เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528
ผมเผ่นกลับเข้ามาในห้อง รีบแต่งตัวคว้าปืนเหน็บเอว ลงลิฟต์มาข้างล่างทันที ขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าโรงแรม บึ่งไปที่กอง สั่งกำลังเตรียมพร้อม และให้คอยฟังคำสั่งผมอยู่ ณ ที่ตั้ง แล้วผมก็บึ่งรถไปที่นัดพบซึ่งรู้กัน คือบริเวณ ร. พัน ๗ ที่พี่ม้าย พันโท ละม้าย อุทยานานนท์ เป็นผู้บังคับการกรม ๑๑ หรือผู้บังคับกองพันอยู่ตอนนั้น ผมจำไม่ได้
ผมไปถึงที่นั่นก็พบว่า พรรคพวกอยู่กันครบแล้วหลายคนบริเวณหน้ากองพัน กำลังสั่งการรวมพลอยู่ เจ้านาย ผู้ช่วย อตร. เผ่า ฯ ของผมก็อยู่ด้วย ผมเข้าไปรายงานตัวกับท่าน
เจ้านายหันมาเห็นผมก็ถามทันที
เฮ้ย ไอ้ม้ายมันอยู่ที่ไหนวะ ยังไม่เห็นมา
ผมก็ยืนงง ไม่รู้เรื่อง
เฮ้ย ไอ้พุฒ ท่านสั่งการกับผม มึงไปตามตัวไอ้ม้ายมาให้ได้ มันคงอยู่ที่บ้านวัดธาตุทอง
ผมรู้จักบ้านวัดธาตุทองดี เพราะที่บริเวณหลังวัดนั้น พวกผู้ใหญ่ในคณะมีบ้านพักผ่อนอยู่ที่นั่น สำหรับใช้ในกิจกรรมนอกระบบ บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของคหบดีชั้นเศรษฐีท่านหนึ่งที่ผมก็รู้จักดีอีก มีเอาไว้ให้ท่านผู้ใหญ่พวกนี้ใช้
ผมบึ่งรถกลับไปที่กองอีกที ผมรู้ว่า ถ้าผมจะไปวัดธาตุทอง ผมจะต้องผ่านหน่วยงานของฝ่ายปฏิวัติ ที่จะยืนรักษาการณ์อยู่แถว ๆ สี่แยกราชประสงค์แน่ ๆ
ผมแวะที่แถวเยาวราชก่อน เรียกเอาแท็กซี่คันหนึ่งที่เคยใช้กันประจำให้ตามมาที่กอง กองตรวจของผมอยู่ที่ชั้น 4 บนสถานีตำรวจพลับพลาไชย ซึ่งเป็นสถานีตำรวจนครบาลกลางเดี๋ยวนี้
ผมพาแท็กซี่คันนั้นมาที่กอง เรียกคนขับรถประจำตัวผมมาแล้วล้วงเอาบัตรประจำตัวและหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ในตัวของผมออกหมด ให้สิบตำรวจโท คนรถของผม เก็บไว้ให้ดี เดี๋ยวจะกลับมา
ส่วนกำลังนั้น ให้รอฟังคำสั่งอยู่ก่อน ไม่ต้องเคลื่อนไหวไปไหน สั่งเสร็จผมก็ขึ้นรถแท็กซี่คันนั้น สั่งให้ไปวัดธาตุทองเร็วจี๋
แท็กซี่บึ่งออกจากที่นั่นทันที พอมาถึงบริเวณสี่แยกราชประสงค์ รถก็ติดกันยาวเหยียด ผมชะโงกหน้าออกดู ก็เห็นมีการตรวจตั้งด่านอยู่ตรงสี่แยก แสงสว่างพอมองเห็นว่าเป็นพวกทหารเรือ กำลังหยุดรถ ฉายไฟตรวจรถอยู่เป็นแถว
ปืนพกประจำตัวของผมยังอยู่ที่เอว ผมทิ้งมันไม่ได้ ผมสะกิดคนขับรถ บอกเขาว่า ถ้ารถเรามาถึงที่ตรวจ ก็ให้เขาบอกว่า เขาไม่รู้จักว่าผมเป็นใคร เขารับมาแถว ๆ เยาวราช ผมบอกให้ไปส่งที่ซอยประสานมิตร ผมขึ้นรถแล้วก็เมาหลับเขลงอยู่ เขาจะปลุกตอนเข้าซอย ให้เขาพูดเท่านั้น ไม่ต้องพูดอะไรอีก
พอรถใกล้จุดตรวจเข้าไป ผมก็ล้มตัวลงนอน ปืนของผม ผมชักออกมานอนทับมันไว้ใต้ขา มือสอดไปกุมเอาไว้ ไม่แน่ใจง่าจะต้องใช้มันหรือเปล่า แล้วผมก็ขยี้ผมให้ยุ่ง ๆ นอนตะแคงหลับ หรี่ตามอง
พอรถมาหยุดที่จุดตรวจ ก็มีแสงไฟฉายกราดเข้ามาในรถ
จะไปไหน เสียงถาม
ไปซอยประสานมิตรครับ เสียงคนขับรถผมตอบ
หลับเรอะ เสียงถามต่อมาอีก
คงยังงั้นมั้งครับ ขึ้นรถได้ก็หลับคงจะเมามาก เสียงแท็กซี่ของผมตอบ
ผมทำขย้อนอ๊อกๆ
ไป ๆ รีบไป เสียงนอกรถพูด ขย้อนแล้ว เดี๋ยวก็เลอะเทอะรถ ไป
รถพุ่งปราดออกไปทันที ผมลุกขึ้นตบไหล่คนรถ
ขอบใจมาก เดี๋ยวจะต้องกลับมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ อั๊วมีรางวัลให้ลื้อแน่
ผมมาถึงวัดธาตุทอง ลัดเลาะเข้าไปหลังวัด มีถนนแคบ ๆตัดเข้าไปที่บ้านรับรองหลังนั้น เมื่อเข้ามาถึง ผมลงจากรถเข้าไปตามตัวพี่ม้าย ก็ได้ความจากเด็กที่นั่นว่า พี่ม้ายออกจากบ้านไปแล้วกับไอ้จิ๋ว ไอ้จิ๋วมารับลงเรือไป บ้านรับรองนี้อยู่ริมคลองพระโขนง
สมัยนั้น วัดธาตุทองยังไม่ใหญ่โตหรูหราอย่างทุกวันนี้ สภาพยังเป็นป่ารก หลังวัด มีคลองพระโขนงตัดผ่านออกไปทางแม่น้ำได้ ไอ้จิ๋วก็คือ พันโท โกศล อ่อนสุวรรณ มันแอบมารับพี่ม้ายไปก่อนหน้าผมแล้ว
ผมออกจากที่นั่นก็บึ่งมาที่บ้านซอยประสานมิตร ผมมาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวที่นั่น เพราะจะเข้าสนามรบก็ต้องอยู่ในเครื่องแบบ ผมเอาเครื่องแบบซุกไว้ใต้เบาะที่นั่นที่ผมจะนั่ง ด้านหลัง ทั้งหมวก แล้วผมก็ออกจากบ้านด้วยแท็กซี่คันนั้นอีก ก็จะต้องผ่านด่านตรวจที่สี่แยกราชประสงค์อีกเที่ยวหนึ่ง
ยอดแท็กซี่คนนั้น พาผมผ่านด่านอันเดิม กลับมาได้อีกโดยอ้างง่าย ๆ ว่า รับผมมาจากซ่องในซอยนานาใต้ เมาหลับมาไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ทราบว่าผ่านมาได้ยังไง ด่านทหารเรือตรงนั้น ทำไมถึงไม่สงสัยว่า ชั่วระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมง มีแท็กซี่พาคนเมาไม่ได้สติผ่านเข้าผ่านออกได้สองหน
หรืออาจจะเป็นเพราะผู้รักษาด่านไม่เป็นคนช่างสังเกต หรือไม่ยังงั้นก็คงจะเปลี่ยนคนประจำด่านในระยะนั้น แต่ยังไง ๆ ก็ต้องเรียกว่าเป็นความเฮงของผม ถ้าโดนจับได้และค้นพบปืนที่ผมซุกไว้ใต้ขา ทั้งเครื่องแบบที่ใต้เบาะด้วยแล้ว ก็ไม่ทราบว่า ชะตากรรมของผมจะเป็นยังไง
ผมรอดมาถึงบ้านพี่ม้ายอีกที ก็พบพี่ม้ายแต่งตัวโก้อยู่ในเครื่องแบบแล้ว เสธ. จิ๋ว นั่งอยู่ข้าง ๆ เขารู้ว่าเขาตัดหน้าผมไปชั่วเดี๋ยวเดียว คณะทั้งหมดซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน ฝ่ายคุมกำลังส่วนใหญ่ไม่มีในที่นั้น มีแต่ตัวผู้บังคับกองพันสอง-สามคน มีข่าวจากฝ่ายหาข่าวบอกมาว่า ฝ่ายรัฐบาลยึดกรมโฆษณาการคืนได้แล้ว กรมโฆษณาการก็คือกรมประชาสัมพันธ์เดี๋ยวนี้ อยู่ที่เดียวกันนั่นแหละ พวกกบฏถอยร่นเข้าไปในวังหลวง จับได้สอง-สามคนที่นั่น