Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
8 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

บอกลา “ฝ้า” ให้หน้าใสปิ๊ง



ฝ้า เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีเมลานินออกมามากผิดปกติ
ลักษณะของฝ้าจะเป็นผื่นสีน้ำตาลหรือดำบนใบหน้า
มักพบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก คาง หรือบริเวณที่ถูกแสงแดด เช่น คอและแขน
โดยจะเริ่มเกิดขึ้นทีละน้อยๆ ในช่วงอายุระหว่าง 30-40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย


ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า

- แสงแดด เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า ทำให้เป็นฝ้ามากขึ้น หรือทำให้ฝ้าเข้มขึ้น
ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น.

- ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนจะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ
เช่น ในระหว่างการตั้งครรภ์ ในวัยหมดประจำเดือน และการรับประทานยาคุมกำเนิด

- พันธุกรรม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า เนื่องจากพบฝ้าได้บ่อยในชาวเอเชียมากกว่าชาวตะวันตก
อย่างไรก็ตาม อาจเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมหรือแสงแดดก็เป็นได้

- ยา พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากันชักบางประเภท จะมีผื่นดำคล้ายฝ้าขึ้นบริเวณใบหน้า
จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า

- เครื่องสำอาง การแพ้น้ำหอมหรือสีในเครื่องสำอางอาจทำให้เกิดรอยดำคล้ายฝ้าได้



การรักษาฝ้า

ฝ้าตื้นซึ่งเป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้า จะตอบสนองต่อการรักษา และหายเร็วกว่าฝ้าลึกซึ่งเกิดขึ้นในชั้นหนังแท้
วิธีการรักษาทำได้ ดังนี้

- การใช้ยาทาฝ้า เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ฝ้าจางลง
ยาทาฝ้าจะลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี และเร่งเซลล์ผิวหนังชั้นบนให้หลุด ลอกออกไป
ยารักษาฝ้ามีหลายชนิด เช่น ยาในกลุ่มสารไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ และคอร์ติโคสเตอรอยด์

ควรใช้ยาทาฝ้าอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจนกว่าฝ้าจะจางลง โดยทาบริเวณที่เป็นฝ้าก่อนนอนทุกคืน
เมื่อรอยฝ้าจางหายไป ให้ทาต่อไปสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเกิดขึ้นอีก

ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้ยาทาฝ้า
เพราะยาเหล่านี้มีผลข้างเคียง หากซื้อยามาใช้เอง อาจทำให้ผิวหน้าเกิดปัญหายิ่งกว่าเดิมได้

ในสมัยก่อนนิยมใช้สารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้า เนื่องจากทำให้ฝ้าจางลงเร็วมาก
อย่างไรก็ตาม วงการแพทย์ในปัจจุบันได้พัฒนาสารกลุ่มอื่นขึ้นมาใช้ด้วย
เนื่องจากสารไฮโดรควิโนนเป็นสารที่มีผลข้างเคียงสูง คือเป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแดด
หากทายาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนแล้วไม่ทาครีมกันแดด ฝ้าจะดำกว่าเดิม
และเมื่อใช้ไฮโดรควิโนนติดต่อกันนานๆ จะเกิดฝ้าถาวร มีลักษณะเหมือนเม็ดงาเล็กๆ ฝังอยู่ในผิวหน้า
ฝ้าชนิดนี้จะหนาและเข้มกว่าฝ้าปกติมาก และหากหยุดใช้ไฮโดรควิโนน หน้าจะดำกว่าเดิมอยู่เป็นเวลานาน
ฝ้าที่เกิดจากไฮโดรควิโนนต้องรักษาโดยการผลัดเซลล์ผิวประกอบไปด้วย

- การลอกหน้าด้วยสารเคมี อาจทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่ควรทำโดยแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญเท่านั้น

- การรักษาด้วยแสงเลเซอร์และวิธีไอออนโตโฟเรซิส คือการใช้กระแสไฟฟ้าผลักประจุยาเข้าสู่ผิวหนัง
ให้ผลการรักษายังไม่แน่นอน และยังไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้


การป้องกันการเกิดฝ้า

ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดฝ้า เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ สวมหมวกหรือกางร่ม
และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกแดด

หากฝ้าเกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด อาจปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น
โดยปกติแล้วหากหยุดยาคุมกำเนิด ฝ้าก็จะค่อยๆ จางหายไป
เช่นเดียวกับฝ้าที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะค่อยๆ จางหายไปหลังคลอด


โดย เอมอร คชเสนี
ที่มา //www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000095241


สารบัญ บทความ สุขภาพ
คลิกดู ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2552
0 comments
Last Update : 2 ธันวาคม 2552 4:27:15 น.
Counter : 809 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.