ลูกน้องคุณต้องการอะไร
ร้อยแปดพันเก้าความคิดประดังเข้ามา พวกเขาต้องการอะไร คุณเคยรู้สึกมั้ยว่าลูกน้องคุณทำงานอืดแสนอืด หรือทำหน้าไม่พอใจ บ่นตลอดเวลาว่า เบื่อ เบื่อ เบื่อ นั่นอาจเป็นเพราะคุณไม่เคยเข้าใจพวกเค้าเลย ลองหันมาทำความเข้าใจกับพวกเขาสักนิด และดูสิว่าลูกน้องคุณต้องการอะไร
1. ลูกน้องคุณอยากได้ความรู้สึกว่าได้สร้างทำสิ่งใดขึ้น
มนุษย์ทุกคนต้องการความสำเร็จ ความภูมิใจ ต้องการกำลังใจที่ยอมนั่งหลังขดหลังแข็งด้วยความยากลำบาก ก็เพราะจิตใต้สำนึกนี่แหละ เพราะฉะนั้นเปิดโอกาสให้ลูกน้องของคุณได้ "เกิด" บ้าง ยอมรับความคิดริเริ่ม, ข้อเสนอแนะ, รับฟังความคิดเห็นอย่างเปิดอก, ให้ทดลองสิ่งใหม่ๆ ไอเดียใหม่บ้าง
คนทุกคนชอบที่จะรู้สึกว่างานที่ตนทำนั้นเป็นสิ่งมีค่ามีความสำคัญ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไปโดยไม่รู้อะไร ถ้าคุณสามารถชี้ให้เขาเห็นความสำคัญได้ เขาจะเกิดอาการรักงาน รักด้วยหัวใจของเขาเอง
คุณล่ะเคยยอมรับความคิดของลูกน้องหรือเปล่า พูดแต่ปากหรือเปล่า แต่พอลูกน้องเสนอไอเดียเข้าจริงๆ ก็ได้แต่ส่ายหน้าลูกเดียว เพราะคุณคิดว่าคุณเก่งกว่าลูกน้องในทุกเรื่อง ทุกความคิด
2. ลูกน้องคุณอยากได้ความรู้สึกในการร่วมเป็นเจ้าของ
สัญชาตญาณในการเป็นเจ้าของนั้นซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ลองนึกดูถ้าลูกน้องคุณไม่มีโต๊ะทำงานของเขาเอง ไม่มีเก้าอี้ของเขาเอง จะมีเครื่องมือเครื่องใช้ก็ต้องอาศัยของคนอื่น สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่มั่นคงและไหวหวั่นในจิตใจ ใหญ่ยิ่งกว่านั้นถ้าเขารู้สึกว่าบริษัทที่เขาทำนี้ไม่ใช่ของเขา เขาไม่เกี่ยวอะไร เพราะมีเจ้าของตัวจริงอยู่แล้ว เขาก็จะทำงานเหมือนกับลูกจ้างธรรมดา ที่ทำเพื่อเงินเลี้ยงลูกเมียเท่านั้น
ท่านเจ้าของบริษัททั้งหลาย คุณเคยคิดหรือไม่ว่าที่คุณชอบถามใครต่อใครว่า ทำไมนะ พนักงานถึงไม่รักบริษัทนี้ เหมือนตัวท่านไม่ช่วยกันรักษา ไม่ช่วยกันประหยัด ทำไมไม่ลองถามตัวท่านเองว่าท่านได้แสดงอาการกีดกัน แบ่งชั้นแบ่งอาชีพ แสดงความเป็นเจ้าของอย่างออกนอกหน้า ถือว่าคุณเป็นเจ้าของเสียอย่างจะทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นลูกจ้างไม่มีสิทธิจะมาเผยอทำเช่นนั้น ความเป็นเจ้าของนั้นก็จะตกเป็นของคุณคนเดียว และลูกจ้างจะไม่มีวันยอมเสียสละทุ่มกายถวายชีวิตให้กับคุณ เพราะ "มันไม่ใช่ของๆ ผมนี่"
นายจ้างที่ดีบางคน เมื่อมอบหมายให้ลูกน้องรักษาเครื่องมือเครื่องใช้สิ่งใดแล้ว แม้ตัวเองจะใช้สิ่งนั้น ก็ยังต้องขออนุญาตจากผู้ที่ดูแลรักษาสิ่งนั้น สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เองที่เป็นการส่งเสริมสัญชาตญาณแห่งการเป็นเจ้าของ หรือมีส่วนเป็นเจ้าของที่ทำให้คนรักงานอย่างทุ่มกายถวายชีวิต
3. ลูกน้องคุณต้องการความเอาใจใส่ แม้เพียงนิดหน่อยก็ยังดี
ไม่มีใครที่ทำงานชอบที่มีความรู้สึกว่าเจ้านายห่างเหินไม่สนใจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยเห็นความดี มีแต่คอยดุด่าว่ากล่าวติเตียน ลูกน้องทุกคนอยากได้ความรู้สึกว่าเขาเป็นลูกน้องที่พิเศษกว่าธรรมดา พิเศษกว่าคนอื่น ถึงแม้ท่านจะไม่ปริปากออกมาก็แล้วแต่ แต่เพียงแต่การแสดงอาการนิดหน่อยเขาก็พอใจแล้ว เป็นธรรมดาที่ทุกคนย่อมอยากเด่นกว่าคนอื่น บางคนก็ใช้วิธีวิ่งเต้นประจบสอพลอ บางคนก็ใช้วิธีการประจบเหมือนกันแต่ไม่สอพลอ คือประจบเจ้านายด้วยการทำความดี ด้วยการทำงานหนัก เพื่อให้เจ้านายเห็นใจและเพื่อจะได้มีสิทธิกว่าคนอื่น
เจ้านายที่รัก ขอให้ถือหลักว่า "อย่าให้ลูกน้องเข้าใกล้คุณ" แต่ "คุณจะต้องเข้าใกล้ลูกน้อง" ถ้าลูกน้องวิ่งมาประจบ แสดงว่าเขาต้องการอะไร ขอให้ระวัง ที่มัวแต่มุทำงานหนักไม่สนใจคุณ หวังแต่ทำงานอย่างเดียวไม่เคยเข้ามาใกล้ ก็ขอให้จับตาดูเขาทุกระยะและพยายามเข้าใกล้ คุณจะต้องพยายามแสดงให้ทุกคนเห็นชัดว่าคุณรู้ว่าใครทำงานจริง ใครทำงานไม่จริง แล้วคะแนนของท่านจะงดงาม เพราะในบรรดาลูกน้องด้วยกัน เขารู้กันทั้งนั้นว่าใครทำงานจริงไม่จริง
4. ลูกน้องคุณต้องการสิ่งที่ต่อสู้ท้าทาย
ชีวิตของคนเราเกิดมาก็ต้องต่อสู้อยู่แล้วมาตั้งแต่เกิด สัญชาตญาณที่ว่านี้จะซ่อนตัวอยู่ในหัวใจของคนทุกคน ถ้าคุณรู้จักเอามาใช้ในทางที่ดีเป็นประโยชน์ละก็ จะเป็นพลังใจอย่างสำคัญ ทำให้เขาทำงานเหนือมนุษย์ได้อย่างที่คุณไม่เคยคาดมาก่อน วิธีที่ดีคือ มอบหมายงานที่เหมาะสมกับความสามารถของเขาให้เขาทำ ให้เขาได้ใช้จุดวิเศษอันพิเศษสุดที่เขาอาจมีซ่อนอยู่ในตัวของเขา บอกเป้าหมายให้ชัดเจน ชี้ให้เห็นอุปสรรค และขวากหนามที่ไม่มีใครสามารถทำได้นอกจากเขา และคุณไว้วางใจเขาให้รับหน้าที่นี้ แม้จะเป็นงานเล็กๆ ที่ใครดูแล้วไม่มีความสำคัญก็แล้วแต่ คุณต้องทำให้เขามีความรู้สึกว่า ความสำเร็จของส่วนรวม ขึ้นอยู่กับความสามารถและความเป็นนักสู้ของเขาเองเหมือนกัน
เจ้านายที่รัก อย่าใช้วิธีการบังคับให้ลูกน้องทำตามคำสั่งของท่าน ด้วยความกลัวอย่างเดียว เจ้านายที่ดีจะต้องไม่ทำอะไรที่เป็นการฝืนความรู้สึกของลูกน้อง โดยไม่มีเหตุผล ทำให้เขาเห็นความจำเป็นของงานนั้น ให้เห็นว่าคุณต้องการเขามาก ไม่ใช่ว่าเขาต้องทำสิ่งนั้นเพราะถูกสั่งให้ทำ
5. ลูกน้องคุณอยากมีความรู้มากๆ อยากได้โอกาสอวดภูมิ
ในวิธีการปกครองหรือบริหารแบบสมัยก่อน สมัยที่เผด็จการเป็นใหญ่ และยังนิยมใช้ระบบเจ้าขุนมูลนายในการทำงานอยู่ บรรดาลูกน้องจะมิบังอาจที่จะแสดงภูมิความรู้ให้ปรากฏ จนเป็นที่เขม่นของเจ้านาย จึงมักจะใช้คำว่า "อมภูมิ" ไม่กล้าแสดงความอวดรู้ ควรจะปล่อยให้นายพูด ให้นายบรรยาย ให้นายแสดงความรู้ ความเก่งกาจเสียคนเดียว
ในระบบการบริหารในปัจจุบันที่ความรู้และวิชาการใหม่เกิดขึ้นมากมาย ผู้ที่คิดว่าตนรู้แล้วมากมายไม่จำเป็นต้องขวนขวายต่อไปอีก เพราะเพียงแค่นี้ก็พอหากินได้อย่างสบายแล้วละก็ ก็เหมือนกับคนหยุดยืนอยู่กับที่ ในขณะที่คนอื่นเดินก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา
นักบริหารที่ดีในสมัยนี้ จึงต้องขวนขวายหาความรู้และเทคนิควิชาการใหม่อยู่ตลอดเวลา และขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุนให้ลูกน้องของตน มีความรู้กว้างขวางยิ่งขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าลูกน้องจะมีความรู้ดีไปกว่าตน เพราะเจ้านายที่เก่งจริงก็คือ เจ้านายที่สามารถมีลูกน้องที่มีความสามารถสูงกว่า รู้มากกว่า แต่ก็ยอมรับให้ตนเองเป็นผู้นำได้ด้วยหัวใจ (ไม่ใช่เพราะถูกบังคับหรือความจำเป็น) นั่นคือเจ้านายที่มีความรู้ความสามารถสูงสุดและสามารถทำงานใหญ่ๆ ได้
จงส่งเสริมให้ลูกน้องของคุณ หาความรู้ แสดงความรู้ใหม่ๆ นั้นให้ปรากฏ ให้การตอบแทนและรางวัลที่ดีเพื่อเป็นกำลังใจ และให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนอื่น ลูกน้องของคุณจะมุมานะใฝ่หาความรู้มากขึ้น และทำให้งานของคุณยิ่งดียิ่งขึ้นไปอีก
ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์จัตุรัส ที่มา : //www.raidai.com
Create Date : 17 พฤษภาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 17 พฤษภาคม 2553 20:12:40 น. |
Counter : 1052 Pageviews. |
|
|
|