happy memories
Group Blog
 
<<
กันยายน 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
25 กันยายน 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๔๕





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto






























ภาพและข้อมูลจากนิตยสาร Smart Wealth ฉบับที่ ๑๘













ร้อยแวนโก๊ะ พันปิกัสโซ ก็ไร้ความหมาย ถ้าไม่มี 'ศิลป์ พีระศรี' ชี้นำ


ครบ ๑๒๒ ปี ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ จัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในวันศิลป์ พีระศรี ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗ ลานอนุสาวรีย์ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี นักศึกษาคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ ม.ศิลปากร ช่วยกันออกไอเดียประดับตกแต่งดอกไม้อย่างสวยงาม พร้อมติดริ้วธงสามสี เขียว ขาว แดง เป็นสีธงชาติอิตาลี บ้านเกิดของอาจารย์ศิลป์


อนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นแรกที่เกิดขึ้นเพื่อรำลึกถึงอาจารย์ศิลป์ ผู้ได้อุทิศชีวิตจิตใจเพื่อวางรากฐานการศึกษาศิลปะสมัยใหม่ และผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากนั้นก็มีอนุสรณ์สถาน ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี แห่งที่สองเกิดขึ้นที่วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ และแห่งที่สาม วิทยาเขตเพชรบุรี ใกล้เสร็จสมบูรณ์เต็มที การออกแบบต่างกันที่ฐานอนุสาวรีย์เท่านั้น ในขณะที่ประติมากรรมรูปเหมือนทั้งสามที่เหมือนกัน เพราะใช้ต้นแบบจากอนุสรณ์สถานแห่งแรก ผลงานสนั่น ศิลาธร สุดยอดประติมากรของไทย


ลานอนุสาวรีย์อาจารย์ศิลป์ ในงานวันศิลป์ พีระศรี ๒๕๕๗ เหล่าลูกศิษย์ นักศึกษา คณาจารย์ ศิลปิน และบุคลากรของ ม.ศิลปากร พร้อมใจกันวางดอกไม้น้อมรำลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านสร้างไว้แก่ประเทศไทย มีชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยดอกเตอร์ฟรานเซสโก ซาวิริโอ นิสิโอ เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย และ ผศ.ชัยชาญ ถาวรเวช อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมเปิดงาน


ใน ๑ ปีจะมี ๑ วัน ทุกวันที่ ๑๕ กันยายน จะเชิญอัฐิอาจารย์ศิลป์มาที่ห้องทำงานอาจารย์ศิลป์ ณ พิพิภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ ด้านหลังอาคารประติมากรรม คณะจิตรกรรมฯ เปิดโอกาสให้ประชาคมศิลปากรและผู้ที่เคารพนับถือได้ร่วมวางดอกไม้เช่นกัน ซึ่งอัฐิอาจารย์ส่วนหนึ่งเก็บอยู่สุสานเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี และมีอีกส่วนบรรจุไว้ที่ประติมากรรมรูปเหมือนอาจารย์ศิลป์ วังท่าพระ


อ.ดร.ปรมพร ศินิกุลชยานนท์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการหอศิลป์ ม.ศิลปากร กล่าวว่า ปีนี้เป็นโอกาสดี เพราะโรงเรียนประณีตศิลปกรรมครบรอบก่อตั้ง ๘o ปี จุดเริ่มต้นโรงเรียนประณีตศิลปกรรมนี้เหมือนสัญลักษณ์ของการเรียนการสอนศิลปกรรมร่วมสมัยไทย และเป็นรากเหง้าต้นกำเนิดของ ม.ศิลปากรในปัจจุบันที่ยาวนานถึง ๘o ปีแล้ว ปีนี้ก็มีนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้นให้ศิษย์รุ่นใหม่ได้ระลึกถึงความเป็นมา แล้วยังมีการแสดงนิทรรศการผลงานศิลปกรรมของลูกศิษย์อาจารย์ศิลป์ เราจะสืบสานปณิธานของท่านที่คอยให้สติแก่ลูกศิษย์เสมอว่า "ถ้านายรักฉัน นายทำงานศิลปะ"


ในนิทรรศการศิลปกรรมร่วมสมัยเนื่องในวันศิลป์ พีระศรี "ลูกศิษย์คิดถึงอาจารย์ ครั้งที่ ๔" ช่วง มูลพินิจ ศิลปินแห่งชาติ ร่วมแสดงจิตรกรรมน้อมรำลึกอาจารย์ศิลป์ พร้อมฝากข้อความกินใจถึงคนรุ่นหลัง "สิบไมเคิล แองเจโล ร้อยแวนโก๊ะ พันปีกัสโซ ก็ไร้ความหมาย เราจะไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีท่าน ศ.ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ชี้นำ สิบภูผาที่ยิ่งใหญ่ ร้อยวนาลัยอันสะพรั่ง พันทะเลโอฬาร ก็ไร้ความหมาย ถ้าไร้ดวงตาอันมีแววสุนทรีย์"


ในขณะที่วงเสวนา "พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว" เนื่องในวันศิลป์ พีระศรี ณ ท้องพระโรง วังท่าพระ ศ.เกียรติคุณพิษณุ ศุภนิมิตร ศิลปินอาจารย์คณะจิตรกรรมฯ กล่าวว่า ท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้คอยเตือนสติและปลุกใจให้บรรดาลูกศิษย์ทุกคนได้ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานด้วยคำสั้นๆ ประโยคเดียว คือ "พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว" แม้ท่านจากโลกนี้ไปในวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕o๕ รวมเวลา ๕๒ ปี แล้ว แต่อาจารย์อยู่ในใจของเราทุกคน อาจารย์เป็นผู้นำการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย ปีนี้ทุกคณะวิชาด้านศิลปะก็ตั้งใจจัดงานแสดงผลงานศิลปะแขนงต่างๆ ช่วยกันเผยแพร่งานศิลปะ ทุกพื้นที่ในมหาวิทยาลัยพร้อมใจน้อมรำลึกอาจารย์ศิลป์ มีการเขียนภาพบนกำแพงในวันศิลป์ พีระศรี ฝีมือของรุ่นน้องปี ๑ จนกลายเป็นประเพณี


"อาจารย์ศิลป์เป็นผู้วางรากฐานของมหาวิทยาลัยศิลปากร และมีการพัฒนาตามลำดับ เรียนศิลปะแต่เดิมจบปริญญาตรีก็เป็นศิลปินได้ ก็เพิ่มปริญญาโทมา ปัจจุบันมีปริญญาเอกทัศนศิลป์ ขั้นตอนเข้มงวดมากขึ้นจะก้าวสู่ศิลปิน ระดับสูง แบ่งเป็นการสร้างสรรค์ศิลปะกับงานวิชาการ การเรียนการสอน ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมถึงทีมผู้สอนเป็นอาจารย์ที่มีประสบการณ์ ผู้มีคุณวุฒิ เราเปิดรับนักศึกษาจากพม่า เวียดนาม มาเลเซีย ลาว น่าสนใจมาก จะเกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ" ศิลปินอาจารย์ชื่อดังกล่าว ม.ศิลปากรพร้อมจัดการศึกษาด้านศิลปะสู่สากล


การมอบทุนการศึกษาให้กับนักศึกษารุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่ในคณะวิชาทางด้านศิลปะในสถาบันการศึกษาที่มีการจัดการเรียนการสอนศิลปะ อย่าง จุฬาลงกรณ์ฯ วิทยาลัยเพาะช่าง ม.เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ไม่เฉพาะศิลปากร เป็นอีกกิจกรรมที่เกิดขึ้นทุกปีในวันศิลป์ พีระศรี


กฤติยาภรณ์ โปทา หรือ "ดรีม" นักศึกษาผลการเรียนดี คณะโบราณคดีผู้รับมอบทุนการศึกษากองทุนถวัลย์ ไทยพาณิชย์ จากมูลนิธิสยามกัมมาจล กล่าวว่า เป็นเกียรติที่ได้รับทุนนี้ จะนำทุนการศึกษา ๑ หมื่นบาท เพื่อพัฒนาทักษะทางด้านภาษา ซึ่งเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง อาจารย์ศิลป์เป็นแรงบันดาลใจนักศึกษา "พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว" ประทับใจประโยคนี้ กระตุ้นให้เราตั้งใจเรียน ไม่รีรอที่จะทำ สำหรับตนจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักศึกษารุ่นน้อง


ขณะที่ อานนท์ หาญในธรรม หรือ"ไอซ์" นักศึกษาปี ๔ คณะโบราณคดี บอกว่า การมอบทุนให้กับนักศึกษาคณะจิตรกรรม คณะมัณฑนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ และคณะโบราณคดี เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก ๆ และช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของครอบครัว ทุนที่ได้รับจะไว้ซื้อหนังสือ ช่วยให้ผลการเรียนดียิ่งขึ้น เชื่อว่าทุกคนคิดถึงอาจารย์ศิลป์ ท่านมีคุณูปการต่อประเทศไทย มีผลงานประติมากรรมสำคัญฝากไว้บนแผ่นดิน และทำให้คนไทยเห็นถึงความสำคัญของศิลปินและศิลปะ ตนก็มีเป้าหมายในชีวิต หากสำเร็จการศึกษาจะเป็นอาจารย์ปลุกให้คนรุ่นใหม่สนใจเรียนรู้ภาษา ศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของประเทศ


ตอนนี้ยังมีนิทรรศการเปิดการแสดงให้แวะเวียนไปชมกันได้ตามคณะวิชาต่างๆ อย่างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะมัณฑนศิลป์ หรือคณะจิตรกรรมฯ ก็มีการแสดงศิลปกรรมของอาจารย์คณะจิตรกรรมฯ ครั้งที่ 31 หัวข้อ "เส้นทางสายอาเซียน" แสดงถึงวันที่ ๑๕ ตุลาคมนี้ ที่ PSG Art Gallery ม.ศิลปากร วังท่าพระ หยุดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์.



ภาพและข้อมูลจากเวบ
thaipost.net
thaigold.info














พระราชทานโกศแปดเหลี่ยมแก่'ประหยัด พงษ์ดำ'


"ในหลวง"พระราชทานโกศแปดเหลี่ยม ตั้งประกอบเกียรติยศ บรมครูศิลปะ "ประหยัด พงษ์ดำ" ศิลปินแห่งชาติ


นับเป็นความสูญเสียของปูชนียบุคคลวงการศิลปะอีกครั้ง เมื่อ นายประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) ปี ๒๕๔๑ ได้สิ้นใจอย่างสงบด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ภายในบ้านพัก ช่วงเวลาเช้ามืด ของวันที่ ๑๙ ก.ย.


นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม(สวธ.) กล่าวว่า สวธ.ได้รับแจ้งจากครอบครัวนายประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(ภาพพิมพ์) ปี ๒๕๔๑ ได้เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวที่บ้านพัก เลขที่ ๒๓๗/๑ ซ.เพชรเกษม ๗๒ แขวงบางแคเหนือ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ สิริอายุรวม ๗๙ ปี ๑o เดือน


นายนคร กล่าวต่อว่า ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯพระราชทานโกศแปดเหลี่ยมตั้งประกอบเกียรติยศ ในฐานะที่ได้รับพระราชทานสายสะพายชั้นสูง มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก พร้อมกันนี้ยังโปรดเกล้าฯให้รับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เป็นเวลา ๗ วัน โดยพระพิธีธรรม จะสวดพระอภิธรรม ตั้งแต่คืนวันที่ ๑๙-๒๕ กันยายน เวลา ๑๙.oo น. ณ ศาลา ๑ เตชะอิทธิพร วัดเทพศิรินทราวาส


ส่วนพิธีพระราชทานเพลิงศพจะกำหนดวันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สวธ.มีเงินสวัสดิการสำหรับศิลปินแห่งชาติที่เสียชีวิตเพื่อร่วมบำเพ็ญกุศลศพมอบให้ครอบครัวจำนวน ๒o,ooo บาท และยังมีเงินสำหรับสนับสนุนการจัดทำหนังสือเผยแพร่ผลงานเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน ๑๕o,ooo บาท


นางสุมลทรา พงษ์ดำ ภรรยาบุตรชาย นายประหยัด กล่าวว่า ตนเป็นผู้ดูแลคุณพ่อมาโดยตลอด รู้สึกตกใจมาก ที่คุณพ่อเสียชีวิต โดยเมื่อวันที่ ๑๘ ก.ย. ท่านมีอาการไข้เล็กน้อยจึงได้พาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพญาไท ๓ และกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ในช่วงเย็นคุณพ่อก็ยังนั่งทานข้าวด้วยกันกับครอบครัวที่บ้าน โดยไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง จากนั้นเวลาประมาณ ๒๒.oo น.ก็ขึ้นไปนอนในห้องส่วนตัวคนเดียว จนกระทั่งเวลา ๗.๓o คุณแม่เห็นว่าผิดสังเกต เพราะตามปกติคุณพ่อต้องตื่นมาส่งหลานชายและให้เงินก่อนไปโรงเรียนทุกวันจึงเดินไปดูที่ห้อง ก่อนจะส่งเสียงตะโกนเรียกตามให้ตนขึ้นไปที่ห้องนอน ก่อนจะพบว่าคุณพ่อได้นอนสิ้นลมไปอย่างสงบ


นางสุมลทรา กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้คุณพ่อมีโรคประจำตัวรุมเร้า ทั้งเบาหวาน ความดันสูง หัวใจ เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมเพิ่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชด้วยอาการเหนื่อย แน่นหน้าอก แพทย์จึงได้ทำการขยายหลอดเลือดหัวใจ และเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วก็บอกเป็นระยะว่ามีอาการเหนื่อยใจจะขาด ไม่ค่อยมีแรง และนอนไม่ค่อยหลับ อีกทั้งช่วงหลังมีความเครียดกับเรื่องงานหลายเรื่อง ประกอบกับการจากไป ของ อ.ถวัลย์ ดัชนีย์ ศิลปินแห่งชาติก็ยิ่งทำให้คุณพ่อคิดมากไปอีก เพราะทั้งสองท่านเป็นศิลปินที่ใกล้ชิดกันมาก ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เมื่องานวันสวดอภิธรรมศพ อ.ถวัลย์ คุณพ่อหกล้มจนศีรษะแตกด้วย หลังจากงานศพ อ.ถวัลย์ คุณพ่อก็ดูซึมเศร้า ไม่คุยเล่นเหมือนเคยและแทบจะไม่ได้เห็นคุณพ่อหัวเราะอีกเลย


“ อย่างไรก็ตาม คุณพ่อยังมีผลงานที่ได้สร้างสรรค์ค้างไว้อีก ๑ ชิ้น เป็นการแกะไม้และเพ้นท์รูปบึงดอกบัวและต้นโพธิ์ ขนาดใหญ่เกือบ ๒ เมตร ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา ซึ่งท่านบอกไว้ว่าอยากให้ผลงานชิ้นนี้เป็นชิ้นพิเศษของตนเองที่จะนำไปติดตั้งไว้ที่หอศิลป์ส่วนตัวที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ปัจจุบันได้จัดเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านทัศนศิลป์ให้แก่ประชาชน ” นางสุมลทรา กล่าว


นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ถือว่าเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญในวงการศิลปะ ซึ่งนายประหยัดเป็นปูชนียบุคคลของชาติ ได้สร้างสรรค์ผลงานภาพพิมพ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งอาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ ทำงานเพื่อสังคม บริจาคภาพเพื่อประมูลให้เป็นทุนการศึกษาของนักเรียนศิลปะอย่างสม่ำเสมอ โดยภาพที่โด่งดังส่วนใหญ่ของอาจารย์จะเป็นภาพเกี่ยวกับสัตว์ เช่น แมว นกฮูก เป็นต้น


นายธงชัย รักษ์ปทุม ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ กล่าวว่า ตนได้พบกับนายประหยัดครั้งสุดท้ายที่งานศพของ นายถวัลย์ เห็นว่าท่านมีสีหน้าไม่สู้ดี ดูอิดโรยตามสังขาร ก็แสดงความห่วงใยและแนะนำให้พักผ่อนมาก ๆ เมื่อท่านจากไปรู้สึกช็อคมาก เพราะนายประหยัดเป็นอาจารย์ที่ตนเคารพรัก มีความผูกพันและใกล้ชิดมาก เป็นบรมครูด้านงานการสร้างสรรค์ศิลปะ ถือเป็นแบบอย่างให้กับลูกศิษย์ได้อย่างประเสิรฐ ท่านมีภูมิปัญญา มีความคิด มีหัวใจของความเป็นครูที่จะถ่ายทอดอรรถรสงานศิลปะให้กับลูกศิษย์ได้สมบูรณ์แบบ ทั้งด้านความขยันและรักในงานศิลปะ รวมถึงยกย่องเทิดทูน ศ.ศิลป์ พีระศรี ผู้วางรากฐานศิลปะร่วมสมัยของไทย


นายธงชัย กล่าวอีกว่า ด้วยความเป็นคนอ่อนโยน ในการทำงานศิลปะท่านจึงสะท้อนผ่านผลงานศิลปะที่มีสุนทรีย์ภาพอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะภาพชุด”แม่อุ้มลูก” ภาพชุด”ครอบครัวแมวและไก่” ในยุคปัจจุบันจะหาศิลปินอาจารย์ที่ทำหน้าที่ความเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินได้เท่ากับนายประหยัด และเป็นศิลปินที่ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยไม่เคยปฏิเสธ


สำหรับประวัติ นายประหยัด พงษ์ดำ เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๗๗ ที่บ้านบางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ในวัยเด็กสนใจการวาดภาพสัตว์ต่าง ๆ มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะภาพไก่ สุนัข สุกร ม้า แมว ฯลฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ สอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเพาะช่างได้ และในขณะที่ศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ ๒ ของโรงเรียนเพาะช่าง นายประหยัดได้สอบเทียบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปากรสำเร็จและเรียนจบรับปริญญาศิลปบัณฑิต (จิตรกรรม) ในขณะกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ ๕ ของโรงเรียนเพาะช่าง ดังนั้น ศ.ศิลป์ พีระศรี จึงมอบหมายให้นายประหยัดช่วยสอนวิชาพื้นฐานทางศิลปะให้แก่นักศึกษารุ่นน้องด้วย


หลังจบการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากรได้บรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งอาจารย์ตรี ต่อมาได้สอบชิงทุนการศึกษาต่อที่ Academia Di Beelle Arti Di Rome ประเทศอิตาลี ได้สร้างชื่อเสียงด้านการเรียน และการสร้างสรรค์งานศิลปะให้เป็นที่ชื่นชมแก่คณะอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อจบการศึกษาจึงกลับมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรต่อ จนกระทั่งในปี ๒๕๓๘ ได้รับตำแหน่ง ศาสตราจารย์ ระดับ ๑o คณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร


สำหรับผลงานสำคัญของนายประหยัดได้คิดค้นกรรมวิธีทางภาพพิมพ์ที่เป็นประโยชน์แก่วงการศิลปะภาพพิมพ์ และเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับเลือกให้เขียนภาพประกอบหนังสือเรื่อง พระมหาชนก พระราชนิพนธ์โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลปัจจุบัน ที่สำคัญได้ถวายงานแด่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ออกแบบ และเขียนภาพเพดานพระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา และได้ถวายงาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเขียนภาพฝาผนังพระอุโบสถวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ร่วมกับอ.ปรีชา เถาทอง ด้วย


นอกจากนี้นายประหยัดยังได้จัดแสดงผลงานศิลปะทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก รวมทั้งได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนรุ่นหลังอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี ๒๕๔๑ ได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุดมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ร.) ถือเป็นเกียรติประวัติอันสูงสุดของชีวิต



















ภาพและข้อมูลจากเวบ
sanook.com
bangkokbiznews.com














“พ่ออังคาร ผู้มาจากดาวโลก” อ้อมแก้ว กัลยาณพงศ์


“หลายคนอาจรู้จัก “ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์” ในมุมของกวีและจิตรกร ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ไม่ธรรมดา แปลก เพี้ยน หรือจะด้วยความใด ๆ ตามแต่ละมุมมองของแต่ละคน หลายแหล่งข้อมูลกล่าวถึงท่านอังคารในฐานะผู้มีคุณประโยชน์ต่อสังคม ใครอาจมองว่าชายคนนี้เข้าถึงยาก แต่ในอีกมุมหนึ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น ท่านอังคารก็มีชีวิตเหมือนคนทั่วไป และยังมีสถานะ “พ่อ” ที่น่ารัก เมื่อความเป็นพ่อรวมเข้ากันกับความอ่อนไหวแห่งวิสัยกวี ย่อมมีเรื่องอะไรให้จดจำมากมาย ทั้งบนความระทึกและนิ่งงัน”






คือคำนำส่วนหนึ่งของหนังสือ “พ่ออังคาร ผู้มาจากดาวโลก” ถูกเขียนขึ้นและลงทุนพิมพ์เองโดย ขวัญ - อ้อมแก้ว กัลยาณพงศ์ ลูกคนที่สองของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ปี ๒๕๓๒, รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือ ซีไรต์ (S.E.A. Write ) ปี ๒๕๒๙ จากผลงานกวีรวมเล่ม “ปณิธานกวี” ผู้มีผลงานโดดเด่นทั้งในด้านกวีนิพนธ์และภาพเขียน และเสียชีวิตไปเมื่อปี ๒๕๕๕






สักวันเราแก่ไป จะยังได้ดูอยู่เรื่อย ๆ



ซึ่งหนังสือเล่มนี้ขวัญบอกว่าเป็นผลผลิตจากความชอบของตนเองที่ชอบจะบันทึกเรื่องราวในชีวิตประจำวันของพ่อเก็บไว้ในทุกอิริยาบถ


“ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ขวัญจะชอบถ่ายภาพในทุกอิริยาบถของพ่อ ไม่ว่าจะตอนไปโรงพยาบาล อยู่บ้านทำอาหาร พูดคุย นอน ทำงาน ขวัญจะถ่ายทั้งภาพนิ่งและวิดีโอเก็บไว้ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดว่าจะนำมาทำเป็นหนังสือ พอพ่อเสีย ด้วยความที่เราอยากจะบันทึกเรื่องราวในความทรงจำของเราที่มีต่อพ่อเก็บไว้ เพราะกลัวว่านานไปจะลืม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่พ่อเขาสอนเรา พ่อเขาเลี้ยงและสอนเรายังไง หรือว่าบรรยากาศในบ้าน พ่อเคยเล่าให้ฟัง ตอนเด็ก ๆ เวลาแม่ไม่อยู่ ก็จะให้อยู่กับพ่อแทน หรือเรื่องน่ารัก ตลก ๆ ที่เล่ากันเองระหว่างพ่อลูก ค่อนข้างส่วนตัว แต่ขวัญมองว่ามันค่อนข้างลึกซึ้ง สิ่งที่ขวัญเห็นเกี่ยวกับพ่อ มันเยอะมาก ก็เลยคิดว่าน่าจะทำเป็นหนังสือ นอกจากนี้มันมีอีกหลายสิ่งเกี่ยวกับพ่อที่คนเขาไม่รู้ หรืออาจจะเป็นเรื่องที่คนเขาเข้าใจผิด เช่นเหตุการณ์เป็นแบบนี้ แต่พอขวัญถามพ่อ มันไม่ใช่”


ลูก ๆ ส่วนใหญ่ต่างก็รักพ่อด้วยกันทั้งนั้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะบันทึกภาพพ่อในทุกอิริยาบถเก็บเอาไว้ ซึ่งกรณีของขวัญเป็นเพราะอะไรนั้น เธอตอบว่า


“เป็นความรู้สึกที่เราคิดถึงพ่อมากกว่า ทั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ เหมือนเป็นช่วงที่เรารู้แล้วว่าพ่อเป็นคนที่ไม่ธรรมดา คนอื่นอาจจะบอกว่าพ่อไม่ธรรมดาอย่างที่เขามอง แต่เรารู้สึกว่าพ่อมีอะไรที่พิเศษ ทั้งความเป็นพ่อที่น่ารักและมีความลึกซึ้งด้วย เราได้เห็นอิริยาบถของพ่อ เขาจะเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนมาก เป็นคนช่างคิดมากๆ ทำให้เราอยากเก็บช่วงเวลาที่พ่อเขาทำงาน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ สักวันเราแก่ไป จะยังได้ดูอยู่เรื่อยๆ”










ประวัติพ่อ แทรกความรู้สึกลูก



เนื้อหาในหนังสือ เริ่มดำเนินเรื่องราวนับตั้งแต่คืนวันสุดท้ายที่โรงพยาบาลก่อนที่ท่านอังคารจะเสีย แล้วเล่าย้อนกลับไปถึงตอนที่เกิดและเติบโตที่นครศรีธรรมราช, เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ, ช่วงทำงานกับศิลปินอย่าง อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์,พบ “อุ่นเรือน” ผู้เป็นภรรยา, เริ่มทำงานจิตรกรรม เขียนบทกวี,มีลูก, วิธีการสอนลูก, เริ่มป่วย แล้วย้อนกลับมาที่เหตุการณ์คืนวันสุดท้ายที่โรงพยาบาลอีกครั้ง


“มีสิ่งที่คนไม่รู้ว่าก่อนพ่อเสียเป็นยังไง ร่างกายเป็นยังไง ทำไมถึงจากไป รวมถึงช่วงที่พ่อเขาเริ่มจะจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่พ่อเขาก็พยายามที่จะสอนเรา ซึ่งเป็นคำสอนที่ทำให้เราอึ้ง ขนาดคนที่ไม่ค่อยจะมีสติแล้ว ก็ยังพยายามจะสอนอะไรเรา และลึกซึ้งมาก บางทีลุกขึ้นมาตอนตีสี่อะไรอย่างเงี้ย เราก็อึ้งอะค่ะ เป็นต้นว่า พ่อพยายามจะเล่นเกมทายคำถามกับเรา เหมือนเขาจะพยายามฟื้นความทรงจำ พยายามจะทายว่าพวกเรากำลังทำอะไรอย่างนี้ ซึ่งขวัญก็ทายไปเรื่อย ๆ แต่ก็ทายไม่ถูกสักที พอเราบอกให้เขาเฉลย เขาก็พูดในสิ่งที่ลึกซึ้งมากในความคิดเรา”


อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือในแบบที่ลูกสาวคนหนึ่งเขียนเล่าเรื่องราวของพ่อให้คนอื่นรับรู้เพียงอย่างเดียว แต่ในทุกช่วงตอนของเนื้อหายังมีการแทรกความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนลงไปด้วย


“ขวัญพยายามแทรกความรู้สึกนึกคิดของเราเข้าไป รวมไปถึงหลังจากที่คุณพ่อเสียไปแล้ว ขวัญมีความรู้สึกยังไง นำคำสอนของพ่อมาใช้ยังไง และเราพยายามจะขัดเกลาตัวเองในเรื่องอะไรบ้าง”










อยากให้คนอื่นได้รู้เกี่ยวกับพ่อในมุมที่น่ารัก



ทว่าไม่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เป็นข่าวไปเมื่อไม่นาน กรณีผลงานศิลปะของท่านอังคาร ถูกลูกจ้างภายในบ้านขโมยไปขายให้ร้านทำกรอบรูป


“เพราะช่วงที่ขวัญเขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นช่วงที่เนื้อหาในหนังสือค่อนข้างจะลงตัวแล้ว เขียนก่อนที่จะทราบเหตุการณ์ และขวัญอยากให้หนังสือเล่มนี้ สื่อไปในเรื่องที่เป็นเชิงบวกมากกว่า อยากให้คนอื่นได้รู้เกี่ยวกับพ่อในมุมที่น่ารัก และถ้าเกิดเอาเรื่องนั้นมาลงในหนังสือ ขวัญคิดว่ามันก็จะดูเป็นเราพยายามหาจุดขาย ซึ่งขวัญมองว่ามันไม่ค่อยเหมาะสม และจริง ๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้มันค่อนข้างจะเป็นหนังสือส่วนตัวของขวัญ ที่อยากจะเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก


พ่อเขาจะเป็นคนน่ารักเวลาอยู่ที่บ้าน นอกจากคำสอนที่เขาจะมีมาสอนเราได้ตลอดเวลาทั้งในเวลากินข้าวอยู่ หรือขณะพูดอะไรขึ้นมา เพื่อเป็นแง่คิดให้เรานำไปคิดต่อเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีเกิดขึ้นทุกวันอยู่แล้ว หรือบางทีเราทำงานอยู่ พ่อเปิดประตูเข้ามานั่งเล่นกับเราในห้อง คนอื่นอาจจะมองเห็นท่านอังคารในแง่มุมที่ โอ้โห..อย่างนั้นอย่างนี้ แต่พ่อก็เป็นพ่อคนหนึ่งที่คลุกคลีกับลูก มีความเป็นเบสิก ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร และสอนให้เราฝึกใช้ความคิด”






ไม่ได้มาจากดาวอังคาร


“พ่ออังคาร ผู้มาจากดาวโลก” ขวัญบอกถึงเหตุผลที่เลือกใช้ชื่อนี้เป็นชื่อหนังสือว่า


“ตอนเด็กๆเพื่อนชอบล้อชื่อพ่อชื่อแม่กัน ซึ่งเพื่อนของขวัญก็ชอบจะล้อว่า อังคาร ๆ มาจากดาวอังคาร ซึ่งตอนนั้นเราก็เซ็ง พอมาตอนนี้พยายามนึกชื่อเพื่อตั้งเป็นชื่อหนังสือ เราก็นึกถึงไปเรื่องที่เพื่อนล้อ แล้วความรู้สึกของเราเองที่รู้สึกว่า พ่อไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว ที่มาจากดาวอังคาร หรือดาวไหน ๆ เป็นคนธรรมดาที่อยู่บนโลกนี้ แต่คนชอบไปตั้งสถานะให้ว่าแปลก เพี้ยน หรือบางทีก็เว่อร์ไปในความรู้สึกของเรา”


หน้าปกหนังสือถูกออกแบบโดยใช้ภาพถ่ายจากด้านหลังของผู้เขียนขณะที่ยังเป็นเด็กและติดตามไปดูพ่อเป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับโบราณสถานในสถานที่จริง ซ้อนทับกับภาพถ่ายของพ่อซึ่งถ่ายจากด้านหลังเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้นำบทกวีบางบทที่เขียนด้วยลายมือของพ่อ มาพิมพ์ซ้อนทับลงไปบนปกด้วย


“ขวัญไม่อยากสื่อให้เห็นหน้าเต็มๆ เราไม่อยากขายแบบนั้น และการที่เลือกใช้ภาพที่ดูเหมือนเรามองตามพ่อ ขวัญรู้สึกว่ามันได้อารมณ์ แม่เป็นคนถ่าย เป็นภาพตอนที่ขวัญอายุ ๖-๗ ขวบ เวลาพ่อไปดูโบราณสถาน ขวัญก็จะไปด้วย ทั้งอยุธยา สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ส่วนบทกวี ขวัญเลือกชิ้นที่จะนำมาใช้ออกแบบเป็นหน้าปกได้ค่อนข้างลงตัวที่สุด เอามาเป็นกลิ่นอายของปกแค่นั้น คนอาจจะอ่านได้ไม่ถนัดหรอก แต่เห็นลายมือแล้วสามารถจำได้ว่านี่คือลายมือของท่านอังคาร”


และเมื่อเปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาภายในเล่ม ก็จะพบว่ามีทั้งบทกวีของท่านอังคาร ภาพเขียน ภาพถ่ายเก่า ๆ และภาพถ่ายซึ่งถูกถ่ายโดยผู้เขียนแทรกอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของเนื้อหา


“ส่วนใหญ่ขวัญจะลงภาพมากกว่า ส่วนบทกวีที่เลือกมาจะพยายามเลือกที่ค่อนข้างสื่อกับเนื้อหาในแต่ละบท เช่น ช่วงที่พ่อจะมาเรียนกรุงเทพฯ ก็จะเป็นบทกวีที่พ่อแต่งขึ้นสด ๆ ตอนที่นั่งอยู่บนรถไฟ หรือว่าช่วงที่มาอยู่กรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ลำบากมากต้องกินข้าวบูดจากก้นหม้อ แต่ขวัญจะค่อนข้างประทับใจภาพถ่ายที่นำมาใช้ในหนังสือมากกว่า เพราะ ๕o เปอร์เซ็นต์เป็นภาพที่ขวัญถ่ายเอง ส่วนภาพถ่ายอื่น ๆ ก็เป็นภาพเก่า ๆ ที่ก็น่าสนใจมากๆเช่นกัน เพราะภาพจำนวนไม่น้อยหลายคนไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น ภาพที่พ่อกำลังกระโดดบนภูกระดึง เป็นโมเม้นท์ที่ขวัญรู้สึกว่าพ่อน่ารัก หรือภาพตอนเด็ก ๆ ที่เราขอขี่หลังพ่อ ซึ่งพ่อเขาจะยอมเราแป๊บนึง แล้วก็บอกว่าไม่ไหวแล้ว


หรือว่าภาพที่ขวัญแอบถ่ายพ่อ ตอนหลับ ตอนทำงาน ซึ่งภาพเหล่านี้ขวัญจะเป็นคนถ่ายเองทั้งหมด เพราะพ่อไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งตอนทำงาน และยังมีภาพอีกเยอะมากที่ขวัญถ่ายและส่วนตัวกว่านี้ ทั้งตอนกำลังเดิน ทำงาน จุ่มน้ำหมึก มีหมดเลย ส่วนภาพเขียน ส่วนหนึ่งเป็นภาพที่พ่อเขียนภาพขวัญ พ่อเขียนภาพขวัญเอาไว้มาก ภาพน้องสาวจะไม่ค่อยมีเพราะน้องเกิดในช่วงที่พ่อจะทำงานกวีเป็นส่วนมาก ในบรรดาลูก พ่อเขียนภาพขวัญเยอะที่สุด ขวัญจะเป็นเด็กคิ้วตวัด พ่อมองว่าเป็นจุดเด่นของเรา และตอนมีชีวิตอยู่พ่อจะชอบพูดถึงคิ้วเรามาก”










ทุกอย่างที่เป็นเค้า มันเลี้ยงเรามา



หนังสือเล่มนี้ จัดว่าเป็นผลงานหนังสือเล่มแรกของอ้อมขวัญ แม้ที่ผ่านมาเธอจะมีเคยผลงานเขียนตีพิมพ์มาแล้วบ่อยครั้งทั้งตามนิตยสารและสำหรับนิทรรศการศิลปะ นอกเหนือจากการเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชาออกแบบ ที่มหาวิทยาลัยบูรพา ,กราฟิกดีไซเนอร์ และรอง บก.ของนิตยสาร free copy บางฉบับ อีกทั้งเป็นการตัดสินใจลงทุนพิมพ์เอง โดยไม่นำไปเสนอที่สำนักพิมพ์อื่นมาก่อนด้วย


"เพราะขวัญไม่ได้อยากให้มันเป็นเรื่องของธุรกิจขนาดนั้น และเราอยากคุมเอง เพราะคนที่ทำเขาก็คงไม่รู้เท่าเรา วางภาพตรงไหน ตำแหน่งภาพที่เข้ากับเรื่องราว และการทำอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งมันอาจจะดูจุกจิก เพราะเราอยากให้ภาพและเนื้อหาออกมาในแบบที่เราอยากจะเห็นมากที่สุด และเราก็รู้สึกด้วยว่า เราก็ทำเองได้ เพราะเราก็ทำงานกราฟิกดีไซน์ ก็เลยคิดว่าทำเองดีกว่า ปัญหาคือเราต้องออกทุนเอง เท่านั้นเอง”


ในบรรดาลูกของท่านอังคารทั้ง ๓ คน นอกเหนือจาก พี่ชาย (ภูหลวง) และน้องสาว (วิสาขา) อ้อมแก้ว ซึ่งเป็นลูกคนกลางไม่เพียงแต่เป็นผู้ถูกมอบหมายให้เป็นดูแล พิพิธภัณฑ์จิตรกรกวี “อังคาร กัลยาณพงศ์” ในอนาคต แต่ยังเป็นผู้ที่น่าจะได้รับอิทธิพลในแง่ความเป็นศิลปินมาจากพ่อมากที่สุดก็เป็นได้


“ขวัญเป็นคนชอบเขียน ชอบวาดรูป ตั้งแต่เด็กแล้ว เขียนกลอนก็เขียนตั้งแต่เด็กๆแล้ว แต่ไม่ได้เขียนต่อเนื่อง และไม่ใช่ในแนวของพ่อ เราเป็นคนชอบคิดชอบเขียนและทำงานที่เกี่ยวกับด้านนี้มาตลอด ที่ต้องใช้การเขียน ใช้ความคิด และขวัญเป็นคนชอบเขียนบันทึกประจำวันด้วย รวมไปถึงชอบถ่ายรูป ชอบเก็บบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ มันก็เลยน่าจะเป็นที่มาของการเกิดขึ้นของหนังสือเล่มนี้ด้วย”


ขณะที่ความผูกพันของเธอกับพ่อที่แตกต่างไปจากพี่น้องคนอื่นๆ และสิ่งที่พ่อมองมายังเธอ ขวัญได้บอกเล่าว่า...


“ในช่วงที่เป็นเด็ก ขวัญจะเป็นลูกที่ห่างจากพ่อและแม่มากที่สุด โดยเฉพาะช่วงที่พ่อต้องไปทำงานจิตรกรรมฝาผนังที่วัดศรีโคมคำ จ.พะเยา ขวัญจะถูกปล่อยให้อยู่ที่นั่น เรียนประถมที่นั่น และพ่อเขาก็จะต้องไปๆมาๆระหว่างกรุงเทพฯ กับพะเยา เราก็เลยเหมือนถูกปล่อย แต่ก็มีคนดูแล ทำให้ขวัญมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับตัวเอง ทำให้มีนิสัยที่อาจจะไม่เหมือนเด็กคนอื่น โตมาก็ไปเรียนโรงเรียนประจำ มีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่พอหลังจากนั้นก็จะอยู่กับพ่อที่บ้านตลอด และสิ่งที่พ่อเขามองเรา เขาค่อนข้างจะมองว่าเราเป็นคนที่เข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ดี มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ซึ่งตรงจุดนี้พ่อเขาจะพูดบ่อย


ถ้าเทียบกับคนปกติทั่วไป จริง ๆ พ่อน่าจะเป็นรุ่นปู่ของขวัญได้แล้ว พ่ออายุประมาณ ๕o กว่าถึงจะมีขวัญ แต่จริง ๆ ขวัญไม่เคยคิดเลยนะว่าพ่อแก่ ไม่รู้สึกเลย แต่รู้สึกว่านี่คือพ่อเรา เป็นพ่อที่ดีและให้อิสระกับเราในการที่จะทำอะไร ไม่บังคับเรา สอนให้เราคิด และจะมีอะไรแปลก ๆ ให้เราเห็นตลอดเวลา ทุกอย่างที่เป็นเค้า มันเลี้ยงเรามา เลี้ยงความคิด ความรู้สึกเรา มันก็เลยทำให้เราอาจจะเป็นคนช่างคิด ชอบจินตนาการ และเวลาที่เค้าพูดกับคนอื่น เราก็ได้ซึมซับในสิ่งที่เขาพูด บางทีมันก็เข้ามาหาเราโดยที่เราไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าเราค่อย ๆ ใช้ชีวิตไปตามสิ่งที่เขาสอน”







ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














มหกรรมศิลปะการแสดง และดนตรีนานาชาติกรุงเทพฯ ครั้งที่ ๑๖


เริ่มมาได้เกือบสัปดาห์แล้ว สำหรับ มหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ กรุงเทพฯ ครั้งที่ ๑๖ ซึ่งปีนี้ก็ยังมีดนตรีและการแสดงดี ๆ จากทั่วโลกมาให้คนไทยได้ชมกันชนิดที่เรียกว่า ‘ละลานหูละลานตา’ ไม่ด้อยไปกว่า ๑๕ ครั้งที่ผ่านมา ที่สำคัญปีนี้เพื่อให้คนไทยได้รับชมการแสดงอย่างได้อรรถรสและเข้าถึงสุนทรียะทางศิลปะยิ่งขึ้น การแสดงหลายๆ ชุดได้มีการทำซับไตเติ้ล คำบรรยายทั้งภาษาไทยและอังกฤษประกอบการรับชมด้วย โดยเฉพาะมหาอุปรากร ที่แสดงเปิดงานในปีนี้สองเรื่องคือ ดอน โจวานนี (don giovanni) และ ลา โบแอม (la bohe`me) จากคณะ เตียโตร ลีริโค่ อิตาเลียโน่แห่งโรม(teatro lirico italino of rome) และ มาซีโดเนีย โอเปร่า (macedonia opera) ประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นชาติต้นแบบของงานศิลปะชั้นสูงแขนงนี้เลยทีเดียว เดิมทีการชมโอเปร่าอาจฟังดูเป็นเรื่องเข้าถึงยาก ต้องปีนกระไดฟัง แต่ปีนี้ทางผู้จัดงานเอาใจคนไทยให้มีโอกาสซึมซับคุณค่าของศิลปะการแสดงมากขึ้น ไม่เพียงนำโอเปร่าจากคณะที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดของโลก เป็นหนึ่งในอุปรากรที่ได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยมที่สุด และทั้งสองเรื่องยังถือเป็นอุปรากรที่ถูกนำมาจัดแสดงบ่อยที่สุดเท่านั้น หากการทำซับไตเติ้ลภาษาไทยและอังกฤษระหว่างการแสดง โดยเฉพาะภาษาไทยนั้น ได้มีการเรียบเรียงเป็นบทร้อยกรองที่เต็มไปด้วยความงดงามทางวรรณศิลป์ ให้อรรถรสในการรับชมไม่ด้อยไปกว่าคำร้องจากต้นฉบับเจ้าของภาษาเลยทีเดียว


และนับจากนี้ไปจนถึงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยยังมีดนตรีและศิลปะการแสดงที่น่าสนใจอีกมากมายทั่วโลก ทะยอยเดินทางมาเปิดแสดงให้คนไทยได้ชมกันในงานนี้อีกหลายโชว์เริ่มจากสุดสัปดาห์นี้ พบกับการแสดงกายกรรมชุด “เซิร์ค อีคลิปส์” (cirque eclipse) โดย คณะกายกรรมแห่งชาติ ปักกิ่ง สาธารณะรัฐประชาชนจีน ที่สร้างสรรค์การแสดงขึ้นใหม่ในวาระครบรอบ ๕๕ ปี ของการก่อตั้งคณะ โดยดัดแปลงเอาบัลเลต์คลาสสิกอย่างสวอน เลค (swan lake) มาผสมสานเข้ากับกายกรรม การเต้นรำ ละคร และศิลปะการต่อสู้ของจีนอย่างมวยกังฟูไว้ด้วยกันอย่างงดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ เปิดแสดงให้ได้ชมกันในวันศุกร์ที่ ๑๙, เสาร์ที่ ๒o กันยายนนี้ เวลา ๑๙.๓o น. และวันที่อาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน เวลา ๑๔.๓o น.






ถัดมาในวันพุธที่ ๒๔ กันยายน อย่าพลาดการแสดงบัลเลต์ร่วมสมัยเรื่อง “สโนว์ ไวท์” (snow white) จาก คณะบัลเลต์ เปรโจคาย (ballet preljocaj) ประเทศฝรั่งเศส ที่ว่ากันว่าเป็นคณะบัลเลต์ร่วมสมัยที่ดีที่สุดกับการออกแบบการแสดงที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทั้งลีลาการเต้นที่พริ้วไหวของนักแสดง ฉากสวยงามอลังการ และโดยเฉพาะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ทั้งหรูหราและงามสะดุดตาผ่านการออกแบบของดีไซเนอร์ระดับตำนานอย่าง ฌอง ปอล โกล์ติเยร์ ที่ทำให้เจ้าหญิงสโนว์ไวท์ในโชว์นี้ สวยและเซ็กซี่อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในเทพนิยายกริมม์ ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหนก็ตาม การแสดงมีเพียงรอบเดียวเท่านั้นในเวลา ๑๙.๓o น.


ถัดมาอีกสองวันในเวลาเดียวกัน ชมการแสดงจากวงดนตรี the jive aces ที่แจ้งเกิดจากรายการทีวีชื่อดัง britain’s got talent เมื่อ ๒ ปีก่อน สมาชิกทั้ง ๖ หนุ่มก่อตั้งวงกันมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๓๒ แต่ละคนมีความสามารถทางดนตรีแตกต่างกันไป แนวเพลงที่เล่นก็หลากหลาย ทั้งดนตรีสวิง แจ๊ส ร็อกแอนด์โรล และริธึ่มแอนด์บลูส์ ตระเวณแสดงตามเทศกาลดนตรีทั่วโลกมาแล้วมากกว่า ๑oo โชว์


และในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ กันยายน รอบทุ่มครึ่งเช่นเดียวกัน ก็มีการแสดง เต้นรำฟลามิงโก้ แนวใหม่ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครโดย ๗ หนุ่มพี่น้อง คณะ วิวานคอส (los vivancos) จากประเทศสเปนในงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติปีนี้ พวกเขานำเอาการแสดงชุด “เอเทนัม”(aeternum) มาฝากผู้ชมชาวไทย เป็นการเต้นฟลามิงโก้ ร่วมสมัยที่มีทั้งลีลาเร่าร้อน แข็งแกร่ง ผสมผสานเอาการเต้นฟลามิงโก้เข้ากับบัลเลต์ เต้นแทป และการต่อสู้ป้องกันตัวเข้าไว้ด้วยกัน และยังเพิ่มสีสันของมายากลเข้าไป เป็นอีกหนึ่งสีสันของงานนี้ที่ไม่ควรพลาด






จากนั้นในวันอังคารที่ ๓o กันยายน และพุธที่ ๑ ตุลาคม รอบ ๑๙.๓o น. สนุกสนานเพลิดเพลินไปกับบทเพลงของ แอบบ้า (abba) วงระดับตำนาน โดยเป็นการก๊อปปี้โชว์จากวงดิ อาไรวัล (the arrival) ประเทศสวีเดน บ้านเกิดของ abba ที่ลอกเลียนวงในตำนานได้อย่างเหมือนจริง ทั้งจำนวนสมาชิก น้ำเสียงการร้อง ลีลาการแสดง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นแสดงเลียนแบบแอบบ้าที่ดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว พวกเขาทั้ง ๔ มาในชุดการแสดงที่ชื่อ “the world’s greatest abba show”


อันที่จริงทุก ๆ โชว์ในงานนี้ถือว่าน่าสนใจทั้งสิ้น แต่ขอเลือกที่เป็นไฮไลท์มาแนะนำกันในพื้นที่อันจำกัด ก็น่าจะเป็นการแสดงบัลเลต์เรื่อง “แบล็คไดมอนด์”(black diamond) จากคณะเดนิช แดนซ์ เธียเตอร์ (denish dance theatre) ของเดนมาร์ก ที่รวมเอานักเต้นเก่ง ๆ จากนานาชาติมาร่ายลีลาให้ได้ชมกันในวันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคม ส่วนในวันเสาร์-อาทิตย์ สุดสัปดาห์บอกได้ว่าห้ามพลาดสำหรับการแสดงบอลลีวู้ดมิวสิคัลชุด “taj express” ที่มาพร้อมกับฉาก เสื้อผ้าอลังการมากกว่า ๒,ooo ชุด เครื่องประดับอีกมากกว่า ๒,๕oo ชิ้นเป็นโชว์ที่ดำเนินเรื่องเหมือนดูหนังบอลลีวู้ดสดๆ บนเวที ที่มีทั้งฉากแอ็คชั่น ร้องเพลง เต้นรำ และที่หลายคนรอคอยมากที่สุดก็คือ ซิมโฟนีคอนเสิร์ตโดยวาทยากรเอกของโลก สุบิน เมห์ธา และ วงอิสราเอล ฟิล ฮาร์โนมิก ออร์เคสตรา ที่ได้ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวงออร์เคสตราที่ดีที่สุดในโลก คอนเสิร์ตครั้งนี้พวกเขาเลือกเอาบทเพลง คอนแชร์โต้สำหรับสี่ไวโอลินและออร์เคสตราของวิวาลดี มาบรรเลงให้ฟัง อีกทั้งยังนำเอา ซิมโฟนี หมายเลข ๓๖ ของโมสาร์ท และซิมโฟนีหมายเลข ๕ ของมาห์เลอร์ มาบรรเลงให้ฟังกันอย่างเต็มอิ่มในวันจันทร์ที่ ๒o ตุลาคม เวลา ๑๙.๓o น. ก่อนจะปิดท้ายมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติครั้งนี้ด้วยบัลเลต์เรื่อง “ออนิจิน”(onegin) จากคณะชตุทท์การ์ท(stuttgart ballet) เยอรมันนี ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกในวันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม รอบทุ่มครึ่งและอาทิตย์ที่ ๒๖ ตุลาคมในรอบบ่ายสองโมงครึ่ง


ศิลปะการแสดงดี ๆ และหาดูยากแบบนี้ ปีหนึ่งมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ลงมือกาปฏิทินตามวันและเวลาแล้วหาโอกาสไปชมการแสดงเหล่านั้นกัน



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net












ม.ร.ว.เทพกมล เทวกุล องคมนตรี ประธานมอบรางวัล
พร้อมด้วย บุญญาภาณิ์ เบญจรงคกุล ผอ. พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย
แพทริค กัสทานิเย่ร์ กก.ผจก.บจก. เพอร์นอต ริคาร์ด (ประเทศไทย),รุจิราภรณ์ หวั่งหลี กก.รางวัล Art Patron
วรรณา เบญจรงคกุล กก.บริหาร บจก. ไพรเวท พร็อพเพอร์ตี้,
ดร.ศรีภูมิ ศุขเนตร และ ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี




ART FORWARD FUND AWARD (AFFA)
รางวัลแห่งงานศิลป์ ก้าวสู่การเป็นศิลปินระดับชาติ


พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย โดย บุญญาภาณิ์ เบญจรงคกุล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ฯ จัดงาน “ART FORWARD FUND AWARD” (AFFA) การประกวดผลงานศิลปกรรมของนักศึกษาคณะศิลปกรรมปีสุดท้ายจากทั่วประเทศ ชิงเงินรางวัล ๑oo,ooo บาท พร้อมรางวัลพิเศษ Art Patron, ทริปชมงานศิลปะ Absolut Art Award ที่กรุงสตอคโฮล์ม ประเทศสวีเดน เป็นเวลา ๕ วัน และได้ร่วมงานศิลปะโดยมี AFFA เป็นผู้สนับสนุนการจัดงาน ซึ่งงานนี้ได้รับเกียรติจาก ม.ร.ว.เทพกมล เทวกุล องคมนตรี และ คุณหญิงขวัญตา เทวกุลฯ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศ ณ ห้องรอยัล บอลรูม โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๗


ภายในงานจัดนิทรรศการสุดยอดผลงานที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ให้แขกผู้มีเกียรติ อาทิ ดร.ศรีภูมิ- ม.ร.ว.วรรณาภรณ์ ศุขเนตร, ท่านผู้หญิงวิวรรณ- จิตริก เศรษฐบุตร, ศ.ดร.สมปอง- อ.ถ่ายเถา สุจริตกุล ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ได้ชื่นชมและสัมผัสผลงานอันสร้างสรรค์อย่างใกล้ชิด จากนั้นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ฯ ได้กล่าวเปิดงาน พร้อมแนะนำคณะกรรมการผู้เป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินทั้ง ๕ ท่าน ได้แก่ กรกฤต อรุณานนท์ชัย, กฤติยา กาวีวงศ์, ดิสพล จันศิริ, ฟิลิป ทินารี่, เอเดรี่ยน หว่อง ท่ามกลางบรรยากาศการแสดงความยินดีของผู้คนในแวดวงศิลปะและเหล่าเซเลบริตี้ที่รักในงานศิลป์ พร้อมความสุนทรีจากเสียงทรงพลังของคณะ Opera ที่มีเครื่องสายเพียง 8 ชิ้นมาบรรเลงให้ฟังสุดคลาสสิค ต่อด้วยหนังสั้นสุดอาร์ทที่เคล้าคลอไปกับเสียงนุ่ม ๆ แต่ลุ่มลึกจากเปียโนที่มีเชลโลบรรเลงตาม ก่อนจะประกาศผลการแข่งขัน โดยผู้ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติสุดยอดศิลปกรรมอันยอดเยี่ยม ได้แก่ ธนภณ อินทร์ทอง จาก มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เจ้าของผลงานที่ชื่อ “จากอดีต” คว้ารางวัล AFFA


ผลงาน “จากอดีต” ของ ธนภณ อินทร์ทอง “เป็นการพูดถึงเรื่องราวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นมาในอดีตของครอบครัว ผ่านการนำสิ่งของที่มีความสำคัญ กับประสบการณ์ในอดีต เพื่อนำมาสร้างความหมาย เป็นเรื่องราวที่ถูกแช่แข็งไว้ในสิ่งของแต่ละชิ้น โดยเนื้อหาของผลงานแต่ละชิ้น คือ แหวนแต่งงาน, อนุสวรีย์ลูกผู้ชาย และ น๊อต ถูกใช้แทนตัวบุคคล ซึ่งมี พ่อ แม่ และตัวเอง เป็นตัวกำหนดขอบเขตในการคัดเลือก เพื่อใช้ถ่ายถอดเป็นผลงานออกมา” โดย ธนภณ เผยด้วยความดีใจว่า “มีความสุขมากครับที่ได้รับรางวัล จริง ๆ แค่ได้มาร่วมในโครงการนี้ ได้แสดงออกผ่านสิ่งที่เรารัก ได้ทำงานกับเพื่อนต่างสถาบันที่มีความหลากหลาย ได้แลกเปลี่ยนความคิดและมุมมองซึ่งกันและกัน ก็พอใจแล้ว แต่ดีใจอย่างสุดขีด ที่การถ่ายทอดด้วยแรงบันดาลใจจากครอบครัว พ่อ แม่ ทั้งที่ผ่านมาและกำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ผมประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลในวันนี้”



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com














กรีนยัวร์มายด์ กรีนยัวสไตล์


ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ จะจัดงาน กรีนยัวมายด์ กรีนยัวสไตล์ [Green Your Mind Green Your Style] นิทรรศการศิลปะและงานแฟร์รักษ์โลกรักคุณ ภายใต้บรรยากาศสวนอังกฤษ โดยจะมีทั้งการจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดศิลปะในสวนด้วยเทคนิคสีน้ำและสีน้ำมันของกลุ่มศิลปิน “สุข กับ ศิลป์”, การแสดงดนตรีสดยามเย็น และมีการ ออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์และสินค้าแฮนด์เมค กว่า ๓o ร้านค้า ยิ่งไปกว่านั้น เมนูผักฟิวส์ชั่นมากมายที่ปรุงเป็นพิเศษ เพื่อเอาใจผู้รักสุขภาพในช่วงเทศกาลกินเจ ระหว่างวันที่ ๒๒ – ๒๘ กันยายน ๒๕๕๗ ณ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น ๑ ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้


พิเศษ!! สำหรับผู้มาร่วมชมงาน จะได้รับสิทธิ์ลุ้นรับคูปอง [Voucher] รับประทานอาหารล่องเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยา และเรือดินเนอร์สุดหรู และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย



ภาพและข้อมูลจากเวบ
prsociety.net














Enchanted Season


ก้อย อาร์ต แกเลอรี่ นำเสนอนิทรรศการ "Enchanted Seasons” ผลงานศิลปะนามธรรม โดย สุนทร สุขแก้ว ศิลปินหนุ่มใหญ่ไฟแรง สะท้อนมนต์เสน่ห์ของการเปลี่ยนฤดูกาลผ่านงานจิตรกรรมแบบนามธรรม "Enchanted Seasons” การแสดงผลงานเดี่ยวชุดล่าสุดของ สุนทร สุขแก้ว ศิลปินหนุ่มใหญ่มากความสามารถที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อฤดูกาลต่าง ๆ นำเสนอฤดูกาลต่าง ๆ ผ่านภาพอันเลือนราง ซึ่งหากมองลึกผ่านเส้นสายปลายแปรงจะพบรูปและฟอร์มที่ดูเปราะบางปรากฏให้เห็น โดยศิลปินนำเสนอมนต์เสน่ห์ของฤดูกาลผ่านการสร้างสมดุลของโทนสี พื้นผิวและรูปทรงได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ ศิลปินยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกที่มีต่อธรรมชาติในแต่ละฤดูกาลแบบนามธรรมได้อย่างเยี่ยมยอดโดยไม่ติดยึดกับกฎเกณฑ์ของงานจิตรกรรมที่จะมาจำกัดจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลงานชุดนี้จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมงานได้ในวงกว้าง บินสู่อิสรภาพในอ้อมกอดของธรรมชาติในนิทรรศการ "Enchanted Seasons” โดย สุนทร สุขแก้ว ซึ่งจะจัดแสดง ณ ก้อย อาร์ต แกเลอรี่ ๒๔๕ ซอยสุขุมวิท ๓๑ (ซอยสวัสดี) เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๑๙ กันยายน – ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๑.oo - ๑๙.oo น. สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร o๒-๖๖๒-๓๒๑๘



















ภาพและข้อมูลจากเวบ
prd.go.th
artbangkok.com




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor




Create Date : 25 กันยายน 2557
Last Update : 25 กันยายน 2557 19:33:06 น. 0 comments
Counter : 4089 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.