จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
 
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
26 มีนาคม 2555
 
All Blogs
 
เงื่อนไขการปฏิวัติ - บทที่ 2 รอยเท้าที่ทิ้งไว้ (ตอนที่ 4)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528

บทที่ 2 - รอยเท้าที่ทิ้งไว้
ตอนที่ 4


ผมมีเพื่อนมาก และมีลูกน้องมาก ตอนนั้น คนของผมกระจายอยู่ทั่วกรุง ทั้งในกรุงและบ้านนอก ผมได้รับเงินราชการลับถึงเดือนละแสนกว่าบาท เพราะต้องว่านมากในวงการต่าง ๆ ข่าวคราวทางการเมืองนี้ มันเป็นข่าวสับสนมากกว่าข่าวอื่น ๆ ฉะนั้น ก็ต้องมีหน่วยกลั่นกรองข่าวที่มีสมรรถภาพสูง และผู้คุมเหตุการณ์เองก็ต้องมีหูตากว้างขวางอีกด้วย จึงจะอ่านข่าวแต่ละข่าวที่ได้ถูกกลั่นกรองมาแล้วนั้นได้ถูกต้อง ไม่หลงทาง ตัวนายที่ท่านรับทราบนั้น เป็นเพียงแต่คอยอ่านสรุปรายงานที่เรากลั่นกรองแล้วขึ้นไป และเราต้องสรุปให้มันสั้น พร้อมทั้งทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าให้ และต้องวางวิธีแก้ไขไว้ให้เรียบร้อยด้วย ผู้ใหญ่ที่อ่านรายงาน ท่านก็จะได้อ่านสบาย ๆ และเข้าใจ สั่งการได้ถูกต้อง

เพราะเรื่องนี้อีกนั่นแหละ ที่ผมต้องเถียงกับนาย เมื่อผมทำงานแบบนี้ ผมก็ไม่มีเวลาที่จะไปนั่งเฝ้านายได้อย่างคนใกล้ชิด ผมก็เลยต้องห่างเหินกับนายไป เดือนหนึ่งตอนต้นเดือน ผมจะต้องหอบเอกสารสรุปงานนี้ พร้อมทั้งใบเบิกเงินสำหรับเดือนต่อไป ไปพบเพื่อให้เจ้านายทราบและลงนามสั่งอนุมัติจ่ายเงิน เรียกว่า เดือนหนึ่งจะได้พบหน้ากันหนหนึ่ง

เวลาว่างงานตอนเย็น ๆ หรือไม่ก็ดึกไปเลย ผมก็ต้องพักผ่อนของผมมั่ง จะเอาเวลานั้นไปเสนอหน้ากับนายก็ไม่ไหว มันเหนื่อย ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเช็คประสาทก็บุญแล้ว

วันหนึ่ง ตอนต้นเดือน ผมก็ถือรายงานสรุป ที่เคยส่งทุก ๆ อาทิตย์ หรือตอนที่ต้องส่งด่วน พร้อมทั้งใบเบิกเงินสำหรับใช้ในเดือนต่อไป ไปหานาย ผมเดินพรวดเข้าไปถึงห้องนอนได้ เพราะเคยทำอยู่อย่างนั้นเป็นประจำ ไม่ต้องรอให้เรียกเหมือนคนอื่น นี่ก็ไม่ใช่เพราะต้องการจะเบ่งว่า ใกล้ชิดกับนายมาก มันเป็นเพราะเรื่องของผมมันเป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องให้รู้เร็ว และต้องได้เงินเร็ว ผมก็ต้องทำอย่างนั้น และไม่เคยมีปัญหาอะไร

วันนั้นเกิดมีปัญหา พอผมเคาะประตูห้อง แล้วเปิดเข้าไป เจ้านายเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม ก็ทำตาถลน ตวาดออกมาว่า “ ไปคอยข้างนอก ”

ผมงง ไม่เข้าใจว่า ทำไมวันนี้นายถึงหงุดหงิดเอากับผม แต่ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมถอยออกมานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ข้างนอก ซึ่งมีอีกหลายคนที่มารอพบนั่งรออยู่ เขาเห็นผมออกมานั่ง เขาก็ทยอยกันเข้าไปตามคิว คนที่มาทีหลังก็มานั่งคอยอยู่ถัดไปจากที่ผมนั่ง พวกที่คอยอยู่ก่อนได้เข้าพบหมดแล้ว มาถึงที่ที่ผมนั่ง ผมก็ยังนั่งเฉยอยู่ คนที่นั่งถัดจากผมไป ก็ไม่กล้าเข้าไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนจัดคิว เขาก็มองดูผมว่าทำไมนั่งเฉย ปกติเขารู้กันว่า ผมไม่ต้องนั่งรอคิว แต่วันนี้ทำไมถึงมานั่งรอ แล้วก็ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เขาก็นั่งมองดูผมอยู่ว่าเมื่อไรจะเข้าไป ผมนั่งนิ่งทำไม่รู้ไม่ชี้ นายเขาไม่เรียก ผมก็ไม่เข้าไปหา ผมนั่งอยู่จนเกือบบ่ายสี่โมง กองคลังกรมตำรวจจะปิด นายก็ยังไม่เรียก ผมก็ลุกขึ้นเดินมาที่รถของผม ให้คนขับ ๆ ไปที่กรมตำรวจ

ถึงกรม ฯ ผมก็เข้าไปส่งใบเบิกให้กับหัวหน้ากองคลัง ซึ่งคุ้นเคยกับผมดี ผมยื่นใบเบิกให้ หัวหน้ากองคลังมองดูใบเบิกแล้ว ไม่เห็นคำสั่งอนุมัติก็มองผมอย่างสงสัย ทำไมไม่มีลายเซ็นอนุมัติของอธิบดีอย่างเคย ผมก็บอกเขาว่า อันนี้ด่วนครับ คนของผมมาคอยรับเงินอยู่ ผมไม่มีเวลาไปพบท่าน แล้วผมจะจัดการให้ท่านเซ็นเอง เท่านั้น เขาก็เชื่อผม จ่ายเงินมาให้แต่โดยดี

ผมกลับมาที่กอง จัดการจ่ายเงินให้คนของผมจนครบถ้วน และสั่งงานเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับบ้าน วันนั้นเป็นวันที่ผมได้กลับบ้านแต่วัน จนคนที่บ้านแปลกใจกันเป็นแถว ๆ ผมขึ้นนอนพักผ่อน ก่อนนอนก็ปลดสาย โทรศัพท์หมดทุกสาย

วันนั้น ผมได้นอนแต่หัวค่ำ ไม่มีเสียงโทรศัพท์รบกวน ลูกเมียชอบใจ ไม่ยังงั้น เขาก็ไม่รู้ว่า ผมจะกลับเมื่อไร บางวันก็ไม่กลับ หายไปสองสามวันก็ยังมี เป็นเรื่องธรรมดา ไอ้วันนี้ที่กลับมาแต่หัววันนี่ซิ มันแปลกประหลาด

คืนนั้นผมนอนจนเต็มอิ่ม และทดแทนวันอื่นก่อนหน้า ที่ไม่มีโอกาสอย่างนี้มานานไปด้วย ผมตื่นแต่เช้า เสียบปลั๊คโทรศัพท์เข้าที่ พอปลั๊คเข้าที่ก็มีเสียงเรียกกรี๊งดังลั่นขึ้นมาทันที ผมยกหูขึ้นพูดสวัสดีลงไป ผมไม่ใช้คำฮัลโหล ไม่ชอบ มันไม่ใช่ภาษาไทย

พอสิ้นคำสวัสดีของผม ก็ได้ยินเสียงด่าแม่ดังแสบรูหูเข้ามา เป็นเสียงที่ผมรู้จักดี ต่อจากเสียงด่าแม่ก็เป็นเสียงพูด
“ เมื่อวานนี้ มึงหายไปไหนทั้งวัน กูให้รอ ทำไมไม่รอ แล้วทำไมโทรศัพท์บ้านมึงถึงไม่ดัง ”
“ ผมถอดปลั๊คครับ ” ผมตอบไปยังงั้น

เสียงเดิมออกชื่อสัตว์เลื้อยคลานประเภทหนึ่งที่ไม่เป็นมงคลออกมา ก่อนที่จะพูดว่า
“ มึงมาหากูเดี๋ยวนี้ ”

ผมเข้าห้องน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เล่นอาหารเช้าเสียก่อน แล้วก็หอบแฟ้มเอกสารที่หอบไปเมื่อวานนี้ขึ้นรถไปวังปารุสก์ ฯ ทีนี้ผมไม่ต้องรอ เปิดประตูห้องเข้าไปทีเดียว ผมไม่มองนัยน์ตาสีเขียวปัดของนายที่จ้องอยู่ นั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะได้ ก็ส่งแฟ้มเอกสารทั้งแฟ้มให้ แต่ใบเบิกเงิน ผมยังเก็บไว้ ยังไม่ส่งให้

นายนั่งอ่านรายงานของผมอยู่ทีละแผ่น ๆ มาถึงรายงานแผ่นหนึ่ง อ่านจบแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองผม ส่งเสียงดัง ๆ ออกมาว่า
“ เรื่องนี้ มึงทำไมไม่รีบเสนอกู ฮึ ? ”

“ ก็ท่านไม่เรียกผมเข้าพบ ผมก็ไม่รู้จะส่งรายงานยังไง ”

ท่านทำเสียงขลุกขลักในคอ นัยน์ตาขมึงมองผม พูดว่า
“ เรื่องคอขาดบาดตายยังงี้ มึงยังทำใจเย็น มึงจะยวนกูไปถึงไหนวะ ”

“ ผมเห็นมันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ผมก็เก็บไว้ก่อน ” ผมตอบ

“ ไอ้บ้า ... เขาคิดจะปฏิวัติ มึงยังว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เดี๋ยวพ่อด ....”

“ ก้อเขายังไม่ทำเดี๋ยวนี้ เรื่องยังงี้ รู้เมื่อไหร่ก็ได้ จับเมื่อไหร่ก็ได้ สั่งมาซิครับ ”

“ จะจับมันก็ต้องมีหลักฐาน ” นายเถียง

“ ผมมีพร้อมแล้วครับ เรื่องเอกสาร ทั้งเอกสารและบุคคล ”

“ อ้าว แล้วทำไมมึงไม่ส่งมาให้กูด้วย ”

“ ผมเห็นไม่จำเป็นที่จะต้องส่งแนบมา อยู่ที่ผมดีกว่า และพยานบุคคลบางคนก็ไม่ควรเปิดเผย ”

“ มึงมีรายงานสั้น ๆ แค่นี้มาให้กู ไอ้นี่ ขี้เกียจ ”

“ ผมสรุปรายงานทั้งหมดลงในเอกสารสองแผ่นนี่ให้ท่านอ่าน รายงานทั้งหมดมีร่วมเกือบห้าสิบแผ่น ถ้าท่านอยากอ่าน ผมก็จะเอามาให้ จะได้อ่านเล่น ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ที่ผมนั่งสรุปรายงานห้าสิบแผ่นจนเหลือสองแผ่นให้นี่นะ ผมขี้เกียจหรือครับ ”

“ เถียงไม่ตกฟาก ไอ้นี่ ” ทำตาถลึงเอากับผม แต่ผมไม่เคยกลัวสายตาอย่างนั้น เจอมาบ่อยจนชิน

นั่นเป็นรายละเอียดเพียงเล็กน้อยในเรื่องข่าวคราวการปฏิวัติในสมัยนั้น ต่อมา ทางสันติบาลมีการจับกบฏรายนี้ เป็นการคิดปฏิวัติโดยคณะนายทหารเสนาธิการ ผู้ไม่มีอำนาจในการคุมกำลังอะไรเลย นอกจากจะหวังเกลี้ยกล่อมฝ่ายคุมกำลังบางหน่วยเอาภายหลัง ก็ไม่รู้ว่า ทำไมคณะกลุ่มนายทหารที่เป็นมันสมองของกองทัพแท้ ๆ จึงได้มีความคิดสั้น ๆ อย่างนั้น

เงื่อนไขในการปฏิวัติครั้งนั้นก็คือ คณะนายทหารที่คิดการปฏิวัติ คณะนายทหารที่คิดการครั้งนั้นเห็นว่า จอมพล ป. และคณะอยู่ในอำนาจมานานเกินไป ชักรำคาญ ก็เท่านั้น อย่างนี้ก็เป็นเงื่อนไข

ข้อที่ควรสังเกตและยึดถือเป็นข้อเท็จจริงก็คือ การคิดปฏิวัติที่จะสำเร็จได้นั้น มักจะมาจากการปฏิวัติในพวกเดียวกันเอง คือ หลังจากการแก่งแย่งอำนาจภายในพวกเดียวกันเอง จนเกิดการแตกแยกขึ้นเองในภายใน แล้วการแตกแยกนั้นค่อย ๆ ขยายตัวออกไป เป็นการไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน การชิงอำนาจก็ก่อตัวขึ้น จนถึงขั้นการทำลายกัน ด้วยการปฏิวัติยึดอำนาจ โดยฝ่ายที่น้อยเนื้อต่ำใจเป็นฝ่ายก่อขึ้น และการปฏิวัตินั้นจะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อฝ่ายที่กุมอำนาจอยู่นั้น อยู่ในความประมาท เชื่อว่าฝ่ายตนยังกุมอำนาจได้อยู่ ไม่ได้ระมัดระวังและวางมาตรการในการป้องกันแต่อย่างใด

การคิดปฏิวัตินั้น หากฝ่ายอื่นที่ไม่ใช่เป็นฝ่ายเดียวกับฝ่ายที่คุมอำนาจในการปกครองอยู่ในขณะนั้น คิดก่อการขึ้นแล้ว ก็มักจะไม่สำเร็จ และมักจะถูกทำลายเสียก่อน เพราะผู้ที่คุมกำลังอยู่ในคณะที่ปกครองประเทศอยู่นั้น จะไม่ยอมให้คณะอื่นเข้ามาทำการปฏิวัติได้สำเร็จ เขาจะร่วมมือกันต่อต้านปราบปรามและทำลาย แม้จะอยู่ในระหว่างขัดผมประโยชน์ซึ่งกันและกัน เมื่อทำลายคณะที่คิดจะยึดอำนาจซึ่งไม่ใช่พวกเดียวกันลงได้แล้ว ก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำลายกันเองต่อไป เพื่ออำนาจของคณะตัวเอง นอกเสียจากคณะใหม่ที่คิดการนั้น จะมีทหารติดต่อและร่วมคิดการกับฝ่ายเดียวกันที่แตกแยกภายในนั้นได้ ก็มีทางสำเร็จ

อันนี้ ก็เป็นสัจธรรมในการคิดการปฏิวัติเช่นกัน

การปฏิวัติที่ไม่สำเร็จ ก็ต้องกลายแป็นการกบฏไป

การกบฏหลาย ๆ ครั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น ก็เป็นการคิดปฏิวัติโดยคณะที่อยู่นอกวงการผู้มีอำนาจในการปกครองขณะนั้นทั้งสิ้น





Create Date : 26 มีนาคม 2555
Last Update : 26 มีนาคม 2555 3:49:18 น. 2 comments
Counter : 858 Pageviews.

 
ขอบคุณมาก..


โดย: ก้นกะลา วันที่: 26 มีนาคม 2555 เวลา:19:21:32 น.  

 
ชอบวิธีการเขียนรายงานสั้นๆครับ
น่าจะเอาไปใช้ในการทำงานที่เร่งรีบอย่างทุกวันนี้ได้
เดี๋ยวนี้ การสรุปสั้นๆแล้วได้ใจความ หาคนทำไม่ได้ง่ายๆครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 26 มีนาคม 2555 เวลา:20:08:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.