ผู้หญิง ปวดเบาแต่หนักเกินทน!
National Kidney and Urologic Diseases Information Clearinghouse (NKUDIC) รายงานว่า ในปี 2000 ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้หญิงอายุ 20 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจและวินิจฉัย เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจำนวนกว่า 8.27 ล้านคน! และพบว่าผู้หญิงอายุ 20-74 ปี คิดเป็น 53.5 % ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ทาง Kidney and Urology Foundation of America ยังสรุปว่า ประมาณ 1 ใน 5 ของผู้หญิงอเมริกันเคยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ...
สรุปแล้วในชีวิตลูกผู้หญิงจำนวนกว่าครึ่ง เคยทรมานกับโรคนี้มาก่อน!
ร่างกายผู้หญิงช่างซับซ้อน อันที่จริงโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ สามารถเกิดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงมักเป็นได้ง่ายและบ่อยกว่า อันเนื่องมาจากสรีระร่างกายที่กำหนดให้ ผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชาย ดังนั้น เมื่อเชื้อโรคจากช่องคลอดและทวารหนักเกิดรุกล้ำเข้าไปในท่อปัสสาวะ จึงทำให้เกิดการติดเชื้อ
ปวดเบา ...แต่หนัก อาการที่บ่งบอกว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบก็คือ ถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งได้น้อย แต่ปวดบ่อย แสบหรือขัดท่อปัสสาวะขณะถ่ายปัสสาวะ หรือปวดท้องน้อยและหลังส่วนล่าง ปัสสาวะมีสีขุ่น อาจมีเลือดปนและมีกลิ่นเหม็น ถ้าปล่อยไว้นาน อาจเกิดการอักเสบลุกลามไปกรวยไต ทำให้มีไข้สูง รวมถึงคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และปวดหลังบริเวณใต้ชายโครง
ปวดแบบนี้...เดี๋ยวค่อยไปก็ได้
การกลั้นปัสสาวะ เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผู้หญิงทรมานกับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในเวลาต่อมา เพราะใจจดจ่อกับธุระเบื้องหน้าอยากทำต่อเนื่อง หรือกังวลเกี่ยวกับสุขอนามัยของห้องน้ำสาธารณะ ถึงขนาดยอมกลั้นจนกว่าจะถึงบ้าน
และนอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการทำความสะอาดหลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งควรทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง มิฉะนั้นเชื้อโรคบริเวณทวารหนักและช่องคลอดจะเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้ ใส่กางเกงคับเกินไป ทำให้ไม่ระบายอากาศจนเกิดความอับชื้น รวมถึงการไม่เปลี่ยนผ้าอนามัย หรือใส่ผ้าอนามัยชนิดสอดด้วยมือที่ไม่สะอาด การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ถูกอนามัย อวัยวะเพศหญิงสัมผัสกับมือหรืออวัยวะเพศชายที่ไม่สะอาด รวมถึงการเสียดสีกับช่องคลอดส่วนที่ติดกับกระเพาะปัสสาวะแรงๆ ทำให้เกิดโอกาสถลอกเป็นแผลอักเสบ และติดเชื้อได้ การสอดท่อสวนปัสสาวะ หรือเครื่องมือแพทย์เข้าไปในท่อปัสสาวะที่ไม่สะอาด หรือสอดไว้นานเกินไป กรณีนี้มักเกิดช่วงผ่าตัด คลอดบุตร หรือผู้สูงอายุที่ต้องเปลี่ยนถ่ายท่อสวนปัสสาวะบ่อยๆ กังวลช่วงตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์จะปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ เพราะการขยายตัวของมดลูกและกระดูกเชิงกราน และน้ำหนักของเด็กเบียดพื้นที่กระเพาะปัสสาวะ นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือความเครียดเข้ามาส่งผลอีกด้วย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เมื่ออายุมากขึ้น การควบคุมหรือกลั้นปัสสาวะก็ลดประสิทธิภาพลง ซึ่งการปัสสาวะเล็ดแบบนี้ เพิ่มโอกาสให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้ง่าย และเมื่อถึงวัยทองการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ทำให้เชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดเจริญได้ง่าย เสี่ยงต่อการติดเชื้อท่อในปัสสาวะได้เช่นกัน
วิธีการรักษาและป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำๆ
เมื่อสังเกตหรือสงสัยว่าตนเองเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะ ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ทันที ก่อนที่จะเกิดอักเสบและติดเชื้อมากกว่านี้ โดยแพทย์จะซักถามถึงความบ่อยในการขับปัสสาวะ การดื่มน้ำและการตรวจกดบริเวณท้องน้อยหรือหลัง หรืออาจนำตัวอย่างปัสสาวะไปวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ จากนั้นแพทย์ก็จะจ่ายยารับประทานยาฆ่าเชื้อหรือฉีดยาตามความเหมาะสม
อาจให้ดื่มน้ำผสมโซเดียมคาร์บอเนตครั้งละ 1 ช้อนชา เพื่อลดความเป็นกรดและระคายเคืองของกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงให้รับประทานยาแก้ปวดร่วมด้วย ซึ่งต้องรับประทานยาจนครบตามคำแนะนำของแพทย์ แต่หลังจากอาการดีขึ้นก็ต้องระวังเรื่อง
- การไม่กลั้นปัสสาวะ เพราะปัสสาวะที่ค้างในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน เป็นแหล่งเพาะเชื้ออย่างดี
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน สามารถดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ผสม
- หมั่นรักษาความสะอาดและสุขอนามัยของอวัยวะเพศ โดยการเปลี่ยนผ้าอนามัยหรือแผ่นอนามัยบ่อยๆ ทุก 3-4 ชั่วโมง การไม่ใส่กางเกงหรือชุดชั้นในที่รัดหรืออับชื้น เลี่ยงการใส่กางเกงหรือกระโปรงซ้ำๆ โดยไม่ซัก
- สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยๆ อาจขอยารับประทานจากคุณหมอติดไว้ที่บ้าน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณยาและวิธีรับประทานอย่างละเอียด
- รู้แบบนี้แล้ว เสียเวลาไปเข้าห้องน้ำและใส่ใจความสะอาดสักนิด รับรองว่าปวดเบาจะไม่เป็นปัญหาหนักๆ สำหรับคุณ
วิธีการรักษาอาการเบื้องต้นที่บ้าน
- ถ้าคุณรู้ว่าตนเองเริ่มมีอาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ภายใน 24 ชั่วโมงให้รีบดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดความเข้มข้นของปัสสาวะและขับเชื้อโรคออกมาให้มากที่สุด
- พยายามปัสสาวะให้สุดในแต่ละครั้ง
- ถ้ารู้สึกปวดท้องน้อย นำกระเป๋าน้ำร้อนมาวางประคบไว้เพื่อลดอาการปวดได้ แต่ไม่ควรนอนหลับและประคบทิ้งไว้ตลอดคืน
ข้อมูลจาก HealthToday ที่มา : //www.uniserv.buu.ac.th
สารบัญสุขภาพ
Create Date : 02 ธันวาคม 2551 |
Last Update : 26 เมษายน 2553 0:03:22 น. |
|
0 comments
|
Counter : 628 Pageviews. |
|
|
|
|
|