happy memories
Group Blog
 
All blogs
 

คิดถึงครูสุรพล ๑




ภาพจากเวบ udclick.com


รวมสุดยอดเพลงช้า ราชาเพลงลูกทุ่งไทย



ว่าจะอัพบล็อคเสื้อละครในฝันต่อ แต่ยังไม่มีเวลาหาภาพประกอบ พอดีพรุ่งนี้ตรงกับวันที่ครูสุรพล สมบัติเจริญเสียชีวิต ตั้งใจมานานแล้วว่าจะคุยถึงครูแต่ไม่ได้จังหวะซะที พอดีเมื่อหลายวันก่อนอ่านเจอเรื่องราวของครูสุรพลในนสพ.เลยรีบหาข้อมูลมาอัพ

ถ้าถามว่านักร้องชื่อดังที่เสียชีวิตในวันที่ ๑๖ สิงหาคมคือใคร ส่วนใหญ่คงจะตอบว่า "เอลวิส เพรสลีย์" กันทั้งนั้น เอลวิสเป็นราชาเพลงร็อคแอนด์โรล เสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยวัย ๓๗ ปี เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒o ช๊อคแฟนเพลงทั่วโลก วันเดียวกันเมื่อสี่สิบสองปีก่อน คนไทยก็รู้สึกไม่ต่างกันเมื่อราชาเพลงลูกทุ่ง "สุรพล สมบัติเจริญ" ถูกยิงเสียชีวิตหลังจากแสดงดนตรีที่นครปฐม ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียบุคลากรคุณภาพไปอย่างน่าเสียดาย ครูสุรพลเป็นทั้งนักร้อง และนักแต่งเพลงที่มีความสามารถเข้าขั้นอัจฉริยะ มีผลงานเพลงหลากหลายแนว กระทั่งเพลงลูกกรุงที่เพราะและเศร้ามากอย่าง "หรีดรัก" ก็เป็นฝีมือครูสุรพลด้วย นี่ถ้าท่านยังอยู่ คงทำประโยชน์ให้วงการดนตรีบ้านเราได้อีกมากมาย

บล็อคนี้มีหลายภาคหน่อย ได้ข้อมูลจากวิกิและเวบผู้จัดการที่ คุณคีตา พญาไท เขียนเกร็ดชีวประวัติของท่านไว้น่าอ่านดีเลยเอามาอัพด้วย อีกอย่าง เพลงของครูเพราะ ๆ ทั้งนั้น มีหลายบล็อคจะได้ฟังหลายเพลงหน่อย ใครรักเพลงสุรพลเหมือนเราก็ล้อมวงเข้ามาคุยกันได้เลยค่ะ





สุรพล สมบัติเจริญ (เดิมชื่อลำดวน) เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๔๗๓ เป็นคนสุพรรณบุรีโดยกำเนิด เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่ง เจ้าของเพลงดัง "๑๖ ปีแห่งความหลัง" สุรพล สมบัติเจริญถูกยิงเสียชีวิต หลังจากการแสดงบนเวทีที่นครปฐม เสียชีวิตเมื่อ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๑ อายุเพียง ๓๗ ปี ๑o เดือน ๒๓ วัน




ภาพจากเวบ sickplaylist.com


ประวัติ


ลำดวน สมบัติเจริญ อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ ๑๒๕ ถนนนางพิม อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ฐานะทางครอบครัวแต่เดิมค่อนข้างจะดีด้วย คุณพ่อรับราชการอยู่แผนกสรรพากรจังหวัด ชื่อ เปลื้อง สมบัติเจริญ ส่วนคุณแม่ชื่อ วงศ์ นอกจากเป็นแม่บ้านแล้วยังค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบ้านกลางใจเมืองสุพรรณ สุรพลเป็นบุตรชายคนที่ ๒ ในบรรดาพี่น้องท้องเดียวกัน ๖ คน




ภาพจากเวบ udclick.com


หลังจบชั้นประถมจาก โรงเรียนประสาทวิทย์ ก็มาเรียนที่โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัยจนจบมัธยมปีที่ ๖ เมื่อเรียนจบที่สุพรรณบุรี คุณพ่อก็ส่งสุรพลเข้ามาเรียนต่อที่ โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย แต่สุรพลก็เรียนได้เพียงปีครึ่งก็ต้องลาออก เพราะใจไม่รักแต่ด้วยไม่อยากขัดใจคุณพ่อ การเรียนก็เลยไม่ดี เขาไปสมัครเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนสุพรรณกงลิเสวียเสี้ยว เป็นโรงเรียนจีน แต่สอนอยู่ได้แค่ครึ่งปีก็ลาออก ด้วยใจไม่ได้รักอาชีพนี้อย่างจริงจัง




ภาพจากเวบ pukpik.com


เขาได้สมัครเข้าไปเป็นทหารอยู่ที่โรงเรียนนักเรียนจ่าทหารเรือ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชะตาเขาพลิกผัน หลังจากเขาได้หนีราชการทหารเรือจนได้รับโทษถูกคุมขัง เขาได้กลายเป็นขวัญใจของนักโทษ ด้วยการร้องเพลงกล่อมก่อนนอน เมื่อได้รับอิสรภาพ สุรพลได้ทิ้งเส้นทางทหารเรือ สุรพลมีโอกาสได้ร้องเพลงในงานสังสรรค์กองทัพอากาศ น้ำเสียงของเขาได้โดนใจหัวหน้าคณะนักมวยเลือดชาวฟ้า อย่างเรืออากาศศรีปราโมทย์ วรรณพงษ์ จึงเรียกตัวเขาไปพบในวันรุ่งขึ้น และยื่นโอกาสให้สุรพลย้ายไปเป็นนักร้องประจำกองดุริยางค์ทหารอากาศ



ภาพจากเวบ udclick.com


ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เพลง 'น้ำตาลาวเวียง' เป็นเพลงแรกที่ได้บันทึกเสียง แต่เพลงที่ทำให้เป็นที่รู้จักทั่วไปคือเพลง 'ชูชกสองกุมาร' หลังจากนั้นชื่อเสียงของสุรพล ก็เป็นที่นิยมมากขึ้น และมีผลงานชุดใหม่ออกมาเรื่อยๆ เช่น 'สาวสวนแตง' 'เป็นโสดทำไม' 'ของปลอม' 'หนาวจะตายอยู่แล้ว' 'หัวใจผมว่าง' 'สาวจริงน้อง' 'ขันหมากมาแล้ว' 'น้ำตาจ่าโท' 'มอง' และอีกหลายเพลง




ภาพจากเวบ udclick.com


และทำให้คนรู้จักความเป็น "สุรพล สมบัติเจริญ" อย่างแท้จริงในเวลาต่อมาก็คือเพลง "ลืมไม่ลง" และเมื่อชื่อเสียงเริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป สุรพลจึงมีงานร้องเพลง นอกสังกัดถี่ขึ้นเป็นลำดับ อาทิ ร่วมร้องกับวง "แมมโบ้ร็อค" ของ เจือ รังแรงจิตร วง "บางกอกช่ะช่ะช่ะ" ของ ชุติมา สุวรรณรัตน์ และ สมพงษ์ วงษ์รักไทย ส่วนวงดนตรีที่สุรพลร้องด้วยมากที่สุดคือ วง "ชุมนุมศิลปิน" ของ จำรัส วิภาตะวัตร




ตลอดชีวิตของการเป็นนักร้อง สาเหตุที่ทำให้ "สุรพล" ได้รับการยอมรับว่าเป็นราชาเพลงลูกทุ่ง เพราะความอัจฉริยะในตัวเองที่สามารถแต่งเพลง และยังคงเป็นที่จดจำจนทุกวันนี้ก็มี อาทิ ลืมไม่ลง, ดำเนินจ๋า, แซ่ซี้อ้ายลื้อเจ็กนั้ง, หัวใจเดาะ, สาวสวนแตง, น้ำตาจ่าโท, สนุกเกอร์, นุ่งสั้น, จราจรหญิง, เสน่ห์บางกอก และ ๑๖ ปีแห่งความหลัง เป็นต้น
นอกจากจะแต่งเอง ร้องเองแล้ว "สุรพล" ยังทำหน้าที่ครูแต่งเพลงให้คนอื่นร้องจนโด่งดังอีกด้วย อย่างเช่น ผ่องศรี วรนุช, ไพรวัลย์ ลูกเพชร, ละอองดาว สกาวเดือน, ยงยุทธ เชี่ยวชาญชัย, เมืองมนต์ สมบัติเจริญ เป็นต้น




ภาพจากเวบ udclick.com


"สุรพล สมบัติเจริญ" ถูกยิงหลังจากการแสดงบนเวทีที่นครปฐม เสียชีวิตเมื่อ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ เมื่ออายุเพียง ๓๗ ปี ๑o เดือน ๒๓ วัน




ภาพจากเวบ udclick.com


รางวัลที่ได้รับ


วันที่ ๑๒ ก.ย. ๒๕๓๒ ได้รับรางวัลพระราชทานเพลงดีเด่นจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ครั้งที่ ๑ "สาวสวนแตง" คว้าเพลงดีเด่น แต่งโดยครูพยงค์ มุกดา แต่งเพลงดีเด่นในเพลง "เด็กท้องนา" ขับร้องโดย ละอองดาว สกาวเดือน และเพลง "ไหนว่าไม่ลืม" ขับร้องโดย ผ่องศรี วรนุช ส่วนเพลงที่ได้รับรางวัลร้อง-แต่งเองคือ "๑๖ ปีแห่งความหลัง"




ภาพจากเวบ weloveshopping.com


วันที่ ๗ ก.ค. ๒๕๓๔ ได้รับรางวัลพระราชทานแต่งเพลงดีเด่นจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค ๒ ในเพลง "ด่วนพิศวาส" ขับร้องโดย ผ่องศรี วรนุช และ คำเตือนของพี่ ขับร้องโดย ไพรวัลย์ ลูกเพชร




ภาพจากเวบ maemaiplengthai.com


วันที่ ๑๘ ก.ย. ๒๕๓๗ ได้รับรางวัลพระราชทานเกียรติบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในการจัดงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่ง สืบสานคุณค่าวัฒนธรรม สองรางวัลในเพลง น้ำตาเมียหลวง ขับร้องโดย ผ่องศรี วรนุช และเพลง เสียวไส้ ซึ่งสุรพลแต่ง และขับร้องเอง




ภาพจากเวบ .sayanfanclub.com


เมื่อ ๑๘ ต.ค. ๒๕๓๗ เพลงรอยไถแปร และน้ำตาลก้นแก้ว ได้รับการคัดเลือกเป็นเพลงลูกทุ่งดีเด่นที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ขับร้องโดย ก้าน แก้วสุพรรณ ส่วนเพลงกว๊านพะเยาได้รับรางวัลเดียวกัน แต่เป็นการขับร้องโดย สุรพล สมบัติเจริญ




ภาพจากเวบ maemaiplengthai.com


ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย


บีจีจากคุณยายกุ๊กไก่ ไลน์จากคุณญามี่

Free TextEditor




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2553    
Last Update : 3 สิงหาคม 2556 0:15:58 น.
Counter : 11503 Pageviews.  

ไว้อาลัยคุณบุษยา รังสี





ดาวอีกดวง ร่วงลับ ลาจากโลก
เป็นความโศก เศร้าใจ อาลัยถึง
น้ำเสียงใส ได้ฟัง ยังติดตรึง
เป็นอีกหนึ่ง เสียงทอง นักร้องไทย

"น้ำตาดาว" เพลงดัง ฟังไพเราะ
เพลง"ฝากหมอน" เสนาะ เสียงเพราะใส
"กระซิบสวาท" เย็นทั่ว "ฝั่งหัวใจ"
"ลาภูพิงค์" นั่นไง "ถิ่นไทยงาม"



ประพันธ์โดย คุณสุรงค์ โพชนิกร
จากบล๊อค ครูบ้านนอก





คีตาลัย

คราดึกดื่นดาวหนึ่งดาวร่วงจากหาว
พ้อเสียงพร่ำ "น้ำตาดาว" พราวเวหา
เยี่ยง "ฝนหยาดสุดท้าย" กรายคำลา
"ฝากรัก" ไว้ "ใกล้มือคว้า" พลันหลุดลอย
เรือมนุษย์" สุดยึดคล้าย "ในโลกฝัน"
เจ้าพระยาท่าพระจันทร์พลันละห้อย
"โดมร่มใจ" - "โดมรอเธอ" ชะเง้อคอย
อีกร้อยปีจำเรียงแม้นเสียงนี้
เธอดุจดาวประดับโดมโคมคู่หล้า
คือพธูโดมคู่ฟ้า "บุษยา รังสี"
ทุกลำนำจำเรียงเสียง "มานี"
คู่ "แก้วฟ้า - เอื้อ - ธาตรี" มิโรยรา


ประพันธ์โดย ราตรี ประดับดาว
นสพ.แนวหน้า ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๓





น้ำตาดาว

เหม่อดูหมู่ดาวที่พราวพร่างฟ้า
หยาดสายน้ำตาหยดมาเหมือนว่า ช้ำใจ
โอ้ฟ้าลืมเลือนห่วงเดือนเหนือเจ้า หรือไร
เจ้าพราวผ่องใส ไม่เคยชื่นชม

หยาดเอยหยาดชนหล่นมาชุ่มชื้น
หยาดน้ำค้างคืน ฝากรอยขมขื่น ระทม
เจ้าช้ำอุรา ดุจทรวงของข้า ระบม
เขาเคยชิดชม แล้วมาห่างเหิน

โอ้ น้ำ ตาดาว
ไหล พราว โลม หล้า ให้เพลิน
หยาด น้ำค้าง ชวน เชิญ
หริ่ง หรีด เพลิน กรีด ร้องรำพัน

เยือกเย็นทั่วกันด้วยชลหยาดฟ้า
อกเอ๋ยอกเราเมื่อคราวชอกช้ำ
สุดแสนระกำหลั่งความช้ำด้วย น้ำตา
แต่น้ำตาเราโอ้ใครไหนเล่า เหลียวมา
ซับรอยน้ำตา ของข้าดุจดาว

โอ้ น้ำ ตาดาว
ไหล พราว โลม หล้า ให้เพลิน
หยาด น้ำค้าง ชวน เชิญ
หริ่ง หรีด เพลิน กรีด ร้องรำพัน

เยือกเย็นทั่วกันด้วยชลหยาดฟ้า
อกเอ๋ยอกเราเมื่อคราวชอกช้ำ
สุดแสนระกำหลั่งความช้ำด้วย น้ำตา
แต่น้ำตาเราโอ้ใครไหนเล่า เหลียวมา
ซับรอยน้ำตา ของข้าดุจดาว


https://www.youtube.com/watch?v=9XIK_4c9jEA








ทำบล๊อคไว้อาลัยให้คุณบุษยาช้าไปหน่อย ว่าจะอัพต่อจากบล๊อคของคุณกำธร แต่เขียนไม่เสร็จ มาอัพได้พอดีตรงกับวันที่จัดคอนเสิร์ต เปิดตำนานเพลง บุษยา รังสี ที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ เริ่มงานวันนี้ตอนบ่ายสอง ตั้งใจว่าจะไปดูแต่แห้ว เพราะฝากน้องชายไปซื้อบัตรแล้วดันลืมซะนี่

หาข้อมูลในเวบ เจอคนเขียนถึงคุณบุษยาไว้ค่อนข้างละเอียด เล่าถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไว้อย่างน่าฟัง เพิ่งจะรู้ว่าคุณบุษยานี่แหละ "ทัดดาว บุษยา" ตัวจริง เพราะเคยมีชื่อเดียวกะนางเอกเรื่องเจ้าฮะด้วย ข้อมูลเขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เลยมีบางข้อความที่ไม่อัพเดทเท่าไหร่ แต่ขอนุญาตไม่แก้ไข ยกมาให้อ่านทั้งดุ้นเลย

คุณบุษยาเป็นคนมีคุณธรรมและมีความกตัญญูต่อครูเอื้อมาก ท่านเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสารโลกดาราไว้ว่า

“ต้อยยังจำได้เสมอเมื่อ ต้อยมาร่วมงานกับครูใหม่ ๆ (ครูเอื้อ) ครูได้บอกว่า มีชื่อเสียงแล้ว ขออย่าได้ทิ้งครูทิ้งวงไปเหมือนคนอื่น ๆ ที่ครูเคยต้องช้ำใจมาแล้ว ต้อยก็ให้คำสัญญากับครูว่าไม่ทิ้งแน่ ตราบใดที่ครูยังไม่ปลดเกษียณอายุ และพอครูครบเกษียณอายุ ต้อยก็ลาออกจากครูตามที่ได้สัญญาไว้ ขนาดตอนที่อยู่กับวงสุนทราภรณ์ มีคนมาติดต่อไปร้องเพลงในไนต์คลับ ห้องอาหาร ตั้งเงินเดือนให้แพง ๆ ต้อยก็ไม่ตกลง”

หลังจากนั้น สุเทพ วงศ์กำแหง กับสวลี ผกาพันธุ์ ลงทุนเปิดร้านอาหารวีไอพีที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ได้ชักชวนคุณบุษยามาร้องเพลงด้วย และในตอนกลางวันร้องที่สีดาคลับ ถนนราชดำเนิน

“ขนาดต้อยมาร้องที่วีไอพีได้ไม่กี่วัน ร้านอาหารอื่นมาหา ขอให้ไปร้องที่เขา ให้เงินอีกเท่าตัว ต้อยกับแฟนต้อยบอกเขาว่า ไม่ได้หรอก แม้เราไม่มีสัญญาต่อกัน แต่เราต้องมีสัจจะ มีมนุษยธรรมต่อกัน”

ขอดวงวิญญาณของคุณบุษยา รังสีไปสู่สุคติในสัมปรายภพ และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวรังสีด้วยค่ะ






บุษยา รังสี มีชื่อเดิมว่า มานี ทัพพะรังสี (ต้อย) เกษเสถียร เป็นบุตรสาวของพระยานราทรพิรัญรัฐ (เยื้อน ทัพพะรังสี) และเสงี่ยม ทัพพะรังสี เกิดเมื่อ ๑๓ สิงหาคม ๒๔๘๓ ที่จังหวัดสงขลา จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อนุปริญญาทางพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เคยเป็นนักร้องประจำวงพาณิชยการพระนคร เมื่อครั้งศึกษาอยู่ที่นั่น และได้ช่วยร้องให้วงดนตรีโรงเรียนนายเรือ ณ สถานีวิทยุ อ.ส. ในสวนจิตรลดา ต่อมาได้เป็นนักร้องวงสโมสรมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อครั้งที่เธอร้องให้วงดนตรีโรงเรียนนายเรือ ณ สถานีวิทยุ อ.ส. ในสวนจิตรลดา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดนตรีร่วมด้วยนั้น ครูเอื้อได้เข้าเฝ้า ได้ฟังเสียงเธอร้องเพลง "สำคัญที่ใจ" เลยชวนให้ไปร้องเพลงด้วยกัน เธอยังห่วงเรียนจึงปฏิเสธครูเอื้อไป เมื่อเรียนอยู่ธรรมศาสตร์ เธอได้ร่วมร้องเพลงกับวงสุนทราภรณ์ เมื่อวงดนตรีไปบรรเลงที่ธรรมศาสตร์ และได้เข้าอยู่กับวงสุนทราภรณ์เมื่อต้นสิงหาคม ๒๕o๒ ในขณะที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ ๑

คุณชอุ่ม ปัญจพรรค์ ให้เธอใช้ชื่อว่า "ทัดดาว บุษยา" ครูเอื้อให้ใช้ชื่อว่า "บุษยา" เมื่อเข้ามาอยู่ในวงสุนทราภรณ์แล้ว ต่อมาเธอได้ออกทีวีครั้งแรก ชื่อ "บุษยา รังสี" ได้เป็นที่รู้จักตั้งแต่นั้นมา




ผลงานเพลงแรกทางทีวีคือเพลง "น้ำตาดาว" ในละครทีวีเรื่อง "วิมานใยบัว" เมื่อ ๑๘ สิงหาคม ๒๕o๒ ได้ขับร้องเพลงและแสดงจินตลีลาเพลง "นิมิตสวรรค์" ทางทีวีช่อง ๔ เมื่อ ๒o พฤศจิกายน ๒๕o๒ ซึ่งเป็นวันครบรอบ ๒o ปีวงดนตรีสุนทราภรณ์ เพลงแรกที่ทำชื่อเสียงและได้บันทึกแผ่น คือเพลง "น้ำตาดาว" ครูเอื้อให้ขับร้องเพลง "ลา" ของสถาบันต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เพลงที่เธอชอบมากได้แก่ น้ำตาดาว โดมในดวงใจ กระซิบสวาท สั่งไทร ลาภูพิงค์ พุทธศาสน์คู่ไทย ฝากหมอน แนวหลัง โดมร่มใจ แดนนภา ถึงพี่ จำจากโดม พอกันที ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม ลาแล้วแดนขจี อาลัยร่มพฤกษ์ ลาดงตาล

บุษยา รังสี รับราชการในกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อครูเอื้อ สุนทรสนานเกษียณอายุราชการ ได้ออกมาร้องเพลงไทยสากลอยู่ระยะหนึ่ง เพลงที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ ฝั่งหัวใจ ต่อมาได้ติดตามสามี (พลเรือโทชูชาติ เกษเสถียร) ไปอยู่ต่างประเทศระยะหนึ่ง เมื่อกลับมาเมืองไทย ได้ขับร้องเพลงให้กับวงดนตรีสุนทราภรณ์ และวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ในงานการกุศลต่าง ๆ ช่วงหลัง ๆ เธอหยุดร้องเพลงเนื่องจากสุขภาพไม่อำนวย

(ครูใหญ่ นภายน ได้เล่าว่า ตอนนี้คุณบุษยา รังสี ได้ผ่าตัดมะเร็งสมองจนกระทั่งสุขภาพไม่เอื้ออำนวยและ พักผ่อนอยู่กับบ้าน แต่ยังมีความจำดีอยู่

เจ้าของเพลงอมตะ น้ำตาดาว โดย ใหญ่ นภายน

แหล่งที่มา : หนังสือต่วย'ตูน พอกเก็ตแมกาซีน ปีที่ ๓๘ เล่มที่ ๓ ปักษ์แรก คุลาคม ๒๕๕๑ หน้า ๑๓๒-๑๔๑)




ท่านที่รัก...มีบทเพลงหนึ่งที่ผมจะนำมาเสนอเป็นเพลงแรก คิดว่าหลายท่านคงเคยได้ยินมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๔๐ - ๕๐ ปีในยุคของไทยทีวีช่อง ๔ บางขุนพรหม ในราว พ.ศ.๒๔๙๘ ผู้ร้องเป็นศิษย์เก่ามหา'ลัยธรรมศาสตร์ เธอบันทึกแผ่นเสียงไว้เป็นคนแรก คือเพลง "น้ำตาดาว" มีเนื้อว่า


...เหม่อดูหมู่ดาวที่พราวพร่างฟ้า
หยาดสายน้ำตาหยดมาเหมือนว่าช้ำใจ
โอ้ฟ้าลืมเลือนห่วงเดือนเหนือเจ้าหรือไร
...หยาดเอยหยาดชลหล่นมาชุ่มชื้น
หยาดน้ำค้างคืนฝากรอยขมขื่นระทม
เจ้าช้ำอุรา ดุจทรวงของข้าระบม
เขาเคยชิดชมแล้วมาห่างเหิน...ฯ


เธอเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงระดับคับฟ้า แต่ขณะนี้กำลังโรยราไปกับวัยสังขาร ด้วยโรคมารเกือบมาผลาญชีวิต และทนทุกข์ทรมานด้วยโรค "มะเร็งเฮงซวย" ที่ทำให้เธอต้องผ่าสมองถึงสามครั้งสามครา แต่ทว่าเธอนั้นใจแข็งปานเหล็กเพชร เด็ดกว่าผู้ชายหลายร้อยเท่า คุณหมอโรงพยาบาลจุฬาฯ เมตตาเธอมาก ถึงกับ ส่งจม.มาให้เธอไปผ่าตัดสมองครั้งที่สี่ซะดี ๆ มิฉะนั้นชีวิตของเธอจะไม่ยืนยาว แต่การเชิญครั้งนี้มิได้รับการสนองตอบ เพราะเธอเมินกับเสียงเรียกร้องของหมออย่างมิไยดี ตามแนวความคิดของเธอที่มียาดี ดีกว่าไปผ่าตัด และทำให้เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างชะงัด ยาที่ว่านี้เรียกกันว่า "ไพ่ตอง" ซึ่งเธอนั้นมี "ตัวเก็ง" หลายตัวสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แล้วแต่วันไหนถูกกับตัวอะไร เช่น เอี่ยวซี, เอี่ยวหนู, เอี่ยวพญา, สามตา, สองคน, สี่มะเขือ ฯลฯ

ทุกวันเมื่อได้เวลาสังสรรค์ เธอจะขอร้องแกมบังคับให้สามีสุดที่รัก คือ พลเรือโทชูชาติ เกษเสถียร อดีตท่านทูตทหารเรือประจำกรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนม่า (ผู้เอาเธอใส่เอวหิ้วกระเตงไปอยู่ด้วยเป็นเวลาหลายปี จนพูดภาษาพม่าได้ เวลาไปซื้อของที่ตลาด) ช่วยขับรถพาเธอไปเข้า "บ่อนไพ่ตอง" กับบรรดาเพื่อนขาเก่าเล่ายี่ห้อ ที่เคยนั่งล้อมวงเล่นกันมาแต่เก่าก่อน ทุกคนเต็มใจยินดีมานั่งร่วมวงอีกครั้ง เพื่อให้การดำรงชีวิตของเธออยู่ยั้งยืนยง สู้กับโรคร้ายได้ต่อไป นี่คือเหตุผลของบรรดาเพื่อนรัก




ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงเรื่องราวของเธอ ตั้งแต่เริ่มต้นจนประสบความสำเร็จในการขับร้องเพลง และมีชื่อเสียงโด่งดังคล้ายพลุแตก เธอไต่เต้ามาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนในโรงเรียนพาณิชยการพระนคร ครั้งหนึ่งทางโรงเรียนได้จัดงานขึ้นงานหนึ่ง เธอถูกขอให้ร้องเพลง "สำคัญที่ใจ" อันเป็นเพลงหนึ่งของวงนี้ซึ่งมีเนื้อดังนี้


ช. พี่มาครวญคิดถึงรักของเรา เหมือนเงาในวารี
ญ. แต่น้องหวังชื่นชีวี เฝ้ารอวันที่สุขสันต์
ช. เหมือนปองดอกฟ้า คว้าได้อย่างไรกัน สุดฉันหมายไม่เห็นทาง
ญ. เหตุใดสิ้นคิดชีวิตยังมี มิควรที่จะท้อใจ
ช. สุดทนแล้วยอดหทัย
ญ. อื่นใดจะมาขัดขวาง สำคัญที่ใจ เธอรักน้องไม่เหินห่าง
ช. ไม่ร้างราตราบตาย...ฯ




ต่อมาเมื่อเธอเรียนจบก็มุ่งเข้าสู่ประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในช่วงหนึ่งที่ทางมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรม วงดนตรี "สุนทราภรณ์" ก็ได้มาบรรเลงอีกที่หอประชุมใหญ่ เธอเป็นคนหนึ่งล่ะที่ดนตรีวงนี้มันฝังอยู่ในสมอง จึงรีบจองแถวหน้าราคาไม่เกี่ยง เพื่อจะได้ดูได้ฟังเพลงอย่างอิ่มใจ ในตอนบ่ายของวันนั้นเธอปล่อยอารมณ์ให้คล้อยตามเสียงเพลงด้วยความสุข ขณะที่กำลังฟังเพลงเพลิน ๆ อยู่ ท่านหัวหน้าวงดนตรีก็พลันเหลือบมาเห็นเธอเข้า ก็จำได้ว่าเด็กคนนี้ร้องเพลงเสียงดีเหลือเกิน จึงได้ประกาศทางไมโครโฟนให้เธอขึ้นไปบนเวที และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ ที่ได้ร่วมร้องเพลงคู่กับหัวหน้าวงดนตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไทย ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีโอกาสแบบนี้ เพลงที่ร้องคู่ในคราวนั้นคือ "ปองใจรัก" มีเนื้อร้องดังต่อไปนี้


ญ. โอ้ความรักเอยสุดชื่นสุดเชย สุดจะเฉลยรำพัน
ช. รักเจ้าเฝ้าใฝ่ฝัน ผูกพันรักพี่กระสันคอยหา
ญ. พี่คอยน้องคอย ต่างคนต่างคอย แต่บุญเราน้อยนักหนา
ช. คอยเจ้า เจ้าไม่มา เจ้าหนีหน้า แก้วตาหนีพี่ไป ... ฯ




พอเสียงเพลงนี้จบเท่านั้น พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย เสียงปรบมือหลังคาหอประชุมแทบเปิด เธอเกิดแน่ เธอเกิดแน่ ๆ นางสาวมณีผู้มีชื่อเล่น "ต้อย" (ชื่อเดียวกับคุณสุพรรณ บูรณพิมพ์ เพื่อนซี้กับผมเมื่อครั้งที่เธอร้องเพลงอยู่วงดนตรีทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มี ครูนารถ ถาวรบุตร เป็นหัวหน้าวง) เมื่อเธอได้สัมผัสกับเสียงร้องเพลงของครูเพลงผู้ยิ่งใหญ่ ก็ทำให้เธอคลั่งไคล้ใฝ่ฝันที่จะมาเป็นนักร้องของวงดนตรีวงนี้ ขณะนั้นเธออยู่กับญาติสนิทในบริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งใกล้กับสถานีไทยโทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหม




ทุกครั้งที่มีรายการของคณะสุนทราภรณ์วงใหญ่ เธอก็จะไปเตร่อยู่ข้างรั้วสถานีโทรทัศน์ ทำทีถือกระป๋องไปซื้อโอเลี้ยง ทั้ง ๆ ที่ยังนุ่งกางเกงขาสั้นประสาวัยเด็ก เมื่อซื้อแล้วก็กลับบ้านดูรายการดนตรีสุนทราภรณ์ โดยหยุดการท่องหนังสือชั่วคราว ฟังไปฮัมตามทำนองไปด้วย กระทั่งผู้ปกครองออกมาพบเข้า ถึงกับเอ่ยปากบอกกับเธอว่า

"โธ่เอ๋ย ... มัวมานั่งชะเง้อเหม่อมองอยู่ได้ ก็ปีนรั้วเข้าไปดูในทีวีก็สิ้นเรื่อง" เท่านั้นหละ ไม่ต้องซ้ำสอง เธอรีบวางหนังสือไว้บนที่นอน วิ่งแจ้นไปปฎิบัติตามคำสั่งทันที นี่คือเหตุการณ์ในชีวิตเสี้ยวหนึ่งของเธอ

ท่านที่รัก...ผมยังไม่ขอเปิดเผยชื่อที่เธอใช้ในการร้องเพลง ขอปิดเป็นปริศนาให้ท่านได้ใช้สมองทายดูก่อน แต่ขอบอกใบ้ว่าชื่อของเธอนั้นมาจากเรื่องอิเหนาตอน "บุษบาเสี่ยงเทียน" ส่วนนามสกุลนั้นเล่าก็มาจาก "กัมมันตภาพรังสี" ผมว่าแค่นี้ท่านก็คงเดาถูกแล้วใช่ไหมฮะ




ทีนี้ขอย้อนตอนที่เธอมีชื่อเสียงใหม่ ตอนนั้นยังไม่ถูกห้ามไม่ให้ไปร้องกับคณะอื่น บังเอิญขณะนั้นเพื่อนรักของผมคือ ศาสตราจารย์พิเศษ เรืออากาศตรี ด๊อกเตอร์ แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ได้แต่งทำนองเพลง "รักเอย" และก็ให้เพื่อนรักผมอีกคนหนึ่ง เกษม ชื่นประดิษฐ์ เป็นผู้แต่งทำนอง นำไปให้นักร้องผู้หนึ่งที่กำลังมีชื่อเสียงบันทึกเสียงให้ แต่เธอปฎิเสธไม่ยอมรับ ดังนั้น เพื่อนรักของผมจึงตัดสินใจนำเพลง "รักเอย" ของเขาไปให้นักร้องคนนี้แหละบันทึกแผ่นเสียงให้ แต่บันทึกแล้วกลับมิได้เผยแพร่เป็นเวลานาน เพื่อนผมจึงตัดสินใจอัดแผ่นเสียงใหม่ โดยให้ ธานินทร์ อินทรเทพ เป็นผู้ร้อง และต่อมาก็คือ ศรีไศล สุชาติวุฒิ ร้องจนได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั้งประเทศ ส่วนเธอนั้น...เป็นผู้บันทึกเสียงคนแรก กลับไม่ได้เปิดแผ่นเผยแพร่ ในที่สุดเธอก็จบการศึกษาอนุปริญญาพาณิชยศาสตร์และการบัญชีเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ และเข้ารับราชการในสำนักงบประมาณควบคู่ไปกับการร้องเพลง ดังนั้นเธอจึงแทบไม่มีเวลาว่าง เลยขอลาออกจากราชการไปเอาดีทางร้องเพลงอย่างเดียว และก็สมมาตรปรารถนา ชื่อเสียงของเธอดังเป็นพลุแตก




ผมกับเธอเคยไปร่วมงานกันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นครูเอื้อท่านรับงานแสดงที่โรงหนัง "ชินทัศนีย์" เชียงใหม่ โดยการติดต่อของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยคุณ "ดุสิต" ผู้มาติดต่อได้ขอให้ครูเอื้อท่านแต่งเพลง "หนองบัว" เพื่อบรรเลงในงานนี้ แต่ เล็ก โตปาน เพื่อนรักผม ยังใส่คำร้องไม่เสร็จ และจะต้องบรรเลงในรอบบ่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เล็กจึงขอร้องให้คุณดุสิตพาไปชมทัศนียภาพอันสวยงามของหนองบัว ที่อำเภอดอยสะเก็ด เชียงใหม่ แต่เจ้าประคุณเอ๋ย...เมื่อไปถึงหนองบัวเข้าจริงในบึงน้ำแห้งขอด ดินแตกระแหง ดอกบัวเฉาเหี่ยวแห้งคาดิน ถึงกับเป็นฝุ่นปลิวว่อนเวลาลมพัด จากนั้น...พวกเราที่มี วินัย, เลิศ, วิชัย, ศรีสุดา ผมและเล็ก โตปาน ก็รีบกลับมาที่โรงหนัง เล็กรีบเขียนเนื้อต่อ

พอเริ่มรอบเที่ยงของวันนั้น เธอก็เสนอสนองด้วยเพลง "หนองบัว" ในคำร้องที่มีคำพื้นเมืองปนอยู่ให้ชาวเชียงใหม่ฟัง เป็นที่ถูกอกถูกใจของชาวเชียงใหม่ พอสิ้นเสียงเพลงก็ได้ยินเสียงปรบมืออย่างสนั่นหวั่นไหว หลังคาโรงหนังแทบพังด้วยมนต์ขลังของเสียงเพลง ท่านโปรดพิจารณาคำร้องดูซิว่า ที่เห็นหนองบัวจากความเป็นจริง กับคำร้องที่เขียนขึ้นโดยมโนภาพนั้นเหมือนกันมั้ย


. . . ลมเย็นพลิ้วพัดปลิวลิ่วมา
แนวไม้โพ้นไกลสุดตา ดูเหมือนว่าเป็นไพรสณฑ์
เห็นบึงน้ำนอง ฉันมองน้ำวน
ไม้ใบที่หล่น พลิ้ววนร่วงดิ่งลงไป
. . . จวนสลัว หนองบัวช่างงาม
มองเห็นวิมานเมฆยาม ลอยฟ้าเด่นดูสดใส
น้ำวนพลิ้วรัว พัดบัวพัดใบ
คละลอยลิ่วไป เคลิ้มในภาพงามเย็นตา
. . . ธารนามพ้อง หนองบัวแห่งใด
ไม่เหมือนหนองบัวที่ใจเรานี้ได้เคยสุขสม
ถึงตัวร้างไปหัวใจขอจมหนองบัวรื่นรมย์
หนองบัวที่ชมจันทร์แมน . . .







ภาพจากเวบ pixpros.net


ท่านเห็นหรือยังครับว่า ที่ไปเห็นมาด้วยตาเปล่าว่าสภาพหนองบัวเป็นอย่างไรเมื่อตอนสาย ๆ แต่พอถึงตอนบ่ายมันกลับกลายเป็นสวยงามไปได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เพลงแบบที่เห็นนี้ยังมีหลายบทเพลง ซึ่งผู้แต่งคำร้องก็มิได้ไปเห็นมากับตาตนเอง เพียงใช้จินตนาการวาดให้มันสวยงามเข้าไว้ จนคนฟังยังเคลิ้มไปกับเนื้อเพลงเหมือนอยู่ในสถานที่นั้นจริง ๆ เช่นเพลง " ภูกระดึง " (ที่ครูแก้วท่านไม่เคยไปเห็นสักหน)


. . . เขาภูกระดึงเสน่ห์ตรึงใจจริง
สัณฐานเหมือนดังกระดิ่งทับหล้า
สูงล้ำดั่งค้ำนภา
สูงลิ่วทิวทัศน์ตื่นตาสวยกว่าเทวาสรรค์สร้าง
. . . หนทางขึ้นลงไม่เรียบแต่ชวนเพลิน
เห็นเนินซ้อนเนินลดหลั่นสล้าง
น้ำใสตกไหลเป็นทาง
ไหลพุ่งจากสูงสุดทาง ไหลหลั่งพื้นล่างสุธา . . .








ภาพจากเวบ ktc.co.th


แหม...นี่ถ้าครูแก้วท่านอยู่ แล้วรู้ว่าผมนำความลับของท่านเปิดเผย ผมคงตายแน่ไม่แช่แป้ง โทษอย่างน้อยก็คงโดนเขกกบาลซัก ๓ โป๊ก ถ้าแรงหน่อยก็ถูกเตะแน่ ๆ

อ้าว...ไหน ๆ จะพูดแล้ว ก็จะขอสักอีกเพลงหนึ่ง ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลยคือเพลง "มนต์เมืองเหนือ" คนร้องบันทึกเสียงก็คือ สมยศ ทัศนพันธุ์ เพื่อนเก่าเล่ายี่ห้อ ส่วนผู้ที่แต่งคำร้องเพลงนี้ก็คือ ครูไพบูลย์ บุตรขัน (นี่ก็เคยไปหัดดนตรีไทยครูคนเดียวกัน คือ ครูผ่อง และ ครูพิณ โปร่งแก้วงาม ที่ตรอกวัดตะเคียนหรือวัดมหาพฤฒาราม ผมหัดสีซอด้วง ครูไพบูลย์หัดจนเป็นแล้วก็เป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่สมาคมกว๋องสิว ข้างโรงหนังพัฒนากร) ครูไพบูลย์ไม่เคยไปเชียงใหม่เลย ฟังเขาเล่า ก็เลยเอามาเรียบเรียงเป็นคุ้งเป็นแควถึงความงามของนครเวียงพิงค์ แต่มาตกม้าตายในประโยคหนึ่งของบทเพลงนี้ มันผิดตรงไหนหรือครับ

ครูไพบูลย์ บุตรขัน ให้สัมภาษณ์ว่า แต่งเพลงนี้ให้ครูสมยศร้องและดังไปแล้ว ภายหลังมีคนทักว่า "...แอ่วเว้า เจ้าวอน...” ทางเหนือ คำว่า "เว้า" นั้นไม่ใช้กัน "เว้า" ที่แปลว่าพูด จะใช้ทางภาคอิสาน ส่วนทางเหนือใช้ว่า "อู้" ดังนั้นท่านจึงแก้ไขใหม่เป็น...."แอ่วสาว เจ้าวอน" แล้วให้ทูล ทองใจ ขับร้อง แล้วก็ดังเป็นพลุแตกอีกคน








เวบรวมคลิปเพลงคุณบุษยา
Google Videos

ภาพและข้อมูลจาก
ครูบ้านนอก
leelart.net
osk101.com
thaipoem.com
komchadluek.net
2.thaitownusa.com
maemaiplengthai.com






ฉากหวาน ๆ ในออทั่มตอนล่าสุด
ตามไปอ่านได้แล้วจ๊ะ รักนี้ชั่วนิรันดร์ ๖




บีจีจากคุณUnderSunShine และไลน์จากคุณญามี่

Free TextEditor





 

Create Date : 28 มีนาคม 2553    
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 22:43:44 น.
Counter : 9099 Pageviews.  

ไว้อาลัยคุณกำธร สุวรรณปิยะศิริ





คีตาลัย

ก่อนตาวันเยี่ยมฟ้าเบิกตาโลก
พลันลมโบกน้ำฟ้าย้อยละห้อยหา
"เปาบุ้นจิ้น" สิ้นเสียงสั่งระฆังลา
บอก "ขุนศึก" - "ไอ้เสมา" ลาไปพลัน
เลยโลมเรียมเลียบละเมาะแมกหมู่ไม้
พร้อง "น้ำตาแสงไต้" จับใจมหันต์
หลากร้องเพลงพร้องคล้องคู่ขวัญ "นันทวัน"
คือสวรรค์สรรเป็น "ดาวประดับใจ"
โอ้ห้วงฟ้าเคยพร่างพราวดาวประดับ
พร้อมกับมาลาลับดับแสงใส
แต่ลำนำ้คำกวีคีตาลัย
จักร้อยร่ำด่ำหทัยในนิรันดร์


ด้วยรักและอาลัยยิ่งแด่ กำธร สุวรรณปิยะศิริ
ประพันธ์โดย ราตรี ประดับดาว
จากนสพ.แนวหน้า ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๓





พักนี้นักร้อง นักแสดงอาวุโสและครูเพลงล้มหายตายจากกันไปหลายท่าน อย่าง ครูพยงค์ มุกดา, คุณนคร มังคลายน, คุณบุษยา รังสี, และล่าสุดคือ คุณกำธร สุวรรณปิยะศิริ เด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่ค่อยรู้จักหน้าตาของคุณกำธร แต่น่าจะคุ้นเสียงพากย์ซีรีส์จีนในบท "ท่านเปา" ที่หาคนพากย์บทนี้ได้เหมาะเท่าคุณกำธรยากนะ แต่ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าจะรู้จักท่านดี เป็นพระเอกละครสมัยช่อง ๔ บางขุนพรหม รูปหล่อเฟี้ยว เล่นละครเก่ง ร้องเพลงเพราะมากกกก (ต้องขอบคุณหลานพจ Million Stars ที่ช่วยบอกวิธีแปะเพลงนะจ๊ะ ) และที่เยี่ยมยุทธ์สุด ๆ ก็คงเป็นเรื่องพากย์นี่แหละ พูดแล้วก็นึกถึงนักพากย์ชายรุ่นเดียวกันอีกสองท่านคือ คุณสมจิตต์ ธรรมทัต และ คุณสะอาด เปี่ยมพงษ์สานต์

ข้อมูลเกี่ยวกับคุณกำธรมีไม่มากนัก ในวิกิก็เขียนไว้สั้น ๆ เมื่อวานอ่านนสพ.ไทยโพสต์แล้วเจอคอลัมน์ตอบคำถามของคุณสามวา สองศอก นำข้อมูลที่คุณนันทวัน เมฆใหญ่ ภรรยาของคุณกำธรพิมพ์แจกผู้สื่อข่าวและญาติมิตรที่ไปร่วมงานศพมาลงไว้ เนื้อหาเล่าถึงของอาการป่วยจนกระทั่งเสียชีวิตเลยพิมพ์ให้อ่านด้วย ดูวันเกิดของคุณกำธรที่ลงในวิกิช้าไปเดือนนึงกะสองวัน คิดว่าข้อมูลของคุณนันทวันน่าจะถูกกว่า

คุณกำธรถึือเป็นคนคุณภาพมากที่สุดคนหนึ่งของวงการบันเทิง ดำเนินชีวิตด้วยความดีงามมาตลอด มีชีวิตคู่ที่ถือเป็นแบบอย่าง การจากไปของท่านเป็นส่ิงที่น่าเสียดายมาก ขอดวงวิญญาณของคุณกำธรไปสู่สุคติภพ และขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียของครอบครัวสุวรรณปิยะศิริด้วยค่ะ


https://www.youtube.com/watch?v=TcyJeEmx3TU










กำธร สุวรรณปิยะศิริ (๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ - ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓) นักแสดงอาวุโส พระเอกละครโทรทัศน์ และนักพากย์ภาพยนตร์ เป็นนักแสดงละครโทรทัศน์รุ่นแรกของช่อง ๔ บางขุนพรหม มักจะได้รับบทคู่พระ-นาง กับ อารีย์ นักดนตรี มีชื่อเสียงจากเรื่อง ขุนศึก ช่วง พ.ศ. ๒๕o๒ - ๒๕o๔




ในระยะหลัง กำธรมีผลงานเป็นที่จดจำจากการพากย์ภาพยนตร์โทรทัศน์ ส่วนใหญ่บทบาทที่ได้รับมักเป็นบทพ่อ ปู่ ตาของตัวละครเอก หรือหัวหน้าฝ่ายผู้ร้าย ในระยะหลังกำธรได้พากย์เสียงตัวละครที่มีความตลกมากขึ้น ผลงานพากย์ที่มีชื่อเสียงคือ เสียงพากย์บทเปาบุ้นจิ้น ซีรีส์จากไต้หวัน ฉายทางช่อง ๓

กำธร ได้รับรางวัลเกียรติยศคนทีวี ในพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ ๑๙ ประจำปี พ.ศ.๒๕๔๗ ร่วมกับ จรัล เพ็ชรเจริญ และอารีย์ นักดนตรี




กำธร สุวรรณปิยะศิริ สมรสกับ นันทวัน เมฆใหญ่ นางเอกละครช่อง ๔ บางขุนพรหม ที่เคยแสดงคู่กัน และใช้ชีวิตร่วมกันมา มีบุตรชายด้วยกัน ๑ คน

ในระยะหลัง กำธรต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อฟอกเลือดบ่อยครั้ง และได้เสียชีวิต ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อเวลาบ่ายของวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ และมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม วัดมกุฏกษัตริยาราม


ข้อมูลจากวิกิพีเดีย








กำธร สุวรรณปิยะศิริ เกิดวันเสาร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ที่จังหวัดพังงา เป็นบุตรชายคนเดียวของนายแพทย์พร และคุณแม่ถม สุวรรณปิยะศิริ สมรสกับ คุณนันทวัน เมฆใหญ่ สุวรรณปิยะศิริ มีบุตรชาย ๑ คนคือ นายแพทย์ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง

คุณกำธรมีโรคประจำตัวคือ ความดันและเบาหวาน ได้รับการดูแลรักษาจากคณะแพทย์ที่โรงพยาบาลสิมิตเวช และคลีนิคแพทย์สุขุมวิทตลอดมาเป็นระยะเวลากว่า ๒o ปี ประมาณปลายปี ๒๕๒๒ แพทย์ลงความเห็นว่าควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ทางด้านโรคไต เพราะมีอาการโลหิตจาง อ่อนเพลียและขี้หนาว คุณกำธรจึงได้ไปพบแทพย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคไต ที่โรงพยาบาลเทพธารินทร์ เริ่มต้นแทพย์จะดูแลอาการโลหิตจางอันเนื่องมาจากไตวายเรื้อรัง แต่ในช่วงนั้นมีงานเพลงบนเวทีที่รับผิดชอบอยู่ ๒ วัน และต้องไปพักผ่อนช่วงปีใหม่ที่หัวหินเช่นที่เคยทำทุกปี จึงไม่สะดวกในการไปพบแพทย์ตามที่แพทย์ต้องการ ซึ่งแพทย์แนะนำว่า วันที่กลับจากหัวหินให้เข้ามาให้เลือดที่เทพธารินทร์




วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ คุณกำธรกลับจากหัวหินมีอาการซีดและอ่อนเพลียมาก มือเท้าบวมไม่สามารถให้เลือดได้ เพราะมีอาการบวมน้ำ ถ้าให้เลือดจะมีอันตรายและหอบได้ จึงต้องไปที่โรงพยาบาลเทพธารินทร์ โดยแพทย์ให้ยาเพื่อขับปัสสาวะทางเส้นเลือด แต่ผลที่ได้รับไม่เป็นที่พอใจ แพทย์จึงตัดสินใจผ่าตัดใส่ท่อที่หัวไหล่ฉุกเฉิน เพื่อทำการฟอกเลือดเอาของเสียออก มิฉะนั้นจะอันตรายจากนำ้ท่วมปอด

คุณกำธรพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเทพธารินทร์เป็นเวลา ๕ วัน แต่ยังคงไปฟอกเลือดที่นั่นจนครบ ๕ ครั้ง จากนั้นย้ายไปฟอกเลือดทุกวันจันทร์และศุกร์ สัปดาห์ละ ๒ ครั้งที่โรงพยาบาลวิภาราม ร่างกายแข็งแรงขึ้นจนสามารถไปทำงานพากย์ที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง ๓ ได้ตามปกติ จากนั้นมีอุปสรรคที่เพิ่มขึ้นคือ มีอาการไอในเวลาปกติและเวลาฟอกเลือด

ุคุณกำธรเป็นคนที่รักษาตัวเป็นอย่างดี และพิถีพิถันในเรื่องของความสะอาดและอาหารการกินเป็นอย่างยิ่ง เลี่ยงที่จะรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อการเสาะท้อง โดยเฉพาะวันที่ต้องไปทำงาน ดังนั้น เมื่อรับประทานอะไรที่ไม่สะอาด ระบบท้องจะมีปัญหาเพราะมีภูมิต้านทานต่ำ




ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ คุณกำธรมีอาการท้องเสียต่อเนื่องหลายวัน แพทย์ได้ให้รับประทานยาฆ่าเชื้อ คุณกำธรก็เคร่งครัดในการกินยา แต่การขับถ่ายก็ยังผิดปกติอยู่ เบื่ออาหาร อ่อนเพลียจนเห็นได้ชัด จึงตัดสินใจเข้าโรงพยาบาลวิภาราม แพทย์รับตัวไว้รักษาทันที ทราบภายหลังว่าต้องให้ยาทุกชนิดเพื่อฆ่าเชื่อ ต้องเอกซเรย์หลายครั้ง ต้องฉีดสีทำซีทีสแกนซึ่งอันตรายต่อสภาพไตวาย จำเป็นต้องฟอกเลือดทันที่เมื่อทำซีทีแสกนเสร็จ

คุณกำธรมีอาการเบื่อหน่ายที่ต้องนอนในห้องไอซียูมีสายสารพัด จะพูดก็ไม่สะดวก ต้องพยายามจับปากกาเขียนข้อความที่อยากพูดลงบนกระดาษ อาการของคุณกำธรไม่กระเตื้องขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจของแทพย์ เนื่องจากความดันไม่คงที่ แพทย์ลงความเห็นว่าเมื่อให้ยาหลายชนิดแล้ว แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่าในช่องท้องอาจมีสิ่งผิดปกติ จึงตัดสินใจผ่าตัดหน้าท้อง ปรากฏว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติที่ทุกคนวิตก คือไม่มีหนอง ไม่มีฝี ไม่มีมะเร็ง




หลังจากฟื้นจากหารผ่าตัด คือวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ แพทย์ทางโลหิิตวิทยาแจ้งว่าเกล็ดเลือดต่ำมาก ความเข้มข้นของเลือดที่อยากให้สูงจะได้ไม่ซีดกลับสูงเกินไป ทำให้เลือดข้นหนืด จึงเจาะไขกระดูก หลังจากฟอกเลือดอีกครั้งแล้ว ได้ย้ายคุณกำธรจากไอซียูโรงพยาบาลวิภาราม ไปรักษาตัวต่อที่ไอซียูอายุรกรรรม โรงพยาบาลราชวิถี ไ้รับความกรุณาจากโรงพยาบาลทั้งสองแห่งเป็นอย่างดี

วันเสาร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์อาการไม่ดีขึ้น ความดันตกบ่อย ๆ หัวใจเริ่มทำงานไม่ดี คนไข้เริ่มไม่รู้ แพทย์ต้องช่วยปั๊มหัวใจถึง ๓ ครั้ง ช่วยใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจให้ แพทย์ - พยาบาลทุกคนทุกแขนงช่วยกันอย่างเต็มความสามารถ นายแพทย์ชลธวัชซึ่งเป็นบุตรชาย และคุณนันทวันภรรยาของคนไข้ ตัดสินใจไม่มีการปั๊มหัวใจอีก

วันเสาร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ เวลา ๑๓.๔๓ น. คุณกำธรจากไปอย่างสงบด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิต ท่ามกลางญาติและผู้ที่รักใคร่มากมาย คุณกำธรคงทำบุญมาดี หมดเวรหมดกรรมทุกอย่าง เพราะจากไปในวันเสาร์อันเป็นวันเกิดประจำตัว และวันรุ่งขึ้นเป็นวันมาฆบูชาที่พุทธศาสนิิกชนชาวไทยร่วมบำเพ็ญกุศลโดยทั่วหน้า




สิ่งที่คุณนันทวันอยากจะเรียนคือ คุณกำธรคือข้อคิดสำหรับผู้สูงอายุว่า ถ้าท้องระบายผิดปกติจนอ่อนเพลีย ต้องรีบพบแพทย์ภายใน ๑ - ๒ วัน โดยเฉพาะผู้ที่ฟอกเลือดอยู่แล้ว สิ่งผิดปกติของทางเดินอาหารเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงอันตรายที่ควรระวัง

ภรรยา บุตร และญาติ กำหนดวันเริ่มบำเพ็ญกุศลในวันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓ รดน้ำศพเวลา ๑๖.oo น.เป็นต้นไป ๑๗.oo น. พระราชน้ำหลวงอาบศพ และสวดพระอภิธรรมเป็นวันแรก เวลา ๑๙.oo น.

วันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ทำบุญครบ ๗ วัน
วันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม สวดอภิธรรมและบรรจุศพ
ทำบุญครั้งต่อไปเมื่อครบ ๕o วันและ ๑oo วัน จากนั้นจะพระราชทานเพลิงศพเมื่อครบ ๑ ปีโดยประมาณ

ขอขอบพระคุณคุณะแทพย์และพยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกคนของโรงพยาบาลเทพธารินทร์ โรงพยาบาลวิภารามและโรงพยาบาลราชวิถี ที่กรุณาทุ่มเทกำลังใจและมันสมอง ทำการรักษาคุณกำธรอย่างเต็มความสามารถ คุณกำธรคงรับรุ้และขอบคุณทุกท่านแน่นอน

ศพคุณกำธร สุวรรณปิยะศิริ ยังคงตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศาลา ๔ วัดมกุฏกษัตริยาราม จนถึงวันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม จึงจะบรรจุศพไว้ ๑ ปีรอวันพระราชทางเพลิงศพ



ข้อมูลจากนสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันพุธที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๓










สวัสดี ท่านสมาชิกสภาประชาชนผู้ทรงเกียรติ

สมาชิก "สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์" ยกมือขออภิปรายไว้อาลัยยอดมิตร กำธร สุวรรณปิยะศิริ

เรียน ท่านประธานฯ และเพื่อนสมาชิกที่เคารพ

ขออนุญาตใช้สิทธิ์ ณ สภาแห่งนี้ อภิปรายถึง ยอดมิตร ที่เพิ่งล่วงลับไปเมื่อ วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้เองครับ เพื่อนผมคนนี้ซึ่งผมเชื่อว่าทุกๆ ท่านที่มีเครื่องรับโทรทัศน์จะต้องรู้จักกันดีอย่างแน่นอน เพราะเพื่อนได้รับใช้ให้ความสุขและสาระมาตลอดชีวิต ตลอดมาจนกระทั่งถึงวันวาระสุดท้ายแห่งชีวิต คือ คุณกำธร สุวรรณปิยะศิริ ครับ

คุณกำธรอ่อนกว่าผมสามปี เข้าทำงานใน บริษัทไทยโทรทัศน์ รุ่นแรกๆ เช่นเดียวกันกับผม เพียงแต่เขามาทีหลังผมสามปีเช่นกัน คุณกำธรจบ ธรรมศาสตร์การบัญชี และได้ใช้วิชาการที่ได้ร่ำเรียนมา เพียงแค่ทำบัญชีให้กับตัวเองเท่านั้น เพราะตลอดชีวิตที่หาเลี้ยงชีพมา กลับเป็นงานในสาขาที่ให้ความสุข ความบันเทิงแก่คนทั้งประเทศครับ

คุณกำธรเป็นคนที่มีหน้าตาสวย (เกินกว่าที่จะใช้คำว่าหล่อตามแบบผู้ชายทั้งหลายครับ) เป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วน สมลักษณะชาย ผิวขาว เสียงดี นัยน์ตาคม เพียบพร้อมไปด้วยเสน่ห์ และสิ่งที่เพื่อนผมคนนี้มีมากกว่าคนอื่นๆ คือนอกจากจะเป็นคนที่จัดได้ว่าเป็นคนที่มีรูปงามแล้ว น้ำใจ ของเพื่อนผมคนนี้ยังงามอย่างพร้อมสรรพยิ่งทีเดียวครับ

เพราะไม่ว่าใครก็ตาม แม้จะไม่ได้รู้จักมักจี่มาก่อนเลยก็ตาม หากไปขอความช่วยเหลือ ก็จะไม่พบกับความผิดหวังทุกครั้งไป ยิ่งกับเพื่อนฝูงด้วยแล้ว เพียงขอให้ได้รู้ว่ากำลังต้องการความช่วยเหลือ เพื่อนคนนี้ก็ถึงกับตั้งเงินเดือนส่งเสียให้ด้วยซ้ำไป ผมเองเคยถามว่าไม่เก็บเอาไว้ใช้บ้างหรือ เพราะรู้กันดีว่าพวกเราไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาจากไหน เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นกว่าจะได้มา ต้องเอาหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อเข้าไปแลกมาทั้งนั้น...คำตอบจากเพื่อนก็คือ

"ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่เราเข้าใจถึงความยากลำบาก มีพอที่จะแบ่งปันให้กันได้ก็ยินดี...สบายใจดี" นั่นคือวิสัยใจคอที่แท้จริงของเพื่อนผมคนนี้ จนผมพูดได้อย่างเต็มปากเสมอมาว่า เขาเป็นคนที่ไม่เพียงแต่จะมีรูปกายที่งดงามเท่านั้น หากแต่ ใจ ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วย น้ำใจ ของเขานั้น งดงามจนไม่มีที่ติเอาเสียเลยทีเดียว!

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมยกย่องเพื่อนคนนี้มาตลอดชีวิตเลย ก็คือว่าเขาให้ความรักความสนิทสนมระหว่างตัวเขากับผม ประดุจญาติพี่น้องที่คลานตามกันมา ตลอดเวลาหากเขามีเรื่องไม่สบายใจ แม้จะเป็นเรื่องที่เป็นความลับ เขาก็จะให้ความไว้วางใจ นำเรื่องมาเล่าและปรึกษากันเสมอๆ

และเช่นเดียวกันที่ครั้งหนึ่งในชีวิตของผม มีเรื่องที่เข้าขั้นจะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยชีวิต เชื่อไหมครับกำธรเป็นเพียงเพี่อนคนเดียว ที่เดินเคียงคู่เคียงไหล่อยู่กับผม อย่างพร้อมที่จะตายแทนกันได้ ผมจึงมั่นใจอยู่เสมอว่าเขาคนเดียว ที่เราเป็นเพื่อนตายแทนกันได้

แต่...บั้นปลายของชีวิต ที่ผมและคุณกำธรอายุมากด้วยกันแล้วทั้งคู่ เราเจอะเจอกันน้อยลง เพราะผมย้ายนิวาสถานไปอยู่ที่บ้านนอก กำธรก็มีงาน พากย์หนัง ให้กับ ทีวีช่อง ๓ (จนวาระสุดท้าย) ผมจึงได้แต่อุ่นใจว่าเพื่อนยังปกติแข็งแรงดี เพราะยังได้ยินเสียงพากย์ของเขาอยู่ไม่ขาด ส่วนผมนานๆ เข้ามารับงานหนัง งานละคร ให้เขาเห็นอยู่บ้างไม่ถึงกับขาดหายไป เราทั้งคู่จึงอยู่ในอาการประมาท เพราะคิดว่าต่างฝ่ายต่างยังแข็งแรงเป็นปกติกันดี

ยามเขาป่วย ด้วยวิสัยที่ไม่อยากเอาความวิตกเดือดร้อนไปให้ใครๆ ต้องไม่สบายใจไปด้วย จึงไม่ยอมให้ทางบ้านบอกกล่าวให้ได้รับรู้ข่าวคราว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ

ผมทราบข่าวเรื่องการตายของเขาด้วยอาการตกใจเป็นที่สุด เพราะไม่เคยคิดล่วงหน้ามาก่อน ผมกำลังกราบพระหลวงพ่อโตอยู่ที่ วัดไชโยวรวิหาร ที่อ่างทอง ขณะกำลังกราบอยู่มีโทรศัพท์จากใครก็ไม่รู้จนกระทั่งบัดนี้ เสียงละล่ำละลักร้องไห้ไปด้วยแล้วบอกกับผมว่า "กำธรตายแล้วด้วยโรคโลหิตเป็นพิษ"

ผมพยายามที่จะถามว่าเขาเป็นใคร เขาก็เอาแต่ร้องไห้อย่างคนที่ขาดสติ จนผมต้องสอบถามกลับเข้ามาทางกรุงเทพฯ จึงได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง ไม่ใช่ใครอุตริมาอำกันเล่น

ผมขาดสติจนทำอะไรไม่ถูก บังเอิญมีธุระจะต้องกลับไปต่างจังหวัด เลยไม่ได้เห็นหน้าเพื่อนในวาระสุดท้ายเมื่อทำพิธีรดน้ำศพเพื่อน และเพิ่งจะมีโอกาสเข้ากรุงเทพฯ วันนี้ (วันที่ ๓ มีนาคม) ซึ่งผมตั้งใจว่าวันนี้ผมจะไปร่วมในพิธีบำเพ็ญกุศล ร่วมฟังสวดพระอภิธรรมด้วย

ตลอดชีวิตเพื่อนได้ทำกิจกรรม อันเป็นคุณประโยชน์กับสังคมและประเทศชาติ ในสาขาของงานที่เพื่อนได้ทำมาตลอดชีวิต นับตั้งแต่จบการศึกษามาจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต

ขอผลจากคุณงามความดีที่เพื่อนได้สั่งสมมาตลอด จงเป็นบุญและบารมีที่เพื่อนจะได้นำติดตัวไปยังภพใหม่ ซึ่งผมเชื่อเหลือเกินว่าจะต้องเป็นภพที่ดี และเอื้อให้เพื่อนได้พบแต่ความดีความสุข ในสัมปรายภพอย่างแน่นอน...ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ คุณกำธรเพื่อนตายที่ผมรักที่สุดในชีวิต


ข้อมูลจาก thaipost.net









ภาพละครเก่าของคุณกำธรที่เล่นกับนักแสดงคู่บุญ คุณอารีย์ นักดนตรี





ละครเรื่อง ” ขุนศึก ” ละครเรื่องนี้มี ๑๖ ตอน ตอนละ ๒ ชั่วโมง เดือนละครั้งตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔

พระเอก กำธร สุวรรณปิยะศิริ
นางเอก อารีย์ นักดนตรี
ตัวโกง สมจินต์ ธรรมทัต
แม่หญิงดวงแข นวละออ ทองเนื้อดี







ละครเรื่อง " มาโคโปโลกับคุบบลายข่าน” คุณอารีย์ร้องเพลง "รักแน่หรือ" ที่ครูเอื้อ ได้พาไปบันทึกเสียงในแผ่นลองเพลย์ ที่ห้องบันทึกเสียงกมล สุโกศล เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ในชุด "จักรวาลดารา"






ละครเรื่อง "ลูกทาส" ของ รพีพร






ละครเรื่อง "ดอกฟ้าจำปาศักดิ์" ในภาพพระเอกผู้ต่ำต้อย (กำธร สุวรรณปิยะศิริ) แต่งชุดพรางสีดำ เพื่อพรางตาให้เข้ากับความมืดเพื่อปีนหน้าต่างเข้ามาหานางเอก (อารีย์ นักดนตรี)






ละครเรื่อง "เพียงแค่ขอบฟ้า" ในภาพขุนบรม (ข้าศึกที่แอบดอดมาตีท้ายครัว) เกิดพึงใจในความงามของพระนางซีสิน และเกี้ยวพาราสี ขณะที่นางนั่งชมสวน ด้วยเพลง "จนนาง ” เพลงนี้มีทั้งน่ารัก ลูกหยอดลูกชน และวาจาเชือดเฉือน ด้วยคารมคมคาย (ขุนบรมหลอกพ่อขุนพระสวามีของพระนางซีสินและหัวหน้าไทยทั้ง ๕ มาชุมนุมและหลอกฆ่าและเผาศพของหัวหน้าไทยทั้ง ๕ อันเนื่องจากจะได้เมืองแล้วยังจะได้พระนางซีสินมาเป็นมเหสีอีก แต่พ่อขุนสวามีของพระนางซีสินได้สวมกำไลที่พระนางซีสินมอบให้ ทำให้นางจำพระศพของพระสวามีได้)






ละครฟอร์มใหญ่เรื่อง “ ขุนศึก ” ใช้เวลาแสดงยาวนานถึง ๒ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๐๒-๒๕๐๔ และเป็นละครที่ครองใจผู้ชมนานกว่า ๔๐ ปี แม้ในภายหลังจะมีการสร้างละครขุนศึกหลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าครั้งแรก ซึ่งมี กำธร สุวรรณปิยะศิริ และ อารีย์ นักดนตรี นำแสดง นางเอกแม่หญิงชาววังที่ชื่อเรไรคู่กับพระเอกขุนศึก อารีย์ นักดนตรี และ กำธร สวุรรณปิยะศิริ กำธรร้องเพลง “ฟ้ารักดิน” ที่พระเอกเปรียบเปรยตัวเองเป็นดิน ส่วนนางเอกเป็นฟ้าที่ยังจดจำอยู่ในใจของผู้ที่รักเสียงเพลงเก่าอยู่ทุกทิวาราตรี ไม่สลายคลายรักเอย...(นางเอกสูงศักดิ์เป็นถึงข้าหลวงพระองค์หญิง และยังเป็นลูกขุนทหารใหญ่) เพลงหวานไพเราะละเมียดละไมแต่งโดย สง่า อารัมภีร์


https://www.youtube.com/watch?v=v-_SsVyro_g








ข้อมูลและภาพจาก
นสพ.ไทยโพสต์
wikipedia.org
orrawee.com
charinshow.com
baannapleangthai.com
thaiticketmajor.com


อัพออทั่มตอนที่สามแล้ว ตามไปอ่านได้ที่นี่ค่ะ รักนี้ชั่วนิรันดร์ ๓


บีจีจากคุณยายกุ๊กไก่ ไลน์จากคุณญามี่
Free TextEditor










 

Create Date : 04 มีนาคม 2553    
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 22:41:35 น.
Counter : 13281 Pageviews.  

เพลงเศร้าแสนหวาน ๒

ช่วงนี้งานเข้าอีกแว้วว ต้องหยุดเล่นบล๊อคสักอาทิตย์นึง อัพบล๊อคเอาใจผู้สูงวัย หาเพลงเก่ามาให้ฟัง อัพให้ฟังทีเดียวสองเพลงเลย เป็นเพลงของคุณสุเทพที่หาฟังยากมาก เคยได้ฟังจากรายการเพลงเก่าเมื่อนานมาแล้ว ฟังปุ๊บก็หลงรักปั๊บเลย ตามล่าหาเพลงมาตั้งนาน เพิ่งซื้อได้ที่ร้านแม่ไม้เพลงไทย เสียดายหาข้อมูลได้แค่เพลงเดียวเอง ทั้งสองเพลงออกจะเศร้า ๆ แต่ก็หวานมาก ครูเพลงสมัยก่อนฝีมือสุดยอดดด เขียนเนื้อร้องได้เพราะราวกับบทกวี ทำนองที่แต่งก็สอดคล้องกับทุกถ้อยคำที่เขียน ชอบตรงที่เขียนถึงพระจันทร์ทั้งสองเพลงเลย



ภาพจากเวบ whisperingcedarsgibsons.com





เพลงฟ้ารำลึก

คำร้อง อ.กวี สัตโกวิท
ทำนอง เกษม มิลินทจินดา


ฟ้าไสว พาหัวใจ หวนเศร้าครวญหา
เพ้อเรียกหาน้องข้า นิจจาไยเล่าเจ้าด่วนหนี
ดวงจันทร์อันสุกสกาว แสงดาวพราวพรายริบหรี่
แต่ทำไมคืนนี้ จึงขาดน้องชี้ให้พี่ชม

สิ้นสลาย รักมากลายเปลี่ยนให้อับเฉา
ทุกข์ท่วมท้นเหลือเดา รักเดียวตัวเราจึงต้องขื่นขม
เพ่งจันทร์พรายพร่าลางเลือน แสงเดือนเตือนให้สุดข่ม
อกเราต้องระบม ระทมใจหนักเพราะรักกลับกลาย

รักเอย รักเคยเชยชื่นชิดชม
สองเราเคยร่วมภิรมย์ เสพสุขสม ไยมาแหนงหน่าย
เคยสัญญา ว่ารักนี้จักไม่กลาย
จะรักแท้ มิรู้หน่าย มิเสื่อมคลายจวบดินแลฟ้า

ฟ้าไสว พาหัวใจหวนให้ใฝ่ฝัน
ฟ้านั้นยังมีวัน เมฆพลันลอยห่างกระจ่างเวหา
แต่เรายังสุดมืดมน ต้องทนสู้ไปจนกว่า
ฟ้าจะกรุณา ชักพาเธอกลับมากับจันทร์




ครูเพลงรุ่นกลางที่มีผลงานเพลงอมตะอันไพเราะ ได้รับความนิยมจากแฟนเพลงไม่แพ้ครูเพลงรุ่นใหญ่ที่น่าสนใจมากอีกท่านหนึ่ง ครู อ. กวี สัตโกวิท

ชื่อจริงคือ กวีวรรษ สัตโกวิท เป็นคนตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคมพ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นบุตรของ นายนุ้ย นางแดง สัตโกวิท

นามปากกาที่ชื่อว่า อ.กวี สัตโกวิท เพราะยายจำชื่อที่พระตั้งชื่อว่า กวีวรรษ ไม่ได้ เมื่อนำไปฝากเรียนที่โรงเรียน ยายจึงบอกครูว่าชื่อ อุดม เพราะเป็นเด็กที่อ้วนสมบูรณ์มาก จึงใช้ชื่อ อุดม เรื่อยมา

เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดท่านคร อยู่ใกล้บ้าน แต่ไปจบชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียนวัดพระบรมธาตุ (เทศบาล ๑) แล้วเข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๑ ที่โรงเรียนนครวิทยา ต่อมาเมื่อพี่สาวย้ายไปอยู่ที่ชุมพร จึงเข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๒ ต่อที่โรงเรียนชุมพรศึกษา แล้วย้ายกลับมาเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ที่โรงเรียนพรสวัสดิ์วิทยา

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕oo เข้ามาเรียนหนังสือชั้นเตรียมอุดมศึกษาที่ โรงเรียนวัดราชาธิวาส จนจบ แล้วเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เริ่มแต่งเพลงมาตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๘ แล้ว แต่เป็นการแต่งเล่น ๆ ไม่ได้จริงจังอะไร จนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเริ่มแต่งจริงจังมากขึ้น

ในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัย ก็ทำงานหารายได้พิเศษไปด้วย โดยเข้าทำงานประจำที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาล และจัดเพลงที่สถานีวิทยุ กองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ และสถานีวิทยุ ท.ท.ท.สี่แยกคอกวัวอีกด้วย

เมื่อเพลง ฆ่าฉันให้ตายดีกว่า ได้รับความนิยม จึงลาออกจากราชการ หันหน้ามาแต่งเพลงและทำงานหนังสือพิมพ์อย่างเต็มตัว

ในปี พ.ศ. ๒๕o๖ ได้รับความไว้วางใจให้เขียนเพลงประกอบภาพยนตร์ให้ พันคำ, ดอกดิน กัญญามาลย์ และ ส.อาสนจินดา อยู่ด้วยกันหลายเรื่อง เช่น กบเต้น, ไก่แก้ว, ใกล้รุ่ง, กบฏหัวใจ, เงารัก, เดือนร้าว, นกเอี้ยง, น้ำผึ้งป่า, พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ, เพชรพระอุมา, ปิ่นรัก, ปูจ๋า, แผ่นดินสีทอง, รักข้ามขอบฟ้า, ลมหวน, ละครเร่, สกุลกา, สะไภ้ลิเก, หวานใจ, เหมือนหนึ่งในฝัน ฯลฯ

เลยติดใจวงการภาพยนตร์และตัดสินใจสร้างภาพยนตร์เอง ภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างคือ เรื่อง ปีศาจเสน่หา นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา และ เพชรา เชาวราษฎร์ เป็นภาพยนตร์ขนาด ๑๖ มม. ถ่ายทำกันที่ประเทศอินเดีย




ต่อมาได้สร้างภาพยนตร์ ขนาด ๓๕ มม. อีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องพลิกล๊อค, เรื่องถึงคราวจะเฮง, เรื่องด๊อกเตอร์ครก, เรื่องความรักของคุณฉุย, และ กขค.โรงเรียนนอก โดยเฉพาะเรื่อง ด๊อกเตอร์ครก นั้น ได้รับรางวัลชนะเลิศ ภาพยนตร์ส่งเสริมเยาวชนดีเด่นแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕

ผลงานเพลงของ อ.กวี สัตโกวิท มีอยู่มากมายหลายเพลง ได้แก่ เกลียดเสียแล้ว / กรุงเทพน้อยใจ / เก็บใจไว้ให้กัน / ไกลชู้ / คนชั่ว / คนรักคนสุดท้าย / คนเลวของเธอ / ครวญสวาท / คะนึงน้อง / คิดถึงจังเลย / คืนนั้นคืนนี้ / ชีวิตมีกรรม / ชีวิตคือเพลง / ฆ่าฉันให้ตายดีกว่า / ฆ่าเธอไม่ลง / ดาวบนดิน / โถคุณ / ทนายรัก / เธอคือลมหายใจ / เธอเป็นหัวใจของฉัน / โธ่เอ๋ย / ปากนครแห่งความหลัง / แผ่นดินสีทอง / พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ / พี่คอยเจ้า / ฟ้ารำลึก /แมวเหมียว / ไม่มีเมื่อวานอีกแล้ว / ไม่อยากให้โลกมีเธอ / ยับ / ยอมรับ / รักข้ามขอบฟ้า / รักข้ามปี / รักครั้งแรก / รักดาว / รักพี่ตอนเป็น / โลกกับความรัก / สวรรค์วันลอยกระทง / สวรรค์อำพราง / หยดหนึ่งของกาลเวลา / เหมือนตายจากกัน / อกกระต่าย / อย่าทรมานอีกเลย / อย่าคิด อย่าคิด / อย่าจากฉันไป / อย่าเลยที่รัก / อย่าให้ถึงตาย / อารมณ์สวาท / แอ่วดอกเอื้อง ฯลฯ

ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทานครั้งที่ ๑ ในปี พ.ศ. ๒๕o๗ จากเพลงฆ่าฉันให้ตายดีกว่า เพลงแมวเหมียว โดยคณะสามศักดิ์ (สักรินทร์ ปุณฤทธิ์, ทนงศักดิ์ ภักดีเทวา, มีศักดิ์ นาครัตน์ และ อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา) และรางวัลแผ่นเสียงทองคำครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕o๘ จาก เพลงหนีรัก เพลงชีวิตมีกรรม

ส่วนเพลงประกอบภาพยนตร์ ที่ได้รับความนิยมมาก ก็คือ เพลงรักข้ามขอบฟ้า, เพลงโลกกับความรัก, เพลงพรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ, เพลงปูจ๋า, เพลงแพลอย ฯลฯ

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ จัดคอนเสิร์ต "ฝากฟ้าฝากฝัน เหนือกาลเวลา" ที่โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง มอบรายได้ให้กับสมาคมนักร้องแห่งประเทศไทย และเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑ จัดคอนเสิร์ต "ในบทเพลงมีนิยาย" ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มอบรายได้สมทบให้มูลนิธิชัยพัฒนา

จัดทำเพลงเทิดพระเกียรติชุด "ประทีปแห่งแผ่นดิน" กับ "ลำนำจากบทกวี" บทเพลงแห่งความเงียบ ซึ่งประพันธ์ตำร้องโดย ดร.มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ อดีตเลขาธิการ คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) และ รองเลขาธิการ มูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งขับร้องโดย สวลี ผกาพันธุ์, สุเทพ วงศ์กำแหง, สุวัจชัย สุทธิมา, ชรัมภ์ เทพชัย, จิติมา เจือใจ, ปาริชาติ จิตรศาลา และ ต้นอ้อ ขนิษฐ์นุช เพื่อมอบรายได้เป็นเงินจำนวน ๑,ooo,ooo บาทให้ มูลนิธิชัยพัฒนา เมื่อไม่นานมานี้




เพลงนี้ขับร้องและบันทึกเสียงโดย สุเทพ วงศ์กำแหง เป็นเพลงแรกที่แต่งขึ้นในชีวิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๕o๒

อ. กวี สัตโกวิท บอกว่า

“... แต่งเป็นเพลงแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕o๒ แต่ได้อัดเสียงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕o๔ ที่ห้องอัดอัศวินภาพยนตร์ ช่วงคุณสุเทพ วงศ์กำแหงกลับมาจากญี่ปุ่นหมาด ๆ

แต่งเพลงนี้ร่วมกับครูเกษม มิลินทจินดา ซึ่งเป็นเสมือนครูผู้บุกเบิกให้ได้เรียนรู้วิธีการแต่งเพลง จากที่แต่งเพลงไม่เป็นเลย ก็รู้วิธีการจากครูเกษมนี่แหละ...”


ข้อมูลจากเวบmanager.co.th










อนุสาวรีย์รัก

พร่ำวอนฟ้า ฟ้าไม่อาจรับ คำกล่าว
อ้อนวอนดาว ดาวก็เกี่ยง เลี่ยงคำไข
จะบอกจันทร์ ก็พลันพราก จากแสนไกล
สุดบอกใคร ให้รู้เห็น เป็นพยาน
ศักดิ์เธอสูง สูงเกินกว่า คว้าครองได้
โอ้ทางใด รู้ถึงเจ้า เล่าจอมขวัญ
กลุ่มศรัทธา ในหล้าแหล่ง แข่งนับพัน
ก็มีฉัน เป็นคะแนน รักอนงค์
กระต่ายลำพอง ไม่หมายครอง ดวงจันทรา
ฉันสกุณา กาก็รู้ ไม่คู่หงษ์
หิ่งห้อยนิด ไม่คิดรวม ดาวร่วมพงศ์
รักอนงค์ ไม่ฉุดรัก นั้นจมปรักตรม
หากความดี แม้มีอยู่ รู้ประจักษ์
หมดใจภักดิ์ รักมอบให้ ยังไม่สม
แต่สุขใจ ที่ได้รัก จากอารมณ์
เธอนั้นสมเป็น อนุสาวรีย์รัก แห่งเรา...


บล๊อคนี้ไม่สนับสนุนการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงแต่อย่างใด
หาซื้อทั้งสองเพลงนี้ได้ที่ร้านแม่ไม้เพลงไทยนะจ๊ะ



บีจีจากคุณยายกุ๊กไก่ ไลน์จากคุณญามี่

Free TextEditor





 

Create Date : 19 กันยายน 2552    
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 22:39:55 น.
Counter : 5766 Pageviews.  

คุณชายถนัดศรี สวัสดิวัตน์



ทำบล๊อคนี้ฉลองให้คุณชายถนัดศรีที่ท่านได้รับเลือกเป็น "ศิลปินแห่งขาติ" ในปีนี้ ดีใจมากเพราะชอบเพลงของท่านมานาน คุณชายเป็นผู้ที่มีความสามารถหลากหลายด้าน...เป็นราชนิกูลที่ติดดินสุด ๆ...เป็นนักร้องเสียงเพราะและมีเอกลักษณ์...เป็นนักชิมมือวางอันดับหนึ่งของเมืองไทย...เป็นคนแก่ที่ไม่ตกยุค แถมมีอารมณ์ขันเหลือเฟือ...และอื่น ๆ อีกมากมาย เราเคยเป็นแฟนรายการวิทยุและทีวีที่ท่านจัดแบบเหนียวแน่น เพราะท่านคุยสนุก มีเรื่องเก่า ๆ ที่เราชอบมาเล่าให้ฟังประจำ แต่หลัง ๆ ไม่ค่อยได้ติดตามเพราะย้ายเวลาจัดหลายหนเลยต่อไม่ติด ที่จริงท่านน่่าจะได้รับเลือกเป็นศิลปินแห่งชาติมาตั้งนานแล้ว

คุณชายให้สัมภาษณ์หลังได้ทราบข่าวดีแล้วว่า
"รู้สึกยินดีที่ได้รับเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ เมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมา ตนเคยได้รับการเสนอชื่อเพื่อรับการคัดเลือก แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณา เนื่องจากคณะกรรมการเห็นว่าตนได้รับรางวัลชั้นเยี่ยมด้านอื่น ๆ มาแล้วหลายด้าน (เหตุผลไม่เข้าท่าเล้ย ที่จริงถ้าคุณสมบัติเหมาะก็น่าจะให้เนอะ) ทั้งทางด้านวรรณกรรม การใช้ภาษาไทยดีเด่น แต่ในวันนี้เมื่อได้รับคัดเลือกเป็นศิลปินแห่งชาติก็ยินดี เพราะที่ผ่านมาตนได้ขับร้องเพลงเพื่อการกุศลมาโดยตลอด มีผลงานเพลงอมตะอัดแผ่นเสียงไว้กว่า ๒oo เพลง สำหรับเงินค่าตอบแทนในแต่ละเดือนที่ได้รับจำนวน ๑๒,ooo บาท ตนจะไม่ขอรับ แต่จะจัดตั้งมูลนิธิกองทุนเพื่อช่วยเหลือศิลปินที่ได้รับความลำบากขาดแคลนทุนทรัพย์และเจ็บป่วยต่อไป"



MusicPlaylistView Profile
Create a playlist at MixPod.com








หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ (๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗o) นักเขียนและนักจัดรายการโทรทัศน์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากการแนะนำและจัดระดับความอร่อยของร้านอาหารในชื่อ "เชลล์ชวนชิม" ทางหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕o๔ และจัดรายการโทรทัศน์ "การบินไทยไขจักรวาล", "ครอบจักรวาล" ติดต่อมานานหลายปี นอกจากนี้ยังเป็นนักร้องเพลงลูกกรุง เพลงที่มีชื่อเสียง เช่น ข้องจิต, สีชัง, ยามรัก, หวงรัก, วนาสวาท, ระฆังทอง

หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เป็นบุตรชายคนโตของหม่อมเจ้าเฉลิมศรีสวัสดิวัตน์ สวัสดิวัตน์ และหม่อมเจริญ เกิดที่วังเพชรบูรณ์ (ปัจจุบันคือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์) เติบโตอยู่ภายในวังสระปทุม ศึกษาที่โรงเรียนราชินี และเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ในปี ๒๔๘๑ มีเลขประจำตัวนักเรียน ท.ศ.๕๔๔๔ จนจบชั้นมัธยมในปี ๒๔๘๕ นับรุ่นคือนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์รุ่นปี ๒๔๘๕ และศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมกับเริ่มร้องเพลงหารายได้ ช่วงหลังสงครามได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ได้เป็นนักจัดรายการให้กับสถานีวิทยุบีบีซีภาคภาษาไทย เมื่อเดินทางกลับประเทศไทยได้เป็นนักร้องให้กับวงสุนทราภรณ์ และแสดงละครโทรทัศน์ทางช่อง ๔ บางขุนพรหม

ปัจจุบัน หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ยังเขียนบทความประจำให้กับหนังสือพิมพ์มติชน และไทยรัฐ และจัดรายการโทรทัศน์ร่วมกับบุตรชาย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นนักเขียนอาวุโส รางวัลนราธิป ล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้รับคัดเลือกเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาการแสดง

หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์มีบุตรกับหม่อมหลวงประอร มาลากุล (หย่าขาดกันและสมรสใหม่กับ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์) ๒ คนคือ หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ (หมึกแดง) และ หม่อมหลวงเพิ่มวุทธ์ สวัสดิวัตน์ (จิ๋ว) และมีบุตรกับคุณโรจนา สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม สวนรัตน์) คือ หม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัตน์ (อิงค์)

ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย








ชีวิตที่เกินบรรยาย


ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เป็นหม่อมราชวงศ์ชายคนแรกของหม่อมเจ้าเฉลิมศรี สวัสดิวัตน์ และหม่อมเจริญ หม่อมเจ้าเฉลิมศรี เป็นโอรสองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฏ์ กับหม่อมละมุน และกรมพระสวัสดิวัตนวศิษฏ์ คือ พระโอรสองค์หนึ่งในสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๔

เกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗o ที่วังเพชรบูรณ์ (บริเวณที่ตั้งโครงการเซ็นทรัลเวิลด์ ปัจจุบัน) ลืมตาได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำท่าจะลาโลก เพราะแพ้นมมารดาจนต้องเตรียมหาโลงใส่ ร้อนถึงหม่อมย่าต้องเดินข้ามสะพานเฉลิมเผ่า จากวังสระปทุมมาอุ้มไปประคบประหงม หยอดยาต้มใบระกาแบบโบราณ และได้อาศัยน้ำนมจาก "แม่นมผ่อง" และ "กิมฮั้ว" เลี้ยงดูจนรอดชีวิต

กลายเป็นหม่อมราชวงศ์คนหนึ่งที่มีชีวิตราวกับนิยาย เป็นทั้งนักแสดง นักร้อง นักเขียน นักจัดรายการ และนักชิมอาหาร ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดของเมืองไทย

"เมื่อก่อนวังเพชรบูรณ์กับวังสระปทุม มีคลองอรชรคั่นกลาง แต่เดิมเป็นวังนอกของรัชกาลที่ ๔ เมื่อขุดคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นทางเดินทัพ ยุงจะเยอะมาก ตกค่ำจะแห่กันมาเป็นฝูงใหญ่เหมือนลูกมะพร้าวเลย กัดทีทั้งแสบทั้งคัน เลยได้ชื่อว่าคลองแสนแสบ"

คุณชายถนัดศรีเริ่มเล่าเรื่องย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๗o ปีก่อน ด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใส ชัดเจน กว่า ๓ ชั่วโมงของการสนทนาในครั้งแรกเต็มไปด้วยลูกเล่น ลูกฮา คำผวน คำแสลง พร้อมสรรพ และที่สำคัญ เป็นคนที่มีความจำดีมาก แต่ละเรื่องสามารถเชื่อมโยงอ้างอิงถึงสถานที่และตัวบุคคลอย่างน่าสนใจ เรื่องราวของคุณชายผ่านการถอดเทปสนุกสนาน ได้อรรถรสมากกว่าข้อมูลที่นำมาเขียนได้มากมายนัก

วันนั้นคุณชายมาพร้อมกับ "ปิ่นโตเถาเล็ก" ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์ โดยใช้ร้านนิตยาไก่ย่างสาขา ๒ บนถนนรัตนาธิเบศร์ เป็นสถานที่นัดพบกับ "ผู้จัดการ"

"เกิดวังเพชรบูรณ์ โตวังสระปทุม มีลูกมีเมียวังศุโขทัย" คือประวัติชีวิตที่คุณชายถนัดศรีมักชอบสรุปให้ใคร ๆ ฟัง

วังสระปทุม เป็นวังของสมเด็จพระราชบิดาฯ และสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเป็นพระอัยยิกา (ย่า) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน

ในครั้งกระนั้น นอกจากคุณชายถนัดศรี ในวังสระปทุม มีเจ้านายเล็กๆ อยู่ ๓ พระองค์ คือ "พระองค์หญิง" "พระองค์ชาย" และ "พระองค์เล็ก" คือ สมเด็จพระพี่นางฯ, รัชกาลที่ ๘ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙

"พอทั้ง ๓ พระองค์เสด็จไปสวิตเซอร์แลนด์ ก็เหลือเราเป็นเจ้าอาละวาดอยู่คนเดียว" คุณชายเล่าพลางหัวเราะเสียงดัง เมื่อย้อนรำลึกถึงวีรกรรมความแก่นแก้วของตนเองในวัยเด็ก

ทุกคนในวังต้องยอมเจ้านายเล็ก ๆ คนนี้ เพราะสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้านั้นเป็นถึงพี่สาวแท้ ๆ ของสมเด็จปู่ของคุณชาย ชีวิตในวัยเด็กจึงถูกเลี้ยงอย่างเจ้านาย ความลำบากอดอยากไม่เคยพานพบ

"ร้องไห้ไม่ยอมไปเรียนประจำที่วชิราวุธ จำได้ว่า ตอนนั้นกลัวมากว่า แล้วใครจะอาบน้ำให้ให้กูล่ะ ใครจะใส่กางเกงให้ แล้วเวลานอนใครจะเกาหลังให้หลับ เลยอาละวาดเสียมากมาย จนสุดท้าย หม่อมย่าต้องยอมส่งไปเรียนที่โรงเรียนราชินี"




หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ และการตัดสินใจสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ดูเหมือนว่ามีผลกระทบต่อการศึกษาต่อของคุณชายถนัดศรี และผู้ใช้สกุลสวัสดิวัตน์อย่างมากในเวลาต่อมา

หม่อมเจ้าเฉลิมศรีจบจากโรงเรียนนายร้อย ประเทศรัสเซีย เลยมีความต้องการให้บุตรชายคนโตได้เรียนทหารเหมือนอย่างตน นักเรียนจากประเทศรัสเซียรุ่นเดียวกับท่านคือ หลวงยอดอาวุธ ฤทธาคนี ผู้แปลวรรณกรรมระดับโลกเรื่อง "สงคราม และสันติภาพ" ของ ลีโอ ตอลสตอย จากภาษารัสเซียเป็นภาษาไทย

"พ่ออยากให้เข้าทหาร แต่ในสมัยนั้นเป็นยุคที่เขาแอนตี้เจ้ากันแล้ว สกุลสวัสดิวัตน์ ผู้ใหญ่ในแผ่นดินยุคนั้นถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลให้อยู่ในนี้ไม่ได้ ต้องไปอยู่ข้างนอก เพราะขนาดเสด็จปู่ยังโดนเนรเทศให้ไปสิ้นที่ปีนังเลย ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๕ พวกเราโดนปลดหมดทุกคน ไม่มีใครเหลือ จะเข้าโรงเรียนนายร้อย นายเรือ อะไรไม่ได้ทั้งนั้น เขาไม่รับ ทั้ง ๆ ที่พ่อเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกับจอมพลแปลก พิบูลสงคราม และจอมพลผิน ชุณหะวัณ อย่าลืมว่าสมัยนั้น ปู่ผมเป็นทั้งน้าและพ่อตาของรัชกาลที่ ๗" (ดูตารางสาแหรกประกอบ)


อยากดูใกล้ๆก็กดที่ภาพเลยค่ะ


เมื่อเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนธรรมศาสตร์และการเมือง ชีวิตของคุณชายก็ยิ่งมีรสชาติ ที่เข้มข้นขึ้น นิสัยสนุกสนาน เฮฮา และมนุษยสัมพันธ์ดี ทำให้เขามีเพื่อนมากมายหลายกลุ่ม และเริ่มผูกพันลึกซึ้งมากขึ้นเมื่อเกิดสงครามโลกในขณะเรียนธรรมศาสตร์ปี ๓ เพราะเพื่อนฝูงส่วนใหญ่เป็นชาวปักษ์ใต้เริ่มลำบากเรื่องอาหารการกิน

"นักเรียนธรรมศาสตร์สมัยนั้น น่ารักอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครปิดบังความจน เพราะถือว่าความจนเป็นอาภรณ์ประดับชีวิต ใครจนแต่สามารถบากบั่นมาถึง นี่คือวีรบุรุษ"

คุณชายถนัดศรีเริ่มร้องเพลง เพื่อหาเงินช่วยค่าอาหารให้เพื่อน ต่อมาได้เข้ามาอยู่วงสุนทราภรณ์ เพราะภรรยาของครูเอื้อคือ อาภรณ์ กรรณสูต เป็นนักเรียนห้องเดียวกัน หลังสงครามก็เรียนหนังสือไปด้วย พร้อมกับทำงานเป็นเสมียนกระทรวงการต่างประเทศ ได้รู้จักกับเสนีย์ เสาวพงศ์ และได้เข้าชมรมนักเขียน "ตึกดิน" กับอิงอรก็ตอนนั้น

ช่วงหนึ่งของชีวิต ตั้งใจจะไปเรียนต่อด้านกฎหมาย ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิต ที่คุณชายบอกว่า เต็มที่ทั้งสุรา ภาชี กีฬาบัตร ดังนั้นปริญญาที่ได้แทนที่จะเป็น "Barrister" ก็เป็น "บาร์เทนเดอร์" แทน

แต่การใช้ชีวิตดังกล่าว ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเข้าไปทำรายการ "Letter from London" สถานีวิทยุุบีบีซี ภาคภาษาไทย และรายได้จากตรงนั้นคือเม็ดเงินส่วนหนึ่งที่สามารถเอาไปเที่ยวเตร่ นอกเหนือจากเงินส่วนหนึ่งที่พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงสุทธสิริโสภาคอยช่วยเหลือ

พระองค์เจ้าหญิงสุทธสิริโสภา เป็นพระธิดา กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ซึ่งเป็นพระโอรสของสมเด็จพระพันปีหลวง และอยู่ในวังสระปทุมตั้งแต่เด็ก เป็นบุคคลเดียวที่ตอนหลังส่งเสีย ม.ล.ศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ หรือ "หมึกแดง" ให้เรียนต่อในต่างประเทศ

"เป็นสัญญาที่ใต้ต้นลิ้นจี่ในวังสระปทุม ตอนนั้นเรายังเด็ก แต่ท่านมีอายุ มากกว่าเรา ๕ ปี ก็เหมือนพี่สาวคนหนึ่ง พอท่านจะออกไปเสกสมรสกับหม่อมเจ้าสุวินิต กิติยากร ก็ล่ำลากัน บอกว่าไปมีครอบครัวแล้วอย่าลืมน้องนะ ท่านก็ช่วยเหลือมาตลอด"





หลังกลับจากประเทศอังกฤษได้ยึดอาชีพบันเทิงเป็นหลัก รับเล่นเป็นพระเอกหลายเรื่อง ทางช่อง ๙ บางขุนพรหม เช่น "ทับนาง" ของอุษณา เพลิงธรรม "สิ้นเพลงรัก" เป็นเรื่องที่แต่งเองมีประมูล อุณหธูป เป็นคนเขียนบท สุพรรณ บูรณ-พิมพ์ เป็นนางเอก

คุณชายถนัดศรีเคยเล่าไว้ในหนังสือไฮคลาสฉบับหนึ่งว่า "สิ้นเพลงรักเป็นเรื่องที่ชอบที่สุด พล็อตเรื่องเกิดขึ้นเพราะตอนนั้นหย่ากับเมียแล้ว แต่ไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมลูก เพราะชีวิตไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย แล้วคิดถึงลูกมาก พ่อกับลูกได้ใกล้ชิดกันเพียงแค่เสียง เพราะแม่โกรธเกลียดพ่อมาก มีอยู่คราวหนึ่งลูกมองซ้ายมองขวา เปิดวิทยุเสียงพ่อก็เจื้อยแจ้วออกมาเลย ลูกก็พูดกับวิทยุว่า พ่อร้องดังๆ ก็ได้จ๊ะ แม่ไม่อยู่หรอก ประโยคนี้ทำเอาคนร้องไห้ทุกรอบเลย"

ภรรยาคนแรกของคุณชายถนัดศรีคือ ม.ล.ประอร นามสกุลเดิม มาลากุล เป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ มีบุตรชาย ๒ คน คือ ม.ล.ศิริเฉลิม และ ม.ล.เพิ่มวุทธ์ ต่อมาภายหลัง ม.ล.ประอรได้ไปแต่งงานใหม่กับ ม.จ.การวิก จักรพันธุ์

ปี ๒๕o๕ แต่งงานใหม่อีกครั้งกับโรจนา มีบุตรชายชื่อ ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์ ใน ระยะหลังนี้แม้ไม่มีงานร้องเพลงและละคร แต่บทบาทนักชิมและนักจัดรายการอาหาร ทำให้ท่านยังเป็นที่รู้จักของคนเกือบทุกรุ่นทุกวัย

เป็นคนคนหนึ่งที่มีเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเกินคำบรรยาย และยากที่จะหาคำจำกัดความได้

ข้อมูลจาก gotomanager.com








ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ผู้สร้างตำนาน "นักชิมอาหาร"


มรดกในเรื่องอาหารถูกถ่ายทอดผ่านสายเลือดและความคิดของคน "รุ่นพ่อ" สู่ "รุ่นลูก" โดยมีกระบวนการจัดการอย่างเป็นระบบ จากแบรนด์ "เชลล์ชวนชิม" มาเป็นแบรนด์ "หมึกแดง" โดยมี "ปิ่นโตเถาเล็ก" เดินตามรอยเท้าพ่อและพี่มาติด ๆ

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ.๒๕o๔ สมัยที่น้ำมันพรีเมียม ๙๕ ราคาลิตรละ ๒.๑o บาท รัฐบาลกำลังตัดถนนสายใหม่ไปทั่วประเทศ ม.จ.ภีศเดช รัชนี ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมการขายและโฆษณาของบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย ในสมัยนั้น ได้มาปรึกษา ม.ร.ว.ถนัดศรี ว่า จะทำโฆษณาแบบ soft sale อย่างไรดี คุณชายถนัดศรีก็ได้ยกตัวอย่างว่าที่ฝรั่งเศสมี Michelin Guide ซึ่งเป็นของบริษัทที่ผลิตยางมิชลิน ได้แนะนำร้านอาหารในเส้นทางต่างๆ ในทวีปยุโรป ซึ่งแนวคิดนี้น่าจะนำมาใช้กับเมืองไทย ได้ เพราะคนไทยชอบหาของกินอร่อย ๆ เช่นกัน

"เชลล์ชวนชิม" จึงได้เกิดขึ้นครั้งแรก โดยมีเชลล์แก๊สเป็นสปอนเซอร์ เพราะตอน นั้นบริษัทเชลล์กำลังรณรงค์ให้หันมาใช้เตาแก๊สแทนเตาถ่าน ต่อมาในเดือนกันยายน ๒๕๒๕ จึงได้เปลี่ยนโลโกเป็นชามเบญจรงค์ "ลายผักกาด" แทน เพื่อสร้างความชัดเจนในการสนับสนุนในเรื่องอาหารของเชลล์

คุณชายถนัดศรีเรียนมาทางด้านกฎหมาย ส่วนความรู้ทางด้านอาหารได้มาจากหม่อมละมุน สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา ผู้เป็นหม่อมย่า และผู้ว่าการห้องเครื่องในวังสระปทุม ในขณะที่แม่แท้ๆ คือหม่อมเจริญเป็นลูกมือของ ม.ร.ว.เสงี่ยม สนิทวงศ์ ผู้ทำเครื่องถวายสมเด็จพระพันปีหลวง ทุกอย่างได้ซึมซับเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว ทั้งอาหารคาวหวานเลิศรส ตลอดจนกรรมวิธีการปรุงต่าง ๆ ที่ผ่านตาผ่านลิ้นมาตั้งแต่วัยเด็ก

ย่างเข้าวัยหนุ่ม ชีวิตที่เป็นอิสระ มีเพื่อนฝูงหลายกลุ่ม หลากหลายฐานะ นอกวัง ชอบเที่ยวเตร่เฮฮา และชอบทำกับแกล้มในวงเหล้าให้กับเพื่อนฝูง รสมือเป็นที่ยอมรับจน กระทั่งได้โอกาสจากเชลล์

นอกจากมีลิ้นที่สามารถรับรสชาติได้ครบทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม และรู้ลึกไปถึงสูตรและวิธีทำแล้ว อาหารแต่ละจานยังถูกปรุงแต่งด้วยเรื่องราว อันสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตและความเป็นไปของผู้คนในบ้านเมือง สร้างเสน่ห์ให้คอลัมน์ "เชลล์ชวนชิม" ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว

ลูกชิ้นห้าหม้อ หรือเกาเหลาลูกชิ้นมันสมองหมู บนรถเข็นหน้าห้องแถวย่านแพร่งภูธร ถูกแนะนำเป็นรายแรกในคอลัมน์นี้ ส่วนต่างจังหวัดคือเป็ดพะโล้ท่าเกวียนที่จังหวัดชลบุรี

ร้านค้าไหนที่คุณชายตามไปชิม ก็จะถูกนำมาเขียนถึงในหนังสือพิมพ์ "สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์" ซึ่งเริ่มเขียนตอนที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕o๔





ต่อมาย้ายหาบไปอยู่ที่ "ฟ้าเมืองไทย" ตั้งแต่ฉบับที่ ๓๔o ในวันที่ ๒๕ กันยายน ปี ๒๕๑๘ ปัจจุบันปักหลักที่ "มติชน" และคอลัมน์ "ซันเดย์สเปเชียล" ในไทยรัฐฉบับวันอาทิตย์

หลักเกณฑ์การได้ป้าย "เชลล์ชวนชิม" ง่ายมากคือ เจ้าของร้านต้องตัดคอลัมน์ที่เขียนถึงร้านตนเองไปขอป้ายจากเชลล์ ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายในการทำป้ายไม่กี่ร้อยบาท และสามารถนำไปใช้ได้ตลอดไป ไม่มีการยึดคืน แม้ว่าบางร้านรสชาติอาหารจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม

ด้วยวิธีนี้อาจทำให้ป้ายเชลล์ชวนชิม ขาดความศักดิ์สิทธิ์ แต่คุณชายถนัดศรียืนยันว่า การให้ป้ายแล้วเอาคืน เป็นการสร้างศัตรู ซึ่งหากร้านไหนรสชาติเปลี่ยนไป ลูกค้าต้องตัดสินเลิกทานด้วยตนเอง

เป็นวิธีคิดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการให้ป้าย "หมึกแดง" ของ ม..ล.ศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ ลูกชายคนโตที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน

ป้ายเชลล์ชวนชิมสร้างความร่ำรวยให้เจ้าของร้าน และสามารถขยายสาขาเป็นของลูกหลานต่อเนื่อง ส่วนคุณชายจะได้ค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน และค่าเรื่องจากบริษัทเชลล์ครั้งละ ๑,ooo บาท และเพิ่มเป็น ๑,๕oo บาท เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

แต่สิ่งที่ได้ตามมาคือ ชื่อเสียง และสัญลักษณ์แห่งความเอร็ดอร่อยในเรื่องการชิมและการทำรายการอาหาร สร้าง "โอกาส" ให้ไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจต่างๆ ด้านอาหารมากมายในเวลาต่อมา เริ่มจากรายการ "พ่อบ้านเข้าครัว" ทางช่อง ๕ ด้วยความคิดที่มองการณ์ไกลเกี่ยวกับปัญหาสังคม ว่าต้องการให้พ่อแม่ลูกมีกิจกรรมทำร่วมกันในวันหยุด

หลังจากนั้นก็มีรายการของปลากระป๋องปุ้มปุ้ย รายการของซอสภูเขาทอง รายการหมึกแดงเวิลด์ ที่ทำกับลูกชายคนโต รวมทั้งเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้สินค้าต่างๆ มากมาย

การชอบหาของแปลกใหม่รับประทาน ชอบเดินทางท่องเที่ยว และมีกลุ่มเพื่อนมากมาย ทำให้คุณชายถนัดศรีมีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย และยังเป็นนักเล่าเรื่องที่มากด้วยอารมณ์ขัน เต็มไปด้วยสาระและความบันเทิงครบครัน เรื่องราวเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาในรายการทีวี รายการวิทยุ และข้อเขียนในหนังสือต่าง ๆ

เป็นที่รู้กันว่าถ้าเชิญไปออกรายการไหนไม่จำเป็นต้องมีสคริปต์ให้ เพราะสามารถพูดไปได้เรื่อย ๆ และพูดในสิ่งที่สามารถสะกดคนฟังได้ทุกครั้ง





นอกจากเป็นนักชิม นักเขียน นักแสดงระดับรางวัลเมขลา นักร้องแผ่นเสียงทองคำ ยังเป็นพิธีกรรายการต่างๆ ในทีวีอีกมากมายหลายรายการ ในปัจจุบัน วิธีคิดมาจากการทำรายการของคุณชายในสมัยก่อน เช่น ควิซโชว์ รายการ "การบินไทยไขจักรวาล" ซึ่งโด่งดังมากในอดีต

กระบวนการจัดการทางทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านั้น หากได้รับการจัดการอย่างมีระบบตั้งแต่ต้น น่าจะสร้างเม็ดเงินได้อย่างมากมายมหาศาล แต่เมื่อคุณชายถนัดศรีเป็นคนรุ่นเก่าถูกเลี้ยงมาแบบโบราณ คำว่า "บารมี" จึงมีความหมายมากกว่าเม็ดเงิน

"เรื่องราวต่าง ๆ ในรายการครอบจักรวาลหรือรายการอาหารทางทีวี ตั้งแต่เริ่มแรก หาก คุณพ่อสามารถจัดเป็นระบบ แยกเป็นหมวดหมู่ แล้วจดเป็นลิขสิทธิ์ไว้ ก็สามารถเอามาทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ"

"หมึกแดง" เคยวิจารณ์การทำงานของผู้เป็นพ่อด้วยวิธีคิดของคนรุ่นใหม่

ผลงานอย่างอื่นอีกมากมายในวงการบันเทิง เช่น บทละคร เนื้อเพลง ซึ่งสูญหายไปมาก และที่สำคัญ หากใครต้องการนำไปใช้ก็สามารถนำไปใช้ได้เลย ทุกวันนี้หากถามถึงรางวัลที่ได้รับหรือเพลงเก่า ๆ ว่าเก็บไว้หรือเปล่า คุณชายถนัดศรีจะตอบชัดเจนว่า ไม่เคยเก็บ รางวัลอยู่ไหนไม่รู้

"ใครจะเอาไปใช้ก็ช่าง เป็นคนที่ไม่เก็บอะไรเลย ประหลาด มีคนเขาโทรมาขอก็จะบอกว่า มึงจะเอาไปก็เอาไปซี้ ไม่ยุ่งหรอกเรื่องลิขสิทธิ์อะไรนี่"

รายได้หลักตอนนี้มาจากรายการของหมึกแดงเวิลด์ทางช่องไอทีวี รายการครอบจักรวาล ทางช่อง ๕ รายการครอบจักรวาล ทางสถานีวิทยุ เงินปันผลจากบริษัทธรณีพิพัฒน์ ที่เป็นประธานกรรมการบริษัท และถือหุ้นอยู่ประมาณ ๑o เปอร์เซ็นต์ และรายได้จากการ เขียนคอลัมน์ เชลล์ชวนชิม ตอนละ ๑,๕oo บาท ส่วนไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลนั้นคุณชายถนัดศรีบอกว่า ได้ตอนละหลายพันบาทแต่ไม่ถึงหมื่นบาท รวมทั้งรายได้จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้สินค้าต่างๆ

คุณชายยังเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชน และหน่วยงานของรัฐบาลอีกหลายแห่ง เช่น ที่ปรึกษาสถาบันการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กรรมการที่ปรึกษาสถานีวิทยุ กองทัพบก กรรมการบริษัทประกิตโฮลดิ้ง กรรมการบริษัทกว้างไพศาล จำกัด คุณชายบอกว่า บางแห่งก็จะให้เป็นเงินเดือนตอบแทนบ้าง ไม่มากนัก ส่วนบางแห่งก็ได้แค่ตำแหน่งอย่างเดียว

มีบริษัทห้างหุ้นส่วนจำกัด ถนัดศรี บนถนนงามวงศ์วาน ที่มีพนักงานประมาณ ๖ - ๗ คน บริหารกันแบบง่าย ๆ เหมือนครอบครัว

"ท่านรวยชื่อเสียงจริง แต่ไม่รวยเงินทอง ใครให้ช่วยทำอะไรก็ทำ ค่าตัวที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็น ปากกา เสื้อผ้า หรือของกินเสียเป็นส่วนใหญ่ หน้าเทศกาลที พวกร้านอาหารต่างๆ ที่ท่านเขียนถึงจะส่งของกินมาให้เต็มบ้าน ซึ่งท่านก็ดีใจที่ยังมีคนระลึกถึง ถึงวันนี้แล้วทรัพย์สินก็มีบ้านหลังนี้หลังเดียว ออกจากวัง ท่านก็เช่าบ้านมาตลอดที่ทางต่างจังหวัดก็ไม่มี ท่านเป็นคนง่าย ๆ ไม่ติดยึดอะไร"

โรจนา ภรรยาของคุณชายเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังในวันที่พบกันครั้งแรกที่บ้านในซอยอารีย์สัมพันธ์ เธอยังไม่ทิ้งร่องรอยความสวยระดับดาวธรรมศาสตร์ และอดีตพนักงานบริษัทเดินอากาศไทย

คำว่าความเป็นอยู่ง่าย ๆ ของคุณชาย สอดคล้องกับภาพของความเป็นจริง เมื่อได้เห็นห้องนอนที่ใช้นั่งอัดรายการ "ครอบจักรวาล" ทุกเช้าเต็มไปด้วยหนังสือ และที่นอนยัดนุ่นบนเตียงเล็กๆ ริมห้อง

หนังสือต่าง ๆ เหล่านั้นสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการทำงานอย่างจริงจังของคนยุคก่อน ที่ต้องค้นคว้าอย่างจริงจังก่อนที่จะนำเอาข้อมูลไปอ้างอิง

มันยากกว่าการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ใช้นิ้วเดียวคลิกไปที่ google.com มากมายนัก

ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคมนี้ ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ มีอายุครบ ๗๘ ปีเต็ม และยังเต็มไปด้วยพละกำลังในการเสาะหา ขุมทรัพย์แห่งความอร่อยใหม่ ๆ เพื่อนำมาเสนอกับคนที่ติดตามรายการอย่างไม่ยอมหยุดพัก

ข้อมูลจากเวบ gotomanager.com


บีจีจากคุณlozocatสำหรับบีจี และไลน์จากคุณฮัทโทริ

Free TextEditor





 

Create Date : 24 มกราคม 2552    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2555 20:03:12 น.
Counter : 30071 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

haiku
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.