|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
รอบรู้เรื่องของ "ผม"
สภาพของผมแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงต้องดูแลรักษาต่างกันไปด้วย โดยปกติสภาพผมของคนเราจะแบ่งออกได้ดังนี้คือ
* ผมธรรมดา คือผมที่มีน้ำมันและน้ำหล่อเลี้ยง ในส่วนหนังศีรษะและเส้นผมอย่างเพียงพอ จึงทำให้ผมมีน้ำหนักและเงางามตามธรรมชาติ ผมธรรมดาไม่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เพียงแค่รู้จักทำความสะอาดผมและหนังศีรษะอย่างสม่ำเสมอ เพื่อขจัดสิ่งสกปรก และรักษาน้ำมันและน้ำหล่อเลี้ยงที่สำคัญตามธรรมชาติก็เพียงพอ * ผมแห้ง มักเกิดจากการที่รากและบริเวณรอบๆ ของเส้นผมขาดน้ำมันและน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติ จึงทำให้ผมมีลักษณะกรอบ ฟู เปราะ จัดทรงยาก ขาดและแตกปลายง่าย นอกจากผมแห้งจะเกิดได้ตามธรรมชาติแล้ว อาจเกิดจากการความเครียด การดัดผม การทำสีผม และการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมและหนังศีรษะบางชนิดอีกด้วย คนผมแห้งจึงไม่ควรสระผมบ่อยๆ และไม่ใช้แชมพูที่ผสมสารเคมีรุนแรง * ผมมัน คือสภาพผมที่มีน้ำมันหล่อลื่นตามธรรมชาติมากเกินไป ทำให้ผมมีสภาพลีบติดศีรษะเหนียวเหนอะหนะ ไม่เงางาม จัดทรงยาก จึงจำเป็นต้องทำความสะอาดผมบ่อยกว่าผมประเภทอื่นเพื่อขจัดสิ่งสกปรก และช่วยควบคุมน้ำมันส่วนเกินบนหนังศีรษะและเส้นผมไปในตัว
โรคของผม
รังแค สาเหตุ : มักเกิดจากการใช้แชมพูที่มีสภาพความเป็นกรด-ด่างมากเกินไป ความเครียดจากการทำงาน เชื้อรา สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง การกินอาหารที่ผิดสุขลักษณะ เช่นอาหารรสจัด แป้ง ไขมัน การใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมบางชนิด เป็นต้น
อาการ : สามารถแบ่งประเภทของรังแคได้สองประเภทคือ 1. รังแคหนังศีรษะแห้ง (Dry Scalp) ซึ่งจะทำให้ผิวหนังศีรษะแห้งมาก ฝุ่นผงที่เห็นจะมีลักษณะเป็นผงเล็กๆ สีขาวเกิดขึ้นบนผมและหนังศีรษะ ทำให้รู้สึกคันมาก 2. รังแคหนังศีรษะมัน (Oily Scalp) รังแคประเภทนี้จะทำให้หนังศีรษะมันมากกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากต่อมไขมันปล่อยน้ำมันออกมามากเกินไป จนทำให้เชื้อราบนหนังศีรษะ เจริญเติบโตได้ดี ทำให้เกิดการแบ่งตัว และหลุดลอกออกมาเป็นขุย มีลักษณะเหนียว เป็นสีเหลือง และมีกลิ่น มีอาการอักเสบเป็นผื่นแดง และคัน
การป้องกัน : รักษาความสะอาดสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผมอยู่เสมอ เลือกใช้แชมพูที่มีค่าความเป็นกรด-ด่างไม่แรงเกินไป งดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่ผสมสารเคมีรุนแรง เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม อาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินอี เป็นต้น
ผมร่วง คนที่มีผมร่วงมากกว่า50-100 เส้น ถือว่าผมและหนังศีรษะมีความผิดปกติ สาเหตุ : ของอาการผมร่วงเกิดได้หลายประการไม่ว่าจะเป็น ความเครียด กรรมพันธุ์ อายุที่เพิ่มมากขึ้น การติดเชื้อ เช่น เชื้อรา หรือแม้กระทั่งการใช้สารเคมีที่รุนแรงบางชนิด เป็นต้น
การป้องกัน : ไม่ควรใช้แชมพูที่มีความเป็นด่างมากเกินไป (สังเกตได้จากมีฟองมากผิดปกติ หลังสระผม เมื่อเอามือถูเส้นผมแล้วรู้สึกหนืด) หลังการใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม ควรสระผมให้สะอาด ไม่ควรรวบหรือเกล้าผมให้ตึงเกินไป เพราะจะทำให้เส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายขึ้น
การรักษา : ปัจจุบันการรักษาอาการผมร่วง แพทย์มักจะให้ยากินและยาทา ซึ่งหากทานยานานเกิน 6 เดือนมักจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา เช่นรู้สึกคันหนังศีรษะ และเป็นผื่นแดง หรือมีอาการดื้อยาและ เมื่อหยุดกินยาแล้วผมก็จะร่วงเหมือนเดิม เป็นต้น
เชื้อราบนหนังศีรษะ
สาเหตุ : มักเกิดจากความสกปรก การหมักหมมของเหงื่อไคลบนหนังศีรษะ และความชื้น การสระผมแล้วปล่อยให้ผมแห้งเองโดยไม่มีการเป่าให้แห้งก่อนนอน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
อาการ : สังเกตได้จากหนังศีรษะจะมีรอยสีแดงขึ้นเป็นหย่อมๆ หากมีอาการอักเสบมากๆ อาจมีน้ำเหลืองไหลออกมา และหนังศีรษะตกสะเก็ด นอกจากนั้นเชื้อรายังทำให้เส้นผมสูญเสียความสมดุล หักครึ่งและหลุดร่วงได้ง่ายอีกด้วย
การป้องกัน : หมั่นรักษาสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะให้สะอาดอยู่เสมอ หลังสระผมทุกครั้ง ควรหวีผมและเป่าให้แห้ง ไม่ควรนอนหลับโดยที่ผมยังไม่แห้ง เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อเชื้อราซึ่งทำให้ผมร่วงได้
สะเก็ดเงิน สาเหตุ : เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากระบบภูมิต้านทานในร่างกายอ่อนแอผิดปกติ อาการ : มักจะมีอาการคัน เจ็บ บางรายอาจมีอาการอักเสบร่วมด้วย การรักษา : ขณะนี้วงการแพทย์ยังไม่สามารถรักษาโรคสะเก็ดเงินให้หายขาดได้ แต่สำหรับในกรณีของผู้ที่เป็นไม่มาก อาจรักษาโดยการใช้ยาเพื่อลดอาการอักเสบ และชะลอการแบ่งเซลล์ของผิวหนังเท่านั้น
สารพัดสารเคมีอันตราย ทำร้ายผม แชมพู มีส่วนผสมสำคัญที่เป็นอันตรายต่อหนังศีรษะและเส้นผม เช่น สารลดแรงตึงผิว แชมพูแทบทุกยี่ห้อในท้องตลาดมักจะใช้สารเคมีชื่อโซเดียม ลอริล ซัลเฟต หรือ SLS (สารชะล้างราคาถูก ใช้ผสมในเจลอาบน้ำ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างรถ น้ำยาขัดพื้น เป็นต้น) เป็นส่วนผสม ทั้งนี้เพราะสารเคมีชนิดนี้ทำให้มีฟองมาก จึงทำหน้าที่ในการชะล้างสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกิน ที่ติดอยู่บนเส้นผมได้หมดจด แต่ความจริงแล้ว สารลดแรงตึงผิวชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้กับเส้นผม เนื่องจากมีฤทธิ์ในการทำลายกระบวนการป้องกันผิวตามธรรมชาติของเรา ซ้ำยังทำให้เกิดผดผื่นคัน ผิวแห้ง อีกทั้งหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อาจตกค้างอยู่ในผิวหนังจนเป็นอันตรายได้
ซิลิโคน (Silicone) เป็นสารเคมีที่ทำให้ผมมีความลื่นเป็นมันวาว เป็นสปริง หวีง่าย โดยซิลิโคนจะทำหน้าที่คล้ายฟิล์มพลาสติกบางๆ เคลือบเส้นผมบนหนังศีรษะของเราไว้ เวลาหวีจึงให้ความรู้สึกว่าผมสลวย ซึ่งในขณะเดียวกันสารซิลิโคน จะเข้าไปตกค้างอุดตันในรูขุมขนบนหนังศีรษะ ทำให้เซลล์ผมทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ หลุดร่วงได้ง่าย ทำให้มีปัญหาเรื่องการขับเหงื่อตามมา
ครีมทำสีผม โดยมากจะมีส่วนผสมของสารฟอกและกัดสีผมจำพวกไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และแอมโมเนีย ซึ่งสารเคมีสองชนิดนี้เป็นตัวการสำคัญ ที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองบนหนังศีรษะ และอาการแพ้เป็นผื่นคันตรงบริเวณที่สัมผัสกับน้ำยา เช่น ต้นคอ หน้าผาก ไรผม ซอกหู เป็นต้น บางรายอาจมีอาการแพ้รุนแรงถึงขั้นหายใจขัดได้ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการย้อมผมบ่อยๆ ในระยะยาวจะส่งผลให้ผมแห้ง แตกปลาย หักง่าย เปราะบางไม่มีน้ำหนัก และทำให้หนังศรีษะแห้งจนเป็นรังแคได้อีกด้วย
น้ำยาดัดผม / ยืดผม สำหรับการดัดผมและยืดผม อาศัยหลักการง่ายๆ คล้ายกันคือ การใช้สารเคมีเข้าไปทำลายการยืดหยุ่นของเส้นผม ในส่วนที่เรียกว่าไดซัลไฟด์บอนด์ ซึ่งเมื่อผมถูกทำลายเรียบร้อยแล้วก็จะสามารถจัดทรงได้ตามต้องการ ก่อนที่จะเติมน้ำยาคงสภาพลงไปอีกรอบ ผลเสียที่เห็นได้ชัดเจนจากการดัดและการยืดผมคือ หากทิ้งน้ำยาดัดหรือย้อมไว้นานเกินไป ความเป็นด่างของสารเคมีจะทำให้ผมเสียมากขึ้น อีกทั้งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะได้ หากจำเป็นต้องทำสีผม เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพหนังศีรษะควรเลือกใช้น้ำยาชนิดอ่อน และไม่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรงต่อหนังศีรษะ
ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม ไม่ว่าจะเป็นเจลใส่ผม ครีม มูส โลชั่น ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมเหล่านี้มักจะผสมแอลกอฮอล์ น้ำหอม และเติมสีลงไปเพื่อให้เกิดความสวยงาม หลังใช้ไปได้สักระยะ ผู้ใช้อาจเป็นผื่นแดง บวม รู้สึกคัน และเกิดการระคายเคืองได้
แฮร์โคต น้ำมันบำรุงผมประเภทแฮร์โคตมักมีส่วนผสมของสารเคมีที่สำคัญคือ ซิลิโคน ซึ่งจะไปเคลือบเส้นผมไว้ให้นุ่มลื่น หวีง่ายหลังการใช้ แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนบนหนังศีรษะ และหากใช้ในระยะยาวอาจทำให้เกิดผมร่วงตามมา และเป็นสิวได้ ความจริงแล้วผมของคนเรา มีน้ำมันตามธรรมชาติหล่อเลี้ยงให้ชุ่มชื่นอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมประเภทนี้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
การหนีบผม / ไดร์ผม การหนีบและการใช้ลมร้อนเป่าผม เป็นการทำลายเส้นผม ทำให้ผมแห้งกรอบ และแตกปลายเพิ่มมากขึ้น ด้วยความที่ส่วนประกอบหลักของเส้นผมเป็นโปรตีน ซึ่งจะเปลี่ยนสภาพทันทีเมื่อถูกความร้อน การหนีบผม หรือไดร์ผมจึงเป็นเหมือนการกระตุ้นให้ผมเสียสภาพเร็วขึ้น ดังนั้นหากไม่จำเป็นไม่ควรหนีบผมบ่อยๆ
รักผม.. มาดูแลผมกันเถอะ นอกจากจะต้องระมัดระวัง ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผมและหนังศีรษะเป็นพิเศษแล้ว คนรักผมทั้งหลายก็ควรให้ความสำคัญ กับการดูแลสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะควบคู่ไปด้วย
● ควรสระผมด้วยแชมพูที่มีค่าความเป็นกรด-ด่างไม่สูงเกินไป (ค่า pH ไม่เกิน 12 ) ● ไม่ควรใช้อุ่นในการสระผม เพราะความร้อนจะทำให้โปรตีนในเส้นผมสูญเสียสภาพ ● ไม่ควรถู หรือขยี้ผมในขณะเปียกด้วยผ้าขนหนูแรงๆ เพราะจะทำให้ผมอ่อนที่กำลังงอกใหม่ๆ หลุดร่วงได้ง่าย ควรปล่อยผมให้แห้งเอง โดยการซับเบาๆ หรือใช้พัดลมเย็นเป่าให้แห้ง และไม่ควรหวีผมแรงๆ หรือถูนวดศีรษะอย่างแรงเพราะจะทำให้หนังศีรษะถลอกได้ ● ควรหวีผมด้วยหวีไม้หรือหวีที่ทำจากเขาควาย เพื่อให้ไม่เกิดไฟฟ้าสถิตเวลาหวีผม และไม่รัดผม รวบผม หรือถักเปียจนแน่นเกินไป เพราะจะทำให้ผมร่วงได้ง่าย ● หลีกเลี่ยง ความเครียด แสงแดดจัด หรือสารเคมีรุนแรงเช่น น้ำที่มีคลอรีนสูง น้ำยาย้อมผม หรือแชมพูที่ผสมสารก่อฟองที่ระคายเคืองมาก ● ไม่ควรนอนหมอนสูง หรือยกเท้าสูงกว่าหนังศีรษะ เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงหนังศีรษะได้ไม่สะดวก
ข้อมูลโดย : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 189 ที่มา : //www.cheewajit.com ภาพจาก : //www.myhairstylingtools.com
สารบัญสุขภาพ
Create Date : 05 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 5 กรกฎาคม 2553 12:23:20 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1411 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|