กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
สิงหาคม 2564
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
space
space
30 สิงหาคม 2564
space
space
space

อารมณ์ที่เกิดจากจิตซึ่งเป็นสมาธิแล้ว



คำถาม 450 ที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกจริงๆ 


     เป็นคนจิตฟุ้งซ่านง่าย ทำอย่างไร จึงจะทำให้จิตนิ่งและแข็งขึ้นดีคะ


     ตามหัวข้อเลยนะคะ เราอยากรู้ค่ะว่าทำยังไงไม่ให้จิตมันฟุ้งซ่าน ทำยังไงให้ตัวเองนิ่งขึ้นดี ต้องเล่าก่อนค่ะ ว่าปกติเป็นคนชอบปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แต่มาติดอยู่เรื่องเดียวคือเราชอบกลัวเวลาสวดมนต์อ่ะค่ะ เราไม่ได้เพ้อเจ้อนะคะ แต่เวลาเราสวด เราจะสามารถสัมผัสพลังงานพวกนี้ได้ค่ะ เช่นเราสวดๆอยู่ เราจะรู้สึกเย็นๆบริเวณรอบลำตัวเลยค่ะ บางทีก็เย็นกลางหลัง บางทีก็เย็นที่เท้า หรือบางทีก็เย็นบริเวณรอบๆค่ะ เย็นแบบเย็นยะเยือกอ่ะค่ะ อย่างกับลมหิมะเลย แต่เราอยู่ห้องธรรมดา ห้องพัดลมแบบนี้ แล้วจะขนลุกเสมอ เวลาสัมผัสอะไรแบบนี้ได้


     ทีนี้เราไม่ได้บอกว่าไอการสัมผัสพลังงานอะไรแบบนี้มันไม่ดีนะคะ แต่ทีนี้มันก็มีข้อเสียอย่างนึงคือ เวลาเราจะเข้าห้องพระไปสวดมนต์กลายเป็นว่าเราชอบไปกลัวไออาการที่เราเป็นอยู่ซะเอง เช่นเรากลัวว่า เขาจะมาทำร้ายเรามั้ย หรือ กลัวเขาจะหลอกเรา เราเป็นแบบนี้บ่อยมากค่ะ ทุกครั้งที่เข้าไปสวดมนต์ เราเลย เหมือนคนฟุ้งซ่านไปเลยว่าสวดทีไรจิตก็ไม่เคยนิ่ง และเอาชนะไม่เคยได้สักที มันเป็นอุปสรรค์สำหรับการปฏิบัติธรรมมากค่ะ เราไม่รู้จะแก้ยังไงดี

     ตอนนี้เราอายุ 16 แล้วนะคะ ชอบปฏิบัติมาตั้งแต่ 13 แล้วค่ะ แต่ทำไม่เคยต่อเนื่องก็เพราะเรื่องนี้แหละที่เจอ คือจิตชอบไปกลัว ชอบไปคิดมาก แต่พอสวดเอาเข้าจริงๆมันก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ มีแต่เราที่คิดไปเอง เราอยากทราบถึงพี่ๆ หรือ เพื่อนๆ ที่ปฏิบัติกันมาได้นานๆอ่ะค่ะ ว่าเวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ จัดการกับความคิดยังไง แล้วรับมือยังไงกันบ้าง

     บางท่านอาจจะคิดนะคะ ว่าถ้ากลัวมากแล้วปฏิบัติไปทำไม ก็เลิกทำสิ เราเคยเลิกไปหลายครั้งแล้วค่ะ กับการปฏิบัติเนี่ย ท้อไปก็มาก ล้มไปก็หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็เหมือนจะมีอะไรดลบันดาลให้กลับไปปฏิบัติได้ตลอดค่ะ แต่จะต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่องก็ขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งนั้น เราเคยลองหนีการปฏิบัติมาหลายครั้งนะคะ การปฏิบัติของเรา ณ.ที่นี้ หมายถึงการสวดมนต์ สร้างความดี ถือศีลควบคู่

     เราชอบปฏิบัติค่ะ ยังไม่ทราบผลที่แท้จริงเหมือนกันว่าชอบไปทำไม แต่ปฏิบัติแล้วรู้สึกเลิกไม่ได้ค่ะ ช่วงนี้เองเราไม่ได้ปฏิบัติมา 1-2 เดือนแล้ว แล้วเรารู้สึกไม่ชินเลยค่ะ รู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง เหมือนเราลืมอะไรสักอย่าง ไม่ปฏิบัติไม่ใช่ว่ามีความสุขนะคะ ไม่แม้แต่น้อย เราเคยคิดนะ ทำไมชีวิตเราไม่เหมือนเด็กคนอื่น ถ้าเป็นวัยประมานนี้ ส่วนใหญ่ก็ต้อง ออกไปเที่ยว ออกไปเล่น มีชีวิตในแบบของเขา แต่เราคือไม่เลยค่ะ เราชอบอยู่บ้าน ชอบปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระ

     เราเชื่อโลกหลังความตาย แต่ไม่ได้งมงายขนาดนั้นนะคะ เราเชื่อผลของการกระทำ เชื่อมั่นในตัวเอง ทำนองนี้ซะมากกว่าเชื่อมั่นในความดี เรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่เราศรัทธา เป็นอะไรที่เราเชื่อ และเราชอบทำความดีค่ะ แต่อย่างที่เราอธิบายไปในตอนต้น ว่าเราชอบไปกลัวชอบไปคิดเยอะ เราเองก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไงดี

     มีรุ่นพี่เราที่สนิทคนนึง พี่เขาก็บอกนะคะ ว่าใจต้องเด็ดเดี่ยว มั่นคงเข้าใว้ อย่าไปกลัว เราอ่านเรารู้ นะคะ ว่าต้องทำยังไง แต่พอถึงเวลาจริงๆ แทนที่จะหายกลัว ก็ดันกลัวเหมือนเดิมอีก ไม่มีประโยชน์เลยค่ะ เลยไม่รู้ต้องแก้ยังไงดี เราจนปัญญามากค่ะ ไม่อยากให้การปฏิบัติต้องล้มเลิกไปเลย ฮือออออ


คคห. จขกท. 7-1 อีก 450

     ตอนสวดมนต์คือเป็นแน่ๆค่ะตามที่เคยได้บอกเลย ส่วนตอนนั่งสมาธิก็มีบ้างนะคะ ยิ่งวันไหนสวดมนต์จิตอยู่กับบทสวดแบบมีสติมากๆ และไม่ฟุ้งซ่านจะเป็นค่ะ คือเวลานั่งสมาธิบางทีจะรู้สึกเย็นตามลำตัวและขนลุกตลอดการนั่งค่ะ อันนี้เป็นบ่อย จะเย็นยะเยือกมากค่ะ เย็นบริเวณแขนบ้าง เท้าบ้าง หลังบ้าง เย็นบ่อยค่ะ เย็นมาก แล้วบางทีก็จะขนลุกซู่ด้วยค่ะ แต่ไม่ถึงขั้นว่าได้ยินเสียง หรืออะไรที่หนักกว่านี้ แต่บางทีนั่งสมาธิเห็นภาพขึ้นมากี่มีค่ะ แต่น้อย เพราะกว่าจิตเราจะไปถึงขั้นนั้นได้ก็ไม่ง่ายค่ะ อิอิ


คคห. จขทก. 11-1 อีก  450


     สาธุนะคะ คุณเจ้าของเมนต์ เราเคยฝึกทั้งสองอย่างเลยค่ะ เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ หรือฝึกตัวเอง

     แบบที่ 1. ที่คุณเจ้าของเมนต์บอกว่า ฝึกเรื่องอารมณ์ เราเคยฝึกค่ะ โดยการที่เราอ่านธรรมะ แล้วนำมาปรับใช้กับตนเอง เช่นเราโกรธง่าย เราจะพยายามนิ่งและมองลึกๆค่ะ ว่าหากโกรธไป จะเกิดผลอะไรตามมา และอีกหลายเรื่องค่ะที่เราฝึกตัวเอง จนมีช่วงนึงเรานิ่งมากๆ แล้วก็กลับมาเหมือนเดิม เพราะไม่ได้ทำต่อเนื่อง

     แบบที่ 2 เรานั่งสมาธิเพื่อดูการหายใจของตัวเราเอง มีสติอยู่กับการหายใจ เข้าและออกค่ะ บางทีเรานั่งไปก็นั่งภาวนา พุธโธๆ หรือบางทีนั่งไปก็จะนึกถึงความดีที่ตัวเราได้ทำค่ะ จนเรานิ่งขึ้นมาก บางทีก็จะนึกถึงคำสอนครูบาอาจารย์ต่างๆในขณะนั่งด้วยค่ะ เพื่อทบทวนไปในตัว มีครั้งนึงที่เรานั่งสมาธิแล้วนึกถึงความดีจนเราอยู่ดีๆก็ร้องให้ออกมาเลยค่ะ ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะอะไร

 
https://pantip.com/topic/40943416


    (ตอบที่นั่นไม่ได้)  ขออนุโมทนาในกุศลจิตกุศลเจตนาของน้องด้วย  สภาวะที่เกิดตามที่เล่านั่นเป็นลักษณะของสมาธิ  ของปีติ  ของปัสสัทธิ    (พี่เองขณะที่อ่าน กท. ลักษณะนี้ จะขนลุกตามหลัง ตามขา ตามหน้า น้ำตาซึมๆ  รู้สึกเย็นยะเยือกบางครั้งถึงสั่นสะท้าน  ซึ่งมันเป็นอาการของสมาธิ  ปีติ ปัสสัทธิเป็นต้นนี่แหละ  ปัจจุบันน้อยแล้ว  สภาวะเหล่านี้จะต้องกำหนดให้ผ่าน)  ไม่มีอะไรน่ากลัว  แต่ความกลัว (จิต)  มันเป็นอุปาทานขันธ์  ซึ่งเรายังละไม่ได้ จะต้องค่อยๆเรียนรู้จากการปฏิบัติทำนองนี้เรื่อยๆไป


   (ที่ว่า =>) เราอยากทราบถึงพี่ๆหรือเพื่อนๆ ที่ปฏิบัติกันมาได้นานๆอ่ะค่ะ ว่าเวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ จัดการกับความคิดยังไง แล้วรับมือยังไงกันบ้าง


     จขกท. จะบังเอิญเห็นไหม  แต่ก็ตอบให้ไว้สำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตจริงๆ  ก็คือ กำหนดจิตครับ  ตามแนวสติปัฏฐานสั้นๆ 

       ๑. กาย   <=>  ร่างกายเคลื่อนไหว ทำนั่นทำนี่ สติ สัมปชัญญะตามทันทุกการกระทำ

       ๒. เวทนา  <= => สุขหนอ , ทุกข์หนอ เฉยหนอๆ

       ๓. จิต <= => รู้สึกกลัวปุ๊บ ให้ว่าในใจ (กำหนด) ปั๊บ กลัวหนอๆๆๆๆ ปักความรู้สึก (จิต) ตรงหัวใจ กลัวหนอๆๆๆๆ  (๔-๕ ครั้ง แล้วปล่อย เราทำอะไรอยู่ก็เบนความคิดมาจับอยู่ที่งานนั้นเรื่องนั้นสะ คิดกลัวขึ้นมาอีก ให้กำหนดอีกทำนองเดียวกัน)

       ๔. ธรรม  < = =>  ฟุ้งซ่านหนอๆๆๆๆ
 

     ทางกาย เช่น รู้สึกขนลุก เป็นต้น  ก็ให้กำหนดตามอาการ  ตย. เช่น ขนลุกหนอๆๆๆ  รู้สึกเย็นยะเยือกเหมือนอยู่ท่ามกลางหิมะ  ให้กำหนดคือว่าในใจ  รู้หนอๆๆๆ ก็ได้  (รู้ว่า มันเป็นยังงั้น)  เย็นหนอๆๆๆ ก็ได้  

     สรุปก็คือเป็นยังไง กำหนดยังงั้น  รู้สึกยังไง กำหนดยังงั้น  ตรงๆ ไม่เลี่ยงหนีสภาวธรรม


 
  235 ที่พูดนี่จริงแท้ 450 พูดกับทำต่างกัน  เหมือนนักมวย  กับ  คนเชียร์อยู่ขอบเวที เขาปราถนาดีอยากให้ชนะ   เราก็อยากชนะ  แต่ไม่รู้จะเอายังไง  เพราะโดนทั้งศอกเข่าจนหูอื้อตาลายดาวเต็มไปหมด 

 > มีรุ่นพี่เราที่สนิทคนนึง   พี่เขาก็บอกนะคะ ว่าใจต้องเด็ดเดี่ยว มั่นคงเข้าใว้ อย่าไปกลัว เราอ่านเรารู้นะคะ ว่าต้องทำยังไง   แต่พอถึงเวลาจริงๆ  แทนที่จะหายกลัว ก็ดันกลัวเหมือนเดิมอีก ไม่มีประโยชน์เลยค่ะ


     เทียบตัวอย่างนี้ 450 นี่เขาใช้หลักพุทโธ  ทั้งกล่าวอ้างสติปัฏฐาน ๔ ด้วย  ยังเอาไม่อยู่ ที่ว่านั่นเป็นหลักสำหรับใช้ปฏิบัติ  ส่วนสภาวะเป็นธรรมชาติ ดู  

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

     วันแรกๆ ก็ไม่เป็นอะไร  พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น  เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

     จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

     จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเอง  จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

     คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ  หายใจตอนแรกก็ยาว    ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน    คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

     ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ   จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง  ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา  ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

       1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี   ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

       2. จุดมุ่งหมายจริงๆ   คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ     

    ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ  พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์ อยู่แล้ว  เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา     เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา  ทำให้เราเข้าใจว่า  ทุกอย่างมีเกิด-ดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด   แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร  หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง   จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ   หลังสึกออกมาทุกวันนี้     เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน   แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง    ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



   ที่ว่า อารมณ์ที่เกิดจากจิตที่เป็นสมาธิแล้ว   แต่มันยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย   

   ต้องฝึกหัดพัฒนาจิตต่อไปอีก  ก็ทำดังเคยทำ  เช่น สวดมนต์อย่างว่า   แม้ในชีวิตประจำวัน เช่น  อ่าน/เขียนหนังสือ   ทำงานบ้าน  กินข้าว  อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน  เดิน-วิ่งออกกำลังกาย  ใช้เป็นอารมณ์ของจิตได้หมด เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานทั้งสิ้น

    

 




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2564
0 comments
Last Update : 10 ธันวาคม 2566 12:07:34 น.
Counter : 2118 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space