Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2562
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
4 กรกฏาคม 2562
 
All Blogs
 
นิยายแปลเรื่องดาวพิษ บทที่ 10 ประสานพลังศาสนเวทย์ แปลโดยภาวิดา คนบ้านป่า

LITERATURE
นิยายแปลเรื่องดาวพิษ
บทที่ 10 ประสานพลังศาสนเวทย์
แปลโดยภาวิดา คนบ้านป่า
***********************************************************

ความเดิม:
บทที่ 1 ดาวพิษเวิร์มวู้ด
บทที่ 2 เหตุป่วนสมอง
บทที่ 3 หมอยา
บทที่ 4 ซอยอินนิโก้
บทที่ 5 ปีกเทวดาตกสวรรค์
บทที่ 6 คัมภีร์อาถรรพณ์
บทที่ 7 ร้านบิ๊บเบิ้ลวิคบนสพานลอนดอน
บทที่ 8 ต้องตายก่อนจึงจะได้เป็นอิสระ
บทที่ 9 ตายซ้ำเจ็ดครา

จบบทนี้แล้วเหลืออีกเพียง 18 บทนะคะ ตั้งใจรีบให้จบเดือนกันยาค่ะ เพื่อนๆที่ตามไม่ทัน รบกวนติดตามอ่านย้อนค่ะ ช่วงนี้จขบ.ยังคงยุ่งยากหลายเรื่อง ขออนุญาตทักทายสั้นๆนะคะ ถือว่าโหวตคือไลค์ก็แล้วกัน ไม่อยากให้เพื่อนๆรู้สึกว่า ดีแต่เอาโหวตมาทิ้งไว้ให้ เพราะบางท่านก็ไม่ได้สนใจโหวตสักเท่าไร


บทที่ 10 - ประสานพลังศาสนเวทย์

เบล้กนอนอยู่ในหลุมฝังศพตื้นๆ ที่เพิ่งขุดใหม่และมีฟางรองก้นหลุม เสียงขุดดินเย็นชื้นสะท้อนก้องเข้าไปในหัวที่ปวดตุ้บๆ ชายหนุ่มมองออกไปเห็นแสงอรุณแห่งเดือนตุลาคมเรื่อขึ้นมาจากขอบฟ้ามืดดำ ยอดโบสถ์สูงเสียดท้องฟ้าโปร่งชี้ปลายหินแหลมไปยังดาวหางของเขาที่ลอยอยู่กลางฟ้า

ทีแรกเบล้กคิดว่าตนตายแล้วและมองดูสิ่งต่างๆ ในทัศนะของผี แต่ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกะโหลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และรอยเชือกไหม้บนข้อมือก็บอกชัดว่าเขายังไม่ตาย เบล้กพยายามขยับแต่ขาทั้งสองข้างชาและหนักอึ้ง พอยกเท้าขึ้นก็ต้องวางลงบนพื้นอีก กระทบฝาโลงที่นอนทับดังกึก เขาผงกศีรษะขึ้นดูจึงเห็นกลีบกุหลาบและใบฮอลลี่โรยอยู่บนตัวกับศพหมาตัวใหญ่นอนทับร่างอยู่ ฟันมันหัก ตาเบิกโพลง ลิ้นยาวห้อยไพล่ออกจากปากที่อ้าค้างอยู่

เหนือหลุมขึ้นไปเบล้กได้ยินเสียงพลั่วขุดและตักดินนุ่มอย่างชัดเจน เสียงก้อนดินเหนียวหลุดจากพลั่วกระทบพื้นส่งแรงสะเทือนเหมือนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ฟุต เขาลุกขึ้นนั่ง ผลักซากหมาตัวนั้นลงไปกองอยู่ข้างๆ ปัดฟางออกจากเนื้อตัวและพยายามนึกให้ออกว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

เท่าที่จำได้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมีแค่ลูกไฟลูกหนึ่งระเบิดขึ้นรอบตัวขณะที่เขากับเฮซรินปิดประตูกระจกเงา ลูกไฟลุกท่วมตัวชายหนุ่มในชั่วพริบตา แรงระเบิดคงเหวี่ยงตัวเขากระเด็นทะลุหลังคาบ้านทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาโดนแสงเข้าไปเต็มที่จนเหมือนกับว่า อนุภาคของไฟทะลวงผ่านเสื้อผ้าเข้าอาบผิวจนเรืองแสงสีรุ้ง จากนั้นเขาก็ดิ่งลงสู่นิทราอันมืดมิด
เบล้กไล้นิ้วมือเย็นเฉียบไปรอบๆ รอยไหม้แดงบนข้อมือจนถึงฝ่ามือขวาซึ่งเจ็บมาก เล็บมือข้างนั้นถูกตัดจนสั้นกุด เหตุการณ์คืนก่อนแวบขึ้นมาในความทรงจำดังสายฟ้าแลบ เขาเห็นดวงตาสีน้ำเงินคมเข้มและริมฝีปากแดงของเฮซรินยามที่หล่อนหัวเราะเมื่อเห็นเขาบิดตัวด้วยความเจ็บปวด เบล้กไอ แล้วถุยเศษโคลนและฟางออกมา เสียงเขาสะท้อนก้องจากหลุมฝังศพขึ้นมาบนพื้นดิน เสียงขุดชะงัก

“นั่นเสียงแกเหรอวะ” เสียงชายคนหนึ่งดังอยู่เหนือหลุม ฟังดูกร้าวกระด้างเหมือนพวกนักเลงหัวไม้ตามหัวมุมถนน

“เอ็งนี่ท่าจะบ้า” เสียงตอบห้วนๆ เบาๆ “คิดจะบอกว่าเห็นผีเข้าแล้วรึไง ขุดไปเหอะว่ะ อีกฟุตเดียวก็จะได้เอาศพไป ไอ้หมอเทวดาจะได้ของเล่นซะที เราเองก็จะได้เงินสิบชิลลิงด้วย” ชายอีกคนหนึ่งพูด ส่งเสียงราวหมูคำราม เร่งให้เพื่อนของเขาขุดต่อ

เบล้กคุกเข่ายงโย่มองข้ามขอบหลุมไป ซากสุนัขไหลตกลงในหลุมกระแทกโลงศพดังตุ้บใหญ่

“ข้าบอกเอ็งแล้ว!” เสียงแหลมและสติแตกกว่าเก่าดังขึ้นอีกครั้ง “เราไม่น่าทำแบบนี้เลย ไอ้ซากศพน่ะมันเป็นของผีนรก เราไม่มีสิทธิ์จะขุดขึ้นมานะโว้ย” แล้วเสียงด่าก็ดังขึ้นพร้อมเสียงปักพลั่วลงบนพื้น “ข้าไม่ขุดอีกแล้ว ซากผีน่ะให้ยมบาลเก็บเอาไว้เองเหอะ ข้าไม่อยากให้มันตามมาหลอกข้า”

“แกต้องขุด ขุดเหมือนข้าจ้างให้ขุด ก็แค่เสียงตอนกลางคืนแหละวะ ไม่มีผี ไม่มีพระเจ้า ไม่มีวิญญาณอะไรทั้งนั้นแหละ ให้ผีมันโผล่จากหลุมมาก่อนแล้วกันข้าถึงจะเชื่อว่ามีจริง ขุดต่อได้แล้ว”

เบล้กได้ยินเสียงมือตบฉาดใหญ่ เขาค่อยๆ ลุกยืนบนฝาโลง มองออกไปยังสุสานที่เต็มไปด้วยแผ่นป้ายหักๆ และทางเดินเลอะโคลน ในท่ามกลางแสงอรุณ เบล้กเห็นชายสองคนยืนอยู่ข้างๆ กองดินที่เพิ่งขุดและพวงหรีดดอกไม้ที่ถูกเขี่ยทิ้งจากหลุมศพใหม่หลุมหนึ่ง ทั้งคู่สวมบู้ตกันน้ำและเสื้อคลุมยาวถึงเข่า หัวเพิ่งโกนใหม่ๆ และมีรอยถูกเห็บเหาดูดเลือดช้ำเป็นจ้ำๆ

“ขุดก็ได้วะ” ชายร่างสูงพุงโรคว้าพลั่วด้ามยาวพลางพูด “แต่ข้าขุดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะโว้ย เดี๋ยวยมบาลได้ตามมาหลอกมาหลอนเพราะขโมยซากที่มันครอบครอง เอ็งไม่มีทางหามาใช้คืนให้มันได้เสียด้วย” มือเขาซูบเซียวปลายเล็บสกปรก เสื้อคลุมที่สวมใหญ่เกินตัวเพราะฉกมาจากศพที่ขโมยไปให้พ่อหมอเทวดาก่อนหน้านั้น

เบล้กมองไปรอบๆ กลิ่นเหม็นของสุสานทำให้เขารู้สึกท้อและชักห่วงอนาคต “เฮ้ พรรคพวก” เขาตะโกนเสียงดังชัดเจนเพื่อจะให้คนทั้งสองสนใจ “ช่วยฉุดข้าออกไปจากหลุมนี้หน่อยได้ไหม”

ชายพุงโรมองดูหลุมที่ตัวขุด คิดว่าเสียงนั้นดังขึ้นมาจากโลงไม้ขนาดเล็กในหลุม อีกคนกระโดดโหยง ไม่แน่ใจว่าหูแว่วไปหรือเปล่า

“ฉุดข้าขึ้นจากหลุมนี้ที จะจ่ายให้อย่างงาม เชื่อเถอะว่าทั้งผีทั้งตำรวจจะไม่ตามล่าเจ้าแน่”

เบล้กตะโกนด้วยความฉุนเฉียวระหว่างพยายามจิกเท้ายึดดินปีนป่ายข้างหลุม ก้อนดินถล่มลงร่วงกราวกระทบฝาโลงดังตุ้บ ตุ้บ ตุ้บแต่เหนื่อยเปล่า

“เฮ้ย ผีว่ะ !” ชายพุงโรแหกปากร้อง น้ำตาไหลพรากๆ มือเขวี้ยงพลั่วใส่คู่หูและพยายามจะออกวิ่งแต่ลื่นล้ม “มันอยากได้วิญญาณเอ็งโว้ย ส่วนวิญญาณข้าน่ะไม่ใช่ของข้า ข้าให้มันไม่ได้หรอกนะ”

ชายผอมคว้าแขนเสื้อเพื่อนและมองไปรอบๆ สุสาน แต่ไม่เห็นใคร มีเพียงเงาทะมึนในแสงสลัวยามเช้า

“อย่าวิ่งหนีสิ ไอ้โง่” เบล้กตะโกน “มาช่วยฉุดข้าขึ้นจากหลุมนี่ก่อน ข้ายังไม่ตายโว้ย ไม่เห็นรึไง”

ตอนนี้ชายพุงโรเห็นเขาแล้ว แต่คิดว่าเห็นใบหน้าเปื้อนเขม่าของศพที่เพิ่งฟื้นขึ้นจากหลุมห่างออกไปไม่กี่ฟุต กลีบกุหลาบและใบฮอลลี่ยังติดอยู่เต็มตัว ฟางปลิวว่อนจากปกเสื้อคลุม มือคว้าก้านด็อกลีฟราวกับพยายามหนีจากใจกลางนรกอย่างหมดหวัง ชายอ้วนรู้สึกขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนว่ามีแรงพอจะหนีจากเงื้อมมือผีร้ายที่โผล่ขึ้นมา

ชายร่างผอมเก็บพลั่วขึ้นมาเตรียมสู้

“ถ้าไม่ช่วยข้า ข้าจะเอาพลั่วนั่นแหละฝังเจ้าทั้งเป็น” เบล้กตะโกนขณะพลาดร่วงกลับลงไปในหลุมศพเสียงดังตุ้บ

เมื่อได้ยินเสียงขู่จากศพที่หายวับไปต่อหน้า โจรทั้งคู่เสียวสันหลังวาบ ต่างหันหลังกลับและวิ่งแข่งกันไปยังประตูสุสานด้วยกลัวว่ายมบาลจะตามมาล่าตัว

เบล้กลื่นร่วงไหลไปกองอย่างไม่เป็นท่าบนโลงศพอีกครั้ง เขาลูบขนศพหมาที่หน้าตาคล้ายๆ จะเคยเห็นที่ไหน เพื่อนร่วมชะตากรรมอยู่ในหลุมศพอันมืดมิดนี้ก็มีเพียงเจ้าหมาตัวนี้เอง “ไอ้หมาน้อยเอ๊ย” เขาโอดครวญ “อีกไม่นาน ข้าก็จะเป็นเหมือนเอ็งตอนนี้ ชีวิตนี่มันสั้นจริงๆ แถมมีแต่ทุกข์ ดูซิ ข้ายังต้องมาลงเอยอยู่ในหลุมนี่ ได้แต่คุยกับหมาตัวหนึ่ง...” เบล้กถอนใจแรงอย่างหมดหวัง

เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัวเขา “งั้นก็คุยกับข้าสิ”

เบล้กตกใจ ผลักซากสุนัขตัวนั้นออกไปราวกับรู้สึกอายที่มีเพื่อนเป็นหมา เขาเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียง

“ค้างคืนตามหลุมฝังศพน่ะไม่เหมาะหรอกนะ เพราะอีกไม่นานเกินรอก็ได้มาแน่ๆ ตอนนี้ข้ามาแล้ว จะช่วยฉุดเจ้าขึ้นจากหลุมเอง”

เงาดำเห็นเป็นรูปทาบฟ้ายามเช้ายืนอยู่เหนือหลุมคือ ชายแปลกหน้าร่างสูงในชุดดำสวมแว่นสีฟ้ากรอบทอง กำลังก้มลงมาดูเบล้ก

“ข้าอยู่ที่ถนน ได้ยินเสียงเจ้าและเห็นคนจรจัดสองคนวิ่งหนีออกไป ก็เลยเดาว่าพวกมันคงทำร้ายเจ้าเข้าให้แล้ว” เขายิ้มกว้าง “มาพบว่าเจ้ายังไม่ตายและ...” ชายผู้นั้นหยุดและมองหมาซึ่งนอนพิงหลุมอีกด้าน “สภาพเจ้ายังดีกว่าเพื่อนเจ้านะ”

“ข้า พะ พะ พบ เขาที่นี่” เบล้กพูดติดอ่างขณะยืนขึ้น “ข้าฟื้นขึ้นมาในหลุม และ เขา เอ่อ มัน มันนอนตายทับตัวข้าอยู่ สงสัยว่ามันเป็นหมาของหญิงรับใช้ข้า”

“งั้น ข้าก็มาทันเวลาพอดีที่จะช่วยเจ้าให้พ้นจากชะตากรรมเดียวกับหมานั่น หมาสองตัวฝังร่วมหลุมเดียวกันไม่ได้หรอก เจ้าว่าไหมล่ะ” ชายแปลกหน้ายื่นมือลงไปจับมือเบล้ก ดึงพรวดเดียวก็ฉุดเขาขึ้นมายืนกลางแสงมัวซัวยามรุ่งเช้า เขายังจับมือเบล้กไว้ แกะฝ่ามือที่กำออก จ้องดูรอยไหม้ขนาดหัวแม่มือกลางฝ่ามือ

“รอยไหม้นี่ร้ายแรงมาก ไม่ใช่ไหม้อยู่แค่เนื้อเท่านั้น เป็นยังไงมายังไงกันถึงได้รอยนี้มา” เขาถามพลางจ้องเบล้ก

“การทดลองน่ะ ข้าเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่ เอาเป็นว่าข้าเคราะห์ร้ายก็เลยต้องมาแหมะอยู่ที่นี่และในระหว่างนั้นไม่รู้ใครทำอีท่าไหนมือข้าเลยโดนไฟไหม้” เบล้กรีบพูดให้จบๆ เพื่อจะได้ไปให้พ้นจากชายคนนี้

“เรื่องพูดน่ะจะเหลวไหลยังไงก็ได้ แต่ที่พูดนี่จริงหรือเปล่าล่ะ” ชายผู้นี้ยังคงจูงมือเบล้กพาเดินไปยังประตู “อยู่ในนี้น่ะเงียบไว้เป็นดีที่สุดนา ข้ารู้ว่าคนตายตั้งใจฟังมากกว่าคนเป็น”

ชายแปลกหน้าคล้องแขนเบล้กอย่างแน่นหนา พาเดินออกไปตามถนนรอบๆ สุสานเซ็นต์ไบร์ดที่มีบ้านเรือนแออัด ระเบียงบ้านยื่นเกยกันเต็มไปหมด เบล้กรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกพาไปยังสถานที่ที่เขากำลังตามหา คำตอบอยู่ที่กระท่อมแออัดของชาวแบล็กไฟร์นี่เอง ทั้งคู่เดินฝ่าความสกปรกมาหลายนาที ก้าวข้ามคนจรขี้เมาร่างกายเต็มไปด้วยแผลพุพองที่นอนเกลื่อนถนน เบล้กแหงนมองฟ้า ดาวหางของเขายังคงอยู่ในท้องฟ้ายามรุ่งนั้น

ชายแปลกหน้าบีบแขนเบล้กแน่นขึ้น “ไม่ไกลจากบ้านเจ้านักหรอก” เขาพูดขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินเลี้ยวเข้าสู่ทุ่งคอนดิต “ข้าเคยเห็นเจ้าที่จัตุรัสบลูมสเบอรี่หลายครั้ง”

“ข้าก็เคยเห็นเจ้าเหมือนกัน” เบล้กตอบ เชื่อว่าสบโอกาสแล้วที่จะได้รู้ว่าแท้จริงชายผู้นี้คือใคร ความมั่นใจเพิ่มขึ้นทันทีที่ก้าวเข้าสู่ถิ่นที่คุ้นเคย “จริงๆ แล้ว ข้าเห็นเจ้า แต่งตัวสุดพิลึกกว่าใครๆ เวลาไปไหนมาไหน เจ้าคงเฝ้าดูข้าอยู่สินะ ไอ้ที่พบกันครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญด้วยละมั้ง” เบล้กพยายามสะบัดแขนออกแต่ไม่สำเร็จ

“ข้าก็เที่ยวดูใครต่อใครตั้งเยอะแยะ ก็ไปๆ มาๆ เร็วทันแสงอย่างนี้แหละ นี่ถ้าข้าเป็นเจ้านะ ข้าจะห่วงของที่ข้าซ่อนไว้ที่บ้านมากกว่าจะสนใจว่าใครจับตาดูข้าอยู่” เขาพูดเสียงเบาลง เบล้กตระหนักถึงนัยขู่ที่แฝงอยู่ในทุกถ้อยคำ

“ข้าไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ในบ้านจนถึงขนาดจะต้องกังวล ก็มีแต่โจรเท่านั้นที่จะพูดจาอย่างนี้ให้ข้าหงุดหงิด” เบล้กพยายามปลีกตัวให้พ้นชายแปลกหน้าอีกครั้ง แต่ทั้งคู่ยึดติดกันราวกับผูกไว้ด้วยเชือกที่มองไม่เห็นและไม่มีทางขาดได้

“ถึงเวลาต้องแยกกันเมื่อไหร่ค่อยไปทางใครทางมัน” ชายแปลกหน้ากล่าว “แต่ตอนนี้นะดร.เบล้ก เจ้ากับข้าต้องร่วมทางกันไปก่อน ตามที่ดาวซึ่งเจ้าเฝ้าดูอยู่ทุกคืนกำหนดไว้”

“ดาวอะไร ดวงไหนข้าไม่รู้จัก ข้าเป็นนักดาราศาสตร์แล้วก็ศึกษาไสยเวทศาสตร์ลึกลับ ข้าเสาะหาแต่ความจริงเท่านั้นแหละ”

“เจ้าน่ะทั้งโง่ ทั้งกระจอก ขืนยังสนใจเวทมนตร์ต่อไปอีกเดี๋ยวก็ได้เจอดียิ่งกว่ารอยไหม้ที่มือนั่นหรอก รู้ตัวไหมว่าตอนนี้หัวตัวอยู่ในปากมังกร แถมมันก็กำลังจะงับอยู่รอมร่อแล้วด้วย” ชายแปลกหน้าใช้มือข้างหนึ่งรวบเสื้อคลุมด้านหน้าของเบล้กและยกเขาลอยขึ้นจากพื้น ห้อยต่องแต่งอยู่อย่างนั้นราวกับถูกแขวนคอ “ข้าเฝ้าดูเจ้ามานานแล้ว เซเบี้ยน บางครั้งเจ้าก็ทำให้ข้ามีความสุขมาก แต่ตอนนี้เจ้าโง่งมเสียจนข้าผิดหวัง ตอนนี้ชะตาชีวิตยังอยู่ในกำมือเจ้าก็จริง แต่อีกหน่อยก็จะโดนเชือกมัดเข้าให้หรอก..” ชายแปลกหน้าหยุดฟังอะไรบางอย่างซึ่งมีเขาคนเดียวที่ได้ยิน “เร็วๆ นี้ เซเบี้ยน พื้นรองตีนก็จะร่วงลงมาและเจ้าก็จะห้อยต่องแต่งอยู่กับหลักประหารใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม”

“เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร” เบล้กถาม หายใจไม่ออกเพราะมือชายแปลกหน้ากระชับแน่น

“พ่อเจ้าข้าก็รู้จัก เจ้าจะเรียกข้าว่าเทพผู้พิทักษ์โคตรเหง้าศักราชก็ได้” ชายแปลกหน้ารีบพูดพลางปล่อยเบล้กลง

“แล้วเทพผู้พิทักษ์มีชื่อให้เรียกไหมล่ะ” เบล้กถาม

“เจ้าเรียกข้าว่า เอบราม ริกเคิร์ดสก็ได้ ชื่อนี้เหมาะกับข้ามากทีเดียว สักวันเจ้าก็จะเข้าใจเอง” เอบรามขยับแว่นสีทึบและหันมาสบตากับเบล้ก “ข้าไม่ยอมเสียเวลากับใครนานนักหรอก ฉะนั้นอย่าคิดจะทำให้ข้าผิดหวังนะเซเบี้ยน ข้ามีวิธีจัดการกับคนที่บังอาจทำอย่างนั้น”

เบล้กถอยห่างจากเทพผู้พิทักษ์และมองดูทุ่งคอนดิต เขาสวมบู้ตสกปรก เสื้อผ้ายังเปื้อนโคลนจากหลุมศพ ปกเสื้อคลุมขาด และข้อมือตรงใต้ขอบแขนเสื้อยังปวดตุบๆ เอบรามเป็นชายร่างสูง สะอาดประณีต ชายเสื้อคลุมขลิบทองของเขาใหม่เอี่ยมสะท้อนแสงอรุณ เบล้กได้ยินเสียงคนเถียงกันดังลั่นมาจากอีกฟากทุ่ง เอบรามให้เวลาเขาเป็นครู่เพื่อครุ่นคิดและดื่มด่ำกับเงาสลัวสุดท้ายของราตรีก่อนเผชิญกับแสงตะวัน

เอบรามหันกลับเดินอ้าวๆ ไปตามเสียงที่ลอยมาจากอีกฟากของสนามที่สว่างด้วยแสงทอง เบล้กเดินตาม ไม่รู้ว่าไปทำไมหรือมีอะไรรออยู่ข้างหน้า เขาเห็นคนกลุ่มเล็กๆ สองกลุ่มยืนใกล้กัน เงายาวทอดลงบนพื้นโคลนแตกระแหงและกอหญ้า เขานึกรู้ได้ทันทีว่าเบื้องหน้ากำลังจะเกิดการดวลปืน เสียงสหายคู่ดวลตะโกนถกเถียงกันเรียกร้องให้ฝ่ายตรงข้ามยอมขอโทษ

คู่ดวลท่าทางขึงขังยืนหันหลังชนกัน สีหน้าบูดบึ้ง ไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองผิด ต่างถือปืนคนละกระบอก สับนกสับและชี้ปืนขึ้นฟ้า เตรียมก้าวเดินซึ่งคราวนี้ไม่ใครก็ใครคนหนึ่งต้องก้าวไปสู่ความตาย ไม่สไควร์ชาตินักเลง ผมยาวหยาบกระด้างสวมเสื้อคลุมแบบชาวชนบท ก็ต้องเป็นหนุ่มเจ้าสำอาง ซึ่งสวมวิกโรยแป้งและทาปากแดง เด็กหนุ่มมือกลองตีกลองจังหวะช้าๆ ตามทำนองที่ใช้ในพิธีศพ เสียงกลองสะท้อนแผ่วมาจากผนังของบ้านสูงสีขาวที่เรียงรายขนาบทุ่งด้านใต้

สหายของคู่ดวลคนหนึ่งสวมถุงเท้าสีขาวและใส่วิกผมยาวตะโกนนับจังหวะก้าว “หนึ่ง…สอง...สาม...”

เอบรามก้าวยาวๆ ทันนับแต่ละจังหวะ มายืนห่างจากจุดดวลสามหลา เบล้กพยายามเดินโผเผตามมาข้างหลังให้ทัน

“แปด...เก้า....สิบ” คนนับหยุด เอามือปิดหน้า ไม่อยากเห็นชะตากรรมของเพื่อนว่าเป็นเช่นไร ชายทั้งคู่หันมาเผชิญหน้ากันในแสงเรืองแห่งอรุณรุ่ง ฝ่ายพ่อรูปสำอางสวมวิกเล็งเป้าหมายด้วยอาการประหม่า มือสั่นระริก เขาหลับตาเหนี่ยวไก นกกระทบดินปืนเกิดประกายในลำกล้อง ลูกตะกั่วระเบิดจากปากลำกล้องพุ่งไปสู่สไควร์ผู้ยืนรออย่างมั่นคงจนรากแทบงอกลงพื้นดินสีเข้ม แค่เพียงเฉียดหัวเขาแล้ววืดเฟี้ยวผ่านไปข้างหลัง

ทันทีที่เสียงกระสุนปืนแผดก้องค่อยแผ่วกังวาน ก็เกิดความเงียบตามมาเป็นพักใหญ่ พ่อรูปสำอางลืมตามองไปตรงหน้าเห็นสไควร์ยกปืนขึ้นเล็งมาอย่างแน่วแน่และมั่นคง ไม่มีใครขยับขณะที่ชายหนุ่มเจ้าสำอางซึ่งสวมเสื้อคลุมไหมฝรั่งเศสและเสื้อเชิ้ตพับแขนน้ำตาไหลอาบแก้มสีแดงชาด

“อย่ายิง” เอบรามตะโกน เขาก้าวไปหาสไควร์ ตั้งใจจะห้ามให้หยุด

เพียงเหนี่ยวไกปืน นกปืนสับ หนุ่มสำอางกุมหน้าอก ร้อนเร่าไปทั่วร่าง และเลือดสีแดงก็สาดไปทั่วพื้นหญ้าเขียว แรงกระสุนผลักร่างเขาล้มฟาดลง

เอบรามวิ่งเข้าไปหา ประคองใบหน้าซึ่งทาแป้งขาวขึ้นจากพื้นดินสีแดง เขามองดูศพ ดวงตาไร้แววซึ่งขอบตาทาสีดำเข้ากับสีของไฝเสน่ห์บนแก้มซ้าย

“มันตายแล้ว ปล่อยไว้งั้นแหละ” สไควร์ตะโกน ลูบเสื้อคลุมตัวหนาแบบชนบทให้เรียบร้อยแล้วเช็ดเขม่าดินปืนที่เปื้อนเป็นวงตรงหน้าอกออก เปลี่ยนมือถือปืนที่ยังมีควันคุกรุ่น แล้วเคาะปืนกับสีข้างเพื่อขจัดเขม่าออกจากลำกล้อง “มันรู้อยู่แล้วว่าถ้าดูหมิ่นข้าจะได้รับผลยังไงและมันก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถึงข้าจะเป็นชาวเหนือ ข้าก็ไม่เคยยอมให้ใครหมิ่นได้”

“มันคุ้มกันรึที่ต้องสังเวยชีวิตคนๆหนึ่งกับเรื่องไร้สาระแค่นี้” เอบรามถามขณะคุกเข่าอยู่ข้างๆ ศพ

“เราอยู่กันมาอย่างนี้แหละ เจ้าเป็นคนต่างถิ่นไม่มีวันเข้าใจหรอก เกียรติยศลูกผู้ชายน่ะสำคัญยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก ข้ายอมตายเพื่อศักดิ์ศรี ไม่ข้าก็มันต้องตายกันไปข้าง แต่ปืนของข้าแม่นกว่า” สไควร์ยื่นปืนให้สหายและหันกลับ

“นี่เจ้าคิดจะเดินหนีไป ทิ้งศพเขาไว้ให้หนูและหมารุมแทะกระดูกอย่างนั้นน่ะรึ” เอบรามตะโกนถามชายหนุ่ม

สไควร์หยุดและหันกลับมาทางเอบราม “เจ้าอยากได้ลูกปืนเหมือนเจ้านั่นมั่งงั้นรึ ไอ้หนุ่มฝรั่งเศส ดินปืนข้ายังแห้งอยู่นะ นึกว่ามันตั้งใจทิ้งปืนไว้ให้เจ้าเป็นมรดกตามพินัยกรรมละซี ไอ้คนอ่อนแอ เจ้าสำอาง นามยังกะมักกะโรนีคิดได้แต่เรื่องสีทาปากมากกว่าปากท้อง ไอ้พวกนี้แหละทำลายเกียรติภูมิแห่งชายชาตรี”

เบล้กนิ่งขึงตะลึงตะไล นี่เป็นโอกาสแล้วที่จะหนีจากอารักขเทพ แต่เขาทำได้แค่มองดูเอบรามคุกเข่าอยู่ข้างศพ

“เจ้าใช้ลูกตะกั่วพรากวิญญาณออกจากร่างได้ แต่พระผู้ประทานชีวิตก็น่าจะหยุดยั้งความพิโรธได้” เอบรามเหน็บสไควร์ซึ่งลำพองใจในหายนะของผู้อื่น แล้วก็ฉีกเสื้อศพออกและล้วงมือลึกลงเข้าไปในรอยแผล เบล้กเฝ้ามองนิ้วที่ล้วงเข้าไปจนสุดแล้วดึงออกจากแผลที่เต็มไปด้วยเลือด เอบรามยกศพหนุ่มเจ้าสำอางขึ้นจากพื้น มีเสียงเหมือนเลือดซึมและค่อยๆ ไหลกระเซ็นจากบาดแผล

ทันใดนั้น เอบรามก็สะบัดมือ เขวี้ยงลูกตะกั่วกลมขนาดใหญ่ที่ทะลวงอกหนุ่มเจ้าสำอางใส่สไควร์ “เอาตะกั่วของเจ้าคืนไปเปลี่ยนให้เป็นทองซะ เรื่องนี้ไม่ได้จบลงแค่ตายหรอกนะ” เอบรามกล่าว เช็ดมือด้วยเสื้อขาวตัวงามของชายผู้ตาย แล้วหยุดพูด มองไปรอบๆ ตัว

เบล้กยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น สหายคู่ดวลทั้งสองฝ่ายจ้องอย่างไม่เชื่อสายตาเมื่อเอบรามกำหมัดขวาทุบลงเต็มเหนี่ยวบนอกศพ “จงฟื้น” เขาตะโกนสุดเสียง สนั่นก้องทั่วบริเวณที่ยืนอยู่และสะท้อนสะเทือนกันไปทุกคน “ขอชายผู้นี้จงฟื้นคืนชีพจากความตาย”

เอบรามพยุงศพจากดินขึ้นมาสู่ท่ายืน รอยแผลเปิดบนหน้าอกเริ่มมีควันกำมะถันพุ่งออกมาสู่อากาศบริสุทธิ์ยามเช้า กลิ่นเนื้อไหม้คลุ้ง

สไควร์กระชากดาบจากคนรับใช้ “ใช้เวทมนตร์นี่หว่า เจ้าทั้งคู่สมควรตาย”

เอบรามพยุงศพให้ตั้งตรงด้วยมือข้างเดียว “อย่าขยับ สไควร์ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องเผชิญกับความโกรธของข้า”

สไควร์ไม่ขยับ เขากดปลายดาบลงบนพื้นดินและเริ่มงึมงำด้วยเสียงเบาๆ บิดดาบไปมา
เอบรามจ้องตาศพ “ถึงเวลาคืนชีพแล้ว” เขาพูดเบาๆ และปล่อยมือจากศพ ทุกคนยืนนิ่ง ไม่มีใครกล้าขยับ ศพโงนเงน เซไปมา “อย่าไปฟังเสียงพึมพำนั่น เจ้าฟื้นแล้ว จงใช้ชีวิตให้คุ้มค่า”

ศพลืมตาขึ้นจ้องเอบราม แล้วเริ่มไอสำลัก ถ่มเลือดใส่ผู้สังหารตน จากนั้นก็ไอซ้ำอีกครั้ง ดังกว่าเก่า ก่อนจะกระแอมในลำคอและพยายามจะพูดอ้อแอ้

สไควร์ถอนดาบจากพื้นขึ้นจ้วงแทงไปที่ร่างของเจ้าหนุ่มสำอางอย่างรวดเร็ว แต่เอบรามคว้าจับใบมีดไว้แน่น “เขาฟื้นแล้วและไม่ว่าเจ้าจะพูดหรือทำอะไรก็เอาชีวิตเขาไปอีกไม่ได้ เกียรติยศของเจ้าก็ได้รับการชดใช้แล้วนี่ แต่ความหยิ่งในศักดิ์ศรีนั่นก็ยังอยู่ในหัวใจเจ้า”

เอบรามยึดดาบไว้มั่นและดึงจนหลุดจากมือสไควร์ “ไปได้แล้ว ที่นี่เป็นที่ของคนเป็น แต่ข้าได้กลิ่นความตายจากตัวเจ้า ไปซะ!”

เอบรามโยนดาบของสไควร์ทิ้งลงบนพื้น

“ข้าจะไปดวลกับเอ็งในนรก” สไควร์ตะโกน แล้วเดินออกไปและพยักหน้าให้สหายตามมา

“ไม่เคยมีสักคน ได้ยินไหม ไม่มีใครทำอย่างนี้กับข้าแล้วจะมีชีวิตรอด เอ็งคิดว่าเอ็งเป็นใครกัน”

“ข้าก็เป็นตัวข้า เจ้ารู้แค่นั้นก็พอ” เอบรามตอบ “ข้ากับนรกก็คุ้นกันดีซะด้วย” เขาแตะหน้าอกของหนุ่มสำอาง กดนิ้วลงบนรอยแผล “สำหรับเจ้า พ่อหนุ่มเจ้าสำอาง ชีวิตเจ้าจะเปลี่ยนไป”

เอบรามหันมาทางเบล้กซึ่งยืนเงียบรอดูฟ้าที่ค่อยๆ สาง แล้วมองไปรอบๆ ทุ่งคอนดิต และเห็นว่าคนเริ่มจับกลุ่มกัน “ไม่มีอะไรให้ดูที่นี่หรอก” ชายหนุ่มตะโกน “มีแต่หนุ่มสำอางที่ยิงไม่ตรงเป้าและเกือบม่องเท่ง”

หนุ่มสำอางจับไหล่เอบรามพลางเช็ดเลือดออกจากปากและกระซิบบอกเขา “ข้ารู้แล้วว่าท่านเป็นใคร และข้าจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้เลย”



บทแปลนี้มิใช่เวอร์ชั่นก่อนพิมพ์เล่ม
จึงยังมีความลักลั่นเรื่องชื่อสถานที่อยู่บ้าง
ขออภัยด้วยค่ะ


(ติดตาม
บทที่ 11 เมืองต้องมนตร์
ต่อไปนะคะ)

LITERATURE
 ขอบคุณของแต่งบล็อกจากอินเทอร์เน็ต



Create Date : 04 กรกฎาคม 2562
Last Update : 4 กรกฎาคม 2562 15:29:14 น. 29 comments
Counter : 1138 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณเริงฤดีนะ, คุณกะว่าก๋า, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณhaiku, คุณหอมกร, คุณkae+aoe, คุณสองแผ่นดิน, คุณmcayenne94, คุณlife for eat and travel, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณSai Eeuu, คุณเนินน้ำ, คุณJinnyTent, คุณวลีลักษณา, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณtoor36, คุณสันตะวาใบข้าว, คุณmambymam, คุณauau_py, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณTurtle Came to See Me, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณAsWeChange, คุณตะลีกีปัส, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณALDI


 
เจิมๆ
มอร์นิ่งเช้าวันฝนพรำค่ะ
แปะจองที่ไว้ก่อน
เดี๋ยวตามมาcommentค่ะ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:36:32 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับพี่ภา

ตอนนี้มีฉากบู๊ด้วย
เนื้อเรื่องเข้มข้นเรื่อยๆนะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:41:49 น.  

 
ตัวละคร..สมัยก่อน ยังนิยม ผ้าพันคอฝรั่งเศส
ของต่างประเทศ คงเหมือนพวกเราที่ชอบ ของ
เทศนะครับพี่


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:7:01:29 น.  

 
ภาวิดา คนบ้านป่า Literature Blog ดู Blog
นิยามแปลพี่ภามีตัวประหลาดเยอะเลยนะคะ



โดย: หอมกร วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:9:23:49 น.  

 
สวัสดีค่ะ ตื่นเต้นเลย


โดย: kae+aoe วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:10:31:24 น.  

 
แอบอิจฉานักเขียนฝรั่งนะครับพี่ภา
จำนวนคนอ่านหนังสือภาษาอังกฤษนั้นมหาศาลเลย
เขียนเก่ง เขียนดังเรื่องเดียวก็สบายไปตลอดชีวิต
บางคนรวยขั้นเป็นมหาเศรษฐีเลย

นักเขียนไทยบางคนเขียนมา 30-40 เล่ม
ก็ยังลำบากอยู่เลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:11:11:30 น.  

 
“ต้องตายก่อนจึงจะได้เป็นอิสระ” เฮซรินพูดพลางหันหลังให้แสงที่สว่างจ้าจนมองอะไรไม่เห็น(บท 8)
บท 8 เชื่อมกับ บท10
แต่บท 9 เทวดามีปีก จะเกี่ยวกับ ดาวพิษไหม
อยากอ่านจบเร็วๆเหมือนกัน ว่าผลจากดาวหางเป็นยังไง



โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:11:33:19 น.  

 
ติดตามอ่าน ยังสนุกตื่นเต้นเหมือนเคย
ตัวละครใหม่อีกตัว เอบรามเทพผู้พิทักษ์ที่คอยติดตามแอบดูใครๆ


โดย: mcayenne94 วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:12:24:26 น.  

 
ขอบคุณแทนน้องซีค่ะ มีสอบบทอ่านอาขยานด้วย ออกเสียงกัน ฟังแล้วก็แอบยิ้ม


โดย: kae+aoe วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:14:05:23 น.  

 
แวะมาโหวตและสวัสดีค่ะ


โดย: life for eat and travel วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:15:10:17 น.  

 
ชอบเอบราม เทพผู้พิทักษ์ค่ะ

"เจ้าฟื้นแล้ว จงใช้ชีวิตให้คุ้มค่า" เท่เลยค่ะ


โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:15:42:03 น.  

 
เรื่องแปลแบบนี้ สมัยวัยรุ่นชอบอ่านม่ากค่ะ

เดี่ยวนี้ ธุระยุ่ง เลยไม่ได้หยิบมาอ่านเลย ซื้อไว้ก็เยอะ

เห็นงานเขียนพี่ภา แนวนี้เลยค่ะที่ชอบอ่าน ต้องหาเวลาอ่านบ้างแล้วค่ะ เพื่อให้กำลังใจนักเขียน นักแปลนะคะ ไม่งั้น อาชีพนี้ จะหายไปจากวงการวรรณกรรมค่ะ


โดย: Sai Eeuu วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:18:36:09 น.  

 
ยังไม่มีเวลาอ่านย้อนหลังนะคะ
แต่ส่งกำลังไว้ก่อนค่ะ


โดย: เนินน้ำ วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:18:49:30 น.  

 
ด้วยความที่อ่านไม่ประติดประต่อ
และบทที่เขียนลงวันนี้ค่อนข้างอ่านแล้วงงงวย แหะ แหะ

ทักทายพี่ภาในวันที่เงียบเหงาค่ะ
ที่ร้านเงียบมากเลยวันนี้ ใจเลยหมอง ๆ
แล้วตอนนี้ ก็กินข้าวอิ่ม หนังท้องตึง และง่วงแล้ว
กว่าจะปิดร้าน รอต่อไปถึง 4 ทุ่ม เง้อ


โดย: JinnyTent วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:18:57:01 น.  

 
วิ่งหน้าตั้งมาบ้านพราภาตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ
สนุก ลึกลับซับซ้อนชวนติดตามค่ะ
รอตอนที่ 11 นะคะ


โดย: วลีลักษณา วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:20:53:52 น.  

 
สวัสดี ค่ะ พี่ภา

อ่าน ดาวพิษ ตอนที่ 10 จบแล้ว ค่ะ ได้ตัว
ละครใหม่อีกหนึ่งตัว เอบราม ตัวละครนี้เก่ง ทำให้
คนถูกยิงตายสามารถฟื้นตัวได้ แถม จบด้วยความ
สงสัย ที่หนุ่มเจ้าสำอางบอกว่า
"ข้ารู้แล้วว่าท่านเป็นใคร และข้าจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้เลย” ประโยค ทำให้คนอ่านต้องตามอ่านบทที่ 11
ต่อไป ค่ะ อิอิ

โหวดหมวด งานเขียนฯ

ขอบคุณ พี่ภาที่มาให่กำลังใจและเม้นท์ ตะพาบ ที่หนูเขียนค่ะ หนูก็ว่า หนูโชคดี ที่มี มิ่งมิตรหลายช่วงอายุของหนู ค่ะ โดยเฉพาะมีลูกศิษย์ที่
น่ารักด้วย ค่ะ



โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:21:19:45 น.  

 
ตามมาให้กำลังใจครับ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:21:58:44 น.  

 
ใช่ครับพี่ภา

คนไทยเราอ่านหนังสือน้อย
หนังสือแพง
ระบบหนังสือสาธารณะมีปัญหาครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กรกฎาคม 2562 เวลา:22:48:28 น.  

 


สวัสดียามเช้าครับพี่ภา



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:44:05 น.  

 
ชุ่มฉ่ำแต่เช้าเลยพี่ภาวันนี้^^

ส่งกำลังใจค่ะ..


โดย: สันตะวาใบข้าว วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:9:36:21 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่ภา ตามมาอ่านด้วยคนนะคะ


โดย: auau_py วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:10:47:25 น.  

 
แมงปอเข็มผมใช้เลนส์มาโครครับพี่ภา
ต้องเข้าใกล้ประมาณ 1 -2 ฟุต
แต่ระยะที่ผมถ่ายแมงปอ
จะประมาณ 1 ฟุต
เวลาเข้าใกล้ต้องกลั้นหายใจครับ
ไม่งั้นเค้าจะบินหนี 555

นึกถึงตอนเป็นเด็กนักเรียน
ผมยอมไม่กินขนมทั้งอาทิตย์
เพื่อเก็บเงินไปซื้อพล นิกร กิมหงวนอ่านครับ
ซื้อจนครบทุกเล่ม
อาแปะเจ้าของร้านยังถามเลย
ว่า "ลื้อซื้อไปขายเหรออาตี๋" 555

ว่าจะเขียนรีวิวถึงสามเกลอรำลึกความหลังอยู่ครับพี่




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:12:34:00 น.  

 
ตอนนี้คอมเป็นอะไรไม่รู้ครับ บางบล็อกเปิดไม่ได้ฟ้องว่ามีอันตรายจากไวรัส เลยไม่ค่อยได้ตามอ่านเรยคราบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:13:07:50 น.  

 
" ... ช่วงนี้จขบ.ยังคงยุ่งยากหลายเรื่อง"

ส่งกำลังใจให้ค่ะ ... หัวอกเดียวกันเลย แหะ ๆ
ถ้ามีแรงจะพยายามอ่านนะคะ


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:13:14:18 น.  

 
บทที่ 10 - ประสานพลังศาสนเวทย์ นี่น่ากลัวนัก
ตามความรู้สึกของอ้อนะ

แต่สนุกเหนือความคาดหมาย ประมาณเหนือฟ้ายังมีฟ้า
เบลักมีเทพผู้พิทักษ์ประจำตระกูลด้วย
แถมเทพผู้พิทักษ์ฯ ทำให้คนฟื้นจากความตายได้

เรื่องมันจะดำเนินไปเช่นไร
คาดเดาไม่คูกทีเดียวเชียว

ตื่นเต้นๆ
ลุ้นๆๆ จะอ่านต่อจริงๆค่ะ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:16:08:06 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่ภา

สารภาพว่ารอบนี้ไม่ได้อ่านนะคะ แต่มาโหวตไว้ให้ก่อน 555


ร้านทุกร้านติดกันค่ะ หนูเดินกันหมดเลย อยู่ในระยะเดินได้ค่ะ หนูเลยปลื้มที่นี่มาก เดินไม่ไกล ของอร่อยเยอะ 555

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
kae+aoe Parenting Blog ดู Blog
ตะลีกีปัส Food Blog ดู Blog
บาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน Review Food Blog ดู Blog
JinnyTent Book Blog ดู Blog
เริงฤดีนะ Movie Blog ดู Blog
อุ้มสี Review Travel Blog ดู Blog
สายหมอกและก้อนเมฆ Travel Blog ดู Blog
ภาวิดา คนบ้านป่า Literature Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:18:25:57 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะพี่ภาขา

มาจองที่ก่อนค่อยอ่านพรุ่งนี้ค่ะ

พี่ภาชอบอาหารภาคไหนบ้าง ทำภาคนั้นเลยค่ะ
แบบต้มยำชากังราว
ไข่ดาวชาวเหนือ
พริกเกลือชาวใต้
ผัดไทยอิสาน
เปรี้ยวหวานตะวันออก
...แบบเนี๊ยะค่ะ...แฮ่ะ..กิกิ..
หลบตะหลิวไปก่อนจะโดนเขวี้ยงหัวแตก


โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:21:22:26 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่ภา แว๊บกลับมาอ่านต่อค่ะ

จริงอย่างที่พี่ว่าละค่ะ
บทนี้ไม่ค่อยจะหยะแหยงท่าไร
แต่ก็มีบทผีขนลุกขนพองเข้ามาแทนที่

คนแต่งเรื่องนี่ท่าทางจะชอบใช้ความรุนแรง
และมีจินตนาการลึกล้ำ

ผู้แปลก็เก่ง ถ่ายทอดออกมาอ่านแล้วสมจริงสมจัง

********

ความขี้เกียจเป็นหลักน่ะค่ะ
เลยเอาแต่เขียนต่อไปเรื่อยๆ

แต่คงจะอัพใหม่เร็วๆนี้ ลูกหลานมาเยี่ยม
ต้องชีพจรลงเท้าหลายทริป

ขอบคุณที่แวะไปที่บ้านค่ะพี่
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ


โดย: AsWeChange วันที่: 5 กรกฎาคม 2562 เวลา:23:32:16 น.  

 


สวัสดียามเช้าครับพี่ภา




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:32:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ภาวิดา คนบ้านป่า
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 140 คน [?]




BG Pop.Award #17
BG Pop.Award #16
BG Pop.Award #15
BG Pop.Award #14
BG Pop.Award #13
BG Pop.Award #12
BG Pop.Award #11
BG Pop.Award #10
BG Pop.Award #9
BG Pop.Award #8
BG Pop.Award #7
BG Pop.Award #6
*****
*****
Friends' blogs
[Add ภาวิดา คนบ้านป่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.