Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
17 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 

สุดยอดนักลดน้ำหนักไทยระดับเอเชีย



เมื่อหลายเดือนก่อน ชื่อของคนไทยได้ไปปรากฏอยู่บนอันดับต้นๆ ของเอเชีย
ด้วยการประกวดรายการเรียลิตี้ลดน้ำหนัก ที่เป็นรายการที่ได้รับความนิยมในเอเชีย
อย่าง The Biggest Losser Season 2 โดยมี คุณ อธิคม ลักษณประนัย หรือ “คุณนาย
ที่สามารถลดน้ำหนักจาก 137 กิโลกรัม เหลือเพียง 74 กิโลกรัม
ได้รับรางวัลรองแชมป์ ที่พ่ายให้กับผู้แข่งขันจากประเทศสิงคโปร์ไปอย่างสูสี

แรงจูงใจอะไรที่ทำให้เขาสามารถลดน้ำหนักได้ รวมถึงประสบการณ์การลดน้ำหนัก
โดยมีการแข่งขันเป็นเดิมพันของเขาเป็นเช่นไร M-Lite จะพาคุณไปพูดคุยเรื่องราว และประสบการณ์ดีดี
จากการออกกำลังกาย ที่สามารถสร้างขึ้นด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งยาลดน้ำหนักอีกด้วย


เรียลิตีสุดหิน!
ก่อนหน้าที่คุณนายจะก้าว เข้าไปสู่สังเวียนของเรียลิตี้ที่เขาชื่นชอบในรายการ The Biggest Looser
ซึ่งเป็นรายการที่เขาชื่นชอบตั้งแต่ดูซีซั่นแรก การออกกำลังกายโดยมีแรงจูงใจในการลดน้ำหนัก
ทำให้เขาต้องการเข้าไปอยู่ในเกมส์เรียลิตีดังกล่าวในซีซั่นที่ 2
ด้วยความตั้งใจที่พร้อมจะทำให้น้ำหนักของตนเองลดลง และสุขภาพร่างกายของตนเองดีขึ้น

“ชอบรายการนี้อยู่แล้วตั้งแต่ซีซั่นแรก เมื่อก่อนผมอ้วน แต่เป็นคนอ้วนที่ชอบออกกำลังกาย
แต่เพราะน้ำหนักมาการออกกำลังกายที่ผ่านมาเลยไม่ค่อยเต็มที่
พอได้เห็นรายการแล้วน่าสนุกแล้วได้ลดความอ้วนด้วยเลยอยากลองดู”

นายเล่าว่า ก่อนจะเข้าไปเขาต้องทำออดิชั่นในการส่งไปให้กรรมการได้คัดเลือด
ปีแรกเห็นวิดีโอที่เขาทำส่งกันไปดีมาก แต่เพราะตนเองคิดว่ายังไม่พร้อมจึงทำให้ล้มเลิก
เมื่อขึ้นปีที่ 2 เริ่มมีการมาออดิชั่นที่เมืองไทย และมีคนไทยสมัครจำนวนมาก
จึงทำให้เขาได้มีโอกาสอีกครั้งหนึ่ง

“เค้ามาออดิชั่นในเมืองไทย ก็รีบไปสมัคร เป็นการกรอกใบสมัครแล้วก็ไปลองทำดู
คือคนไทยสมัครเยอะเหมือนกัน พอเข้าไปในห้องก็มีเทรนด์เนอร์ของตัวเอง แล้วก็ให้ตอบคำถาม
แล้วมีการประเมินเรา ดูทัศนคติ พร้อมที่จะลดน้ำหนักไหม
มันเป็นรายการต่างประเทศก็ดีที่เรามีพื้นฐานภาษา ที่เราเคยไปเรียนอยู่ต่างประเทศมาสักพักหนึ่ง
ก็ทำให้ภาษาได้ ผมว่าหลายคนน่าจะเข้าไปในรายการได้ แต่ด้วยเรื่องของการสื่อสารจึงทำให้ไม่ผ่าน
เราก็เลยได้เป็น 1ใน 3 ของรายการ”

เมื่อได้ก้าวเข้าไปในรายการดังกล่าว นายเล่าถึงประสบการณ์ที่ต้องเผชิญในการลดน้ำหนักว่า
เป็นการลดน้ำหนักที่ทรมานมาก แม้ว่าซีซั่นแรกที่ตนเป็นคนดูจะทำให้มองว่าเป็นการแข่งขันที่ดูดี
แต่เมื่อเอาเข้าจริงเป็นเรื่องที่ยากมาก พฤติกรรมที่เคยทำต้องเปลี่ยนแปลงทั้งหมด

“ตอนเข้าไปในรายการ คอนเซ็ปต์ทุกอย่างในตัวเราต้องเปลี่ยน
การกินต้องเปลี่ยน การออกกำลังก็ต้องเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยนหมด เราเป็นคนละคนไปเลย
จากที่เราเคยเป็นคนที่กินอะไรก็ได้ไม่แคร์ เราเข้าไปต้องกินแบบนับแคลอรี่
ซึ่งสามารถดูอาหารต่างๆ ว่ามีกี่แคลอรีได้จากเวปไซต์ ซึ่งจะมีบอกว่าอาหารแต่ละอย่างให้กี่แคลอรี่
อาหารที่เรากินเข้าไปเราไม่ได้กินเป็นอาหารแล้ว เราต้องมองว่ามันเป็นพลังงานให้กับตัวเอง
เรามองเหมือนว่ามันเป็นน้ำมันที่จะคอยเติมพลังให้กับตัวเรา เหมือนเราเติมน้ำมันรถ
ไม่ได้มองว่ามันจะอร่อย เรามองเป็นตัวเลขมากกว่า
ออกกำลังกายต้องเป็นตัวเลข ทุกอย่างดูเป็นตัวเลขหมด”

การแข่งขันในรายการสูงมาก ต้องห้ามใจและเปลี่ยนแปลงตัวเอง
แต่ปัญหาเรื่องอาหารการกินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา เมื่อการไปอยู่ในภาวะที่มีแต่การแข่งขัน
แม้กระทั่งออกกำลังกายยังต้องแข่งขัน จึงทำให้เขารู้สึกกดดันจากตัวเองและคนรอบข้าง

สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงฮึดให้เขาต่อสู้และอยู่ได้จนกระทั่งรอบสุดท้าย
คือความแค้นที่ก่อเกิดจากเพื่อนที่เข้าร่วมแข่งขัน ที่ทำให้รูมเมทของเขาต้องออกจากรายการไปก่อน

“ตั้งแต่ความรู้สึกแค้นใจเกิดขึ้นทำให้เราตัดสัมพันธ์ทุกอย่าง มุ่งมั่นในการลดน้ำหนัก ตั้งใจมากขึ้น
ในรายการอาหารเค้าไม่ห้ามคุณจะกินอะไรคุณก็กิน แต่อาหารต้องทำเอง เราก็จะลิสต์รายการซื้อออกมา
วันนี้เราทานอะไรไปบ้างกี่กิโลแคลอรี่ แล้วเราก็ทำอาหารเอง ทำให้เรารู้ว่าวันนี้กินอะไรไปเท่าไหร่
ในทีมผมจะมีแม่ครัวหนึ่งคน ผมเองก็ทำกับข้าวเอง ทีมผมจะสบายมีอาหารดีๆ รสชาติคุณภาพดี
แต่อีกทีมจะไม่มีใครทำกับข้าวเป็นเลย ปกติตื่นเช้ามา เราก็กินซีเรียล แล้วโยเกิร์ต ถ้ามีเวลาก็จะทำ
ผมก็จะทำเป็นชามใหญ่ๆ แล้วก็มาแบ่งทานได้หลายมื้อ เลือกอาหารสำหรับตัวเอง ”



น้ำหนักที่เกิดจากสภาพแวดล้อม
ด้วยน้ำหนัก 137 กิโลกรัม กลายเป็นความเคยชินที่ผูกติดกับเขามาตั้งแต่วัยเด็ก
สภาพของการเลี้ยงดูจากทางบ้านที่มีการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
ทำให้คนในครอบครัวรวมถึงตัวเขาทุกคนมีน้ำหนักเกินร้อย

“ผมเป็นคนชอบรับประทานข้าว ชอบทำกับข้าว ตั้งแต่เด็กที่บ้านจะเลี้ยงดีมาก อาหารถูกปาก
กลับจากโรงเรียนมีกับข้าวให้ทานตลอด ที่บ้านจะมีกฎอยู่ว่าต้องกินให้หมดอย่าให้เหลือเพราะเสียดายของ
ผมถูกปลูกฝังมาแบบนนี้ พอที่บ้านซื้ออะไรมาให้กิน จะกินหมดทุกอย่างตั้งแต่โตมาจำได้เลยว่าไม่เคยผอม
น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จนตอนนั้นอ้วนสุดน้ำหนัก 137 กก ”

“ตอนนั้นไม่รู้สึกเลยนะว่าตัวเองอ้วน เพราะเราอยู่กับมันเกิดมากับสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็ก
เราชินกับมันเราก็ไม่รู้สึกอะไร คิดกับตัวเองเสมอว่าลดเมื่อไหร่ก็ลดได้ เราอ้วนแต่เรามีเนื้อมากกว่าไขมัน
เราเป็นคนเนื้อแน่น เพราะเราชอบยกเวทมาก่อน เราจะต่างจากคนอ้วนทั่วไปที่อ้วนแบบเหลวๆ ไม่มีเนื้อ
แต่เราอ้วนมีเนื้อ มีกล้ามเนื้อ เราก็ไม่รีบคิดว่าตัวเองลดเมื่อไหร่ก็ได้ เรื่องปัญหาสุขภาพไม่มีเลยนะ
คนไทยค่อนข้างยอมรับคนอ้วนพอสมควร
ก็ตั้งแต่เด็ก เราก็เป็นเด็กอ้วนในโรงเรียนที่ผู้ใหญ่เขามองว่าเราอ้วนน่ารัก
พอโตขึ้นเราก็มีพุงนิดๆ เราก็ยังเฉย ทั้งครอบครัวน้ำหนักเกินร้อยทุกคนเลยนะ
แม่ก็ร้อยกว่า พี่ชายก็ร้อยกว่า น้องสาวก็เริ่มไต่น้ำหนักขึ้นมาเรื่อย”

เขาบอกว่าความอ้วนไม่ได้มาจากพันธุกรรม แต่เป็นเพราะเรื่องของพฤติกรรมมากกว่า
สภาพแวดล้อมรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญ


“ตอนอ้วนเราก็ไม่รู้สึกว่าอ้วน มันอาจจะมีเรื่องของปัญหาสุขภาพนะ
คงมีเพราะเราเองก็มองข้ามมันไปในข้อนี้ เพราะเราเองอยู่กับความอ้วนมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกชินไปแล้ว
สุขภาพทางการแพทย์ผมไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ คงเพราะว่าอายุเรายังน้อยอยู่มั้ง
อายุยังไม่ถึงเลข3 แต่ถ้าเราอายุเลข 3 ปัญหาต่างๆ ก็คงจะตามมาเหมือนกัน”


ชีวิตติดตัวเลข
ในช่วงแรกของการเข้าแข่งขันรายการดังกล่าว
คุณนายสามารถลดน้ำหนักได้มากที่สุดถึง 8 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ความรู้สึกที่เขาบอกว่าโหยและทรมานมาก
ทำให้เขาต้องต่อสู้และฝ่าฟัน เพื่อให้ความตั้งใจของตนเองบรรลุเป้าหมายให้ได้มากที่สุด

รู้สึกอยากกินนะช่วงดึก มันโหยแน่นอน แต่เราต้องทำใจให้ได้ เราก็นอนไปเลย
ออกกำลังกายวันละ8 ชั่วโมง กลับมาเคลียร์ของ ก็เหนื่อยแล้ว ตื่นมาต้องออกกำลังกายต่อ ก็ลืมแล้ว
โหยนะแต่เหนื่อย มันอยู่ในข้อบังคับที่เรากินไม่ได้เพราะเราอยู่ในตอนแข่ง มันเป็นกฎข้อบังคับ
ช่วงแรกร่างกายจะเผาผลาญเอาน้ำออกไปก่อน เลยทำให้ช่วงแรกลงเร็ว”

ส่วนวิธีการที่สำคัญที่สุดคือวิธีการเลือกรับประทานอาหาร โดยคุณนายวิธีการแนะนำบอกว่าเอาไว้ว่า
การเลือกอาหาร ซึ่งจะแบ่งออกเป็นโปรตีนและแป้งที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย
ในช่วงเช้าและกลางวันเราสามารถรับประทานอาหารจำพวกแป้งได้
เนื่องจากต้องใช้พลังงานในการออกกำลังกาย
ในช่วงบ่ายนั้นควรลดอาหารจำพวกดังกล่าว เพราะเราไม่สามารถนำเอาพลังงานเหล่านั้นไปใช้ได้


“ช่วงเช้าผมอาจจะรับประทาน ขนมปัง 2 แผ่น กลางวันก็หาอาหารจำพวกแป้งมารับประทาน
ตกเย็นอาจจะรับประทานสลัด ซึ่งอาจจะเป็นไก่ โดยนำเอาไปปรุงด้วยวิธีการต้ม อบ นึ่ง หรือทอดบ้าง
ซึ่งใช้สเปรย์ฉีดกระทะในการปรุงอาหาร”

การรับประทานที่ได้ผลอาจจะใช้วิธีการนับแคลอรี ว่าในแต่ละมื้อเรารับประทานไปแล้วกี่กิโลแคลอรี่
และจากนั้นก็มีเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถป้อนข้อมูลส่วนตัวเข้าไป
แล้วจะคำนวณอาหารในแต่ละมื้อที่รับประทานเข้าไป และการเผาผลาญทั้งหมดได้

“ไม่ได้ยุ่งยากนะว่าจะลดน้ำหนักจะต้องมานับว่าต้องกินเท่าไหร่ ยังไงบ้าง
ผมว่าคนที่อ้วนน่าจะรู้นะว่าตัวเองควรกินยังไงควรออกกำลังกายยังไง แต่เขาไม่ทำ ซึ่งผมเคยเป็นแบบนั้น
ความตั้งใจมีแต่ทำไม่ได้ ซึ่งบางคนรู้แต่ไม่ทำ นิสัยมักจะเป็นแบบนี้
ผมเข้าไปในรายการแล้วมันเป็นเกม ลดมาแล้วความอยากยังอยู่มั้ย
ช่วงนี้จริงๆ มันเป็นช่วงที่ออกมาแล้วดูทุกอย่างละเอียดมาก
พอออกมาเราก็กินเป็นปกติ แต่เราก็คิดก่อนกินว่าไม่กินของทอด”

“ตอนอ้วนเหงื่อจะออกเยอะมาก นั่งเฉยๆ ก็จะออกมาล่ะ
แต่พอตอนนี้เราใส่เสื้อแจ๊คเก็ตทับอีกตัวก็เหงื่อไม่ออกนะ สบายตัวเราเหนื่อยแต่เรามีความสุข
สมัยก่อนไม่คิดจะวิ่ง เจอสะพานลอยก็ไม่เอา ไม่ทำอะไรที่ทำให้ตัวเองรู้สึกเหนื่อย”


กินมากมื้อในปริมาณน้อย
นอกจากเรื่องอาหารการกินจะเป็นเรื่องสำคัญในการลดน้ำหนักแล้ว
เรื่องการออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
หลังจากที่คุณนายน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์แรกถึง 8 กิโลกรัม
โดยสิ่งที่เผาผลาญออกไปเป็นเพียงแค่น้ำที่มีอยู่ในตัว แต่ไขมันยังออกไม่มากพอ
หลังจากนั้นน้ำหนักจึงลดลงอาทิตย์ละ 3 กิโลกรัมอย่างคงที่มาตลอด

“พอเหลือน้ำหนักที่ 80 กก. ผมก็ต้องพยายามลงให้ได้มากที่สุด แต่เราต้องมาเปลี่ยนวิธีการออกกำลังกาย
เปลี่ยนคอนเซ็ปต์การออกกำลังกาย เปลี่ยนทุกอย่างที่เคยทำที่คิดว่าเป็นชีวิตประจำวัน
เพื่อให้ร่างกายปรับ ให้ร่างกายรู้สึกว่ากำลังลดน้ำหนัก
เพราะร่างกายฉลาดที่จะจำได้ว่า เขาเคยลดมาแบบไหนแล้วร่างกายจะคงที่อยู่อย่างนั้น
จากนั้นก็จะไม่เผาผลาญ หรือช้าลงกว่าเดิม ฉะนั้นเราก็ต้องปรับให้ร่างกายรู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญเกิดขึ้น ให้รู้สึกว่าร่างกายได้เผาผลาญตลอดเวลา


ด้วยลักษณะการบริโภคของคนในปัจจุบันมีผลต่อการออกกำลังกาย
หากเราไม่ควบคุมการกินก็ไม่เกิดประโยชน์
ในอาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างที่ไม่ใช่น้ำเปล่า มักจะมีแคลอรี่ทั้งสิ้น อาหารแต่ละอย่างอยู่ที่การปรุงแต่ง
ถ้าเราเอาข้าวขาวกับข้าวกล้องในปริมาณที่เท่ากันเรา
ก็ต้องเลือกข้าวกล้องที่ปริมาณที่อิ่มเหมือนกัน แต่ให้พลังงานที่น้อยกว่า


“การเลือกบริโภค ปัจจุบันของทุกอย่างจะมีข้อมูลที่ให้มา ว่ารับประทานเข้าไปแล้วจะได้พลังงานเท่าไหร่
ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลไปคำนวณได้ ทางที่ดีเราควรทานอาหารที่เราปรุงเอง
ซึ่งที่เราซื้อมาเราไม่รู้วิธีการปรุงแต่งว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เราสามารถดูได้ว่าสิ่งที่เราทำ กินเข้าไป มันมีปริมาณเท่าไหร่ เราต้องออกกำลังกายแค่ไหน


วิธีการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพนั้น ควรลดให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 กิโลกรัม
หรืออาจจะกำหนดวันเวลาที่จะทำให้ถึงเป้าหมายให้แก่ตัวเอง
เพื่อเป็นแรงช่วยกระตุ้นให้รู้สึกอยากลดน้ำหนักและสุขภาพที่ดีขึ้น

“บางคนคิดว่ามื้อเช้าซัดเต็มที่เลยแต่มื้อกลางวันมื้อเย็นไม่กิน พอเราทำแบบนี้ร่างกายกำลังรู้สึกว่าพักผ่อน
ทุกอย่างที่เรากินเข้าไปจะไม่ย่อย ทำให้แปลงเป็นพลังงานสะสมไปสู่ส่วนต่างๆ ไม่ถูกเผาผลาญ
แต่ถ้าเราเปลี่ยนการกินของเราเป็นวันละ 6 มื้อ มื้อเช้า เที่ยง เย็น ปกติ แต่ปริมาณที่น้อยลง
แล้วก็จะมีอาหารว่างระหว่างมื้ออะไรก็ได้ อาจจะเป็นผลไม้
การกินเยอะๆ ร่างกายเผาผลาญไม่ทันก็กลายเป็นสะสมไปตามส่วนร่างกาย
การที่เรากินมากมื้อแต่ปริมาณที่น้อยก็จะทำให้เราเผาผลาญได้ดีขึ้น” คุณนายแนะนำ


ข่าวโดย M-Lite /astv ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน
ที่มา : //www.manager.co.th


สารบัญ ลดอ้วน ลดน้ำหนัก




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2554
0 comments
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 18:28:33 น.
Counter : 2175 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.