สร้างสี่ทักษะ ให้ลูกอย่างสร้างสรรค์
การทำงานเป็นทีม ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วใครก็สามารถทำได้ โดยใช้แค่ทักษะในการปรับตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ แต่ปัญหาคือมันไม่ใช่แค่การปรับตัวของคนคนเดียว แต่มันคือจะต้องปรับตัวด้วยกันทุกฝ่าย
แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ในความที่ดูเหมือนง่าย มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อีกมากมายเชียวล่ะ เรามาหาวิธีการส่งเสริมทักษะเรื่องการทำงานเป็นทีมให้เด็กๆ กันดีกว่า เป็นการส่งเสริมทักษะการทำงานเป็นทีม โดยใช้ทักษะทั้ง 4 อย่างนี้ค่ะ ทีมเวิร์ค, การใส่ใจผู้อื่น, สามัญสำนึก และทักษะการแก้ปัญหา
สิ่งสำคัญที่เราเรียก 4 ทักษะนี้ว่าเป็นการสอนให้ลูกทำงานเป็นทีมอย่าง “สร้างสรรค์” ก็เพราะว่าเรามีเรื่องของ “การใส่ใจผู้อื่น” เข้ามาด้วย ความคิดที่อยากจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา นี่ถือเป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่งเหมือนกันนะคะ
ทำไมต้อง 4 ทักษะนี้
จริงๆ แล้วทั้ง 4 ทักษะนี้ก็มีความจำเป็นอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่ถ้าหากเราปลูกฝังเรื่องเหล่านี้ให้กับเด็ก ก็จะเป็นการช่วยส่งเสริม ให้เด็กสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ง่ายขึ้น ลองไปดูกันว่า เราจะนำทักษะเหล่านี้ มาใช้สอนลูกให้ทำงานเป็นทีมอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร
★ 1. ทีมเวิร์ค (Team work) พื้นฐานของการทำงานเป็นทีมก็คือ การให้เกียรติผู้อื่น การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การเห็นความสำคัญของความสามารถและความสำคัญของผู้อื่น นอกจากนี้แล้วยังต้องสื่อสารความต้องการของตนเองได้ รวมทั้งสื่อสารถึงบทบาทของตัวเองด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นพื้นฐานสำคัญของการทำงานร่วมกับผู้อื่น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการเปิดใจในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าที่กล่าวมา สำหรับการสร้างความเป็นทีมเวิร์ค และเจ้าตัวความรู้สึกว่ามีทีมเวิร์คนี่ล่ะค่ะ จะทำให้เด็กมีความสุข และสนุกกับการทำงานเป็นทีมมากขึ้น
ทำอย่างไรให้เด็กรู้จักคำว่า “ทีมเวิร์ค”
* อย่าสร้างวิธีคิดแบบ Perfectionist (ความเป็นคนสมบูรณ์แบบ) ให้กับเด็ก เพราะว่าจริงๆ แล้วการยึดติดกับความรู้สึกที่ต้องการให้โลกทั้งโลก หรือทุกสิ่งที่ทำ จะต้องสมบูรณ์แบบ จะสร้างความทุกข์ใจกับทั้งตัวเด็กเองและผู้ที่ทำงานร่วมกัน เพราะจริงๆ แล้วโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เมื่อเหตุการณ์และวันเวลาเปลี่ยนไป สิ่งนั้นก็เปลี่ยนตามด้วยเช่นกัน
* เปิดโอกาสให้เด็กแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องภายในบ้าน โดยเปิดโอกาสให้เด็กโต้แย้งกับผู้ใหญ่ได้ ที่สำคัญคือสอนให้เด็กใช้เหตุผลในการโต้แย้ง และไม่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เพื่อแสดงให้เด็กเห็นว่าเมื่อมีคนมากกว่าหนึ่ง การตัดสินใจร่วมกันจะต้องใช้เหตุผลที่ดีกว่า และเป็นการสอนให้เด็กรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอีกด้วย
* แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกับลูก โดยการเล่าเรื่องราวการทำงานของคุณ จะเป็นเหตุการณ์ที่คุณกับเจ้านายคิดไม่ตรงกันก็ได้ แต่เป็นการเล่าให้ลูกรู้ว่า การทำงานเป็นทีมเป็นอย่างไร
* เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เช่น การให้ลูกช่วยคิดเกี่ยวกับการจัดห้องครัวใหม่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น จากนั้นก็ช่วยกันลงมือจัดตามที่คิดไว้ เพื่อให้เด็กจะเรียนรู้คำว่า ทีมเวิร์คจากการทำงานจริงๆ แล้วก็เห็นข้อดีของการทำงานเป็นทีม
* ในการทำงานแต่ละอย่างพยายามตั้งคำถามกับลูก ว่า “ลูกคิดว่า ถ้าเราทำคนเดียวจะเสร็จเร็วอย่างนี้ไหม” หรือ “ถ้าลูกต้องทำงานยากๆ คนเดียว จะแก้ปัญหายังไง” หรือ “เห็นไหมว่าถ้าเราไม่ช่วยกัน แม่คงยกไม่ไหวแน่ๆ”
★ 2. การใส่ใจผู้อื่น (Caring) ธรรมชาติอย่างหนึ่งของเด็กๆ ก็คือ มักจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะนึกถึงตัวเองก่อนที่จะนึกถึงคนอื่น แต่ว่าเรื่องของการใส่ใจผู้อื่น เป็นเรื่องที่เราสามารถสอนเด็กได้ตั้งแต่เล็ก อย่างน้อยที่สุดก็แสดงให้เขาเห็นว่า คุณใส่ใจเขา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกด้วยคำพูด ท่าทาง หรือการสัมผัสก็ตาม ทำให้เด็กรู้สึกว่าเราแคร์ความรู้สึกของเขา
“ใส่ใจ” คำที่ต้องเรียนรู้เพื่อการทำงานเป็นทีม เหตุที่ต้องเรียนรู้เรื่องของความใส่ใจ ก็เพราะปัญหาใหญ่ของการทำงานเป็นทีมอย่างหนึ่ง ก็คือ การที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น การที่เราสอนให้เด็กเอาใจเขามาใส่ใจเรา จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นไปในตัว ที่สำคัญคือ การที่เด็กรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ได้ส่งผลดีในเรื่องของการทำงานเป็นทีมเท่านั้น แต่มันหมายถึงการสอนให้เด็กรู้จัก วิธีการดูแล “มิตรภาพ” ให้ยาวนานอีกด้วย
เคล็ดลับในการสอนให้เด็ก “ใส่ใจ” ผู้อื่น
* ใช้การเขียนโน้ต เพื่อบอกความรู้สึกถึงกัน และกันภายในครอบครัว อาจจะจัดเป็นช่วงเวลาสำหรับการเขียนโน้ต ซึ่งเป็นวันหยุดหรือเป็นตอนหัวค่ำก็ได้ โดยแจกกระดาษโน้ตให้สมาชิกภายในบ้านทุกคน แล้วให้เขียนความในใจที่อยากจะบอกกัน แต่ไม่ต้องเป็นคำหวานๆ ก็ได้ เช่น “เสลาลูกยิ้มน่ารักที่สุดเลยรู้ไหม” หรือ “กับข้าวมื้อเย็นเมื่อวานอร่อยมากจ๊ะที่รัก” หรือจะเขียนแปะตามที่ต่างๆ เช่น ตู้เย็น ประตูตู้เสื้อผ้า ฯลฯ ก็ได้
* ตั้งคำถามประเภทที่ขึ้นต้นว่า “เขาจะรู้สึกอย่างไร” เช่น “หนูคิดว่าถ้ามีใครมาว่าหนูเป็นหมูตอนจะรู้สึกอย่างไร” หรือ ในการดูแข่งขันเทนนิสก็ถามว่า “หนูว่าแทมมี่จะรู้สึกอย่างไรที่แข่งแพ้/ชนะ” หรือ “ถ้าเป็นหนูล่ะ / ถ้าหนูเป็นเขาจะรู้สึกอย่างไร” หรือ “ถ้าหนูเป็นแม่แล้วมีลูกเกเรแบบนี้จะเสียใจไหม ?”
* ชวนเด็กทำการ์ด ส่งให้กำลังใจคนที่อยู่ในสถานการณ์แย่กว่า เช่น ส่งให้เด็กๆ ที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล หรือส่งให้ทหารผ่านศึก ฯลฯ และที่สำคัญคือในระหว่างที่ทำการด์นั้น ให้ชวนเด็กพูดคุยเกี่ยวกับคนเหล่านี้ด้วย เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เด็กรู้สึกเห็นใจผู้อื่นไปในตัว
* ฝึกให้เด็กตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเอง จะช่วยให้เด็กเข้าใจความเป็นตัวเองได้มากขึ้น เช่น ฉันมี ความสุขเมื่อ ? ฉันรู้สึกเศร้าเมื่อ ? ฉันกลัว ? ฯลฯ จากนั้นก็พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของคุณให้ลูกฟังด้วย จะได้ช่วยเด็กเรียนรู้ที่จะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองและผู้อื่น
★ 3. สามัญสำนึก (Common sense) สามัญสำนึกเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการทำงานเป็นทีม เพราะว่ามันคือการใช้ข้อเท็จจริงในการตัดสินว่าอะไรผิด และอะไรถูก ที่สำคัญคือเด็กจะต้องรู้ว่า การที่จะทำให้สิ่งที่ตัวเองเสนอได้รับการยอมรับนั้น เขาจะต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนมากพอ
สิ่งสำคัญคือเราต้องสอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะมองสิ่งต่างๆ อย่างรอบด้าน คิดหลายแง่มุม ไม่มองหรือตัดสินอะไร จากการมองแง่มุมเดียว หรือฟังความข้างเดียว หรือเอาความเห็นของตัวเองคนเดียวเป็นใหญ่ รวมทั้งการสอนให้รับฟังความเห็นของผู้อื่นด้วย (แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม) สามัญสำนึกตัวนี้แหละจะเป็นตัวการสำคัญ ที่จะช่วยให้เด็กมีทักษะในการแก้ปัญหา เพราะว่าเขารู้จักการตัดสินใจผ่านการมองข้อมูลรอบๆ ด้านนั่นเอง
ทำอย่างไรให้เด็กมีสามัญสำนึก
* พยายามฝึกให้ลูกรู้รายละเอียดต่างๆ ภายในบ้านร่วมกับพ่อแม่ เช่น ให้เด็กรู้เรื่องค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และคำนวณให้เด็กเห็นว่า การที่พ่อแม่ทำงานเหนื่อย ก็เพราะต้องเอาเงินส่วนหนึ่งมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน (แต่กรณีนี้ควรจะทำเป็นการพูดคุย เล่าสู่กันฟังอย่างเพื่อน ไม่ใช่การระบายความรู้สึกกับเด็กหรือทำให้เด็กรู้สึกเครียด) และเกิดสามัญสำนึกโดยไม่รู้ตัว
* พยายามตั้งคำถามที่ไม่มีคำตอบตายตัวให้เด็กคิด เช่น “ทำไมเขาต้องจัดร้าน (อาหาร) สไตล์นี้” หรือ “หนูคิดว่าสิ่งต่างๆ ที่โฆษณาในทีวีมันจริงหมดเลยหรือเปล่า อันไหนเชื่อได้หรือไม่ได้ / ทำไม” หรือ “ลูกรู้จักใครที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อของแบรนเนมดังๆ แต่ว่าไม่ค่อยมีน้ำใจกับเพื่อนบ้างไหม” หรือ “หนูจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไหม คิดว่าถ้าย้อนกลับไป หนูจะทำได้ดีกว่านั้นไหม แล้วถ้าเป็นแบบนั้นอีก หนูจะตัดสินใจอย่างไร” ที่สำคัญคือ ควรเป็นคำถามที่กระตุ้นให้เด็กคิดหาเหตุผลสำหรับการตอบได้หลายๆ แง่มุม และเป็นการคิดผ่านบทบาทหรือมุมมองของคนอื่นด้วย
★ 4. ทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving) อันนี้ถือว่าเป็นทักษะบังคับ ที่ควรจะหัดให้เด็กมีในทุกกรณี ไม่เฉพาะแต่เพื่อการส่งเสริมการทำงานเป็นทีมเท่านั้น แต่ว่าสิ่งสำคัญก็คือ มีข้อควรคำนึกอย่างหนึ่งในเรื่องของการแก้ปัญหาคือ เราต้องสอนให้เด็กกล้าตัดสินใจ และเมื่อตัดสินใจไปแล้วผิดพลาด จะต้องยอมรับและกล้าที่จะแก้ไขใหม่อีกครั้ง (หรือหลายๆ ครั้ง) สำหรับทักษะในการแก้ปัญหาในเรื่องของการทำงานเป็นทีม ก็จะต้องเป็นการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับเพื่อนๆ ในกลุ่มด้วย ซึ่งทักษะที่จะช่วยตรงจุดนี้ได้ก็คือ “สามัญสำนึก” นั่นเอง
แบบไหนคือการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
* เด็กรู้จักการคิดหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยวิธีใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเดิม และเป็นวิธีที่เหมาะสมกับตนเอง
* เป็นการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนชัดเจน และมีแผนสองรอบรับในกรณีที่แผนหนึ่งไม่ได้ผล
* รู้จักแยกแยะข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่อการตัดสินใจออกไป แล้วเลือกข้อมูลที่ดีที่สุดในการตัดสินใจได้ ซึ่งเป็นการแยกแยะที่มีเหตุผล และใช้มุมมองแง่คิดจากหลายๆ แง่
* เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่เดือดร้อนหรือโยนความทุกข์ให้ผู้อื่น
ทำอย่างไรให้เด็กมีทักษะในการแก้ปัญหา
* สอนให้เด็กรู้จักการมองหา “ทางเลือก” หลากหลาย อย่าทำให้เด็กรู้สึกว่าเขาไม่มีทางเลือก เช่น ถ้าไม่ให้เล่นเกม ก็ควรจะมีทางเลือกอย่างอื่นให้เขาทำ พยายามอย่าห้าม หากเด็กมีข้อต่อรองก็ควรจะรับฟัง และหลีกเลี่ยงการใช้คำประมาณ “ก็แม่สั่งให้ทำก็ต้องทำ ไม่ต้องมาต่อรอง” แต่ให้ใช้วิธีกระตุ้นให้เด็กคิดหากิจกรรมอื่นๆ มาทำแทนเพื่อเป็นการแก้ปัญหา
* สมมติสถานการณ์ขึ้นมา แล้วให้เด็กหาวิธีการแก้ปัญหานั้นๆ เช่น “ถ้าหนูอยู่บ้านคนเดียว แล้วมีคนมากดกริ่งหน้าบ้าน จะทำอย่างไร” หรือ “ถ้าหนูได้กลิ่นควันไฟจากในครัวหนูจะทำอย่างไร” ฯลฯ และวิธีการช่วยให้ลูกฝึกคิดหาวิธีในการแก้ปัญหา (หลายๆ ทางเลือก) ตามเหตุการณ์ที่สมมติขึ้นมา ก็คือ พาเด็กเดินสำรวจรอบบ้านเพื่อให้เด็กมีไอเดียในการคิดหาคำตอบ หรืออาจจะซ้อมแก้ปัญหากันจริงๆ ด้วยก็ได้
* การทำงานประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ก็เป็นการฝึกการแก้ปัญหาได้ หรือแม้แต่การต่อตัวต่อต่างๆ หรือการต่อบล็อก ก็เป็นการฝึกการแก้ปัญหาโดยไม่รู้ตัวได้เช่นกัน
* พูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับเหตุการณ์ประจำวัน ตั้งคำถามให้เด็กคิดว่า เขาคิดอย่างไรกับการแก้ปัญหาของคนในเหตุการณ์ต่างๆ (อาจจะเลือกมาจากข่าว) แล้วถ้าเป็นเขาจะแก้ปัญหาอย่างไร แต่ไม่ควรว่าความคิดของเด็กไม่ดีหรือไม่เหมาะสม เพราะสิ่งที่เราต้องการคือ การฝึกให้เด็กคิดคำตอบไม่ควรมีถูกผิด แต่จะต้องมีเหตุผลรองรับ
* ตั้งคำถามประมาณ “ถ้าเกิดเหตุการณ์การเลวร้ายกับเรา แล้วตำรวจช่วยไม่ได้ หนูคิดว่าเราจะขอให้ใครช่วยดี” หรือถ้าเป็นเด็กโตหน่อยก็อาจจะถามยากขึ้นมาหน่อย เช่น “หนูคิดว่าเราจะสอนเด็กๆ ยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องของการป้องกันการติดเชื้อเอดส์” หรือ “ถ้าเพื่อนสนิทของลูกเอายาเสพติด มาให้ลอง แล้วหนูจะปฏิเสธเพื่อนยังไง”
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อเหลือเกินว่าทักษะทั้ง 4 อย่างนี้ รวมทั้งเป้าหมายที่เราต้องการคือ การใช้ทักษะเหล่านี้ส่งเสริมให้เด็กทำงานเป็นทีมได้อย่างสร้างสรรค์ เป็นทักษะที่ล้วนแล้ว แต่ต้องอาศัยบรรยากาศภายในครอบครัวช่วยส่งเสริมเป็นอย่างมาก
หากสิ่งต่างๆ ที่เรานำเสนอเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันภายในบ้าน เด็กก็คงซึมซับทักษะเหล่านี้ได้เอง เพราะเราคงไม่เห็นเด็กยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น ในขณะที่พ่อหรือแม่เป็นเผด็จการภายในบ้าน
และเราคงไม่ได้เห็นเด็กที่เคารพการตัดสินใจของผู้อื่น จากครอบครัวที่พ่อกับแม่เถียงกันเอาเป็นเอาตายแทบทุกเรื่อง
เด็กเป็นอย่างที่เราเป็นค่ะ ไม่ได้เป็นอย่างที่เราบอก !
ข้อมูลจาก บันทึกคุณแม่ ที่มา : //www.elib-online.com/doctors48/child_teem001.html
สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก คลิกดู ที่นี่ค่ะ
Create Date : 20 ธันวาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 20 ธันวาคม 2552 21:14:41 น. |
Counter : 723 Pageviews. |
|
|
|