|
สวัสดีเจ้า... ห่างเหินจากการอัพบล็อกกลุ่มนี้ไปเมินขนาดดดด..... ติดซีรี่ยส์ เมานิยาย คอมหลุ น้ำนอง...สะป๊ะข้ออ้าง แหะ ๆ
สองวันก่อนพาแม่ไปหาหมอ ระหว่างที่นั่งรอก็อ่านหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ไปพลาง ๆ อ่านเจอข่าวเล็ก ๆ ข่าวหนึ่ง แทรกเป็นกรอบเล็ก ๆ อยู่ในหน้าใน ๆ อ่านแล้วสะท้อนใจ นึกไปถึงสำนวน "กำบ่ะเก่า" สำนวนนี้ขึ้นมา...
"ตุ๊กบ่ได้กิ๋น บ่มีไผต๋ามไฟส่องต๊อง ตุ๊กบ่ได้นุ่งได้หย้อง ปี้น้องดูแควน"
ขออธิบายศัพท์ กับความหมายของสำนวนก่อน...เดี๋ยวค่อยย้อนไปเล่าถึงข่าวที่ว่านะคะ
ศัพท์ :
ตุ๊ก = ทุกข์ (ทุกข์ ในกำเมืองหมายถึง...)ยากจนข้นแค้น กิ๋น = กิน ไผ = ใคร ต๋ามไฟ = จุดไฟ ต๊อง = ท้อง หย้อง = ตกแต่งด้วยเครื่องประดับที่สวยงาม มีค่า ดูแควน = ดูถูก ดูหมิ่น (บางที่ออกเสียงเป็นดูแคลน)
ความหมาย(ขยายความ) :
แม้จะยากจน จนไม่มีอะไรจะกิน (ก็ไม่เป็นไร เพราะ...) ไม่มีใครมาจุดไฟส่องดูในท้องเราได้ แต่หากยากจนจนไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ ไม่ได้ตกแต่งด้วยเครื่องทองหยองมีราคานี่สิ...(เป็นปัญหา) คนอื่น(ปี้น้อง)เขาจะรังเกียจและดูหมิ่นถิ่นแคลนเอาได้
นี่เป็นความคิด ความเชื่อและค่านิยมของ"คนบ่ะเก่า"จริง ๆ ที่ปลูกฝัง ถ่ายทอดสืบต่อกันมา นับแต่รุ่นแม่ของแม่ของแม่หม่อน...มาถึงรุ่นแม่อุ๊ย แม่หลวง ลงมาถึงรุ่นแม่ และรุ่นลูก รุ่นหลานต่อไป จนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำถิ่น
ในสมัยโบราณอาจจะไม่ส่งผลกระไรนัก เพราะความเป็นอยู่ของผู้คนยังอยู่กันแต่ในชุมชนเล็ก ๆ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมชนชั้นยังมีน้อย ผู้คนยังอยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย แบบสำนวน "พริกมีบ้านเหนือ เกลื๋อมีบ้านใต้" มีอะไรก็แลกเปลี่ยนกันไป... การเดินทาง การติดต่อสื่อสารก็อยู่ในวงแคบ ๆ ใกล้ ๆ
แต่เมื่อสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิต วิถีชุมชนก็ต้องปรับเปลี่ยนตาม ถนนราดยางนำเข้ามาก่อน ตามด้วยไฟฟ้า...และเครื่องใช้ไฟฟ้านานาชนิดตามติดมา ในขณะที่ความคิดความเชื่อต่าง ๆ ยังคงเดิม ในยุคหนึ่ง เราจึงได้ข่าวเด็กสาว ๆ (บางคนยังไม่ทันเป็น"สาว" ด้วยซ้ำไป) จากหมู่บ้านในภาคเหนือ ถูกส่งตัวเข้าเมือง...เพื่อทำงานขายบริการ พี่ขายน้อง พ่อ-แม่ขายลูกสาว เป็นเรื่องธรรมดาที่...บ้านไหนมีลูกสาวไปทำงานในเมือง แล้วส่งเงินกลับมาให้พ่อแม่ปลูกบ้านหลังใหญ่ ซื้อหาบรรดา"วัตถุ" มาประดับประดาบ้านช่อง...โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น ฯลฯ พ่อแม่ไปวัดไปวา ไปงานต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ได้นุ่งผ้าสวย ๆ ใส่สร้อยทองเส้นใหญ่ ๆ
กลายเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนในครอบครัว...พี่น้องไม่ "ดูแควน" อีกต่อไป
แม้ในเวลาต่อมา ผู้คนในชนบทมีการศึกษามากขึ้น... ผู้หญิงเริ่มเรียนรู้และตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของตัวเองมากขึ้น... สังคมก็เปลี่ยนแปลงไปอีกระดับหนึ่ง ตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม... หากความคิดความเชื่อในเรื่องของการรักษาหน้า รักษาภาพ ยังคงมีอยู่...อย่างเหนียวแน่นมั่นคง
ทีนี้จึงโยงมาถึงเรื่องในข่าวที่ได้อ่าน ที่เกริ่นไว้ตอนต้น ๆ นั่นแหละค่ะ เป็นข่าวเกี่ยวกับผู้สูงอายุกับสถิติการฆ่าตัวตายของไทย... ตามข่าวระบุว่า...
"...จากข้อมูลสถิติการฆ่าตัวตายประเทศไทยตั้งแต่ปี 2540-2553 แม้ว่าสถิติการฆ่าตัวตายของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 5,700 รายต่อปี ลดลงมาอยู่ที่ 3,700 รายต่อปี แต่ยังถือเป็นอัตราที่สูงและถือเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ
โดยเฉพาะในบางจังหวัดในภาคเหนือที่พบว่า ยังคงมีอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงมาก ควบคุมได้ยากและน่าเป็นห่วง ซึ่ง 5 จังหวัดแรกที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากร ได้แก่ จังหวัดลำพูน เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน และเชียงใหม่ อยู่ที่ 20.02, 15.63, 14.45, 13.03 และ 12,47 ต่อแสนประชากร แต่เมื่อดูปริมาณจำนวนคนที่ฆ่าตัวตายพบว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นแชมป์จังหวัดที่มีคนฆ่าตัวตายมากที่สุด อยู่ที่ 204 คน
..............
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ทำการศึกษา ร่วมกับสาธารณสุข จังหวัดลำพูน เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เพื่อดูปัจจัยที่เป็นสาเหตุการฆ่าตัวตายของคนในภาคเหนือพบว่า วัฒนธรรมมีส่วนในการตัดสินใจ โดยภาคเหนือตอนบนมีวัฒนธรรมการรักษาหน้าที่รุนแรง กลัวเสียหน้า เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จึงไม่อยากปรึกษาใคร หรือเล่าปัญหาให้ใครฟัง เพราะกลัวคนรู้ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่คนภาคอื่นไม่เป็น ส่งผลให้มีอัตราการฆ่าตัวตายสูง ซึ่งวัฒนธรรมเช่นนี้มีผลต่อสุขภาพจิตค่อนข้างมาก
ประกอบกับคนภาคเหนือไม่มีพื้นที่พูดคุยเหมือนกับคนในภาคอื่นๆ อย่างวัฒนธรรมการจิบน้ำชากาแฟเพื่อพูดคุย ทำให้ไม่มีพื้นที่ในการระบายออก"*
ถึงได้บอกในตอนต้นว่า...อ่านแล้วสะท้อนใจ แล้วพานนึกไปถึงสำนวน"กำบ่ะเก่า" สำนวนข้างบนนั้นขึ้นมานั่นแล...
เห็นทีจะต้องรื้อฟื้น"วงหมากเมี่ยง"ขึ้นมา ให้แม้ป้าแม่อาแถวบ้านเสียแล้ว
* คัดข่าวจาก bangkokbiznews.comเจ้า...
|