้นก็เป็นได้

เพราะการต่อสู้บนเวทีศาลโลกครั้งนี้ ท่าของรัฐบาลไม่ได้สร้างความประทับใจให้แก่ทั้งกองทัพและประชาชนคนไทย แม้ว่าจะส่ง พงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ และรมว.ศึกษาธิการ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เพราะเคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เกิดความมั่นอกมั่นใจอะไรแก่ประชาชน

กลับเป็นทีมทนายที่มีคนไทยเป็นผู้นำแต่ที่เหลือเป็นผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาตินั่นต่างหากที่สร้างความประทับใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ

ภาพของรัฐบาลจึงแทบไม่ต่างอะไรกับเปลือกหอยลอยบนหลังทาก !

ลอยไปลอยมา โดยที่ไม่ได้ทำอะไร ปล่อยให้ทากซึ่งเปรียบคือทีมทนายความนั่นต่างหากที่เอาตัวเกลือกกลั้วเถือกไถไปกับพื้น

ขณะเดียวกัน นอกจากจะเป็นภาระให้แก่ทากแล้วยังสร้างความเคลือบแคลงในจุดยืนให้แก่กองทัพ เมื่อปล่อยให้มีการเผยแพร่สารคดีที่เกี่ยวข้องกับเขาพระวิหารถ่ายทอดคำถามโดยนักแสดงแฝด ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง ๑๑ เสียหลายตอน

ทั้งที่รู้ว่ากำลังจะมีการต่อสู้บนเวทีศาลโลก สารคดีชุดนี้ก็ออกมาชวนให้คนในกองทัพคิดกังขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ต้องไม่ลืมว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่อง พ.ร.บ.เงินกู้ ๒ ล้านล้านบาท ที่ฮือฮากันแล้วก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่ใช่โครงการจำนำข้าวที่แค่สาวไส้กันในสภา และไม่ใช่อภิมหาโปรเจกท์ ๓.๕ แสนล้านบาท โดยที่ไม่มีรายละเอียดของโครงการกำหนดกรอบเพื่อป้องกันการทุจริตเอาไว้

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องอธิปไตยที่ไม่ใช่ว่าจะเอาวาทกรรมมากล่าว หาว่านั่นคือ "ความคลั่งชาติ"

เพราะฉะนั้นเพียงแค่คิดว่าเอาข้อมูลไปแจก เอาข้อเท็จจริงไปบอกคงจะไม่เท่ากับการแสดงออกของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้

กล้าบอกกับกัมพูชาไหมว่า "แผนที่ของคุณมันมาจากจินตนาการ" เหมือนอย่างที่ทีมทนายความเขาประกาศกลางศาลโลก


จากคอลัมน์ "ขยายปมร้อน"
นสพ.คม ชัด ลึก ๒๓ เม.ย. ๒๕๕๖








"บทเรียนที่น่าสนใจจากศาลโลก"
กวี จงกิจถาวร


คดีศาลโลกจบไปแล้ว ต้องรอผลชี้ขาดปลายปีจากคณะผู้พิพากษาต่างประเทศ ๑๕ คน มีบทเรียนที่น่าสนใจที่เกิดจากการเตรียมการและชี้แจงครั้งนี้ บทเรียนแรก คือ ความโปร่งใสของคำชี้แจง การที่มีการถ่ายทอดทีวีตลอดเวลา ทำให้คนไทยและผู้ที่สนใจทั่วโลกได้เห็นและเข้าใจข้อพิพาทอย่างหมดจรด ไม่มีข้อครหาเหมือนครั้งก่อน ความโปร่งใสครั้งนี้น่าจะนำมาใช้เป็นตัวอย่างในสังคมไทย โดยเฉพาะในเรื่องเงินๆ ทองๆ เช่นกรณีการขอกู้เงิน ๒ ล้านล้านบาท ถ้ามีความโปร่งใสตรวจสอบได้ คนไทยทั่วไปจะเข้าใจและให้การสนับสนุน

บทเรียนที่สอง คือ ข้าราชการซื่อสัตย์ ทำงานโดยเอาผลประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้ง ยังเหลืออยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ "ทูตวีรชัย พลาศรัย” เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายไทย ที่นำทีมทนายมือหนึ่งเข้าชี้แจงต่อศาลโลก ณ กรุงเฮก เป็นตัวอย่างที่ดี ความมั่นใจของคนไทยที่ฝากให้ตัวทูตนั้น จึงไม่ผิดหวังและไม่มีใครตั้งคำถามหรือมีข้อสงสัย ฉะนั้นผู้มีอำนาจในบ้านเราควรจะถามตัวเองว่า ทำไมเวลาทำอะไรไปแล้วไม่มีใครเชื่อ ยิ่งพยายามจะสร้างความเชื่อมั่นเท่าไรก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อ

ทูตวีรชัยไม่ต้องพูดมาก พูดสองรอบที่กรุงเฮกแค่หนึ่งชั่วโมงกว่า สร้างความมั่นใจให้แก่ชาติราวกับดื่มยาวิเศษ สดชื่นและชื่นชมความเป็นไทย อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทูตเองไม่เคยต้องมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ารักชาติแบบคนอื่นๆ เขา คนไทยมีคนที่มีความสามารถ ต้องรู้จักใช้ ตอนนี้คนพูดมากเกี่ยวกับคดีนี้คือคนที่ไม่ได้ทำอะไร พูดมากกว่าคนทำ

บทเรียนที่สาม ต้องขอบคุณประเทศกัมพูชาที่เอาเรื่องข้อพิพาทปราสาทพระวิหารไปยังศาลโลก มันบังคับให้เราต้องหันมาดูตัวเอง มีความสามัคคี ต้องทำการบ้าน และคนที่ทำมากที่สุดคือตัวทูตวีรชัยเอง เขาต้องเป็นหัวหน้า รับผิดชอบ (เจ้าตัวรู้ดีว่าถ้ามีอะไรในแง่ลบเกิดขึ้นจะเป็นแพะรับบาป ถ้าได้ดีคนอื่นเอาไปหมด) ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ท่านทูตต้องพยายามค้นหาหลักฐานทั้งใหม่และเก่าสุดขั้วโลกทุกแห่งหนมาเสริมกว่าหนึ่งพันสามร้อยกว่าหน้า ตามจริงมีเอกสารมากกว่าหนึ่งหมื่นกว่าหน้าทางทีมไทยได้ค้นหามาใช้ประกอบ ฝ่ายกัมพูชามั่นใจมาก ใช้เอกสารชิ้นเดียวคือแผนที่ในเอกสารแนบหมายเลขหนึ่ง

ครั้งนี้ต้องชื่นชมทีมกฎหมายไทยที่เตรียมงานทางด้านเอกสารต่างๆ ได้ครบถ้วนที่สุด ตามปกติเวลาพูดถึงเรื่องเอกสารแล้ว คนไทยจะหนาว เพราะไม่สนใจในรายละเอียด ครั้งนี้จะพบว่าฝ่ายไทยชี้ให้เห็นความไม่ชอบมาพากลของฝ่ายกัมพูชาและข้ออ้างอิงต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ยิบ

ตั้งแต่นี้ต่อไปรัฐบาลต้องส่งเสริมมีการพัฒนาระบบการจัดเก็บเอกสารที่ดีมากกว่านี้ ฝ่ายทหารมีระบบเก็บเอกสารที่ดี แต่เป็นเรื่องลับ โชคดีที่มีความร่วมมืออย่างดีระหว่างทีมกฎหมายไทยกับฝ่ายทหาร ทำให้เอกสารอ้างอิงทุกอย่างครบถ้วน ในอดีตเราสู้เขาไม่ได้เพราะเอกสารเราอ่อน

ที่สำคัญที่สุดการให้ปากคำในศาลโลกแบบบูรณาการครั้งนี้ ทำให้กลุ่มนักวิชาการจอมปลอมทั้งหลายต้องหดหัวหายไป ไม่ต้องออกมาแสดงความงี่เง่าต่อไป และหยุดคำกล่าวหาคนอื่นๆ ว่าขายชาติ กระบวนการโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลายทั้งปวงที่กลุ่มคลั่งชาติทั้งหลายมาใช้สร้างความเดือดร้อนจะได้จบสิ้นไป

แน่นอนที่สุด ช่วงต่อไปนี้คนไทยจะต้องไม่รีบด่วนตัดสินว่า คำชี้ขาดของศาลโลกจะออกมาอย่างโน้นอย่างนี้ เราต้องไม่ฟุ้งซ่านกับสิ่งที่พบเห็นในทีวี ถึงแม้ว่าเราจะมีความมั่นใจและเชื่อใจในหลักฐานของไทยก็ตาม ผู้พิพากษานานาชาติกลุ่มนี้มีความคิดและกฎเกณฑ์ในการตัดสินที่เราเดาได้ยากมาก

ประเด็นสุดท้าย คือ สถานภาพการเมืองสายสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา จะมีผลมากกว่า เวลาสู้คดีในศาล ไม่มีใครยอมใคร คำพูดทั้งสองฝ่ายนำมาใช้หักล้างกันจึงทิ่มแทงหัวใจสุด ๆ รุนแรงและตรงไปตรงมา แต่พอจบคดี ทั้งสองประเทศต้องหันกลับมาสู่สภาพความเป็นจริงที่ต้องร่วมมือกันต่อไป

ตอนกล่าวจบคดีข้อพิพาท ทูตวีรชัยพูดย้ำว่า ไทยอยากอยู่กับกัมพูชาอย่างสันติและร่วมมือกันในฐานะเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน ต้องติดตามดูว่ามันจะออกผลมาอย่างไร?


จากคอลัมน์ "มิติโลกาภิวัฒน์"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๒ เม.ย. ๒๕๕๖








"เล่ห์ร้ายป้ายความผิดไปให้ศาลโลก"
สิริอัญญา


ตามบรรยากาศในขณะนี้ถ้าหากศาลโลกตัดสินยกคำฟ้องของเขมรให้ไทยเป็นฝ่ายชนะคดีก็คงได้เฮลั่นสนั่นเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองก็จะโหนกระแสว่าเป็นเจ้าบุญนายคุณที่รักษาแผ่นดินเอาไว้ได้ในคราวนี้

แต่ด้วยกระแสที่ครืนครั่นอยู่ในขณะนี้ถ้าหากว่าศาลโลกตัดสินให้ประเทศไทยแพ้คดี ไม่ว่าจะมีวิธีในการระบุในคำตัดสินอย่างไร คนทั้งปวงที่กำลังเริงกระแสอยู่ก็จะพากันโกรธแค้นด่าว่าศาลโลกว่าไม่ดำรงรักษาความยุติธรรม ชะดีชะร้ายก็จะก่อเกิดกระแสใหญ่เดินขบวนกันทั้งบ้านทั้งเมืองเพื่อประท้วงศาลโลก

และถึงจะประท้วงอย่างไร ประเทศไทยก็จะเสียดินแดนตามมากตามน้อยสุดแท้แต่ผลของคำพิพากษานั้น แต่นักการเมืองก็จะรอดตัวไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพราะคนไทยทั้งประเทศได้สำเร็จในการหลงกระแสไปด่าศาลโลกเสียแล้ว

ในฐานะที่เป็นผู้สนใจในกลยุทธ์ทั้งหลายและติดตามกลยุทธ์ของนักการเมืองมาอย่างใกล้ชิด ก็ต้องชมว่าการกลับลำหันมาถ่ายทอดสดและปลุกกระแสรักชาติรักษาแผ่นดินของนักการเมืองในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่เก่งมาก ๆ อาจทำให้การก่อกรรมทำเข็ญคิดคดกบฏชาติขายชาติขายแผ่นดินสามารถทำการได้สำเร็จโดยความผิดทั้งปวงถูกป้ายไปอยู่ที่ศาลโลก

กล่าวดังนี้มิได้ปรารถนาให้ประเทศไทยแพ้คดีแต่อย่างใด และขอภาวนาให้ศาลโลกยกคำฟ้องของเขมร แม้จะถูกกล่าวหาในภายหลังว่าออกความคิดความเห็นที่ผิด ๆ พลาด ๆ ก็ยังดีกว่าที่จะเสียแผ่นดิน

ความปรารถนาของคนไทยทั้งประเทศคือการไม่ยอมเสียแผ่นดินไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว แต่ก็ต้องไม่โง่หรือหลงกระแสไปกับสิ่งที่นักการเมืองสร้าง จะต้องมีสติรู้เท่าทันถึงความเป็นไปทั้งปวง และที่สำคัญอย่าลืมง่ายจนเกินไป

คนไทยเพียงรำลึกย้อนหลังไปไม่นานก็ย่อมทราบความจริงอย่างชัดเจนว่า

ประการแรก เมื่อครั้งเป็นรัฐบาลใหม่ ๆ นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แถลงกับสื่อมวลชนว่าประเทศไทยจะไม่ต่อสู้คดีและจะไม่แถลงการณ์ปิดคดี จะปล่อยให้ศาลตัดสินไป และมีรัฐมนตรีในรัฐบาลอย่างน้อย ๓ คน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไปในทางเดียวกัน

ประการที่สอง แกนนำสำคัญในรัฐบาลได้แสดงท่าทีต่อสื่อมวลชนอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง ว่าคดีที่เขมรฟ้องเรียกเอาดินแดนประเทศไทยในขณะนี้นั้น ประเทศไทยมีแต่เจ๊งกับเจ๊า บ้างถึงขนาดกล่าวว่าคนไทยต้องเตรียมใจหากว่าต้องแพ้คดี

ประการที่สาม นับตั้งแต่เขมรยื่นฟ้องคดีมาจนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ รัฐบาลไทยจากทุกพรรคล้วนปกปิดความจริงไม่ให้คนไทยทั้งประเทศได้รับทราบว่ากรณีนี้เขมรฟ้องประเทศไทยเรียกเอาดินแดนตามแผนที่อัตราส่วน ๑ : ๒oo,ooo ซึ่งเป็นคดีใหม่ แต่หลอกลวงคนไทยว่าเป็นคดีเก่า ที่จำต้องเข้าไปชี้แจงต่อศาล ดีกว่าให้เขมรพูดเอาข้างเดียว และเพิ่งมายอมรับความจริงตามเอกสารที่กระทรวงการต่างประเทศแจกจ่ายเมื่อไม่นานมานี้ว่าเป็นคดีใหม่ แต่ไม่ยอมรับผิดที่ไม่ได้ขอรับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและไม่ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

สมคบกันเอาประเทศไทยและอธิปไตยของประเทศเข้าไปอยู่ใต้อุ้งตีนของศาลโลก แล้วชักชวนคนไทยทั้งประเทศตลอดจนทหาร ตำรวจ และข้าราชการให้ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก นั่นคือให้ยอมรับนับถือการปล้นแผ่นดินไทยไปให้เขมรอย่างไม่รู้จักอายนั่นเอง

ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลจากทุกพรรคไม่เคยบอกกล่าวประชาชนว่าให้การต่อสู้คดีนี้ว่าอย่างไร มีพยานหลักฐานอะไร ปกปิดซ่อนเร้นตลอดมา อ้างว่าศาลโลกห้ามเปิดเผย ซึ่งเป็นเท็จ เพราะศาลโลกไม่ได้ห้าม และการพิจารณาคดีของศาลก็ต้องกระทำโดยเปิดเผย ดังที่สามารถถ่ายทอดสดการแถลงการณ์ปิดคดีได้

ประการที่สี่ ศาลโลกออกมาเผชิญสืบดูสถานที่พิพาทที่เขมรฟ้องถึงสองครั้งในปี ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ซึ่งฝ่ายเขมรได้ขนเอาทหารและสื่อมวลชนพร้อมคณะทนายเต็มอัตราขึ้นไปนำชี้ว่าดินแดนเขมรอยู่ตรงไหนบ้าง ชี้นี่ปราสาทพระวิหารก็ของเขมร ชี้โบราณสถานต่าง ๆ อันต่อเนื่องกับปราสาทว่าเป็นของเขมร ชี้วัดแก้วสิกขาคีรีศวร ชี้ชุมชนเขมร ชี้ตลาดเขมร ชี้ประชาชนเขมรและชี้ทหารเขมรให้ศาลเห็นกับตา ในขณะที่ฝ่ายไทยไม่มีใครไปชี้

ซึ่งต้องรู้ว่าการเผชิญสืบที่เกิดเหตุของศาลเป็นกระบวนพิจารณาที่สำคัญ เพราะศาลไปดูไปเห็นด้วยตาตนเอง เมื่อศาลเห็นและเข้าใจอย่างไรแล้วก็จะมีน้ำหนักเหนือกว่าพยานหลักฐานทั้งปวง หากไม่คิดขายชาติก็ต้องไปนำชี้ให้เห็นประจักษ์ว่าบนพื้นที่เขาพระวิหารทั้งหมดนั้นอยู่ภายในเขตสันปันน้ำและเป็นของประเทศไทยซึ่งปักปันกันแล้วเสร็จมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ ทั้งปกปิดไม่ให้ประชาชนทราบ นี่จะเป็นจุดแพ้คดีที่สำคัญ

ประการที่ห้า ในท่ามกลางลีลาท่าทางและโวหารทางการทูตอันน่าเลื่อมใส แต่เนื้อในจะเป็นอย่างไรนั้นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เป็นเรื่องยากลำบากที่จะอธิบายในยามที่กระแสไหลหลากเหมือนกับบรรยากาศการหลงเชียร์ฟุตบอลหรือเชียร์มวย ซึ่งไม่มีใครฟังใคร

ก็ต้องบอกว่าการไปยอมรับคำตัดสินของศาลปี ๒๕o๕ ยอมรับว่าได้ปฏิบัติตามคำตัดสินนั้นบริบูรณ์แล้วก็ดี การที่บางคนในคณะไปยอมรับว่าตัวปราสาทเป็นของเขมร บางคนยอมรับพื้นที่ตั้งตัวปราสาทเป็นของเขมร คือการทำลายการสงวนสิทธิ์ที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สงวนไว้ และทำให้คำพิพากษาตลอดจนแผนที่อัตราส่วน ๑ : ๒oo,ooo ของเขมรมีฤทธิ์เดชที่จะกินดินแดนของประเทศไทยถึง ๑๙ ล้านไร่

ก็เตรียมตัวเตรียมใจด่าศาลโลกกันไว้เพื่อช่วยให้นักการเมืองที่ขายชาติ ทรยศชาติและสมคบกันล้มมวยยืมมือศาลโลกปล้นแผ่นดินไทยให้เขมรได้ลอยนวลต่อไป.


จากคอลัมน์ "บ้านเกิดเมืองนอน"
นสพ.แนวหน้า ๒๓ เม.ย. ๒๕๕๖








"กรรมชี้เจตนาระบอบทักษิณยากสลัดภาพกายไทยใจเขมร"
ทีมข่าวการเมืองนสพ.แนวหน้า


การที่ ดร.วีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์หัวหน้าทีมสู้คดีเขาพระวิหารภาค ๒ ซึ่งกลายเป็นฮีโร่ขวัญใจคนไทยทั้งประเทศกล่าวว่า รู้สึกโล่งอกที่ข้อมูลความลับในการสู้คดีไม่รั่วไปถึงฝ่ายกัมพูชาน่าจะสะท้อนสัญญาณบางอย่างว่าเอกอัครราชทูตจอมตงฉินผู้นี้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคทางการเมืองจนมาถึงจุดนี้

คำกล่าวของ ดร.วีรชัย อาจสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจฝ่ายการเมืองจนต้องเก็บงำข้อมูลลับอันเป็น“หมัดเด็ด” ไว้น็อกฝ่ายกัมพูชาที่ใช้เวลาศึกษาค้นคว้ามานานถึง ๓ ปี เป็นความลับสุดยอดโดยไม่ให้ฝ่ายการเมืองล่วงรู้แม้แต่น้อยเนื่องจากเกรงว่าความลับจะรั่วไหลไปยังฝ่ายกัมพูชาจนแก้เกมทีมสู้คดีฝ่ายไทยได้ทัน

ผู้สันทัดกรณีตั้งข้อสังเกตว่า ๓ รัฐมนตรีประกอบด้วย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนารองนายกฯและรมว.ศึกษาธิการ และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ที่ร่วมเดินทางไปกับคณะของทีมสู้คดีครั้งนี้แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย และน่าสงสัยว่ามาคอยคุมเชิงประกบทีมสู้คดีให้คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบฮุนเซ็นหรืออาจจะจ้องล้วงข้อมูลลับเพื่อคาบไปบอกฝ่ายทีมสู้คดีของฝ่ายกัมพูชาเพราะดูเหมือนว่ารัฐมนตรีไทยทั้ง ๓ จะเกรงอกเกรงใจฝ่ายกัมพูชาไม่น้อยถึงขนาดเดินเข้าไปกราบ นายฮอร์ นัมฮงรองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสู้คดีฝ่ายกัมพูชาอย่างนอบน้อมผิดปกติ

แต่ ดร.วีรชัย ยึดถือประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งและเก็บความลับในการสู้คดีได้อย่างยอดเยี่ยมจนวินาทีสุดท้ายก่อนขึ้นเวทีชี้แจงต่อศาลแล้วปล่อย “หมัดเด็ด” จนน็อกฝ่ายกัมพูชาได้อย่างจะแจ้งเข้าตามหาชน ซึ่งอาจสร้างความผิดหวังแก่ ๓ รัฐมนตรีไม่น้อย แต่เมื่อผลออกมาแบบเหนือความคาดหมายจน ดร.วีรชัย กลายเป็นฮีโร่ขวัญใจคนไทยทั้งประเทศที่ถึงขนาดแห่ไปให้กำลังใจถึงสนามบินสุวรรณภูมิเลยทำให้รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณต้องเดินเกมตามน้ำโหนกระแส “วีรชัยฟีเว่อร์” ไปแบบน้ำขุ่นๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยจ้องหมายหัวเขี่ย ดร.วีรชัย ซึ่งระบอบฮุนเซ็นไม่ชอบหน้าให้พ้นทาง

อย่าว่าแต่ ดร.วีรชัย แม้แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ไว้วางใจฝ่ายการเมือง โดยสะท้อนจากผลสำรวจความเห็นประชาชน ๑๗ จังหวัดทั่วประเทศกรณีการสู้คดีเขาพระวิหารภาค ๒ ของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญครั้งล่าสุดชี้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ ๖๕.๖ พอใจการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการทูตซึ่งหมายถึง ดร.วีรชัย แต่กลับพึงพอใจการทำหน้าที่ของนักการเมืองน้อยกว่าครึ่งหนึ่งหรือแค่ร้อยละ ๔๒.๖ เท่านั้น

ที่เป็นเช่นนี้เพราะกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา อดีตเป็นตัวชี้ปัจจุบันและอนาคตซึ่งพฤติการณ์ของระบอบทักษิณกับระบอบฮุนเซ็นสัมพันธ์แนบแน่นในลักษณะต่างตอบแทนลึกซึ้งถึงขนาด ๒ ผู้นำประกาศตัวเป็นพี่น้องร่วมสาบาน มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมเสพชนิดถึงไหนถึงกัน

เพราะฉะนั้นแม้การไต่สวนของศาลโลกในคดีเขาพระวิหารภาค ๒ จะปิดฉากไปแล้วโดยรอการตัดสินในราวปลายเดือนต.ค.นี้ แต่ความสัมพันธ์ต่างตอบแทนที่เอื้อประโยชน์ต่อกันระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบฮุนเซ็นยังจะดำเนินต่อไปและมีแต่จะแนบแน่นมากขึ้น ภายใต้ข้ออ้างกลบเกลื่อนของรัฐบาลหุ่นเชิดที่ว่าเพื่อสันติภาพและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ผู้สันทัดกรณีตั้งข้อสังเกตว่า นัยคำว่าสันติภาพและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับคำว่าขายชาตินั้นบางทีมันห่างกันแค่เส้นยาแดงผ่าแปดจนแทบจะกลายเป็นคำคำเดียวกัน


จากคอลัมน์ "ผ่าประเด็นร้อน"
นสพ.แนวหน้า ๒๓ เม.ย. ๒๕๕๖



บีจีและไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor





Create Date : 24 เมษายน 2556
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 19:43:26 น. 0 comments
Counter : 1004 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.