Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 
12 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 

อย่าซ้ำเติมใส่ ให้ลูกอ่อนแอ



พ่อแม่ทุกคนรักลูกดั่งแก้วตาดวงใจ ท่านทั้งหลายคงเชื่อเช่นนั้น

ความรักความปรารถนาดีของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ย่อมมีคุณค่าเต็มเปี่ยมแก่การชื่นชม
ดังนั้น เมื่อมีใครสักคนบังอาจแสดงทัศนะว่า " ความรักของพ่อแม่สมัยนี้มักเป็นเหตุให้ลูกอ่อนแอ "
ก็จะต้องมีเหตุผลหนักแน่นเพียงพอ มิฉะนั้นก็จะต้องจมธรณี จากการเหิมเกริมมารุกรานต่อสิ่งที่มีค่าสูงส่ง

สิ่งที่อยากจะให้ทบทวนกันดูก็คือ ความรักซึ่งสามารถเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดีได้
แต่หากมันมากเกินไป ก็จะเปลี่ยนดีให้เป็นร้ายได้เหมือนกัน
พ่อแม่ท่านใดหากใช้ความสุข สะดวกสบาย เป็นเครื่องหมายแสดงความรักลูกแต่เพียงถ่ายเดียว
บางทีการกลัวว่าลูกจะลำบาก อาจกลับกลายเป็นการสร้างความลำบากให้กับลูกได้

ที่สำคัญ สังคมทุกวันนี้ เต็มไปด้วยวิถีทางของความอ่อนแอ
หากเรารู้ไม่เท่ากัน ทั้งครอบครัวก็จะพากันเดินไปบนทางแห่งความอ่อนแอ อย่างไม่รู้ตัว

โดยทั่วไป เมื่อตั้งอกตั้งใจว่าขอสบาย สักที เรามักจะคล้อยไปในทางไม่ติดอยากทำอะไร
ถ้าบวกเพิ่มขึ้นเป็น สุขสบาย ยิ่งไปกันใหญ่ ชีวิตที่กิน นอน ไม่ต้องทำ มีวัตถุปรนเปรอพรั่งพร้อม
คนทั้งหลายจะพากันหมายไปว่า นั่นแหละ ชีวิตที่สุขสบายยิ่งนัก

ที่จริงความหมายของทั้งสุขและสบายนั้น แปลว่าคล่อง ง่าย มีสภาพที่เอื้อต่อการที่จะกระทำการต่างๆ
เป็นความหมายในเชิงต้องกระทำ ไม่ใช่หยุดเฉยๆ แต่โบราณเขาเข้าใจกันอย่างนั้น ซึ่งพ้องกับคำพระว่า สัปปายะ
มาถึงสมัยนี้จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่าทำไมถึงเพี้ยนไปจากเดิม

อาจเป็นเพราะนิสัยคนมักโน้มเข้าหาความหยิบโหย่ง สำรวยเป็นทุนอยู่แล้ว
พอภาวะความเป็นอยู่ทั้งหลายง่ายขึ้น สะดวกขึ้นไปเสียทั้งหมด ด้วยเทคโนโลยีและการใช้เงินเข้าซื้อเอา
ไม่ต้องหยิบจับลงเรี่ยวแรงจริงจังเหมือนดังแต่ก่อน
การที่จะต้องทำอะไรต่อมิอะไรง่วนอยู่ เลยกลายเป็นความยากลำบาก ที่ใครๆ ต่างไม่ปรารถนา
ในขณะที่ ความอ่อนแอ แท้ๆ กลับเป็นที่ยินดีต้อนรับไปเสียนี่

สังคมที่เจริญไปในทางวัตถุ จึงเป็นสังคมของความอ่อนแอไปได้ง่ายๆ มีตัวอย่างให้เห็นประจักษ์แล้ว
ทั้งในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยิ่งพัฒนา คนยิ่งฆ่าตัวตาย มีการใช้ความรุนแรงต่อกันหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ
ความสะดวกสบายจึงไม่ใช่เครื่องส่อแสดงความเข้มแข็งของสังคมและผู้คน
แต่เป็นตัวล่อ และเครื่องพาไปสู่ความใจเสาะเปราะบาง

หากใครเผลอตัวคล้อยตาม
ก็กำลังเติมใส่วิถีทาง ของความอ่อนแอให้กับตนและลูกหลาน ลงไปในตัวและหัวใจ ทุกวันๆ

เราล้วนมีชะตากรรมร่วมกันอยู่ในสังคมที่ อากาศเป็นพิษ อาหารเป็นพิษ
เพียงแค่นี้ก็บั่นทอนร่างกายและจิตใจลงไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ยังมีความตึงเครียดของการดำเนินชีวิต
การดิ้นรนเพื่อการดำรงอยู่ ท่ามกลางวิกฤติการณ์ต่างๆ ที่ทับทวีความรุนแรงขึ้นทุกที
อารมณ์จึงเป็นพิษ เพิ่มขึ้นมาอีก เป็นความกดดันให้ชีวิตพลุ่งพล่านหนักขึ้น

สำหรับเด็กๆ ภาระที่อยู่บนบ่าของพวกเขาก็คือการเรียน มีชีวิตสัมพันธ์อยู่กับโรงเรียน ไม่น้อยไปกว่าที่บ้าน
หากการศึกษาที่โรงเรียนไม่ได้พัฒนาไปอย่างถูกทาง เป็นการศึกษาที่สร้างทุกข์ มากกว่าสร้างปัญญาอยู่เช่นนี้
เด็กก็มีโอกาสจะถูกทำร้ายทั้งจากบ้านและโรงเรียนไปพร้อมๆ กัน บนวิถีทางของการถูกทำให้อ่อนแอ

ผมเคยได้ยินคุณแม่คนหนึ่งสอนลูก (เมื่อผ่านเห็นชาวนากำลังไถนา) ว่า
" ต้องขยันเรียนนะลูก โตขึ้นจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนคนพวกนี้ "
ซึ่งจะเป็นเช่นเดียวกับคำสอนของครู ที่มักจะนำพาให้เด็กเกลียดกลัวความยากจน

ระบบการศึกษาทุกวันนี้ไปกันได้ดีกับการไต่เต้าไปหาความสุขสบาย ชนิดปฏิเสธการทำงานหนัก ตัวอย่างเช่น
ระดับประถม เดี๋ยวนี้เด็กๆ เรียนด้วยแบบเรียนที่มีแบบฝึกหัดสำเร็จรูป บางเล่มมีคำเฉลยพร้อมสรรพ
ระดับมัธยมพวกเขาแห่กันไปเรียนกวดวิชา เลือกเอาที่เก็งข้อสอบได้แม่น
และข้อเท็จจริงของการสอบผ่านเข้าสู่การศึกษาในมหาวิทยาลัยก็คือ การนั่งท่องข้อสอบเก่า
และความมีโชคในการเดาถูกว่าปีนี้ข้อสอบจะออกอะไร

ระบบแข่งขันในการศึกษา อย่างมากก็ทำให้เกิด ความเพียรชั่วครั้งชั่วคราว
พอไม่มีไฟลนก้น ความพากเพียรก็หดหาย
กลายเป็นว่าชั่วขณะแห่งความเพียรเป็นความทรมานขัดขวาง ความสุขสบายไปเสียด้วยซ้ำ
ไม่ได้เกิดจากความมีสติกระตุ้นกับตัวเองหรือบ่มสร้างนิสัยขึ้น แต่จะทำก็ต่อเมื่อถูกบีบคั้นเท่านั้น
ฉะนั้น ระบบการศึกษาที่ให้มีการสอบโดยเชื่อว่า เป็นการฝึกให้เด็กรับผิดชอบการเรียน
ผลในความเป็นจริงกลับเป็นตรงกันข้าม

การศึกษายังเป็นตัวการพาเด็กให้หนีออกจากวิถีชีวิตที่เป็นจริง
ยิ่งให้มีการบ้านมาก เด็กก็ยิ่งถูกพรากจากความกระตือรือร้นของวัยเด็ก จ่อมจมอยู่กับตัวหนังสือที่ไม่มีชีวิตชีวา
และหวั่นหวาดกับการเรียนที่เต็มไปด้วยอำนาจอาณัติของผู้ใหญ่ ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งดูถูกฐานะของตัวเอง
ยิ่งใช้มือใช้แรงงานไม่เป็น อยากทิ้งบ้านทิ้งท้องถิ่น เป็นเหยื่อติดกับดักของมายาภาพและความเห็นแก่ตัว

เด็กดี เด็กขยัน เด็กเรียนเก่ง ในความหมายของระบบการศึกษา จึงมักเป็นพวกหนอนหนังสือ สวมแว่นตา
ตัวขาวซีด และเป็นลูกค้าชั้นดีของพวกวิตามินบำรุงและอาหารเสริม
นอกจากนั้น หัวใจและจิตวิญญาณก็ถูกทำให้กระหายชัยชนะในการแข่งขัน มีตัวตนเป็นศูนย์กลางของสิ่งทั้งปวง
ใฝ่สูงแบบมีเป้าหมายของชีวิตอยู่ที่ความสุขสบายบนกองเงินกองทอง
เติบโตเป็นคนที่มีทั้งกาย และจิตวิญญาณที่อ่อนแอพร้อมมูล

การศึกษาจึงแทนที่จะทำให้เด็ก ใฝ่รู้ กลับทำให้เด็ก ใฝ่เสพ แทนที่จะสนุกกับการแก้ปัญหา สู้กับสิ่งยาก
กลับกลายเป็นคนเรียกร้องและคุ้นเคยกับของฉาบฉวยและสิ่งสำเร็จรูป
แทนที่จะ ใฝ่สร้างสรรค์ กลับกลายเป็นผู้ ใฝ่ในความสุขสบาย

เราพัฒนาคนกันแบบนี้ สังคมยิ่งนับวันจึงยิ่งมีอาการหนักเข้าทุกที

ย้อนไปดูบรรพบุรุษ สมัยปู่ ย่า ตา ยาย หรือแม้แต่ภูมิหลังของคนรุ่นพ่อแม่
ในทุกครอบครัวเชื่อว่า ต้องมีตำนานแห่งความอุตสาหะบากบั่นเป็นแบบอย่างให้ลูกหลานได้

คนที่สามารถตั้งตัวมั่นคงเป็นที่นับหน้าถือตา กว่าจะประสบความสำเร็จ
ล้วนมีเส้นทางเดินของชีวิตที่ต้องต่อสู้มาโดยตลอด ฝึกฝนตัวเองจากการเผชิญหน้า
และเอาชนะอุปสรรคความยากลำบากต่างๆ มาโชกโชน มีวันนี้ได้ก็เพราะเคยมีวันนั้น ที่หนักเอาเบาสู้มาทั้งชีวิต

คนรุ่นหลัง ในวันที่อะไรต่อมิอะไรดูเพียบพร้อมสมบูรณ์แล้ว
หากจับเอาแต่ภาพด้านหรูๆ ก็จะหลงยึดอยู่แต่เพียง ผลสำเร็จ ภายนอก
อย่างไม่เห็นถึง ความมานะพยายาม ที่เป็นสิ่งแท้จริง เบื้องหลังภาพหรูๆ เหล่านั้น
ตรงนี้เป็นจุดอ่อนสำคัญ ที่ทำให้ความสำเร็จของวงศ์ตระกูลมีอายุสั้น ล้มครืนลงง่ายๆ ในช่วงชีวิตของลูกหลาน

พ่อแม่ที่เคยลำบากมาก่อน มีไม่น้อยที่ไม่อยากเห็นลูกลำบาก อะไรที่ตนเคยขาด
ก็ไม่อยากให้ลูกต้องขาดเหมือนตนในอดีต จนกลายเป็นการปกป้องฟูมฟักลูกจนเกินไป

ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักนั้น แน่นอนย่อมให้ผลที่ดีมากมายแก่เด็กๆ ลูกมีความสุข ความอบอุ่น
และเด็กที่ได้อยู่ในบรรยากาศแห่งความรักก็ควรที่จะรู้จักรักผู้อื่น เผื่อแผ่ปันความรัก ให้กับคนทั้งหลายได้

กระนั้นก็ดี ต้องจัดความสัมพันธ์ให้สมดุล เพราะมันใกล้เคียงกับครอบครัวที่เต็มไปด้วยการโอ๋ พะเน้าพะนอ
ที่ความสุขความอบอุ่นอาจเลยเถิดกลายเป็นการเอาแต่ใจ ทำอะไรไม่เป็น เกิดนิสัยชอบพึ่งพา เอาแต่สนุก
เด็กกลายเป็นผู้ใฝ่เสพใฝ่บริโภค เดินอยู่ในทางของความอ่อนแอ

การให้ลูกได้รับความรักความสุข จึงไม่ใช่เป้าหมายที่จบอยู่แค่ตรงนั้น
แต่เป็นการสร้างภาวะ ที่เอื้ออำนวยไปสู่ความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ
เพื่อการเรียนรู้และพาตัวเองไปในทางสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นจุดหมายที่แท้จริง

ชีวิตในวันข้างหน้า ทุกคนก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ง่ายดายเลย หากกลัวว่าลูกจะลำบาก
ปรารถนาให้ลูกมีความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ได้อย่างไม่หลงไปเป็นเหยื่อวันนี้
จึงเป็นเวลาของการฝึกฝนพวกเขาให้เข้มแข็ง และทำหน้าที่ของคนเป็นพ่อแม่ให้สมบูรณ์ คือ
การแสดงโลกที่แท้จริง ให้ประจักษ์กับลูกหลาน

บอกให้รู้ว่า โลกนี้ไม่ขึ้นกับความต้องการของใคร ความจริงของโลกและชีวิตนั้นไม่เข้าใครออกใคร
เป้าหมายของชีวิตคือการเข้าให้ถึงความจริงชนิดนี้ ด้วยความมุ่นมั่นแน่วแน่
แล้วเราก็จะเป็นผู้ อยู่เหนือการแข่งขัน ชนะได้โดยไม่ต้องแข่งขันกับใคร

ความสุขสบายเป็น ตัวผล และ วิถี อยู่พร้อมกันในความเพียรพยายาม
ไม่มีความสำเร็จลอยๆ ที่ปราศจากการมุมานะบากบั่น ลงมือลงแรงด้วยตนเอง
เมื่อเราหลงเข้าไปเกาะติดอยู่กับความสะดวกสบาย จนกลายเป็นความเคยชินแล้ว มันจะจับยึดชีวิตเราไว้
จะรู้สึกทุกข์ลำบากหนักกว่าใครๆ และอะไรที่เป็นความเคยชินจะแก้ยาก

ทั้งหมดไม่ได้หมายความว่า คอยจ้องหาทางผลักให้ลูกๆ ต้องพบกับความยากลำยาก
การฝึกฝนไม่ควรเป็นทั้งแบบการเข้าค่ายปิดเทอมให้ลำบากเป็นพักๆ หรือการเคี้ยวรำแบบฝึกทหาร
(จนเด็กรู้สึกว่าถูกแกล้ง พ่อแม่ไม่รัก) แต่ให้เป็น วิถีชีวิตของครอบครัว ที่พ่อแม่ลูกมีร่วมกัน เข้าใจร่วมกัน
ทั้งโดยเหตุผล โดยการปฏิบัติเป็นประจำ จนเป็นปณิธานหรือสิ่งที่ครอบครัวเชื่อถือ
เป็นพลังจิตพลังใจที่โยงใยร้อยรัดครอบครัวไว้ด้วยกัน

ความรักที่จะเรียนรู้ มองเห็นทุกสิ่งเป็นการเรียนรู้ ยิ่งยากลำบากยิ่งเรียนรู้ได้มาก
มีความสุขได้ทั้งในภาวะที่ชอบใจและไม่ชอบใจ เมื่อพบปัญหาก็รู้สึกท้าทายที่จะเข้าแก้ไข
และเกิดความสุขจากการทำเรื่องที่ยาก เกิดความต้องการชนิดอยากเห็นความถูกต้อง
จนเป็นความสุขจากการได้ลงมือกระทำ สร้างสรรค์
เหล่านี้ล้วนต้องเกิดขึ้นจากการฝึกฝน เป็นทางที่จะพ้นไปจากความอ่อนแอ

บางคนบอกว่า เป็นเรื่องยาก ไม่มีเด็กในอุดมคติเช่นนั้น
ไม่ใช่หรอกครับ เด็กทุกคนมีคุณสมบัติดังกล่าวเป็นพื้นฐานกันอยู่แล้วในตัว (หากไม่ถูกปิดกั้น)
พวกผู้ใหญ่ต่างหากที่พากันอ่อนแอเกินไปเสียแล้ว


ที่มา ://www.elib-online.com/doctors2/child_miss01.html
ภาพจาก ://victorlifelist.com/2009/05/07/the-myth-of-hard-work/


สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก
คลิกดู ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2552
0 comments
Last Update : 12 ธันวาคม 2552 20:45:37 น.
Counter : 788 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.