|
เงื่อนไขการปฏิวัติ - บทที่ 2 รอยเท้าที่ทิ้งไว้ (ตอนที่ 4)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528
บทที่ 2 - รอยเท้าที่ทิ้งไว้ ตอนที่ 4
ผมมีเพื่อนมาก และมีลูกน้องมาก ตอนนั้น คนของผมกระจายอยู่ทั่วกรุง ทั้งในกรุงและบ้านนอก ผมได้รับเงินราชการลับถึงเดือนละแสนกว่าบาท เพราะต้องว่านมากในวงการต่าง ๆ ข่าวคราวทางการเมืองนี้ มันเป็นข่าวสับสนมากกว่าข่าวอื่น ๆ ฉะนั้น ก็ต้องมีหน่วยกลั่นกรองข่าวที่มีสมรรถภาพสูง และผู้คุมเหตุการณ์เองก็ต้องมีหูตากว้างขวางอีกด้วย จึงจะอ่านข่าวแต่ละข่าวที่ได้ถูกกลั่นกรองมาแล้วนั้นได้ถูกต้อง ไม่หลงทาง ตัวนายที่ท่านรับทราบนั้น เป็นเพียงแต่คอยอ่านสรุปรายงานที่เรากลั่นกรองแล้วขึ้นไป และเราต้องสรุปให้มันสั้น พร้อมทั้งทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าให้ และต้องวางวิธีแก้ไขไว้ให้เรียบร้อยด้วย ผู้ใหญ่ที่อ่านรายงาน ท่านก็จะได้อ่านสบาย ๆ และเข้าใจ สั่งการได้ถูกต้อง
เพราะเรื่องนี้อีกนั่นแหละ ที่ผมต้องเถียงกับนาย เมื่อผมทำงานแบบนี้ ผมก็ไม่มีเวลาที่จะไปนั่งเฝ้านายได้อย่างคนใกล้ชิด ผมก็เลยต้องห่างเหินกับนายไป เดือนหนึ่งตอนต้นเดือน ผมจะต้องหอบเอกสารสรุปงานนี้ พร้อมทั้งใบเบิกเงินสำหรับเดือนต่อไป ไปพบเพื่อให้เจ้านายทราบและลงนามสั่งอนุมัติจ่ายเงิน เรียกว่า เดือนหนึ่งจะได้พบหน้ากันหนหนึ่ง
เวลาว่างงานตอนเย็น ๆ หรือไม่ก็ดึกไปเลย ผมก็ต้องพักผ่อนของผมมั่ง จะเอาเวลานั้นไปเสนอหน้ากับนายก็ไม่ไหว มันเหนื่อย ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเช็คประสาทก็บุญแล้ว
วันหนึ่ง ตอนต้นเดือน ผมก็ถือรายงานสรุป ที่เคยส่งทุก ๆ อาทิตย์ หรือตอนที่ต้องส่งด่วน พร้อมทั้งใบเบิกเงินสำหรับใช้ในเดือนต่อไป ไปหานาย ผมเดินพรวดเข้าไปถึงห้องนอนได้ เพราะเคยทำอยู่อย่างนั้นเป็นประจำ ไม่ต้องรอให้เรียกเหมือนคนอื่น นี่ก็ไม่ใช่เพราะต้องการจะเบ่งว่า ใกล้ชิดกับนายมาก มันเป็นเพราะเรื่องของผมมันเป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องให้รู้เร็ว และต้องได้เงินเร็ว ผมก็ต้องทำอย่างนั้น และไม่เคยมีปัญหาอะไร
วันนั้นเกิดมีปัญหา พอผมเคาะประตูห้อง แล้วเปิดเข้าไป เจ้านายเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม ก็ทำตาถลน ตวาดออกมาว่า ไปคอยข้างนอก
ผมงง ไม่เข้าใจว่า ทำไมวันนี้นายถึงหงุดหงิดเอากับผม แต่ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมถอยออกมานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ข้างนอก ซึ่งมีอีกหลายคนที่มารอพบนั่งรออยู่ เขาเห็นผมออกมานั่ง เขาก็ทยอยกันเข้าไปตามคิว คนที่มาทีหลังก็มานั่งคอยอยู่ถัดไปจากที่ผมนั่ง พวกที่คอยอยู่ก่อนได้เข้าพบหมดแล้ว มาถึงที่ที่ผมนั่ง ผมก็ยังนั่งเฉยอยู่ คนที่นั่งถัดจากผมไป ก็ไม่กล้าเข้าไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนจัดคิว เขาก็มองดูผมว่าทำไมนั่งเฉย ปกติเขารู้กันว่า ผมไม่ต้องนั่งรอคิว แต่วันนี้ทำไมถึงมานั่งรอ แล้วก็ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เขาก็นั่งมองดูผมอยู่ว่าเมื่อไรจะเข้าไป ผมนั่งนิ่งทำไม่รู้ไม่ชี้ นายเขาไม่เรียก ผมก็ไม่เข้าไปหา ผมนั่งอยู่จนเกือบบ่ายสี่โมง กองคลังกรมตำรวจจะปิด นายก็ยังไม่เรียก ผมก็ลุกขึ้นเดินมาที่รถของผม ให้คนขับ ๆ ไปที่กรมตำรวจ
ถึงกรม ฯ ผมก็เข้าไปส่งใบเบิกให้กับหัวหน้ากองคลัง ซึ่งคุ้นเคยกับผมดี ผมยื่นใบเบิกให้ หัวหน้ากองคลังมองดูใบเบิกแล้ว ไม่เห็นคำสั่งอนุมัติก็มองผมอย่างสงสัย ทำไมไม่มีลายเซ็นอนุมัติของอธิบดีอย่างเคย ผมก็บอกเขาว่า อันนี้ด่วนครับ คนของผมมาคอยรับเงินอยู่ ผมไม่มีเวลาไปพบท่าน แล้วผมจะจัดการให้ท่านเซ็นเอง เท่านั้น เขาก็เชื่อผม จ่ายเงินมาให้แต่โดยดี
ผมกลับมาที่กอง จัดการจ่ายเงินให้คนของผมจนครบถ้วน และสั่งงานเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับบ้าน วันนั้นเป็นวันที่ผมได้กลับบ้านแต่วัน จนคนที่บ้านแปลกใจกันเป็นแถว ๆ ผมขึ้นนอนพักผ่อน ก่อนนอนก็ปลดสาย โทรศัพท์หมดทุกสาย
วันนั้น ผมได้นอนแต่หัวค่ำ ไม่มีเสียงโทรศัพท์รบกวน ลูกเมียชอบใจ ไม่ยังงั้น เขาก็ไม่รู้ว่า ผมจะกลับเมื่อไร บางวันก็ไม่กลับ หายไปสองสามวันก็ยังมี เป็นเรื่องธรรมดา ไอ้วันนี้ที่กลับมาแต่หัววันนี่ซิ มันแปลกประหลาด
คืนนั้นผมนอนจนเต็มอิ่ม และทดแทนวันอื่นก่อนหน้า ที่ไม่มีโอกาสอย่างนี้มานานไปด้วย ผมตื่นแต่เช้า เสียบปลั๊คโทรศัพท์เข้าที่ พอปลั๊คเข้าที่ก็มีเสียงเรียกกรี๊งดังลั่นขึ้นมาทันที ผมยกหูขึ้นพูดสวัสดีลงไป ผมไม่ใช้คำฮัลโหล ไม่ชอบ มันไม่ใช่ภาษาไทย
พอสิ้นคำสวัสดีของผม ก็ได้ยินเสียงด่าแม่ดังแสบรูหูเข้ามา เป็นเสียงที่ผมรู้จักดี ต่อจากเสียงด่าแม่ก็เป็นเสียงพูด เมื่อวานนี้ มึงหายไปไหนทั้งวัน กูให้รอ ทำไมไม่รอ แล้วทำไมโทรศัพท์บ้านมึงถึงไม่ดัง ผมถอดปลั๊คครับ ผมตอบไปยังงั้น
เสียงเดิมออกชื่อสัตว์เลื้อยคลานประเภทหนึ่งที่ไม่เป็นมงคลออกมา ก่อนที่จะพูดว่า มึงมาหากูเดี๋ยวนี้
ผมเข้าห้องน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เล่นอาหารเช้าเสียก่อน แล้วก็หอบแฟ้มเอกสารที่หอบไปเมื่อวานนี้ขึ้นรถไปวังปารุสก์ ฯ ทีนี้ผมไม่ต้องรอ เปิดประตูห้องเข้าไปทีเดียว ผมไม่มองนัยน์ตาสีเขียวปัดของนายที่จ้องอยู่ นั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะได้ ก็ส่งแฟ้มเอกสารทั้งแฟ้มให้ แต่ใบเบิกเงิน ผมยังเก็บไว้ ยังไม่ส่งให้
นายนั่งอ่านรายงานของผมอยู่ทีละแผ่น ๆ มาถึงรายงานแผ่นหนึ่ง อ่านจบแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองผม ส่งเสียงดัง ๆ ออกมาว่า เรื่องนี้ มึงทำไมไม่รีบเสนอกู ฮึ ?
ก็ท่านไม่เรียกผมเข้าพบ ผมก็ไม่รู้จะส่งรายงานยังไง
ท่านทำเสียงขลุกขลักในคอ นัยน์ตาขมึงมองผม พูดว่า เรื่องคอขาดบาดตายยังงี้ มึงยังทำใจเย็น มึงจะยวนกูไปถึงไหนวะ
ผมเห็นมันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ผมก็เก็บไว้ก่อน ผมตอบ
ไอ้บ้า ... เขาคิดจะปฏิวัติ มึงยังว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เดี๋ยวพ่อด ....
ก้อเขายังไม่ทำเดี๋ยวนี้ เรื่องยังงี้ รู้เมื่อไหร่ก็ได้ จับเมื่อไหร่ก็ได้ สั่งมาซิครับ
จะจับมันก็ต้องมีหลักฐาน นายเถียง
ผมมีพร้อมแล้วครับ เรื่องเอกสาร ทั้งเอกสารและบุคคล
อ้าว แล้วทำไมมึงไม่ส่งมาให้กูด้วย
ผมเห็นไม่จำเป็นที่จะต้องส่งแนบมา อยู่ที่ผมดีกว่า และพยานบุคคลบางคนก็ไม่ควรเปิดเผย
มึงมีรายงานสั้น ๆ แค่นี้มาให้กู ไอ้นี่ ขี้เกียจ
ผมสรุปรายงานทั้งหมดลงในเอกสารสองแผ่นนี่ให้ท่านอ่าน รายงานทั้งหมดมีร่วมเกือบห้าสิบแผ่น ถ้าท่านอยากอ่าน ผมก็จะเอามาให้ จะได้อ่านเล่น ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ที่ผมนั่งสรุปรายงานห้าสิบแผ่นจนเหลือสองแผ่นให้นี่นะ ผมขี้เกียจหรือครับ
เถียงไม่ตกฟาก ไอ้นี่ ทำตาถลึงเอากับผม แต่ผมไม่เคยกลัวสายตาอย่างนั้น เจอมาบ่อยจนชิน
นั่นเป็นรายละเอียดเพียงเล็กน้อยในเรื่องข่าวคราวการปฏิวัติในสมัยนั้น ต่อมา ทางสันติบาลมีการจับกบฏรายนี้ เป็นการคิดปฏิวัติโดยคณะนายทหารเสนาธิการ ผู้ไม่มีอำนาจในการคุมกำลังอะไรเลย นอกจากจะหวังเกลี้ยกล่อมฝ่ายคุมกำลังบางหน่วยเอาภายหลัง ก็ไม่รู้ว่า ทำไมคณะกลุ่มนายทหารที่เป็นมันสมองของกองทัพแท้ ๆ จึงได้มีความคิดสั้น ๆ อย่างนั้น
เงื่อนไขในการปฏิวัติครั้งนั้นก็คือ คณะนายทหารที่คิดการปฏิวัติ คณะนายทหารที่คิดการครั้งนั้นเห็นว่า จอมพล ป. และคณะอยู่ในอำนาจมานานเกินไป ชักรำคาญ ก็เท่านั้น อย่างนี้ก็เป็นเงื่อนไข
ข้อที่ควรสังเกตและยึดถือเป็นข้อเท็จจริงก็คือ การคิดปฏิวัติที่จะสำเร็จได้นั้น มักจะมาจากการปฏิวัติในพวกเดียวกันเอง คือ หลังจากการแก่งแย่งอำนาจภายในพวกเดียวกันเอง จนเกิดการแตกแยกขึ้นเองในภายใน แล้วการแตกแยกนั้นค่อย ๆ ขยายตัวออกไป เป็นการไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน การชิงอำนาจก็ก่อตัวขึ้น จนถึงขั้นการทำลายกัน ด้วยการปฏิวัติยึดอำนาจ โดยฝ่ายที่น้อยเนื้อต่ำใจเป็นฝ่ายก่อขึ้น และการปฏิวัตินั้นจะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อฝ่ายที่กุมอำนาจอยู่นั้น อยู่ในความประมาท เชื่อว่าฝ่ายตนยังกุมอำนาจได้อยู่ ไม่ได้ระมัดระวังและวางมาตรการในการป้องกันแต่อย่างใด
การคิดปฏิวัตินั้น หากฝ่ายอื่นที่ไม่ใช่เป็นฝ่ายเดียวกับฝ่ายที่คุมอำนาจในการปกครองอยู่ในขณะนั้น คิดก่อการขึ้นแล้ว ก็มักจะไม่สำเร็จ และมักจะถูกทำลายเสียก่อน เพราะผู้ที่คุมกำลังอยู่ในคณะที่ปกครองประเทศอยู่นั้น จะไม่ยอมให้คณะอื่นเข้ามาทำการปฏิวัติได้สำเร็จ เขาจะร่วมมือกันต่อต้านปราบปรามและทำลาย แม้จะอยู่ในระหว่างขัดผมประโยชน์ซึ่งกันและกัน เมื่อทำลายคณะที่คิดจะยึดอำนาจซึ่งไม่ใช่พวกเดียวกันลงได้แล้ว ก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำลายกันเองต่อไป เพื่ออำนาจของคณะตัวเอง นอกเสียจากคณะใหม่ที่คิดการนั้น จะมีทหารติดต่อและร่วมคิดการกับฝ่ายเดียวกันที่แตกแยกภายในนั้นได้ ก็มีทางสำเร็จ
อันนี้ ก็เป็นสัจธรรมในการคิดการปฏิวัติเช่นกัน
การปฏิวัติที่ไม่สำเร็จ ก็ต้องกลายแป็นการกบฏไป
การกบฏหลาย ๆ ครั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น ก็เป็นการคิดปฏิวัติโดยคณะที่อยู่นอกวงการผู้มีอำนาจในการปกครองขณะนั้นทั้งสิ้น
Create Date : 26 มีนาคม 2555 |
Last Update : 26 มีนาคม 2555 3:49:18 น. |
|
2 comments
|
Counter : 858 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ก้นกะลา วันที่: 26 มีนาคม 2555 เวลา:19:21:32 น. |
|
|
|
| |
|
|