Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
12 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

15 วิธีคุมกำเนิด... ที่คุณเลือกได้



การคุมกำเนิดไม่ ใช่หน้าที่ของผู้หญิงฝ่ายเดียว ผู้ชายก็ช่วยคุมกำเนิดได้
ซึ่งมีทั้งวิธีธรรมชาติและอาศัยเทคโนโลยี แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดด้วย

เจมี่ ลินน์ สเปียร์รส น้องสาววัยทีนของนักร้องสาว บริตนีย์ สเปียร์ส ตั้งครรภ์อย่างไม่ตั้งใจในวัย 16 ปี
ทำให้พ่อแม่ผิดหวังเป็นอย่างมากที่ลูกสาวตัดอนาคตตัวเอง ทั้งนี้ การ คุมกำเนิดมีหลายวิธี
ซึ่งบางคนอาจรู้จักแค่ยาคุมกำเนิดกับถุงยางอนามัย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีวิธีคุมกำเนิดหลากหลายวิธีให้เลือก
ทั้ง โดยวิธีธรรมชาติและอาศัยเทคโนโลยีต่างๆ โดยแต่ละวิธีก็มีความปลอดภัยมากน้อยต่างกัน
และมีทั้งข้อดี ข้อเสีย ดังนั้น นพ.วิสิทธิ์ สภัครพงษ์กุล กลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม จึงให้ความกระจ่างดังนี้ค่ะ

1. ถุงยางอนามัย เป็นวิธีคุมกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุด และยังเป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์ได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ความปลอดภัยในการคุมกำเนิดก็ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ กระนั้นก็ตามก็ยังมีคนใช้ผิดวิธี
หรือใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพต่ำหรือหมดอายุ
ที่พบบ่อยคือการสวมถุงยางอนามัยตอนใกล้จะหลั่งคือไม่ใช้ตั้งแต่ต้น ก็จะเกิดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้
เนื่องจากน้ำหล่อลื่นในช่วงแรกก็อาจมีเชื้ออสุจิออกมาแล้ว


2. ยาคุมกำเนิด มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและเจสตาเจน (Gestagen)
ฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้จะป้องกันไม่ให้ไข่ตก และเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก ให้ไม่เหมาะแก่การฝังตัว
ทั้งนี้ ต้องกินยาคุมกำเนิดติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ และหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ที่จะมีประจำเดือนในช่วงนั้น
วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยมาก และยังช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ด้วย
แต่อาจทำให้ผู้หญิงที่สูบบุหรี่เกิดโรคโลหิตหรือน้ำเหลืองคั่งได้ ทำให้อารมณ์เพศลดลง และอาจทำให้ผู้หญิงเกิด
โรคลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือด (Deep Vein Thrombosis DVT) ซึ่งพบบ่อยในชาวตะวันตก
ปัจจุบันเริ่มพบมากขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงเริ่ม เปลี่ยนไปแบบตะวันตก
เช่น กินอาหารแบบตะวันตก และออกกำลังกายน้อยลง


3. ยาคุมกำเนิด Desogestrel และ Levonorgestrel
มีเพียงฮอร์โมนเจสตาเจนเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้ไข่ตกและป้องกันไม่ให้ สเปิร์มผ่านเข้าไปในมดลูก
ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยมากและยังช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนด้วย แต่ต้องกินยานี้ทุกวัน
ข้อเสียคือ ทำให้มีเลือดออกกะปริด กะปรอยในระยะแรกของการใช้ ส่วนมากจะใช้ในกรณีตลอดบุตรใหม่ๆ
และต้องการให้นมบุตร แต่ถ้าเราใช้ยาคุมกำเนิดทั่วๆ ไปที่รวมเจสตาเจนและโปรเจสเตอโรน
(ดีในแง่ของการยับยั้งการตกไข่) ก็มีข้อเสียคือทำให้น้ำนมน้อยลง
จึงควรใช้ยาคุมกำเนิด Desogestrel ซึ่งมีเจสตาเจนอย่างเดียว

คือทั้ง Desogestrel และ Levonorgestrel เป็นกลุ่มเจสตาเจน
ในระยะแรกจะมีเลือดออกกะปริดกะปรอยสักระยะหนึ่งแล้วก็หาย
อาจใช้ในกรณีหลังคลอดบุตรใหม่ๆ และต้องการให้นมบุตร


4. ยาคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์
เป็นยาที่มีความแรงของตัวยาและต้องให้แพทย์สั่งในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจไม่ได้ป้องกัน
หรือมีความเสี่ยงกับการตั้งครรภ์ที่มีไม่พึงปรารถนา ยานี้ต้องกินภายใน 72 ชม. หลังการมีเพศสัมพันธ์
ยิ่งกินยาได้เร็วเท่าไหร่ก็จะปลอดภัยมากเท่านั้น

วิธีคุมกำเนิดวิธีนี้ไม่ค่อยแนะนำให้ใช้ เพราะเนื่องจากจะมีอาการข้างเคียงมาก
อีกทั้งประสิทธิภาพไม่ดีพอ อาการข้างเคียงก็อย่างเช่น ทำให้ตั้งครรภ์นอกมดลูกได้


5. คุมกำเนิดแบบฉีด 3 เดือน
เป็นยาฉีดที่มีฮอร์โมนเจสตาเจน โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่สะโพกหรือต้นแขน
มีผลควบคุมไม่ให้ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนมีปลอดภัยในการคุมกำเนิดสูง
และช่วยลดอาการปวดท้องระหว่างมีรอบเดือนแต่ เป็นยาที่มีฮอร์โมนสูง จึงต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์

ยานี้เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ระยะแรกของการฉีดอาจมีประจำเดือนกะปริดกะปรอย แต่ไม่เป็นอันตราย
เมื่อฉีดไปสักระยะ อาจไม่มีประจำเดือนเลย
ซึ่งทั้งสองอาการนี้ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ เป็นอาการที่พบได้จากการใช้วิธีนี้


6. ฝังไว้ที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นแท่งพลาสติก มีขนาดเท่าไม้ขีด มีฮอร์โมนเจสตาเจน
โดยใช้การใส่เข้าไปที่ต้นแขนใต้ผิวหนังของผู้หญิง ป้องกันไข่ตกและป้องกันไม่ให้สเปิร์มเข้าไปในรังไข่
หลังจาก 3 ปี ก็ให้แพทย์เอาออก เป็นวิธีที่ปลอดภัยแต่วิธีนี้อาจทำให้มีแผลเป็นเล็กๆ
และมีเลือดออกกะปริดกะปรอยในระยะแรกเมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็จะหาย


7. การใส่ห่วง เป็นห่วงที่ทำจากพลาสติกขนาดเล็กและมีขดลวดทองแดงเล็กๆ (Copper-T) พันรอบห่วง
ใช้สำหรับคุมกำเนิดอย่างเดียว โดยผู้หญิงจะใส่ห่วงในช่วงมีรอบเดือน เพราะใส่ง่ายมีอายุคุมกำเนิดได้ถึง 5 ปี
เป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและเจสตาเจนน้อยสามารถคุมกำเนิดได้ 5 ปี
และอาจพบแพทย์ระยะแรกเพื่อตรวจห่วง มีจำหน่ายในประเทศเยอรมนีตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2003
ส่วนห่วงอีกชนิดหนึ่งเป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเจสตาเจน ใช้ได้ทั้งคุมกำเนิดลดอาการปวดประจำเดือน
และอาการประจำเดือนมามาก ที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของมดลูกบางชนิด


8. การวัดฮอร์โมนตกไข่
เป็นวิธีทดสอบปัสสาวะของผู้หญิงโดยการใช้แท่งตรวจจุ่มลงไปในปัสสาวะ
เพื่อตรวจสอบฮอร์โมนในปัสสาวะและคำนวณวันที่ไข่จะตก
แต่เป็นวิธีที่ไม่ค่อยปลอดภัย เพราะวัดเพียงไม่กี่วันของแต่ละเดือน
ส่วนใหญ่ใช้ในกรณีต้องการมีบุตรมากกว่า คือรู้วันตกไข่เพื่อมีเพศสัมพันธ์ให้ตรงวัน


9. การวัดอุณหภูมิ เพื่อความมั่นใจในการคุมกำเนิด จำเป็นต้องหมั่นวัดอุณหภูมิร่างกายทุกวัน
ในช่วงเวลาเดียวกันและในตำแหน่งเดิม เพื่อจะได้รู้วันไข่ตกที่แน่นอน เพราะในระยะหนึ่งถึงสองวันหลังไข่ตก
อุณหภูมิของร่างกายจะขึ้นสูงมากกว่า 0.2 องศา ซึ่งนั่นก็คือเป็นที่ปลอดภัย ข้อดีก็คือไม่เจ็บปวดและประหยัด
ข้อเสียคือ เหมาะสำหรับผู้หญิงมีรอบเดือนสม่ำเสมอและไม่มีไข้เท่านั้น


10. นับวันจากปฏิทิน เป็นวิธีที่ผู้หญิงต้องมีปฏิทินประจำตัว เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก
เหมาะกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอ (28 วัน) แต่ช่วงไข่ตกก็ต้องใช้วิธีอื่นคุมกำเนิด
โดยเฉลี่ยของการผิดพลาดคือ 9 คนจาก 100 คนที่พลาดจนเกิดการตั้งครรภ์


11. สังเกตมูกจากปากมดลูก เป็น วิธีคุมกำเนิดอย่างธรรมชาติและเป็นวิธีที่ประหยัด
โดยผู้หญิงต้องสังเกตมูกตกขาวจากปากมดลูก (Cervical Mucus) ทุกวันและจดโน้ตไว้เพื่อดูวันที่ไข่ตก
และในระหว่างที่มีการตกไข่ก็ต้องคุม กำเนิดด้วยวิธีอื่น
แต่อาจคลาดเคลื่อนได้หรือแปลผลผิด เช่น ในกรณีที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบของช่องคลอด


12. วิธีคุมกำเนิดแบบ Sympto Thermal เป็นวิธีคุมกำเนิดอย่างธรรมชาติ
โดยการผสมผสานระหว่างอุณหภูมิและการสังเกต มูกตกขาววิธีนี้ค่อนข้างปลอดภัยถ้าผู้หญิงหมั่นสังเกตตัวเอง
แต่ถ้ามีไข้หรือมีการอักเสบของช่องคลอดก็จะทำให้แปลผลผิดได้
และระหว่างวัน ที่ไข่ตกก็จะต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย


13. Coitus lnterruptus เป็นวิธีที่ฝ่ายชายหลั่งอสุจิข้างนอกหลังการมีเพศสัมพันธ์
แต่สเปิร์มอาจเล็ดลอดออกไปได้ก่อนหน้านั้น จึงไม่แนะนำเพราะไม่ปลอดภัย
จากสถิติผู้หญิง 100 คน มีจำนวน 4-18 คนที่ผิดพลาดจนตั้งครรภ์ด้วยวิธีนี้


14. การทำหมันชาย วิธีนี้ใช้การผ่าตัดเพียงนิดเดียวในผู้ชายเพื่อตัดท่ออสุจิ
เหมาะกับผู้ชายที่ไม่ต้องการมีลูกอีก ป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูง


15. การทำหมันหญิง
คือกรรมวิธีการตัดบางส่วนหรือแยกท่อนำไข่ออกจากกันทั้ง 2 ข้าง ทำให้ไม่เกิดการปฏิสนธิ
การแก้ไขเพื่อให้ท่อนำไข่สู่ภาวะปกติก็ทำได้ แต่ค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องอาศัยการผ่าตัดผ่านกล้องจุลทรรศน์



ข้อแนะนำจาก นพ.วิสิทธิ์ สุภัครพงษ์กุล
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นข้อมูลเบื้อต้น เพื่อสื่อสารถึงผู้หญิงไทยในการคุมกำเนิดด้วยวิธีใด ที่เหมาะสม
ควรปรึกษาแพทย์ร่วมด้วยมีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ ตัวเองเหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบไหน
วิธีคุมกำเนิดต่างๆ มีหลายวิธี
หลังจากเราได้ข้อมูลเหล่านี้แล้ว จะได้เลือกวิธีที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ เศรษฐกิจสังคมของตัวเอง

อย่างไรก็ตามก็ควรปรึกษาแพทย์ว่า
วิธีคุมกำเนิดนั้นๆ เหมาะสมกับสภาพร่างกายหรือไม่ รวมทั้งระบบรอบเดือนด้วย
ที่สำคัญคือ การคุมกำเนิดต้องเป็นการ่วมมือระหว่างสามีภรรยามากกว่าการทำ เพียงฝ่ายเดียว
โดยเฉพาะถ้ายังอยู่ในช่วงวัยที่ไม่พร้อม

ดังนั้น ความเข้าใจเรื่องการคุมกำเนิดหรือป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
เป็นความรู้ที่ควรมีและต้องนำไปปฏิบัติให้ได้ผล


ที่มา //hilight.kapook.com/view/34292


สารบัญ บทความ สุขภาพ
คลิกดู ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
0 comments
Last Update : 2 ธันวาคม 2552 4:10:48 น.
Counter : 1177 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.