|
โรคหลอดเลือดหัวใจตืบ-ตัน
ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีคนที่ผมรู้จักมักคุ้นดีทั้งในวงการกีฬาและนอกวงการ กีฬาเจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตันหลายท่าน บางท่านมาเช็กร่างกายประจำปี โดยไม่มีอาการใด ๆ มาก่อน บางท่านมีอาการบ้างเล็กน้อย แต่ลงท้ายพบว่าต้องทำการ รักษาด้วยการใส่บัลลูนขยายหลอดเลือด บางท่านต้องทำผ่าตัดบายพาส (By-Pass Surgery) ในวันนี้ผมจึงใคร่ขอนำความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดหัวใ จตีบ-ตัน มาฝากท่านผู้อ่าน
หลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน ได้อย่างไร?
หลอดเลือดแดง หมายถึง หลอดเลือดที่ออกมาจากหัวใจไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยนำออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นไปยังเซลล์ต่างๆทั่วร่างกายรวมทั้งหัวใจเองด้วย ถ้าท่านแข็งแรงสมบูรณ์ดี หลอดเลือดแดงจะมีผนังที่เรียบ มีความยืดหยุ่นเพื่อปรับขยาย หลอดเลือด โดยการยืดและหดตามการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตที่มาก ขณะที่หัวใจบีบตัว และความดันโลหิตลดลงขณะที่หัวใจคลายตัว
ผนังด้านในของหลอดเลือดอาจมีไขมันมาเริ่มจับเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะรวมตัวกันมากขึ้น จนเป็นแผ่นค่อย ๆ สะสมพอกตัวหนาขึ้นจนกระทั่งหลอดเลือดจะขาดความยืดหยุ่น เพราะผนังภายในมีไขมันมาจับมากขึ้น จนกระทั่งผนังหลอดเลือดมีการเปลี่ยนแปลงหนา ตัวขึ้นแล ะรูภายในหลอดเลือดตีบลง เปรียบเสมือนท่อเหล็กที่มีสนิมสะสมอยู่ภายใน การไหลเวียนของเลือดก็จะลดลงไปด้วย เราหวังว่าท่านคงจะเข้าใจดีว่า หลอดเลือดจะตีบและแข็งตัวจนกระทั่งรูสำหรับการไหลเวียนเลือดตีบตันลงไป จะต้องเริ่มจากไขมันไปเกาะที่ผนังภายในหลอดเลือดก่อน
ดังนั้นผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงกว่าปกติก็จะมีโอกาสเกิดความผิดปกติเหล่านี้ได้ง่ายกว่าคนที่ มีไขมันในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอทำให้หัวใจและระบบ การไหลเวียนของโลหิตมีประสิทธิภาพดีขึ้น ก็จะไม่มีไขมันมาเริ่มเกาะตามผนังหลอดเลือด แต่อย่างใด โอกาสที่จะเกิดโรคหัวใจขาดเลือดก็มีน้อยลงไป
ผลของหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน
ปกติกล้ามเนื้อหัวใจต้องการเลือดที่มีออกซิเจนและสารอาหารมาเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ ตลอดเวลา เพื่อทำหน้าที่ในการบีบตัวและส่งเลือดผ่านหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งตัวกล้ามเนื้อหัวใจเองด้วยโดยผ่านทางหลอดเลือดหัวใจ 3 แขนงใหญ่
ไขมันอาจเริ่มจับที่ผนังด้านในหลอดเลือดหัวใจเหล่านี้ ก่อนที่จะรวมตัวกันมากขึ้นจนเป็น แผ่นค่อยๆสะสม พอกตัวหนาขึ้นจนกระทั่งหลอดเลือดตีบมีผลทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือดมาเลี้ยงได้ นอกจากนี้เลือดไหลผ่านหลอดเลือดหัวใจ อาจเกิดเป็นลิ่มเลือดอุดตัน หลอดเลือดเหล่านี้ได้ และเมื่อร่างกายของท่านต้องทำงานมากขึ้น เกิดสภาวะเครียดทั้งด้านร่างกายและจิตใจ หัวใจของท่านจะเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตจะ สูงขึ้น หัวใจของท่านต้องการเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น แต่หลอดเลือดหัวใจของท่านตีบตันท ี่เกิดขึ้นก็คือ กล้ามเนื้อหัวใจจะขาดเลือดมาเลี้ยงให้เพียงพอต่อการทำงานปกติ ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดขึ้นได้ และถ้าหากมีการอุดตันโดยลิ่มเลือด ในหลอดเลือดหัวใจแขนงใดแขนงหนึ่ง จะทำให้เกิดภาวะที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาแนะนำให้ใช้ชื่อว่า “หัวใจพิบัติ” ซึ่งหมายถึงภาวะที่มีอันตรายเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อหัวใจ บางครั้งเกิดขึ้นรุนแรงทำให้เสียชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็วหรือในทันทีทันใด
ข้อเท็จจริงจากการศึกษาวิจัย
การศึกษาวิจัยที่มีเผยแพร่ออกมาตลอดเวลา ทำให้เรามีความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ในเรื่องของหลอดเลือดที่เกิดมีการตีบตันและขาดความยืดหยุ่นโดยให้ข้อสรุปไว้ดังนี้
1. การที่หลอดเลือดมีไขมันมาพอกที่ผนังภายในหลอดเลือด จนกระทั่งเกิดการตีบและขาดความยืดหยุ่นนั้น ในปัจจุบันสามารถพบได้ตั้งแต่คนอายุยังน้อย เช่น ในวัยรุ่นเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
2. คนส่วนใหญ่ที่หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มักจะไม่มีอาการแสดงออกใดๆเลย และตามสถิติพบว่ามีผู้ป่วยถึง 1 ใน 3 ที่เสียชีวิตทันทีภายหลังที่มีอาการครั้งแรกเท่านั้น
3. หากปล่อยให้กล้ามเนื้อหัวใจได้ผลกระทบจากการที่เลือดมาเลี้ยงไม่พอ จนกระทั่งเกิดมีแผลเป็นอยู่ในกล้ามเนื้อหัวใจแล้ว ก็จะเป็นการยากที่จะแก้ไขให้หัวใจกลับมาทำงานได้ 100% เหมือนเดิม ทำให้ความสามารถในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลดน้อยลงไป
โรคหัวใจจากหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน เป็นปัญหาสำคัญของประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งในประเทศไทยด้วยที่มีสถิติคนเป็นโรคนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวกันว่าในปัจจุบันโรคหัวใจจากหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน เป็นต้นเหตุ ประมาณ 30% ของการตายทั้งหมด พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และในประเทศกำลังพัฒนาจะมีปัญหาของโรคนี้น้อยกว่า
สถิติที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ มีผู้ศึกษาวิจัยไว้ในสหรัฐอเมริกาและนำมาตีพิมพ์ในหนังสือของ แพทยสมาคมแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งในประเทศไทยก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันดังนี้คือ
1. พบโรคนี้ในผู้ที่มีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ กว่าแต่ก่อนมาก ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนมีโอกาสเป็นมากขึ้น และผู้หญิงที่อายุ 65 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นโรคนี้พอ ๆ กับผู้ชาย
2. ผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเกิดโรคนี้เป็น 2 เท่าของผู้ไม่สูบบุหรี่ และพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่จะเป็น โรคนี้เมื่ออายุ 35-45 ปี มีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ถึง 5 เท่า
3.ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและเป็นเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง ส่วนผู้ชายที่เป็นเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคนี้ 2 เท่าของผู้ชายที่ไม่เป็นเบาหวาน ส่วนผู้หญิงที่เป็นเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงถึง 5 เท่าของผู้หญิงที่ไม่เป็นเบาหวาน
4.ผู้ที่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้องใกล้ชิดเป็นโรคนี้จะ มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่า
5.ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐานจะมีโอกาสเป็นโรคน ี้ได้มากกว่า
6.ผู้ที่ทำงานไม่ได้ใช้แรงงานมาก มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าผู้ที่ทำงานโดยการใช้กำลังกาย
7.ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 35 ปี มีประวัติรับประทานยาคุมกำเนิดและสูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงสูงกว่า
ปัจจัยเสี่ยงสำหรับท่านมีอะไรบ้าง ?
ในปัจจุบันการค้นคว้าศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเกิดโรคหัวใจ ที่เป็นผลมาจากเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ-ตัน พบว่ามีหลายสาเหตุ นับว่าเป็นต้นเหตุสำคัญในการทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นและยังพบอีกว่ามีการเปลี่ยนแปลงของ หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตั้งแต่วัยรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะกล่าวถึงต่อไป พบว่าหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสำคัญมาก 3 ประการ คือ
1. ผู้ที่สูบบุหรี่ ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้สูบบุหรี่เองหรือผู้ที่สูบบุรี่มือสอง ซึ่งได้แก่ ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่อยู่ในบ้าน ในที่ทำงานหรือในสถานบันเทิงที่มีการสูบบุหรี่กันอย่างมาก
2. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
3. ผู้ที่มีไขมันเลือดสูง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่
1. ผู้ที่มีประวัติว่าในครอบครัวเป็นโรคนี้อยู่ 2. ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ 3. ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 4. ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน
ท่านหรือผู้ที่ท่านรักและห่วงใยจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงใดบ้าง ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ท่านสามารถลาออกจากกลุ่มเสี่ยงเหล่านั้นได้ไม่ยาก ถ้าท่านมีความตั้งใจจริงและแน่วแน่ที่จะประพฤติปฏิบั ติตนเองเสียใหม่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลิกสูบบุหรี่ นอกจากตัวเองจะได้ประโยชน์แล้ว ท่านยังมีส่วนช่วยทำประโยชน์แก่ผู้อื่นที่อยู่รอบข้างท่านด้วย และที่สำคัญ คือบุคคลในครอบครัวของท่านนั่นเอง ส่วนเรื่องความดันโลหิตสูงก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของท่านไปได้
น.อ.(พิเศษ) นพ.ไพศาล จันทรพิทักษ์ //www.dailynews.co.th/
Create Date : 11 มกราคม 2552 |
Last Update : 11 มกราคม 2552 10:31:44 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1546 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คนความรู้น้อย IP: 118.174.84.95 วันที่: 4 กันยายน 2555 เวลา:10:10:54 น. |
|
|
|
|
|
|
|