เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528
การรัฐประหารครั้งนั้น ในวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เป็นการปฏิวัติที่ง่ายดาย เพราะเงื่อนไขที่คณะรัฐบาลสร้างเอาไว้ฆ่าตัวเองจริง ๆ คณะผู้ก่อการรัฐประหารประกอบด้วยนายทหารนอกราชการหลายคน จะมีที่คุมกำลังก็ไม่กี่หน่วย มิหนำซ้ำยังมีหน่วยของ ร. พัน ๓ พากันไปจับท่านปรีดี ฯด้วยอาวุธปืนที่ไม่มีลูกเลื่อนทั้งคันรถ ก็ยังสำเร็จ ประชาชนส่วนใหญ่ทั่วประเทศยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น
ผมนอนฟังผลการรัฐประหารครั้งนั้นอยู่ที่บ้าน เมื่อพรรคพวกที่ว่ากันว่าจะต่อต้าน ต่างก็หายกันไปหมด ไปที่รวมพลก็ไม่พบใคร ผมก็กลับไปนอนบ้าน ตื่นเช้าไปทำงานที่ทำงานที่กอง ๒ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก นอกจากมีนายตำรวจรุ่นพี่ของผมคนหนึ่งหายไป หอบข้าวของอาวุธหลบไปไหนก็ไม่รู้เพียงคนเดียว นายตำรวจผู้นั้นเป็นสารวัตรแผนก ๑ ของกอง๒ ไม่รู้ว่าหนีไปไหน และหนีทำไม
ผมทำงานของผมไปตามปกติ ผู้กำกับการของผมชื่อ พันตำรวจตรี ประจวบ กีรติบุตร ยังนั่งสั่งงานอยู่เหมือนเดิม ไม่หนีไปไหน ผู้กำกับคนนี้ ผมรักของผมมาก ที่รักก็เพราะเป็นผู้กำกับ ฯ คนเดียว ที่แบมือรับผมไว้ ตอนที่ผมโดนท่านผู้บังคับการสอบสวนกลาง ที่ผมไปขัดทางเดินของท่านเอาไว้ตรงนั้น ท่านขอย้ายผมจากตำแหน่งสารวัตรผู้มีอำนาจสอบสวนสืบสวนทั่วประเทศ ไปเป็นสารวัตรสถานีตำรวจคันนายาว สถานีนครบาลชั้นนอก ที่ไม่ต้องยุ่งกับการสอบสวนอีกสถานีหนึ่ง
ครั้งนั้น ท่านอธิบดีกรมตำรวจคือ ท่านพลเรือตรี หลวงสังวรณ์ยุทธกิจ ท่านเข้ามารักษาการณ์ในตำแหน่งอธิบดี ฯชั่วคราว ท่านเรียกผมไปพบ บอกให้ผมทราบว่า ผู้บังคับการของผม ขอให้ย้ายผมไปให้ไกลหูไกลตา ไปอยู่ที่คันนายาวนั่นแหละดี สมกับความสามารถของผมที่คอยขัดลำดีนัก ท่านผู้รักษาการณ์อธิบดีกรมตำรวจถามผมว่า ผมไปมีเรื่องอะไรกับเขา ผมมันไม่ใช่คนชอบฟ้องนาย ผมก็ว่าผมไม่มีอะไรกับท่านผู้การ ฯ แต่ท่านผู้การ ฯ จะมีอะไรกับผม ผมไม่ทราบ
ท่านอธิบดีจะย้ายผมไปไหน ผมก็ต้องรับคำสั่ง ผมอยู่ได้ ผมก็อยู่ ถ้าผมอยู่ไม่ได้ ผมก็ลาออก ผมเรียนท่านรักษาการณ์อธิบดีแค่นี้ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ท่านตบไหล่ผม ไม่พูดอะไรเหมือนกัน
แล้วผมก็โดนย้ายข้ามฟากมาอยู่กับท่านผู้กำกับการฯ ประจวบ กีรติบุตร ที่กอง ๒ นี้ ผมมารู้ทีหลังว่า ท่านรักษาการณ์ ฯเที่ยวเอาผมไปลงที่ไหนก็ไม่มีใครเขารับผม เขาว่าผมเป็นคนปกครองยาก ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองปกครองยากแค่ไหน ลงท้าย ท่านก็พูดกับผู้กำกับการ ฯ ประจวบ ฯ ว่า จะเอาตัวผมไว้ไหม ท่านผู้กำกับ ฯ ประจวบ ฯ ตอบทันที่ว่า เอาซีครับ
เป็นผู้กำกับฯ คนเดียวที่ยอมรับผมไว้โดยไม่ต้องคิด ผมจะไม่รักท่านได้ยังไง วันที่เกิดรัฐประหารท่านก็นั่งทำงานเฉย ไม่ตื่นเต้นอะไร แล้วท่านก็อยู่ของท่านสบายดี ไม่มีใครไปตอแย
ผมอยู่ที่สันติบาลกอง ๒ นี่ ก็ไม่ค่อยจะมีงานทำเท่าไหร่ เพราะเป็นเพียงประจำกอง ไม่มีตำแหน่ง ผมก็ได้แต่นั่ง ๆ นอนๆของผมสบาย ๆ ฝ่ายรัฐประหารก็ไม่ได้มาชวนอะไรผมอีก หัวหน้ารัฐประหารตอนนั้น ชื่อ พลโท ผิน ชุณหวัน ประกาศชื่อออกมาทางวิทยุ ไม่มีใครรู้จัก แต่ทุกคนก็ยอมรับ ตอนนั้น ใครก็ได้ ขอให้มาขับไล่รัฐบาลขณะนั้นออก ๆ ไปเสียที รำคาญกันทั้งนั้น
ท่านพลเอกหลวงอดุลย์ ฯ ยังคงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกอยู่อย่างเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก คณะรัฐประหารน่าจะปลดออกจากตำแหน่ง แต่ไม่ได้ทำ อาจจะเป็นเพราะมีความเกรงใจก็ได้ นอกจากนั้น ท่านยังปล่อยให้ผู้พันละม้าย ไปจับท่านปรีดี ฯ ทั้ง ๆ ที่สกัดไว้แล้ว เพียงแต่ปลดลูกเลื่อนปืนทั้งคันรถออกเท่านั้น แล้วปล่อยให้ไปได้ ก็อาจเชื่อว่า ไม่มีการยิงกันแน่
ผมถึงว่าไว้ว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกนี้ เป็นตำแหน่งสำคัญที่ทิ้งไม่ได้ แต่ที่คณะรัฐประหารทิ้งเอาไว้ก่อน ก็เพราะยังไม่อยากหักพร้าด้วยเข่า ฝ่ายตัวเองก็กำลังไม่เท่าไร พวกที่หันมาเข้าด้วยนั่นก็เพราะเห็นว่าทำได้สำเร็จแล้ว ปล่อยให้ท่านผู้บัญชาการ ฯ ตาดุ อยู่ ๆ ไปก่อน รักษาน้ำใจเอาไว้
นายกรัฐมนตรีที่คณะรัฐประหารไปเชิญมารับตำแหน่ง เพราะยังไม่อยากทำอะไรที่มากไปนัก ยังไง ๆก็ต้องเกรงใจท่านผู้บัญชาการทหารบกไว้บ้างนั้นก็คือ คุณพจน์ สารสิน
ผมเองก็ชักจะไม่ค่อยแน่ใจว่า จะเป็นคุณพจน์ สารสิน ใช่หรือไม่ ที่คณะรัฐประหารเชิญขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อควบคุมสถานการณ์ไว้ได้เรียบร้อยแล้ว แต่เข้าใจว่าคงจะใช่ ผมว่าจะถามตัวท่านเพื่อหาความแน่ใจตอนที่พบกันที่สโมสรกอล์ฟ แต่บังเอิญระยะนี้ท่านไม่ค่อยจะได้ไปเสียด้วย ก็เลยยังไม่ได้ถามให้แน่ใจ ผมเข้าใจว่าผมเขียนไม่ผิด เพราะคุณพจน์ สารสิน นี้เป็นเพื่อนค่อนข้างสนิทกันกับท่านจอมพล ป. และคณะผู้ทำการรัฐประหารครั้งนั้น ก็เป็นลูกศิษย์ท่านจอมพล ป. ส่วนมาก