เวลาที่หายไป - บททื 25


เจนนิเฟอร์ โฮเวิร์ด ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กมุมห้องห่างไกลจากโต๊ะอื่นๆ โบกมือเป็นสัญญาณให้หญิงสาวรูปร่างสูงระหง ที่เจนเดินมาหยุดตรงทางเข้าห้องอาหาร ตามองกวาดไปตามโต๊ะที่มีผู้คนนั่งรับประทานอาหารกันอยู่เป็นกลุ่มๆ เมื่อเห็นแขนที่โบกเรียกอยู่ไหวๆ หญิงสาวผู้นั้นก็เดินตรงเข้ามาที่โต๊ะ แล้วนั่งลงตรงข้าม

“ไฮ ทิปปี้ ” เจนนิเฟอร์ทักทายหญิงสาวต่างเชื้อชาติที่ชื่อทิพย์สุรางค์ ธนากุล

“ไฮ เจนนี่ รอนานไหม ”

“ ไม่นานหรอก ” เธอดูนาฬิกา “แต่วันนี้ต้องรีบหน่อย จะมีประชุมผู้ถือหุ้นตอนบ่ายสองโมง ฉันต้องไปตรวจความเรียบร้อยของห้องประชุม ”

เจนนี่หรือเจนนิเฟอร์ โฮเวิร์ด เป็นหญิงสาวชาวอเมริกันเพื่อนที่สนิทที่สุดของทิพย์สุรางค์ เรียนหนังสือมาด้วยกันหลายปีในโรงเรียนประจำในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แล้วยังไปเรียนหลักสูตรเลขานุการที่วิทยาลัยเดียวกันด้วย เธอเป็นบุตรสาวของนักธุรกิจใหญ่ชาวอเมริกันคนหนึ่ง

หญิงสาวทั้งสองสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วก็เริ่มพูดคุยกัน ทิพย์สุรางค์ส่งถุงกระดาษที่ถือติดมือมาด้วยให้เพื่อนสาว ซึ่งรับไปเปิดดูแล้วทำตาโต ห่อปากเปล่งเสียงวู้ว์ออกมาเบาๆ

“ ผ้าพันคอไหมไทย ! ”

เจนนิเฟอร์คลี่ผ้าพันคอไหมไทยสีฟ้าครามแสนสวย ออกดูอย่างชื่นชมก่อนจะลองพันทบไปรอบลำคอ

“สวยมากๆเลย ขอบใจมากนะ ทิปปี้ กลับบ้านทีไรต้องมีของมาฝากฉันทุกที เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว ”

ทิพย์สุรางค์ยิ้มหวาน “ไม่ต้องเกรงใจหรอก เธอช่วยเหลือฉันมาตลอด”

สาวอเมริกันยักคิ้วให้ “ไม่ต้องพูดเรื่องช่วยเหลืออะไรนั่นหรอก อย่าลืมว่าเราเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันยิ่งกว่าพี่น้องเสียอีก ถ้าไม่ช่วยเธอแล้วจะช่วยใคร”

“ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม?” เจนนิเฟอร์ซักถาม เพราะทิพย์สุรางค์เพิ่งกลับจากไปเยี่ยมพี่ชายและพี่สะใภ้ที่เมืองไทย

“เรียบร้อยดี พี่ชายฉันลงไปดูแลบ้านทางเหนือนานๆครั้ง ส่วนกิจการที่นั่นก็มีผู้จัดการดูแลอยู่แล้ว” ทิพย์สุรางค์เล่าให้เพื่อนสาวฟัง

หลังรับประทานอาหารเสร็จทิพย์สุรางค์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ หลังจากนั้นเธอรับโทรศัพท์ที่มีคนโทร.เข้ามาอยู่พักหนึ่ง เมื่อเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วก็เดินออกจากห้องน้ำ เพื่อกลับมาที่โต๊ะซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล แล้วทันใดนั้นหญิงสาวก็หยุดเดิน หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะกับสิ่งที่เห็น

เจนนิเฟอร์ซึ่งยังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารหันข้างให้เธอ กำลังพูดคุยอยู่กับชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวท่าทางปราดเปรียว ในชุดเสื้อนอกสีน้ำเงินเข้มที่ยืนอยู่ตรงหน้า หน้าของชายผู้นั้นหันออกมาด้านนอก ทำให้ทิพย์สุรางค์เห็นหน้าตาท่าทางของเขาได้ชัดเจน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะแต่งกายแบบใด มอซอเหมือนที่เคยเห็นหรือหรูหราสง่างามเหมือนในวันนี้ เขาก็จะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากผู้ชายคนที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องผันแปร

แม้เมื่อผู้ชายคนนั้นจะเดินผละจากเจนนิเฟอร์ หายลับตาออกไปจากห้องอาหารแห่งนั้นแล้ว ทิพย์สุรางค์ก็ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนพาตัวออกจากมุมที่ยืนแอบอยู่ได้ เธอพยายามตั้งสติให้มั่น ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนเดินเข้าไปหาเจนนิเฟอร์ซึ่งกำลังเหลียวหน้าเหลียวหลังมองหาเธออยู่

“เฮ้...ทิปปี้ หายไปไหนตั้งนาน เดี๋ยวฉันต้องไปแล้วนะ ” เมื่อเห็นสีหน้าเพื่อน ซึ่งแม้จะพยายามปรับเต็มที่แล้วก็ยังดูซีดเผือด เจนนิเฟอร์ก็ถามอย่างเป็นห่วง “ เป็นอะไรหรือเปล่า? หน้าเธอดูซีดๆนะ ”

ทิพย์สุรางค์ฝืนยิ้ม แก้ตัวว่า “อยู่ๆก็ปวดหัวขึ้นมาเฉยๆ” แล้วก็พูดไปเรื่อยๆเหมือนไม่ได้สนใจมากมายนักว่า “เมื่อกี้ฉันเห็นหนุ่มคนหนึ่งกำลังคุยกับเธออยู่ เลยไม่กล้าเข้ามาขัดจังหวะ เผื่อจะเป็นคนสำคัญของเธอ ”

เจนนิเฟอร์หัวเราะคิ้ก โบกไม้โบกมือว่อน “โอ๊ย ไม่ใช่คนสำคัญของฉันหรอก เราเคยรู้จักกันมาก่อน ไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าไร ไม่ได้เจอกันนานแล้วด้วย ที่รู้จักกันก็เพราะพ่อของเราเป็นเพื่อนนักธุรกิจด้วยกัน ”

“วันนี้บังเอิญเจอกันงั้นหรือ ? ”

สาวอเมริกันยักไหล่ “ก็ไม่ถึงกับบังเอิญ เขามาประชุมผู้ถือหุ้นแทนพ่อเขา พ่อเขาเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของบริษัทฉัน ”

‘บริษัทฉัน’ ที่เจนนิเฟอร์พูดถึงคือธนาคารขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของครอบครัวเธอ โดยบิดาของเธอทำหน้าที่ประธานฝ่ายบริหาร ส่วนเธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของเขา

“เขาทำงานกับพ่อเขาเหมือนเธอหรือเปล่า? ” ทิพย์สุรางค์ถามต่อไปเรื่อยๆเหมือนไม่ได้ตั้งใจ

“อ๋อ.. เปล่าหรอก เขาเป็นทหารน่ะ เคยไปรบหลายครั้งทั้งที่อัฟกานิสถานและอิรัค ทำไม? สนใจเขาหรือ? ”

เจนนิเฟอร์ถามยิ้มๆ คว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายไหล่ หลังจากต่างคนต่างควักเงินตามราคาอาหารส่วนของตนออกมาวางไว้บนโต๊ะ ก็เดินออกจากห้องอาหารไปด้วยกัน สาวอเมริกันแยกตัวไปรอลิฟต์ เพื่อขึ้นไปที่สำนักงานบริหารของธนาคารที่เธอทำงานบนชั้นที่สี่สิบสอง

ส่วนทิพย์สุรางค์ออกจากอาคารสูงระฟ้าแห่งนั้น เดินไปเรื่อยๆ ผ่านตึกระฟ้าที่ตั้งอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มอีกหลายตึก แล้วเลี้ยวเข้าไปในสวนสาธารณะเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งตั้งแอบอยู่ด้านหลัง เธอนั่งลงบนเก้าอี้ยาวสีขาวที่มีวางไว้หลายตัวตามจุดต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้ามาใช้สวนสาธารณะแห่งนี้ใช้เป็นที่นั่งพัก อ่านหนังสือหรือรับประทานอาหารที่พกติดตัวมา

แล้วในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปนานกว่าสองปี ที่เธอออกจากเวียงพุกาม ด้วยความเจ็บปวด จนไม่สามารถเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยองเหมือนเดิมได้ เธอก็ได้พบกับคนที่ทำความอัปยศให้เธอแล้วหลีกลี้หนีหน้าหายไป โดยไม่เคยแม้แต่จะส่งข่าวคราวอย่างไม่คาดฝัน ใครจะคิดว่าชายพเนจรที่ไม่มีใครรู้จักหัวนอนปลายเท้าที่เธอเคยช่วยชีวิตเอาไว้ จะมาปรากฏตัวให้เห็นในสถานที่ ในสภาพและในสถานภาพ อย่างที่เจนนิเฟอร์เล่าให้ฟังวันนี้

ถ้าประมวลจากคำบอกเล่าของเจนนิเฟอร์ ก็แสดงว่าตอนนี้เขาจำอดีตของตัวเองได้ กลับคืนไปสู่ครอบครัวและสถานภาพดั้งเดิมของเขาแล้ว เท่าที่เธอเห็นเขาดูสุขสบายดี โก้หรูมีสง่าราศรี ผิดแผกแตกต่างไปจากนายเคนชายพเนจรที่ลืมอดีตคนนั้นราวกับคนละคน

แล้วทิพย์สุรางค์ก็เริ่มมองเห็นจิ๊กซอว์ตัวที่ขาดหายไป แสดงว่าตลอดเวลากว่าสองปีที่เขาเงียบหายเหมือนตายจากนั้น เขาไม่ได้อยู่ในประเทศไทย อย่างนั้นหรือ? ที่ไม่มีใครสามารถสืบประวัติส่วนตัวของเขาได้เลย แม้แต่ผู้กองชาตรีที่ส่งลายนิ้วมือของเขา ไปตรวจสอบประวัติอาชญากรรมที่กองพิสูจน์หลักฐานยังคว้าน้ำเหลว เพราะเขาไม่มีถิ่นฐานที่อยู่ในประเทศไทย ไม่มีหลักฐานใดๆที่เกี่ยวกับเขาปรากฏอยู่ นี่ใช่ไหมที่ทำให้ไม่มีใครมาตามหาเขา ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่เวียงพุกาม

แล้วความแค้นของทิพย์สุรางค์ที่เกือบจะมอดดับไปแล้ว ก็กลับปะทุขึ้นมาใหม่ เธอย้อนคิดถึงตอนที่ต้องเสียบิดาไป ซึ่งแม้จะเศร้าโศกเสียใจเพียงใด ลึกลงไปในหัวใจที่กำลังโศกาอาดูรอยู่นั้น ก็ยังมีความดีใจเล็กๆแอบแฝงอยู่ว่าก็ดีเหมือนกัน ที่เขาไม่ต้องมารับรู้ว่าลูกสาวสุดที่รักยอดดวงใจที่เขาทนุถนอมยิ่งกว่าสิ่งใดในชีวิต ได้ถูกชายหน้าซื่อใจคดที่เขาช่วยเหลือให้ที่พักพิง กระทำย่ำยีเหยียบย่ำศักด์ศรี จนไม่กล้าทนอยู่สู้หน้าใครได้อีกต่อไป

หลังจากจัดการเรื่องงานศพของผู้เป็นบิดาจนเสร็จเรียบร้อย สองพี่น้องก็หันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับอนาคตของเธอ พี่ชายที่เธอเคารพรักรองลงมาจากบิดาแสดงความห่วงใย ไม่อยากให้เธอกลับไปอยู่ที่เวียงพุกามอีกต่อไป เพราะตอนนี้ผู้เป็นบิดาก็ไม่อยู่แล้ว วุฒิเลิศต้องการให้เธอมาอยู่กับเขาที่บ้านในกรุงเทพฯ ถ้าเธอเบื่อก็สามารถไปช่วยเขาทำงานที่บริษัทได้ ส่วนกิจการที่เวียงพุกามและในตัวจังหวัด ซึ่งคุณดนัยมีอยู่อีกจำนวนไม่น้อย เขาก็จะจ้างผู้จัดการที่มีฝีมือมาช่วยดูแล

ทิพย์สุรางค์เห็นด้วยที่จะไม่กลับไปอยู่ที่เวียงพุกาม แต่เธอไม่อยากมาอยู่บ้านเขา แม้สิริมาซึ่งเป็นพี่สะใภ้จะดีกับเธอมาก แต่เธอก็ไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกิน ที่สำคัญคือเธออยากไปให้พ้นเสียจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ หญิงสาวบอกวุฒิเลิศว่าเธออยากจะไปเที่ยวต่างประเทศสักพักหนึ่ง แล้วจะกลับมาเมื่อจิตใจสบายขึ้น

ตอนแรกทิพย์สุรางค์คิดจะไปสวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนที่คุ้นเคยมานานและยังมีเพื่อนฝูงอีกหลายคนที่นั่น แต่พี่ชายของเธอแนะนำให้ไปสหรัฐอเมริกา เขาเองเคยไปศึกษาที่นั่นหลายปี มีเพื่อนฝูงต่างชาติหลายคนที่จะช่วยดูแลเธอแทนเขาได้ แล้วเมื่อพูดถึงอเมริกา ทิพย์สุรางค์ก็นึกถึงเพื่อนรักชาวอเมริกันที่ชื่อเจนนิเฟอร์ ที่เคยเรียนหนังสือมาด้วยกันหลายปีขึ้นมาได้ เธอกับเพื่อนสนิทคนนี้ติดต่อกันทางอีเมลล์หรือทางโทรศัพท์อยู่เป็นประจำ เธอรู้ว่าตอนนี้เจนนิเฟอร์ทำงานอยู่ในกรุงนิวยอร์ค

หลังจากติดต่อพูดจากับเจนนิเฟอร์เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็แจ้งให้พี่ชายของเธอทราบว่า เธอตัดสินใจจะไปพักอยู่กับเจนนิเฟอร์ที่อพาร์ตเมนท์ในกรุงนิวยอร์คสักระยะหนึ่ง และอาจจะเรียนหนังสือต่อที่โน่นเลยก็ได้ วุฒิเลิศไม่ขัดข้อง เขาเองก็รู้จักหญิงสาวผู้นั้นดี เพราะเจนนิเฟอร์เคยมาเยี่ยมทิพย์สุรางค์ที่เมืองไทย หลังจากสำเร็จการศึกษาและแยกทางกันไป นอกจากนี้เขายังสนับสนุนเต็มที่ให้เธอเรียนต่อ เพราะอายุเธอยังน้อยและมีสติปัญญา ที่จะเรียนให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆได้ แล้วเธอก็เดินทางมาอเมริกา นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็เกินสองปีแล้ว

แล้วทิพย์สุรางค์ก็หวนกลับไปคิดถึงตอนที่เธอกลับไปที่เวียงพุกามเป็นครั้งแรก หลังงานศพบิดา เมื่อหนานคำที่เร่งรุดมาต้อนรับเธอและพี่ชาย รายงานถึงเรื่องงานและเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ก็เล่าว่าเคนที่ซัดเซมาอาศัยและทำงานที่เวียงพุกาม ได้กลับไปเพื่อพบกับครอบครัวของเขาแล้วหลังจากที่เธอรีบร้อนไปกรุงเทพฯได้เพียงสองสัปดาห์ เธอนิ่งฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้ซักถามอะไร แต่ทิพย์สุรางค์ก็จำความรู้สึกตอนนั้นได้ว่า มีทั้งความเคียดแค้นเมื่อได้ยินชื่อเขา และความยินดีที่พลุ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ที่ในที่สุดเขาก็กลับไปหาครอบครัวของเขาได้ ต่อไปเขาก็คงจะจำอดีตของตัวเองได้

ตอนนั้นหญิงสาวพยายามบอกตัวเองว่าเธอดีใจเพื่อตัวเขาเอง เพราะรู้ว่าเขาหวังและเลิกหวังมาหลายครั้งแล้วที่จะกลับไปสู่อดีต แต่อีกเศษเสี้ยวหนึ่งในหัวใจสั่งให้เธอแอบหวังเล็กๆว่า เมื่อเขาจำอดีตได้แล้วเขาคงจะกลับมาหาเธอ มารับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาได้ทำลงไป เธอแอบหวังเช่นนั้นจนถึงตอนที่กรเล่าว่าชายหนุ่มผู้นั้น เขียนจดหมายร่ำลาเขาก่อนจากไปโดยฝากไว้กับตาเป็ง

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจของทิพย์สุรางค์ก็วาบลงด้วยความผิดหวัง เขาไม่ได้แยแสเธอเลยแม้แต่น้อย เขาไม่เห็นว่าเธอมีความสำคัญอันใดต่อเขา ความรู้สึกนี้ทำให้หญิงสาวปฎิเสธที่จะอ่านจดหมายของเขา ที่กรเสนอจะเอามาให้อ่าน เธอเดินหนีเข้าห้องไป เพราะไม่สามารถจะซ่อนสีหน้าที่หมดหวังของตัวเอง จากสายตาที่ช่างสังเกตของเด็กชายคนนั้นได้

แม้จะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้ความสำคัญกับเขาอีกต่อไป เพราะเขาไม่แคร์เธอเลย แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อลงไปเดินดูสวนกุหลาบที่บิดาของเธอรักนักหนา เธอก็พบตาเป็งซึ่งกำลังตัดเล็มใบกุหลาบอยู่ ใจของทิพย์สุรางค์กลับโลดขึ้นมาใหม่ด้วยความหวัง

แต่เธอก็ต้องผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง ชายชราคนนั้นทักทายเธอ และพูดถึงบิดาของเธออย่างเสียใจที่ท่านมาด่วนจากไป แกไม่ได้พูดถึงเคนหรือจดหมาย ที่เธอคาดว่าเขาน่าจะเขียนบอกลาเธอ และฝากแกไว้ให้เธอเช่นเดียวกับของกร นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทิพย์สุรางค์ตัดสินใจที่จะลืมทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นแล้วไปเสียจากเมืองไทย

ทิพย์สุรางค์ทอดถอนใจเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เธอต้องระทมทุกข์จนแทบอยากตาย ถ้าไม่มีเจนนิเฟอร์อยู่เคียงข้างคอยปลอบประโลมให้กำลังใจ ให้ยืนหยัดต่อไปเพื่ออนาคตของตัวเอง เธอคงไม่มีวันนี้ที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง แล้วก็วันนี้ที่ผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อให้ความแค้น ที่ค่อยๆมอดจนใกล้ดับกลับคุโพลงขึ้นมาใหม่

เขาไม่มีสิทธิที่จะมีความสุข ในเมื่อเขาเป็นคนที่ทำให้เวลากว่าสองปีที่ผ่านมาของเธอ เต็มไปด้วยความทุกข์และความขมขื่น แล้วในที่สุดทิพย์สุรางค์ก็ตัดสินใจ คืนนั้นเธอโทรศัพท์ไปหาเจนนิเฟอร์บอกว่าจะไปค้างด้วยในคืนพรุ่งนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย

“ทำไมคืนนี้มาค้างกับฉันได้ล่ะ ตั้งแต่มีอพาร์ตเมนท์ของตัวเองเธอแทบจะไม่ย่างกรายมาที่นี่ด้วยซ้ำ ”

เจนนิเฟอร์ต่อว่าทิพย์สุรางค์หลังจากเสร็จจากอาหารค่ำง่ายๆแบบอเมริกัน แล้วย้ายออกไปที่ห้องนั่งเล่น อพาร์ตเมนท์ของเจนนิเฟอร์ค่อนข้างหรู มีสองห้องนอน ห้องครัวเล็กๆและส่วนที่เรียกว่าลิฟวิ่งรูม ทุกห้องตกแต่งอย่างสวยงาม ทิพย์สุรางค์เคยพักอยู่ที่นี่ในช่วงปีแรกที่อยู่ในอเมริกาโดยช่วยแชร์ค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง เธอเพิ่งย้ายออกไปได้ไม่กี่เดือน อพาร์ตเมนท์ของเธออยู่ห่างจากของเจนนิเฟอร์เพียงสองช่วงตึก

“ไง มีเรื่องอะไรจะพูดกับฉันหรือทิปปี้ ” เจนนิเฟอร์ถามหลังจากที่เห็นทิพย์สุรางค์นั่งเงียบ เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“เรื่องสำคัญ ” หญิงสาวเริ่มต้น “เจนนี่ บอกตรงๆเลยนะ ฉันมีเรื่องจะขอร้องให้เธอช่วย ”

เจนนิเฟอร์ชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปหยิบรีโมท เพื่อเปิดโทรทัศน์ตามความเคยชิน

“จะให้ช่วยอะไรก็ว่ามา”

“ฉันอยากรู้เรื่องของผู้ชาย คนที่คุยกับเธอเมื่อวานนี้ที่ร้านอาหาร” ทิพย์สุรางค์กลั้นใจแล้วพูดออกไปตรงๆ

เจนนิเฟอร์ทำตาโต “เธอหมายถึงคริสหรือ ? ”
“เขาชื่อคริสหรือ ? ”

“ใช่ คริส เลย์ตัน ทำไม? เธอรู้จักเขาหรือ? ” เจนนิเฟอร์รู้สึกแปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นเพื่อนของเธอ แสดงความสนใจชายหนุ่มคนใดมาก่อน

ทิพย์สุรางค์รีรอแต่แล้วก็ตัดสินใจ “ฉันเคยรู้จักเขา แต่ไม่ใช่ในชื่อนี้ ”
“หา ! ว่าไงนะ เคยรู้จักแต่ไม่ใช่ในชื่อนี้ ? เธอจำคนผิดหรือเปล่า”

“เจนนี่ เธอก็รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉันโดยละเอียดแล้ว ไม่ใช่หรือ” เมื่อเจนนิเฟอร์พยักหน้ารับอย่างงงๆ ทิพย์สุรางค์ก็กล่าวต่อไปว่า “ นายคริสคนนี้ คือผู้ชายคนเดียวกับคนที่สร้างความอัปยศให้ฉัน ”

เจนนิเฟอร์ผลุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง จากท่าที่นั่งเอนๆพิงพนักเก้าอี้อยู่ “จะเป็นไปได้ยังไง เธอกับเขาอยู่กันคนละประเทศเลยนะ คนหน้าตาคล้ายกันมีถมเถไป ”

“ใช่เขาแน่นอน เว้นแต่เขาจะมีฝาแฝด” ทิพย์สุรางค์ยืนยันอย่างมั่นใจ หน้าตาอย่างนั้น ท่าทางอย่างนั้นจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้

“เท่าที่ฉันรู้ เขาเป็นลูกคนเดียวนะ ” เจนนิเฟอร์นิ่งคิดแล้วถามว่า “ สมมติว่าเขาเป็นผู้ชายคนนั้นจริง เธอคิดจะทำยังไงต่อไป  ”

“เจนนี่ เธอบอกว่าครอบครัวของเธอกับเขารู้จักกัน แม้แต่ตัวเธอเองก็รู้จักเขา แล้วพ่อเขายังเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของธนาคารพ่อเธอด้วย ฉันอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาทั้งหมด เธอจะช่วยสืบให้ฉันได้ไหม” ทิพย์สุรางค์พูดช้าๆแต่ชัดเจนทุกคำ

“สืบเรื่องเขางั้นเหรอ” เจนนิเฟอร์ทวนคำ “เช่นอะไรบ้าง ยกตัวอย่างซิ ”
“ก้อ...ทุกเรื่องเท่าที่จะสืบได้ ตอนนี้เขาทำอะไรอยู่ที่ไหน ครอบครัวเขาเป็นยังไง อะไรทำนองนี้แหละ” ”

สาวอเมริกันยกมือขึ้นกุมขมับ “บอกได้ไหมว่าจะเอาข้อมูลพวกนี้ไปทำอะไร ”

ทิพย์สุรางค์ยิ้ม ตาของเธอวาววับ “หลังจากได้ข้อมูลแล้วฉันจะบอกเธอ ไง..คิดว่าจะช่วยฉันได้ไหม? ”

เจนนิเฟอร์นิ่งคิด “อืมม์ ก็พอมีทางหาข้อมูลได้หรอกนะ ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง ทำงานในบริษัทของพ่อคริส น่าจะถามอะไรได้บ้าง ที่เหลือฉันอาจจะลองถามพ่อฉันดู ถ้าจำเป็นก็อาจจะขอพบคริสเองเลยก็ได้ ”

“แต่เจนนี่ เธอต้องสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่บอกใครเลยแม้แต่คุณพ่อของเธอ ”

“ไม่ต้องห่วง เธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่เคยเอาเรื่องของเธอไปเล่าให้ใครฟัง อย่าลืมเสียสิว่าเราเป็นเพื่อนกัน ”

หลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์สองสาวก็นัดพบกันอีกครั้ง ที่ร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่งหลังเลิกงาน

“ได้เรื่องอะไรบ้างไหม ? ” ทิพย์สุรางค์ถาม มองเพื่อนอย่างคาดหวัง

“ชัวร์ มือชั้นนี้แล้ว ฟังนะ พ่อฉันบอกว่าครอบครัวของคริสเป็นเศรษฐีเก่า ต้นตระกูลของเขามีรกรากอยู่ที่เท็กซัส ปู่ของเขาเคยเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสสมัยก่อน ตระกูลนี้มีกิจการหลายอย่าง ตอนนี้พ่อคริสเป็นประธานกรรมการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เลย์ตันในนิวยอร์คนี่แหละ อ้อ...เกือบลืมเรื่องสำคัญ คริสเขาเป็นลูกครึ่งนะ แม่เขาเป็นคนไทยเหมือนเธอ ฉันไม่เคยเห็นแม่เขาหรอก แต่คิดว่าเขาคงจะเหมือนแม่เขามากกว่าพ่อ เพราะหน้าตาเขาไม่ค่อยดูเป็นอเมริกันสักเท่าไหร่ คล้ายพวกแขกขาวมากกว่า ”

เพราะเขาเป็นลูกครึ่งและมีแม่เป็นคนไทยนี่เอง เขาจึงรู้ภาษาไทยอย่างแตกฉานราวกับเป็นคนไทยแท้ๆ ทิพย์สุรางค์เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง แล้วเธอก็ฟังข้อมูลที่เจนนิเฟอร์หามาได้ต่อไป

“ทิปปี้ ตอนนี้ฉันชักจะเชื่อแล้วละว่าคริสกับผู้ชายคนนั้น คงเป็นคนๆเดียวกันอย่างที่เธอว่า เพื่อนฉันเล่าให้ฟังว่าเขาหายตัวไปประมาณหนึ่งปีแล้วก็กลับมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหนหรือมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา แต่พ่อฉันบอกว่าที่เขาหายไปน่ะพราะไปทำงานบางอย่าง แต่พ่อไม่รู้หรอกว่างานอะไร ”

เจนนิเฟอร์หยุดดื่มน้ำในแก้วที่วางอยู่ตรงหน้า เหลือบดูเพื่อน เห็นเธอเม้มปากท่าทางครุ่นคิด หญิงสาวชาวอเมริกันไม่แน่ใจว่าควรจะบอกเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ให้ทิพย์สุรางค์รู้หรือไม่ ถ้ารู้เธออาจจะสะเทือนใจก็ได้ แต่ในที่สุดก็คิดว่าเพื่อนของเธอควรจะได้รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น

“ทีนี้มาถึงเรื่องสำคัญที่สุด ” เธอพูดต่อพร้อมกับสังเกตสีหน้าของเพื่อนไปด้วย “เพื่อนฉันบอกว่าคริสมีคู่หมั้นแล้ว เขารักกันมาเกือบสิบปีแล้วละมัง เขาหมั้นกันก่อนหน้าที่จะถูกส่งไปอิรัค ”

เจนนิเฟอร์เห็นทิพย์สุรางค์สะดุ้ง มองหน้าเธอแล้วนิ่งอึ้งไปเป็นครู่ก่อนจะถามว่า “คู่หมั้นเขาเป็นใครเธอรู้ไหม ?”

“ รู้ซิ เขาชื่อลลิตา ”

“ลลิตา ?” ทิพย์สุรางค์ตกใจ “ ชื่อเหมือนคนไทยเลย หรือว่าเขาเป็นคนไทย ? ”

เจนนิเฟอร์พยักหน้ารับ “ใช่ เขามาเรียนหนังสือที่นี่ พ่อแม่ของคริสเป็นคนดูแลเขา เข้าใจว่าพ่อแม่ของพวกเขาคงรู้จักกันมาก่อน เห็นว่าเขามีแผนจะแต่งงานกันอีกไม่นาน ”

“ทำไมเพื่อนเธอรู้รายละเอียดขนาดนี้ล่ะ ?” ทิพย์สุรางค์ชักสงสัย

เจนนิเฟอร์ยักไหล่ “เขาว่าโลกแคบนี่น่าจะจริง เพื่อนฉันคนนี้เขาสนิทสนมกันดีกับผู้หญิงที่ชื่อลลิตา เพราะเขาต้องประสานงานกัน แล้วเธอรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนี้เขาทำงานอะไร ? เขาทำงานที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เลย์ตันนั่นแหละ ตอนแรกๆเขาเป็นเลขาฯเหมือนฉัน แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ก็อย่างว่าแหละ พ่อของคริสก็คงอยากจะสนับสนุนส่งเสริมเขาด้วย ในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้”

หญิงสาวฟังแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ชักจะยุ่งมากกว่าที่คิด

“ เธอเคยเห็นเขาไหม ”

“ใคร ? คู่หมั้นเขาน่ะหรือ ? ไม่เคยเห็นหรอก แต่ถ้าอยากรู้ว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง ฉันหารูปเขาให้ดูก็ได้ ”

ทิพย์สุรางค์ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา ”

“ตอนนี้เธอบอกได้หรือยังว่าจะทำยังไงต่อไป ? ” เจนนิเฟอร์ถาม ไม่เข้าใจว่าเพื่อนของเธอมีแผนอะไร

“ฉันกำลังคิดอยู่ เจนนี่ เธอบอกว่าเขาเป็นทหาร ตอนนี้เขาประจำการอยู่ที่ไหน รู้ไหม ”

“ที่แน่ๆไม่ใช่ในนิวยอร์คนี่ก็แล้วกัน น่าจะอยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. แต่ก็ไม่แน่ใจนะ ถ้าเธออยากรู้ฉันจะลองสืบให้ ”

“เจนนี่ ฉันอยากจะพบเขา..”

พูดไม่ทันจบประโยคเจนนิเฟอร์ก็ร้องขัดขึ้น “จะพบเขาอีกทำไมล่ะ เธอเคยบอกว่า ไม่ต้องการเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ ? ”

หญิงสาวยิ้มเกรียมๆ “ฉันเคยตั้งใจอย่างนั้น แต่วันที่เห็นหน้าเขาที่ร้านอาหาร ฉันรู้สึกว่าเขาสุขสบายเกินไป ในขณะที่ฉันต้องอับอายคอยหนีหน้าผู้คนที่เคยรู้จักฉัน ฉันเจ็บปวดมากเท่าไหร่ ฉันก็อยากให้เขาเจ็บปวดเท่าๆหรือมากกว่า ”

เจนนิเฟอร์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “นี่ทิปปี้ ฉันว่าเธอเลิกสนใจเขาดีกว่า ถ้าฉันเป็นเธอ ป่านนี้มีแฟนใหม่หรือแต่งงานไปนานแล้วละ ”

พอได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของทิพย์สุรางค์ก็แข็งกร้าวขึ้นมาทันที เธอพูดด้วยเสียงที่แข็งกระด้างจนอีกฝ่ายตกใจ

“เจนนี่ อย่าพูดราวกับว่าฉันกับเขาเคยเป็นแฟนกัน เขาไม่เคยเป็นอะไรกับฉันทั้งนั้นนอกจากเป็นคนที่ทำลายชีวิตฉัน ฉันเกลียดเขา ! เกลียดยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ! “

เจนนิเฟอร์ยกมือขึ้นสูง “ขอโทษที ทิปปี้ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้คิดยังงั้น ฉันเพียงแต่ไม่อยากให้เธอจมอยู่กับอดีต เรื่องมันก็เกิดขึ้นมานานแล้ว เธอมัวแต่ฝังใจอยู่กับมันแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีความสุขเสียทีล่ะ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเรื่องแค่นี้เป็นเรื่องจิ๊บจ้อย ไม่มีใครเขามานั่งแคร์มากมาย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่คบหาใครสักคนเหมือนเธอหรอก ”

สีหน้าที่เริ่มเฉยชา ปากเม้มจนเกือบเป็นเส้นตรงของทิพย์สุรางค์ ทำให้เจนนิเฟอร์ต้องรีบประนีประนอม “เอาเถอะ เธอจะให้ฉันทำอะไรต่อก็ว่ามา สรุปว่าเธออยากรู้ความเคลื่อนไหวของเขาใช่ไหม ว่าตอนนี้เขาทำอะไร อยู่ที่ไหน ทำนองนี้ใช่ไหม”

ทิพย์สุรางค์นิ่งคิดแล้วตอบว่า “ ฉันอยากพบเขาเป็นการส่วนตัว แต่ฉันต้องรู้ความเคลื่อนไหวของเขาก่อน จะได้คิดออกว่าจะทำอะไรต่อไป ฉันจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขา ”

“ โอเค ฉันจะจัดการให้ แต่คงต้องใช้เวลาหน่อยนะ"
"ไม่เป็นไร ฉันรอได้"

รอยยิ้มอย่างมาดหมายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทิพย์สุรางค์ ถึงเวลาที่รอคอยแล้ว!!!




 



Create Date : 06 เมษายน 2567
Last Update : 6 เมษายน 2567 10:57:59 น.
Counter : 482 Pageviews.

6 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณปัญญา Dh, คุณฟ้าใสทะเลคราม, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณหอมกร, คุณปรศุราม, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณpeaceplay, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณnewyorknurse, คุณ**mp5**, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณโอพีย์, คุณmultiple, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณSweet_pills

  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

แหม กำลังสนุก กำลังลุ้นว่า เมื่อ ทิพย์สุรางค์และคริสได้เจอกัน
จะทำหน้าแย่างไร จะคุยกันอย่างไร คริสจะเล่าเรื่องอย่างไร แล้ว
ทิพย์สุรางค์ จะเข้าใจตัวเขาไหม เขียนมาให้อ่านเร็ง ๆ จ้ะ ลุ้นอยู่ อิอิ

โหวดหมวด งานเขียนฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 6 เมษายน 2567 เวลา:19:14:19 น.
  
เหมือนมันไม่ค่อยต่อกับตอนที่แล้วเลยค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 6 เมษายน 2567 เวลา:20:39:55 น.
  
มาอ่านต่อครับ ช่วงตอนนี้เป็นต้นไปกับครั้งที่เคยลง เริ่มลืมแล้วครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 6 เมษายน 2567 เวลา:23:10:03 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 9 เมษายน 2567 เวลา:10:00:06 น.
  
โดย: โอพีย์ วันที่: 10 เมษายน 2567 เวลา:5:23:58 น.
  
โอ้ กำลังเริ่มจะเข้มข้นเลยนะครับนี่

ทั้งรักทั้งเกลียด หรือเปล่า อ.เต๊ะ ไม่แน่ใจเพราะพึ่งจะมาอ่านตอนนี้นะครับ อยากรู้ว่า ตอนมาเจอหน้ากันอีกที ชายหนุ่มจะจำฝ่ายหญิงได้หรือเปล่า จะมีอาการยังไง รออ่านตอนต่อไปนะครับ

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมเยียนกันนะครับ

โดย: multiple วันที่: 10 เมษายน 2567 เวลา:9:40:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 56 คน [?]



New Comments
Group Blog
เมษายน 2567

 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
12
13
14
15
17
18
19
20
22
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com