สวัสดีค่ะ ความจริงว่าจะไม่ส่งการบ้านเดือนนี้แล้ว ด้วยความที่มีเรื่องให้ทำหลายอย่างดี กลายเป็นกังวล ไม่มีสมาธิไป แต่ก็หาเวลาทำจนได้ เดือนนี้มีน้องเช้า Chibiasa เป็นโฮสท์ค่ะ โจทย์คือให้หาอะไรขม ๆ มาทำขนม ... แต่เมื่อประกอบเป็นขนมแล้วไม่จำเป็นต้องขม ... อะไร คือ อะไร ? ฮ่ะฮ่ะ ...


เราอ่านโจทย์ก็นึกถึงชาเขียวค่ะ เอาง่าย ๆ เข้าว่า ... หาของขม ๆ แบบแปลก ๆ ที่น้องเขาแนะนำ เช่น บอระเพ็ด มะระ สะเดา ฯลฯ ไม่ได้ ... พอดีเพื่อนให้ผงชาเขียวมา ก็เลยอยากทำเค้กชาเขียวอีกซักครั้ง คราวนี้อยากได้ filling เป็นมูส ... มองไว้หลาย ๆ รสเลยค่ะ ตอนแรกว่าจะทำ ตัวเค้กเป็นชาเขียว ใส้มูสส้ม ท่าจะอร่อยชื่นใจดี ทำเป็นหลาย ๆ ชั้น น่าจะสวย แต่ด้วยความที่สะเพร่า อบเค้กในพิมพ์ขนาดเล็ก สี่เหลี่ยม 8 นิ้ว 2 ถาด ... เค้กฟูหนาเกินขนาดความต้องการ ครั้นจะเอามาสไลซ์ แบ่งชั้น ก็ไม่มีความมั่นใจว่าชั้นจะเท่ากัน ... เอายังไงหนอ ถ้าเค้กไล่ชั้น แล้วชั้นไม่เท่ากัน ก็ไม่อยากทำค่ะ ... ครั้นจะทำตัวเค้กใหม่ก็เสียดายอันเดิม อิอิ หอมชาเขียวดี สูตรนี้ใส่ชาเขียวอย่างเยอะด้วย









ในที่สุดก็ตกลง ทำเค้กเป็น 3 ชั้น ให้ชั้นเค้ก เป็น base ชั้นเดียว ... ตามด้วย มูสถั่วแดง
และมูสชาเขียว ... เห็นเว็บร้านขนมญี่ปุ่นมีรสนี้ด้วย คงไม่เพี้ยนอะไร .... มาดูวิธีทำนะคะ



A. Matcha Chiffon Cake


เราจับเอาสูตรเดิมที่เคยทำเค้กม้วนชาเขียว มาทำอีกครั้ง ค่ะ คราวนี้ลองเพิ่มผงฟูเข้าไป ½ ช้อนชา เพิ่มทั้งทีเพิ่มน้อยจังน้อ อิอิ … ดีใจที่ใส่ไปเท่านี้ค่ะ เพราะขึ้นฟูมากตอนอบ แต่เวลาพักเย็น เนื้อเค้กจะยุบลงมา (หน้าเสมอกัน) ได้ความหนาเค้ก ไม่ต่างกันจากแบบที่ไม่ใส่ผงฟูเลยค่ะ คิดว่าถ้าทำเค้กม้วน ทำแบบไม่ใส่ผงฟูดีกว่านะคะ ถ้าฟูมากไป เวลาพักเย็น ผิวหน้าเค้กด้านบนอาจเหี่ยวได้ เวลาม้วน เดี๋ยวเห็นรอย ไม่สวยได้ …. แต่ถ้าสำหรับเค้กทั่วไปจะใส่ก็ได้ค่ะ เนื้อสัมผัสจะเบาขึ้นนิด ๆ แต่ความฟูนุ่มไม่ต่างกันเลยค่ะ





ส่วนผสม


ส่วนผสมไข่แดง

1. ไข่แดง 4 ฟอง
2. น้ำตาลทราย 35 กรัม
3. น้ำมันพืช 40 กรัม
4. นมสด 40 กรัม
5. แป้งเค้ก 75 กรัม
6. ผงฟู (baking powder) ½ ช้อนชา
7 ผงชาเขียว 10 กรัม
8 วนิลา extract 1 ช้อนชา
9 สีผสมอาหาร หากชอบให้มีสีสดใสขึ้น
(เราใช้ paste color – Moss Green ค่ะ)


ส่วนผสมไข่ขาว

1. ไข่ขาว 4 ฟอง
2. น้ำตาลทราย 75 กรัม




วิธีทำ


ยกเอาบล็อกเดิมมาให้อ่านเลยนะคะ ...






1. เตรียมถาดอบ เราใช้ขนาด 9” x 13” ค่ะ (กรณีทำเค้กโรล) เค้กบล็อกนี้เราใช้ถาดขนาด 8 x 8 นิ้ว 2 ถาดค่ะ ปูกระดาษไข (ไม่ต้องทาไขมัน) เสร็จแล้วอุ่นเตาอบไว้ที่ 350 F หรือ 180 C








2. ร่อนแป้ง ผงฟูพร้อมผงชาเขียว ซัก 2 ครั้ง แล้วคนให้เข้ากัน พักไว้







3. ตีไข่แดงและน้ำตาลด้วยกัน เราใช้ hand mixer เลยค่ะ ความเร็วปานกลาง … จนได้สีนวลลง ก็เติม นมสด น้ำมันและวนิลาลงผสม ตีผสมพอให้เข้ากัน

* ใช้ตะกร้อมือก็ได้ค่ะ จะไม่ต้องล้างหัวตะกร้อตอนตีไข่ขาวอีก








4. ใส่แป้ง ผงฟูและผงชาเขียวที่ร่อนไว้ในข้อ 2 ลงผสม ตะล่อมให้เข้ากันด้วยพายยาง
หากต้องการใส่สี ก็เติมลงผสมตอนนี้เลยนะคะ เสร็จแล้วก็พักไว้








5. ตีไข่ขาว ด้วย hand mixer ความเร็วปานกลาง จนได้ฟองหยาบ ก็เริ่มทยอยใส่น้ำตาล ทีละน้อย พร้อมตีไข่ไปด้วย ใช้ความเร็วสูง จนไข่ตั้งยอด (กลาง - ชี้แต่ปลายงอ)... ตีด้วยความเร็วต่ำประมาณ 10 วินาทีเพื่อตัดฟองอากาศ








6. แบ่งไข่ขาว 1/3 ส่วน ลงผสมกับกับส่วนผสมไข่แดง ตล่อมเบา ๆ ให้เข้ากันด้วยพายยาง แล้วตามด้วยไข่ขาวที่เหลือจนหมด








7. เทแบทเทอร์ใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ เคาะถาดกับโต๊ะเพื่อไล่ฟองอากาศซักครั้ง แล้วส่งเข้าเตาอบ เราใช้เวลาประมาณ 12 นาที แล้วแต่พิมพ์และเตาอบนะคะ ... ขนาด 8x8 นิ้ว เราใช้เวลาอบ 8 นาทีค่ะ







8. พอเค้กสุก เอาออกจากเตาอบ ทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที (เค้กยังอุ่น ๆ) เราก็คว่ำเค้กบนตะแกรง ดึงเอากระดาษไขออก จากเค้ก ... พักไว้ให้เย็นสนิท

หากยังไม่ประกอบเค้กทันที ก็ห่อด้วยพลาสติกแรบ เก็บไว้ในตู้เย็น เค้กจะได้นุ่ม ๆ ไม่แห้ง ตามที่อ่าน ๆ มา สามารถเก็บเค้ก ได้เป็น 4 วันเลยนะคะ .. ถ้าเอาเข้าช่องฟรีซ สามารถเก็บได้นานเป็น 2-3 เดือนเลย







9. เมื่อจะประกอบเค้ก ก็แบ่งชั้นเค้ก นำเค้กวางบนพิมพ์ที่จะฟอร์มเค้ก ... กลมหรือสี่เหลี่ยมตามแบบที่ชอบ ...





หากไม่มีพิมพ์ฟอร์มเค้กโดยตรง ก็ประยุกต์เอาพิมพ์อบเค้ก มาใช้ก็ได้ค่ะ ปูแผ่นพลาสติก ให้ห้อยออกมาข้างพิมพ์สำหรับยกเค้กออก ... วางกระดาษรองเค้กบนแผ่นพลาสติกก็ดี จะช่วยให้เค้ก ไม่เสียรูปเวลายกเค้กออกจากพิมพ์ อันนี้คุณปุ๊ก Dailydelicious เล่าให้ฟังนานมาแล้วค่ะ


ตอนแรกว่าจะใช้พิมพ์ข้างบน แต่ดูความสูงแล้ว ดูเตี้ยไป ก็เลยเปลี่ยนใจมาใช้ถาดเค้กแบบถอดก้นได้ค่ะ ชิ้นเค้กไม่เต็มพิมพ์ ก็ตัดชิ้นที่เหลือมาปูเอา อิอิ ... บอกแล้วว่าเสียดาย วันนี้เราจะทำเค้กเป็นฐานชั้นเดียวค่ะ




B. Simple Syrup น้ำเชื่อมสำหรับทาเค้ก


ไม่มีรูปนะคะ ง่าย ๆ จำเป็นมั้ยต้องทำ? สำหรับเรา คิดว่าทาก็ดีนะคะ มูสกับเค้กจะได้ติดกันดี

1. น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
3. กลิ่นชาเขียว นิดหน่อย หากมีนะคะ


วิธีทำ

นำน้ำตาล น้ำเปล่า และกลิ่นชาเขียว (หากมี) ใส่หม้อ นำไปตั้งไฟกลาง
พอน้ำตาลละลายหมด ก็ปิดไฟ พักไว้ให้เย็นค่ะ




C. Red Bean Mousse


ประยุกต์สูตรจาก addalittlelove@blogspot



ส่วนผสม


1. Thai Style Red Bean Paste 1 ถ้วยตวง (1สูตร)
2. นม ¼ ถ้วย
3. ซาวครีม (Sour Cream) ¼ ถ้วย
4. วิปปิ้งครีม 1 ถ้วย
5. น้ำตาลทรายป่น 2 ช้อนโต๊ะ *
6. เจลาตินผง 2 ช้อนโต๊ะ (14 กรัม)*
7. น้ำเปล่า 6-7 ช้อนโต๊ะ*


· เวลาบานเจลาตินผง เราใช้วิธีโปรยผงเจลาตินใส่น้ำลงไปเรื่อย ๆ เริ่มที่ใส่น้ำในถ้วย 3 ช้อนโต๊ะก่อนค่ะ ... ถ้าผงเจาตินโผล่เหนือน้ำ เราก็จะเพิ่มน้ำเข้าไปค่ะเรื่อย ๆ ทีละ 1/2 - 1 ช้อนโต๊ะ ทำดังนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดผงเจลาติน

· ปริมาณเจลาตินสูตรนี้มากกว่า ที่ใส่ในมูสชาเขียวข้างล่างนะคะ ตอนแรกคิดว่าเยอะไป แต่ชิมมูสแล้ว เนื้อกำลังดีเลยค่ะ เอาตามเขาไปเลย อิอิ

· เพิ่มน้ำตาลทรายป่นเข้ามา สำหรับตีกับวิปปิ้งครีมด้วย เพราะ red bean paste สูตรที่ใช้จะไม่หวานมากค่ะ

· เราตัดน้ำเลม่อนจากต้นสูตร ... sour cream เปรี้ยวพอแล้วค่ะ







Thai Style Red Bean Paste ไปดูสูตรที่บล็อกโรลชาเขียว คลิ้กที่นี่นะคะ




วิธีทำ







1. โปรยผงเจลาติน ลงในน้ำเปล่า หากผงเจาตินโผล่เหนือน้ำ ก็เพิ่มน้ำเข้าไปแบบที่ว่าข้างบนนะคะ ปล่อยให้บานประมาณ 3 นาที แล้วนำเข้าไมโครเวฟ 1 นาที เสร็จแล้วก็ทิ้งให้เย็น 3 นาที เจลาตินก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำใสประมาณในรูป

วิธีนี้เราดูมาจากเว็บที่อ้างสูตรนะคะ น่าสนใจดี เรื่องการใช้เจลาตินผง นี่เป็นอะไรที่เรายังไม่เคลียร์ เรื่องอุณหภูมิหรือวิธีการใช้ที่ถูกต้องซักทีเลยค่ะ ... ยังทดลองไปเรื่อย ๆ







2. ระหว่างรอให้เจลาติน เคลียร์ และเย็นลง มาตีวิปปิ้งครีม และน้ำตาลทรายป่น จนได้ครีมข้น ๆ เริ่มตั้งยอดอ่อน ๆ ... พักไว้ค่ะ

(ถ้าตั้งยอดแข็งไป ในความคิดเรา คิดว่า ทำให้ผสมมูสยากค่ะ ในรูปข้างบน เราว่ายังข้นแข็งไป ... ประมาณรูปในวิธีทำมูสชาเขียว ข้างล่างจะดีกว่าค่ะ)








3. เติม red bean paste นม sour cream และเจลาติน ตีผสมให้เข้ากันดีด้วย hand mixer ไปเลยค่ะ mixer ใครมีความแรงสูง ก็ตีด้วยความเร็วปานกลาง ... เราใช้ hand mixer ความแรงต่ำ ก็ตีด้วยความเร็วสูงไปเลย

(เราทดลองคนผสมด้วยพายยางเข้ากันยากค่ะ เป็นลิ่มด้วย)








4. แบ่งวิปครีม 1/3 ส่วนลงผสมกับ ส่วนผสมครีมถั่วแดงข้อ 3 ตีผสมด้วย hand mixer จนส่วนผสมเข้ากันดี ก็ใส่วิปครีมที่เหลือ ลงตีผสม พอเข้ากันดี ก็หยุดค่ะ







5. ทาน้ำเชื่อมบนเค้กให้ทั่ว ไม่ถึงกับต้องชุ่มโชก พอให้หน้าเปียก ๆ พอค่ะ เสร็จแล้วใช้การ์ดเกลี่ยครีมให้ทั่วชิ้นเค้ก นำเข้าตู้เย็น พักไว้






D. Green Tea Mousse


ประยุกต์จาก laceinsecretplaces@blogspot




ส่วนผสม

1. น้ำร้อน 3 ช้อนโต๊ะ
2. ผงชาเขียว 2 ช้อนโต๊ะ (10 กรัม)
3. คอร์นไซรัป (corn syrup) 2 ช้อนโต๊ะ
4. white chocolate 150 กรัม
(เราใช้ white chocolate chip ค่ะ)

5. วิปปิ้งครีม 300 กรัม *
6. ผงเจลาติน 1 ½ ช้อนโต๊ะ (10 กรัม)
7. น้ำเปล่า 4-5 ช้อนโต๊ะ


· ต้นสูตรใช้ whipped cream ที่ตีสำเร็จแล้ว 300 กรัม ค่ะ




วิธีทำ





1. บานผงเจลินในน้ำเปล่า พักไว้ เริ่มที่ใส่น้ำในถ้วย 3 ช้อนโต๊ะก่อน แล้วค่อย ๆ โปรยเจลาตินลงไปเรื่อย ๆ หากผงเจลาตินโผล่ ก็เติมน้ำลงไปเพิ่มอีกทีละนิด ประมาณ 1/2 -1 ช้อนโต๊ะ ทำไปเรื่อย ๆ จนหมดผงเจลาติน








2. ผสมน้ำร้อน ชาเขียว และคอร์นไซรัป ให้เข้ากัน ในหม้อซอส ขนาดเล็ก เสร็จแล้วก็นำไปตั้งไฟกลางจนเดือดดี (ต้องให้เดือดค่ะ เดี๋ยวละลลายช็อคโกแลตขาวไม่หมด) ปิดไฟ ใส่เจลาตินลงคนผสมจนละลายดี







3. เทส่วนผสมชาเขียวลงบน white chocolate คนผสมด้วยพายยางจน white chocolate ละลายหมดพักไว้







4. ตีวิปปิ้งครีม จนข้น เริ่มตั้งยอดอ่อน ๆ ประมาณนี้เราว่ากำลังดีค่ะ









6. แบ่งวิปครีม 1/3 ส่วน ลงผสมกับส่วนผสมชาเขียว + white chocolate ตีผสมด้วย hand mixer จนเข้ากันดี แล้วใส่วิปครีมที่เหลือลง ตีผสมพอเข้ากันดี ได้เนื้อมูสเนียน ก็หยุด








7. นำมูสไปปาดบนชั้นมูสถั่วแดง ปาดหน้าให้เรียบด้วยการ์ด นำเข้าตู้เย็น ให้เซ็ทตัว อย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือข้ามคืน







เสร็จแล้วค่ะ ยาวเหมือนกันเนาะ แต่ง่ายค่ะถ้าไม่ต้องถ่ายรูป แป๊บเดียว อิอิ ... ว่าจะทำหน้าเจลลี่ชาเขียว ด้วย แต่เห็นหน้ามูสเรียบ เด้งแล้ว ก็ไม่เอาดีกว่า จะมากไป ... เค้กนี้เบ็ดเสร็จ มีชาเขียวผสม 20 กรัมเลยค่ะ ....













ตัดเป็นชิ้น ขนาดตามใจชอบ







จับมาแต่งด้วย Sesame Brittle









อร่อยทีเดียวค่ะ โดยเฉพาะมูสชาเขียว ไม่หวานอย่างที่คิดไว้ ได้รสชาเขียวมาก ๆ
รสลงตัวทีเดียวกับมูสถั่วแดง เราชอบรสโดยรวมค่ะ ประกอบเค้กแบบนี้ง่ายดีด้วย

----------------------------------

ขอบคุณที่แวะมานะคะ มีเวลาดีทุกท่านค่ะ

Create Date : 25 มีนาคม 2554
Last Update : 26 มีนาคม 2554 3:25:55 น.		74 comments
Counter : 28129 Pageviews.
Share Tweet