happy memories
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2557
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
30 สิงหาคม 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๓๖




ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










ย่ำ 'เสียมเรียบ' ตามรอยศรัทธายิ่งใหญ่


จากปัญหาการรุกรานจากต่างชาติ และความขัดแย้งภายใน ทำให้ "กัมพูชา" หลุดหายไปจากแผนการเยี่ยมเยียนจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก กระทั่งประกาศเปิดประเทศอีกครั้งเมื่อปี ๑๙๙๙ นักเดินทางจำนวนมากหลั่งไหลสู่กัมพูชาอีกครั้ง และกลายเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ที่ต้องการเข้าไปศึกษาหาความรู้และชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ด้วยเคยเป็นอาณาจักรขอมโบราณที่ยิ่งใหญ่ ความเป็นมาน่าสนใจ ทั้งยังทิ้งร่อยรอยอารยธรรมผ่านโบราณสถานขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วไป แต่ที่ประกาศชัดให้ชาวโลกรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ เห็นทีต้องยกให้ "นครวัด" หรือ "อังกอร์วัด" หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่หากมาเยือนกัมพูชาแล้วไม่มาชมให้เห็นกับตา นั่นถือว่ายังมาไม่ถึง


สมัยก่อนต้องยอมรับว่าการเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างลำบาก แต่ปัจจุบันการเดินทางสะดวกสบายขึ้นมาก และเมื่อมีโอกาสด้วยการเชื้อเชิญของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่มีให้บริการถึง ๕ เที่ยวต่อวัน จับมือ โรงแรมหรู อนันตรา อังกอร์ รีสอร์ท แอนด์สปา เราจึงไม่พลาดที่จะมุ่งมั่นไปย่ำดินแดนแห่งความศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ ดังคำกล่าวที่ได้ยินกันคุ้นหูว่า "ต้องไปสักครั้งให้ได้ก่อนตาย" ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ล้อเครื่องบินก็ลงแตะสนามบินเสียมเรียบ เมืองเล็ก ๆ อันเป็นที่ตั้งของนครวัดอันยิ่งใหญ่ รู้สึกได้ทันทีว่าความศิวิไลซ์คงจะหาได้ยากเต็มที หากแต่ถามถึงความศรัทธาและความเชื่อทางด้านศาสนา รับรองว่าที่นี่ไม่น้อยหน้าที่อื่น ๆ แน่นอน เมื่อรู้อย่างนั้นจึงไม่มีใครรีรอที่จะมุ่งหน้าสู่ศาสนสถานที่สำคัญที่สุด จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ โดยปรากฏบนธงชาติของกัมพูชา






ความยิ่งใหญ่ของนครวัดตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า สะท้อนพื้นน้ำที่ล้อมรอบตัวโบราณสถาน ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟังว่า สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ หรือ พ.ศ.๑๖๕o-๑๖๙๓ สร้างอุทิศถวายแก่พระวิษณุเทพในศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ และตั้งใจใช้เป็นสถานที่เก็บพระศพของพระองค์ เหตุนี้จึงถูกสร้างให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ต่างจากปราสาทอื่น ๆ ที่จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หลังสิ้นรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ กษัตริย์ขอมองค์ต่าง ๆ ที่ขึ้นครองราชย์ยังคงมีการก่อสร้างปราสาทอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีที่ไหนยิ่งใหญ่ไปกว่ามหาปราสาทนครวัดอีกเลย


จุดเด่นๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาแล้วไม่ควรพลาดก็อย่าง ตัวปราสาทชั้นบนสุด หรือปรางค์ประธาน ซึ่งเชื่อว่าหมายถึงยอดเขาพระสุเมรุ การได้ขึ้นไปถึงปรางค์ประธานอันสูงชันก็เหมือนการจำลองการขึ้นเขาพระสุเมรุจริงๆ ส่วนระเบียงชั้นต่าง ๆ จะมีภาพแกะสลักเรื่องราวจากมหากาพย์และคัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดู แต่ก็ไม่ลืมกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ผู้สร้างไว้ด้วย และที่ขาดไม่ได้คือภาพแกะสลักรูปนางอัปสราฟ้อนรำนับพันนาง หากแต่ตัวเลขในแต่ละตำราก็ยังไม่ตรงกันนัก


หลังชมความอลังการของมหาปราสาทจนจุใจแล้ว แต่ความศรัทธายังไม่หยุดเพียงแค่นั้นเพราะเสียมเรียบยังมีปราสาทหินอื่น ๆ ให้ชื่นชมอีกมากที่น่าสนใจก็อย่าง ปราสาทบายน สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นศูนย์กลางของเมืองนครธม และเป็นปราสาทหลวงประจำรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ด้วยพระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งต่างจากกษัตริย์หลายพระองค์ที่ล้วนแล้วแต่นับถือศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ที่สืบทอดมายาวนาน สิ่งก่อสร้างจึงปรับเปลี่ยนไปในเชิงพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติรูปแบบของการสร้างปราสาทที่มีภาพลักษณ์ต่างจากการสร้างรูปแบบเดิม ๆ โดยสิ้นเชิง






แม้ปราสาทบายนจะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับนครวัด ทว่าความน่าสนใจไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน ตัวปราสาทแบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ แต่ละชั้นมีรูปภาพแกะสลักเรื่องราวความเป็นมาของอาณาจักรขอมในอดีตที่ถูกรุกรานจากชนชาติต่าง ๆ และแน่นอนที่ขาดไม่ได้คือภาพนางอัปสราที่ปรากฏอยู่โดยรอบ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือปรางค์ปราสาทที่มีมากถึง ๕๔ ปรางค์ถูกสลักเป็นภาพพระพักตร์ผันออกไปทั้งสี่ทิศ รวมทั้งสิ้น ๒๑๖ พระพักตร์ แต่แสดงอารมณ์แตกต่างกันไป โดยความเชื่อเรื่องพระพักตร์นั้นถูกแบ่งแยกเป็น ๒ ทิศทาง บ้างว่าเป็นพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร บ้างก็ว่าเป็นพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งหนึ่งในปรางค์ปราสาทจะปรากฏบนธนบัตรเรียลของกัมพูชา


อีกหนึ่งปราสาทที่มาแล้วต้องไม่พลาดชมคือ ปราสาทตาพรหม ซึ่งได้ว่าเป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สร้างเพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดา คือพระนางชัยราชจุฑามณี ส่วนชื่อปราสาทนั้นว่ากันว่ามาจากชื่อของตาพรหม ซึ่งเคยกวาดปราสาททุกวัน ชาวบ้านจึงเรียกว่าปราสาทตาพรหม ไกด์บรรยายต่อว่า ก่อนสร้างปราสาทสภาพบริเวณนี้เป็นป่า เมื่อจะสร้างปราสาทจึงต้องเคลียร์พื้นที่ให้โล่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งก่อสร้างก็ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ต้นไม้นานาชนิดขึ้นปกคลุมโดยรอบหลัก ๆ มีอยู่ ๒ ชนิดคือ สะปง และไทร ขึ้นเกาะกุมตัวปราสาทและชอนไชไปยังส่วนต่าง ๆ ทำให้บรรยากาศดูลึกลับ สวยงาม แตกต่างจากที่อื่นๆ ทั้งรากไม้ยังช่วยเกาะกุมและยึดตัวปราสาทไม่ให้พังลงมาด้วย


ยิ่งหลังจากปราสาทตาพรหมถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทูมไรเดอร์ โดยมีสาวริมฝีปากอวบอิ่ม แองเจลินา โจลี รับบทนักแสดงนำ ทำให้ปราสาทตาพรหมเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในนามปราสาททูมไรเดอร์ และนอกจากทั้ง ๓ ปราสาทที่มีโอกาสเดินทางมาเยี่ยมชมในทริปนี้แล้ว เสียมเรียบยังมีปราสาทหินอื่น ๆ ให้ได้ชมความใหญ่โตอลังการอีกมาก ซึ่งล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงแรงศรัทธาอันมุ่งมั่นของคนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














ASEAN WAY


ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากศตวรรษที่แล้วมาสู่ศตวรรษที่ ๒๑ นักวิชาการได้คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้หลายประการ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ที่ถูกกล่าวถึง และถูกนำมาถกเถียงอย่างกว้างขวาง มีความเชื่อที่ว่าการรับรู้ปัญหาระดับมหภาค และการติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วทั่วถึงด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ จะช่วยสร้างจิตสำนึกแห่งยุคสมัย (Zeitgeist) ขึ้น และจะค่อยๆ หลอมรวมประชาคมโลกเข้าด้วยกัน ประเทศจะกลายเป็นชุมชนย่อยของหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “หมู่บ้านโลก” (Global Village) ดังจะเห็นได้จาก ความร่วมมือระดับนานาชาติเกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งโดยมากเป็นความร่วมมือเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจระหว่างกันในหมู่ประเทศสมาชิก ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศเหล่านี้เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค อาทิ ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) และเขตเศรษฐกิจเสรีเอเชียใต้ (SAFTA) รวมไปถึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในปีพ.ศ. ๒๕๕๘










ในขณะที่สังคมไทยตกอยู่ในบรรยากาศของการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ แต่ข้อตกลงเข้าร่วมเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะมาถึงแล้วนั้น เป็นวาระแห่งชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมหรือไม่ก็ตาม การมุ่งเป้าหมายในการเข้าร่วมประชาคมอาเซียนให้ได้อย่างสง่างามจึงเป็นพันธกิจของทุกองค์กรทุกภาคส่วน การเตรียมความพร้อมสำหรับการก้าวเข้าสู่ประชาคม ASEAN ภายใน ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานตามปฏิญญา ASEAN ด้านการศึกษา อาทิ การเผยแพร่ความรู้ข้อมูลข่าวสาร และการสร้างเจตคติที่ดีเกี่ยวกับ ASEAN การจัดนิทรรศการศิลปะสัญจรเป็นวิถีทางหนึ่งในกรอบเป้าหมายนี้ในอันที่จะสร้างความเข้าใจระหว่างผู้คนในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีวัฒนธรรม พื้นฐานสังคม ระบอบการปกครอง และการเมืองที่แตกต่างกัน ในโอกาสที่การแสดงศิลปกรรมประจำปีของอาจารย์คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ เวียนมาอีกครั้ง ในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗ คณะจิตรกรรม ฯ ใคร่ใช้การจัดนิทรรศการครั้งนี้ เป็นขั้นตอนทบทวน และปรับทิศทาง เพื่อแสดงอัตลักษณ์ขององค์กร และเป็นการเตรียมตัวก่อนที่จะนำนิทรรศการนี้ ไปเผยแพร่ในประเทศสมาชิกอาเซียนในลำดับถัดไป










โครงการนิทรรศการศิลปกรรมของคณาจารย์ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ เป็นโครงการบริการวิชาการแก่ชุมชน และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ซึ่งกำหนดจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวาระวันศิลป์ พีระศรี (๑๕ ก.ย.) เพื่อแสดงกตัญญุตาแด่ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งและเป็นผู้บุกเบิกและวางรากฐานด้านศิลปะสมัยใหม่ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งในปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ นี้ นิทรรศการศิลปกรรมของคณาจารย์ คณะจิตรกรรมฯ ได้ดำเนินมาจนถึงครั้งที่ ๓๑ โดยนิทรรศการจะจัดแสดงและเปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ ๑๕ กันยายน – ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑o.oo น. – ๑๘.oo น. ทุกวันจันทร์ – เสาร์ เว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ กำหนดพิธีเปิดนิทรรศการในวันจันทร์ที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗ (วันศิลป์ พีระศรี) เวลา ๙.oo น. ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ชวน หลีกภัย เป็นประธานในพิธี ณ PSG Art Gallery คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กรุงเทพมหานคร











ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














เทพพิทักษ์ธรรม


โดยธรรมชาติของโลก มักมีสองสิ่งควบคู่กันอยู่เสมอ เช่น มีมืดย่อมมีสว่าง มีกลางวันย่อมมีกลางคืน มีน้ำขึ้นย่อมมีน้ำลง มีความอุดมสมบรูณ์ย่อมมีความแห้งแล้ง ภายในจิตใจของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน มีสองสิ่งประกอบกันอยู่ นั่นคือ ความดีและความเลว ยามใดที่สติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์ กุศลกรรมก็บังเกิด แต่ยามใดที่สติสัมปชัญญะลดน้อยถอยลง อกุศลกรรมก็บังเกิด ผลงานของข้าพเจ้าต้องการสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กันระหว่างความดีและความเลวที่บังเกิดขึ้นภายในจิตใจมนุษย์ และผู้ประกอบแต่กรรมดีนั้น เทพเทวาย่อมมาพิทักษ์รักษา อนุโมทนาบุญอยู่ตลอดกาลนานเทอญ


พิธีเปิดนิทรรศการวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น. ณ ห้องนิทรรศการชั้น ๒ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


นิทรรศการ : เทพพิทักษ์ธรรม
ศิลปิน : มหัทธนา ปฐมสุข
วันที่ : ๑-๑๖ กันยายน ๒๕๕๗
สถานที่ : ห้องนิทรรศการชั้น ๒ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : o๒-๒๑๘๓-๗o๙ / o๘๕-๙๔๕-๗๗๔๖
ติดต่อศิลปิน : o๘๖-๗๙๖-๑o๖๑































ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














นิทรรศการจิตรกรรมร่วมสมัยพานาโซนิค ครั้งที่ ๑๖


เป็นอีกหนึ่งเวทีการประกวดงานศิลปะที่มีศิลปินรุ่นใหม่ส่งผลงานเข้ามาประกวดเป็นจำนวนมาก และยังคงเป็นอีกปีที่คนเสพงานศิลป์สามารถรับแรงส่งจากงานศิลปะที่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ของศิลปิน ปีนี้ดูจะเด่นชัดยิ่งนัก ด้วยผลงานที่เข้าตาคณะกรรมการล้วนเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ สะท้อน สื่อความหมาย หรือได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพเหตุบ้านการเมือง สภาพสังคม และสภาวะทางอารมณ์ของคนในสังคม ในช่วงเหตุการณ์ของบ้านเมืองเราในรอบปีที่ผ่านมา จิตวิญญาณของผู้ส่งสารและผู้รับสารจึงผสานกันได้อย่างลงตัว





ฯพณฯ ม.ร.ว.เทพกมล เทวกุล องคมนตรี มอบรางวัลยอดเยี่ยมอันดับ ๑ ให้แก่ สมพงษ์ ผลรัศมี



สมพงษ์ ผลรัศมี ศิลปินหนุ่มวัย ๒๕ ปี จาก อ.ดอนจาน จ.กาฬสินธุ์ คว้ารางวัลยอดเยี่ยมอันดับ ๑ ด้วยผลงานภาพเขียนสีน้ำมันบนผ้าใบที่ชื่อ “ใบหน้าชาวนาไทย (อ้ายโอ้)” จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการถ่ายทอดใบหน้าของพี่น้องชาวนาที่ตนเองรู้จักและคลุกคลีมาตั้งแต่เกิด ผนวกกับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนชาวนาไทยที่ควรจะได้รับ การยกย่องกลับถูกเอารัดเอาเปรียบ และถูกทำให้ดูต่ำต้อยด้อยค่า แววตาของชาวนาที่ถูกสื่อสารออกมาจากในภาพจึงสร้างอารมณ์สะเทือนใจให้กับผู้ชมได้ไม่ยาก ส่วน เดโช โกมาลา ศิลปินหนุ่มใต้ จาก จ.นครศรีธรรมราช ก็นำผลงานชื่อ “วิถีใต้ หมายเลข ๓” คว้ารางวัลยอดเยี่ยมอันดับ ๒ ถ่ายทอดเนื้อหาสาระเช่นเดียวกับชื่อผลงานถ่ายทอดถึงการทำมาหาเลี้ยงชีพของคนภาคใต้ที่แตกต่างกัน





ฯพณฯ องคมนตรี ม.ร.ว.เทพกมล เทวกุล-คุณหญิงขวัญตา เทวกุลฯ
และ อัจฉรา แข็งสาริกิจ ผอ.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป



รวมไปถึงการถ่ายทอดที่แสดงถึงความสุขของอาชีพต่าง ๆ ความสมบูรณ์ของคนชนบทในภาคใต้ ได้แก่ ชาวใต้ที่อยู่ติดทะเลกับการประกอบอาชีพประมง ชาวใต้ที่อยู่ติดเขาก็ทำอาชีพชาวสวนผลไม้ และชาวใต้ที่อาศัยอยู่ในแทบราบลุ่มกับการประกอบอาชีพชาวนา อีกหนึ่งผลงานที่โดดเด่น คือ “วัชพืช” ผลงานการเขียนสีอะคริลิกสดใสบนผ้าใบของ ไปรยา เกตุกูล ศิลปินอายุน้อยจากกรุงเทพมหานคร ถ่ายทอดถึงความสำคัญของวัชพืช สิ่งเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่วัชพืชเหล่านี้สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติทั้งความงามและอากาศที่บริสุทธิ์ ความสุขของมวลมนุษยชาติจึงไม่ควรหมายถึงแต่เพียงมนุษย์เท่านั้นยังรวมไปถึงวัชพืชเหล่านี้ด้วย





ประธานในพิธีและคณะผู้บริหารจากพานาโซนิค ร่วมแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล
จากโครงการประกวดผลงานจิตรกรรมร่วมสมัยพานาโซนิค ครั้งที่ ๑๖



นอกจากนี้ยังมีผลงานชื่อ “ร่องรอยชีวิต” โดย อิมรอน ยูนุ จาก จ.นราธิวาส นำสภาพความเป็นจริงของสังคมกับประสบการณ์ตรงจากตัวศิลปินมาถ่ายทอด เช่นเดียวกับ กามีละ อิละละ จาก จ.ยะลา ที่งานเขียนรูป “เจ้าสาว” ของเธอ สะดุดสายตาผู้ชมยิ่งนัก ในขณะที่ ผดุงพงษ์ สารุโณ เจ้าของผลงาน “ยามว่าง” ก็สะท้อนให้เห็นถึงเพศที่สาม หรือกะเทย ที่สังคมไทยไม่ยอมรับ





สมพงษ์ ผลรัศมี ผู้ชนะรางวัลยอดเยี่ยมอันดับ ๑
จากผลงาน “ใบหน้าชาวนาไทย (อ้ายโอ้)”



ร่วมสัมผัสผลงานของศิลปินรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดน่าสนใจ สะท้อนสังคมปัจจุบัน ผ่านเทคนิคที่หลากหลาย ซึ่งจะนำไปจัดแสดง ณ หอศิลปะและวัฒนธรรม โรงเรียนปากช่อง จ.นครราชสีมา ระหว่างนี้จนถึงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗





ไปรยา เกตุกูล รางวัลยอดเยี่ยมอันดับ ๒ จากผลงาน “วัชพืช”





เดโช โกมาลา รางวัลยอดเยี่ยมอันดับ ๒ จากผลงาน “วิถีใต้ หมายเลข 3”





ศรชัย พงษ์ษา รางวัลยอดเยี่ยมอันดับ ๓ จากผลงาน “นิรโทษกรรม หมายเลข ๒”





จามร นิ่มนาค รางวัลดีเด่น จากผลงาน “Erotic on object reflection No.1”





กามีละ อิละละ รางวัลดีเด่น จากผลงาน “เจ้าสาว”





ผดุงพงษ์ สารุโณ รางวัลดีเด่น จากผลงาน “ยามว่าง”



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
m.naewna.com














เปิด 'A-PART-MENT' ของ นวลตอง ประสานทอง


เป็นศิลปินสาวนักวาดภาพประกอบชื่อดังของเมืองไทย ที่มีผลงานศิลปะออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดให้บรรดาคนรักงานศิลป์ได้ปลดปล่อยจินตนาการไปกับผลงานภาพวาดชุดล่าสุดในนิทรรศการ “A•PART•MENT โดย “นวลตอง ประสานทอง” (A•PART•MENT EXHIBITION BY NUALTONG PRASARNTHONG) นิยามการรวมกันของ “ความคล้าย” บนพื้นฐาน “ความแตกต่าง” สะท้อนผ่านเรื่องราวไลฟ์สไตล์ของ ๒o หญิงสาวต่างคาแรกเตอร์ที่อาศัยในคอมมูนิตี้เล็ก ๆ อย่าง “อพาร์ทเมนต์” แห่งหนึ่งในยุค ๑๙๒o พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มสีสันให้กับอพาร์ทเมนต์ ด้วยการสร้าง “จักรวาลที่ ๒๑” สะท้อนแบบฉบับความเป็นคุณ





กรกฎ ศรีวิกรม์ แสดงความยินดีกับ นวลตอง ประสานทอง



ภายในงานเปิดนิทรรศกาล “A•PART•MENT โดย “นวลตอง ประสานทอง” (A•PART•MENT EXHIBITION BY NUALTONG PRASARNTHONG) มีเพื่อนพี่น้อง ในแวดวงศิลปะ ตลอดจนแฟนคลับ มาร่วมแสดงความยินดีคับคั่ง อาทิ กรกฎ ศรีวิกรม์ กรรมการบริหารศูนย์การค้าเกษร ครูโต-หม่อมหลวงจิราธร จิรประวัติ, ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี, ครูปาน - สมนึก คลังนอก, จีน่า – จินา โอสถศิลป์, ยงยุทธ ทองกองทุน, ชาลิสา วีรวรรณ และ จิตต์สิงห์ สมบุญ





ครูโต - หม่อมหลวงจิราธร จิรประวัติ



นวลตอง ประสานทอง เปิดเผยว่า “ผลงานวาดภาพชุด A•PART•MENT นี้ เกิดขึ้นจากความชอบที่จะได้สังเกตรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในสังคมแห่งหนึ่ง ที่แต่ละคนเลือกมาอยู่อาศัยในที่นี้ตามความเหมาะสม ตามข้อจำกัดของตัวเองจนทำให้เกิดเป็น “คอมมูนิตี้” เล็ก ๆ ขึ้นมา แต่เมื่อมองเจาะเข้าไปอีกชั้นก็เห็นความแตกต่างในความเป็นตัวตนแท้ ๆ ของแต่ละคนโดยสิ้นเชิง






นิทรรศการ “A•PART•MENT โดย “นวลตอง ประสานทอง” (A•PART•MENT EXHIBITION BY NUALTONG PRASARNTHONG) นวลตอง นำเสนอภาพวาดทั้ง ๒o ภาพ ที่สะท้อนเรื่องราวความเป็นอยู่และรูปแบบการใช้ชีวิตของหญิงสาวหลากคาแรกเตอร์ที่อาศัยอยู่ใน “อพาร์ทเมนต์” แห่งหนึ่งในยุค ๑๙๒o ที่ทุกคนสนุกกับการแต่งตัว ชื่นชอบการฟังเพลง เต้นรำ และหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของศิลปะ ซึ่งหญิงสาวแต่ละคนได้สร้าง “จักรวาลไม่รู้จบ” ในแบบฉบับของตัวเองขึ้นมา และรอคอยให้ผู้ชมได้เข้ามาทำความรู้จัก “ตัวตน” ของหญิงสาวเจ้าของห้องแต่ละห้อง






ไม่เพียงแต่จะพาไปรู้จักสาว ๆ ทั้ง ๒o ห้องภายใน A•PART•MENT แล้ว นวลตอง เจ้าของผลงาน ยังเปิด “ห้องหมายเลข ๒๑” ที่นำเสนอในรูปแบบ Interactive Art เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ร่วมเติมเต็มสีสันและความสมบูรณ์แบบให้กับ “อพาร์ทเมนต์” ด้วยการสร้าง “จักรวาลที่ ๒๑” ที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณอีกด้วย






นิทรรศการผลงานภาพวาด “A•PART•MENT” โดยนวลตอง ประสานทอง (A•PART•MENT EXHIBITION BY NUALTONG PRASARNTHONG) เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ - ๑๔ กันยายน ๒๕๕๗ เวลา ๑o.oo - ๒o.oo น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม ณ GAYSORN ATRIUM GALLERY (เกษร เอเทรียม แกลลอรี่) ชั้น L ศูนย์การค้าเกษร หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ gaysorn.com:8080 หรือ เฟซบุค Gaysorn Shopping Centre



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com














กระบอกเสียงภาพถ่าย มุมมองคนทำสารคดี


มีงานสัมนาน่าสนใจมาแจ้งให้ทราบสำหรับช่างภาพที่ทำงานในแนวสารคดี เนื่องจากในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ กลุ่ม PhotoJourn จัดสัมมนาในหัวข้อ “กระบอกเสียงภาพถ่าย มุมมองคนทำสารคดี" โดยมี สุเทพ กฤษณาวารินทร์ ช่างภาพสารคดีผู้มีผลงานตีพิมพ์ทั้งในและต่างประเทศ และโกวิทย์ ผดุงเรืองกิจ บรรณาธิการบริหารนิตยสารเนชั่นแนลจี โอกราฟฟิก (ฉบับภาษาไทย) มาเป็นวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานสารคดี และกระบวนการทำงาน ในฐานะผู้ที่คลุกคลีกับงานทางด้านนี้มานาน


สุเทพ กฤษณาวารินทร์ ช่างภาพสารคดีผู้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของผลงานภาพถ่ายชุด “โรฮิงญา...บนเส้นทางสุดขอบโลก”, เป็นผู้ฝึกสอนชาวเอเชียเพียงคนเดียว ที่ฝึกสอนช่างภาพเอเชียรุ่นใหม่ ณ Angkor Photography Festival และเป็นเจ้าของรางวัลระดับนานาชาติ หลายรางวัล จากผลงานภาพถ่ายชีวิตของคนหาปลาที่ต้องทำมาหากินอยู่กับความเสี่ยง บริเวณริมแม่น้ำโขง และความเดือดร้อนของผู้คน หลังพายุไซโคลนนากีส ถล่มพม่า






รวมทั้งเป็นหนึ่งในสมาชิก กลุ่ม PhotoJourn (www.photojourn.net) ได้บอกเล่าให้ ART EYE VIEW ฟัง ถึงความน่าสนใจและเหตุที่ทำให้ทางกลุ่ม จัดงานสัมมนาครั้งนี้ขึ้นว่า


“ทางกลุ่มเล็งเห็นว่าปัจจุบันช่างภาพไทยได้ให้ความสนใจงานสารคดีกันมากขึ้น แต่ยังขาดทิศทางที่ชัดเจน และหลายท่านอยากรู้เคล็ดลับการทำงานระดับอินเตอร์ และครั้งนี้เราได้เชิญบรรณาธิการนิตยสารสารคดีอย่าง NG ไทย มาร่วมแชร์ประสบการณ์


ทางเราจึงเห็นว่าการจัดงานสัมมนาในครั้งนี้จะช่วยชี้แนวทางที่เป็นประโยชน์แก่ช่างภาพรุ่นใหม่เพื่อที่ว่าช่างภาพเหล่านี้จะได้รู้ว่าจะต้องเตรียมพร้อมอย่างไร เสนองานอย่างไร ทำงานอย่างไรจึงจะไปสู่ระดับอินเตอร์





สุเทพ กฤษณาวารินทร์ ช่างภาพสารคดีผู้มีผลงานตีพิมพ์ทั้งในและต่างประเทศ



เคยสังเกตุบ้างไหมว่าบนแผงหนังสือจะมีหนังสือที่เน้นเกี่ยวกับงานสารคดีสักกี่เล่ม ในบางเล่มอย่างที่เห็นนี้ ก็ปิดตัวเองไปแล้ว บางเล่มเลิกแล้วก็เปิดใหม่ สถานการณ์หลายเล่มก็ไม่สู้ดี แล้วช่างภาพที่ชื่นชอบงานแบบนี้จะอยู่อย่างไร”


ดังนั้นในงานสัมนาครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่มืออาชีพอย่างสุเทพและวิทยากรอีกท่าน จะมาช่วยแนะแนวทางให้กับช่างภาพที่สนใจทำงานภาพถ่ายในแนวสารคดี


“บอกให้เขาได้รับรู้ว่าตลาดมันเล็กลง แล้วจะก้าวไปอย่างไร ถ้าชอบจริง ก็ต้องหาทางออก บางทีอาจพึ่งแค่ลงในนิตยสารอย่างเดียวไม่ได้ ตรงนี้เราจะไปแนะทางกันในงาน แต่มันไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จ”





โกวิทย์ ผดุงเรืองกิจ บรรณาธิการบริหารนิตยสารเนชั่นแนลจี โอกราฟฟิก (ฉบับภาษาไทย)



ในเบื้องต้นมาทำความรู้จัก กลุ่ม PhotoJourn กันก่อนดีกว่า


พวกเขาคือใคร?


“กลุ่ม PhotoJourn เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มช่างภาพที่รักการถ่ายภาพสารคดี และต้องการนำการถ่ายภาพแนวนี้ไปสู่วงกว้าง”


พวกเขาทำอะไร?


“เรานำเสนอสารคดีภาพถ่าย และมัลติมีเดียที่มีคุณภาพจากทั่วโลก ให้กับคนในภูมิภาคได้เห็น โดยเฉพาะสารคดีเชิงลึกที่มีผลสะท้อนการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นนัก อีกทั้งสถาบันในอนาคตแห่งนี้มุ่งหวังจะให้ทุนจำนวนหนึ่งในแต่ละปี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการผลิตงานลักษณะดังกล่าวขึ้นมา ทางกลุ่มยังจะมีการฝึกอบรมโดยช่างภาพที่มีประสบการณ์อันยาวนาน แก่ช่างภาพรุ่นใหม่ในภูมิภาค”


พวกเขามุ่งหวังอะไร?


“เราต้องการเห็นช่างภาพสารคดีรุ่นใหม่เกิดขึ้น บนพื้นฐานที่ว่าภาพถ่ายช่วยสร้างความเข้าใจที่ดีถูกต้องแก่สังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม การพัฒนา ปัญหาสังคม และสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ เราต้องการเห็นช่างภาพเป็นแนวหน้าในการสร้างสรรค์สังคมในรูปแบบต่าง ๆ โดยการร่วมมือกับองค์กรต่างๆเพื่อนำไปสู่การแก้ไขและพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดงานศิลปะ”






สัมมนา “กระบอกเสียงภาพถ่าย มุมมองคนทำสารคดี” วันเสาร์ที่ ๒o กันยายน ๒๕๕๗ เวลา ๙.๓o - ๑๖.๓o น. ณ. เค.วี. แมนชั่น อ่อนนุช กรุงเทพมหานคร โดยมีค่าลงทะเบียนในการร่วมสัมมนา ๙๕o บาท ต่อ ๑ ท่าน (รับจำนวนจำกัด)


การเดินทาง รถไฟฟ้า BTS อ่อนนุช Exit 9 อยู่ในซอยสุขุมวิท ๘๑ ตรงข้าม เซเว่นอีเลฟเว่น


สามารถจองที่นั่งโดยโอนเงินมาที่ สุเทพ กฤษณาวารินทร์ เลขที่บัญชี o๓๔-๒-๓๕๖๗๒-๙ ธนาคารกสิกรไทย สาขาภาษีเจริญ จากนั้นแจ้งและส่งสลิปการโอนได้ที่ คุณณัฐวร บุญวิทยา โทร. o๘๙-๑๑๓-๗๗๙o



ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














พัฒนาบรรจุภัณฑ์งานเป่าแก้วตั้งโชว์เด่นขนส่งสะดวก


ผลิตภัณฑ์เป่าแก้ว ผลิตขึ้นโดยแผนกช่างเป่าแก้วของศูนย์ศิลปาชีพบางไทรในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ถือเป็นงานศิลป์ที่มีรูปทรงที่สวยงามและมีคุณค่าทางศิลปะ มีเอกลักษณ์โดดเด่น ใช้เพื่อประดับตกแต่งและตั้งโชว์ มีรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ดอกไม้ ต้นไม้ขนาดต่าง ๆ และตัวสัตว์


ผศ.จุฑามาศ เจริญพงษ์มาลา และนายคมสัน เรืองโกศล อาจารย์ประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เล่าว่า ผลิตภัณฑ์เป่าแก้วของศูนย์ศิลปาชีพฯ เป็นสินค้าที่แตกหักได้ง่าย บรรจุภัณฑ์ที่ใช้เพื่อการจัดจำหน่ายในปัจจุบัน เป็นรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยม ทำจากวัสดุกระดาษลูกฟูกลอน E มีฝาเปิดปิดด้านบน ในการบรรจุสินค้าผลิตภัณฑ์เป่าแก้ว จะห่อด้วยพลาสติกกันกระแทก (air bubble) ด้านใน แล้วจะบรรจุลงในกล่องเพื่อจัดจำหน่าย ซึ่งทำให้ใช้เวลามากและสิ้นเปลืองวัสดุ และบนบรรจุภัณฑ์ยังขาดรายละเอียด ที่อยู่ของผู้ผลิต เครื่องหมายการค้าและข้อควรระวัง


จากปัญหาดังกล่าว จุดประกายให้อาจารย์ทั้ง ๒ ท่าน เกิดแนวคิดที่จะออกแบบและพัฒนา บรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมสำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์เป่าแก้วของศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อการแสดงโชว์สินค้า การจัดจำหน่าย รวมถึงให้มีความสะดวกต่อการขนส่ง






“ลักษณะของบรรจุภัณฑ์นี้ ประกอบไปด้วย ๒ ส่วน ส่วนแรก คือ โครงสร้างชั้นใน เป็นฐานล็อคทำหน้าที่เป็นตัวจับยึดตัวสินค้าไม่ให้เคลื่อนที่ และอีกส่วนเป็นโครงสร้างภายนอก มีรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยม สามารถวางเรียงซ้อนกล่องด้านบนได้เพื่อสะดวกในการขนส่ง และคลี่แบบกล่องให้แบนราบได้เมื่อยังไม่บรรจุสินค้า นอกจากนี้ ยังสามารถพับกล่องขึ้นรูปได้โดยไม่ต้องใช้กาว เมื่อเปิดกล่องออกมา สามารถโชว์ผลิตภัณฑ์เป่าแก้วได้ รูปทรงของกล่องจะคล้ายนกกำลังกางปีก มีการล็อคฐานผลิตภัณฑ์เป่าแก้วด้านล่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เคลื่อนที่ได้ สามารถเปิดกล่องนำผลิตภัณฑ์เป่าแก้วออกจากด้านหน้าได้ ซึ่งโครงสร้างทั้งหมดทำจากวัสดุกระดาษลูกฟูกลอน E” ผศ.จุฑามาศ เจริญพงษ์มาลา กล่าว


ส่วนการออกแบบลวดลายกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์เป่าแก้ว ได้แนวคิดในการออกแบบลวดลายกราฟิก โดยนำรูปแบบอาคารศาลาพระมิ่งขวัญ ซึ่งเป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ มาเป็นแนวคิดในการออกแบบลวดลาย เครื่องหมายการค้าใช้ชื่อว่า “ต้นแก้ว” ส่วนด้านข้างกล่องแสดงที่อยู่ผู้ผลิต ลวดลายด้านข้างและด้านหลังกล่องสามารถจัดวางลายต่อเนื่อง






ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์นี้ สามารถตอบสนองการใช้งานได้จริง สะดวกและประหยัดเวลาต่อการบรรจุ มีความเหมาะสมที่จะผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายได้จริง สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า รวมถึงการคุ้มครองผลิตภัณฑ์ จากความยอดเยี่ยมที่กล่าวมา ผลงานชิ้นนี้จึงได้รับรางวัลเหรียญทองแดง (Bronze Prize) จากการประกวดผลงานวิจัยสิ่งประดิษฐ์ในงาน Korea International Women’s Invention Exposition 2014 (KIWIE 2014) ประเทศเกาหลีใต้ รางวัล (TIIIA Outstanding Diploma) จาก Taiwan Invention & Innovation Industry Association ประเทศไต้หวัน รางวัลที่ ๑ ประเภทผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์ จากงานประกวด 4TH Top Ten Innovation Awards ประจำปี ๒๕๕๗ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี รวมถึงล่าสุดได้รับคัดเลือกและเข้าร่วมการฝึกอบรมโครงการประกวดการพัฒนา ภูมิปัญญาสู่นวัตกรรม ระดับภูมิภาค ในโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ด้วยทรัพย์สินทางปัญญาในการเข้าสู่ตลาด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗


เจ้าของออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์งานเป่าแก้ว ทิ้งท้ายว่า พร้อมและยินดีในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเปิดให้เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อโดยตรงที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี โทร. o๒-๕๔๙-๓๒๗๘



ภาพและข้อมูลจากเวบ
blog.eduzones.com














มนต์เสน่ห์ไทย : มรดก+พลังสร้างสรรค์


ศิลปวัฒนธรรมไทย ถือเป็นมนต์เสน่ห์สำคัญที่เชิดหน้าชูตาสยามประเทศ จนเป็นที่กล่าวขานของชาวต่างชาติทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) โดย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย(สศร.) และกรมศิลปากร และหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ มหานคร จึงได้นำศิลปวัฒนธรรมไทยมาต่อยอดจัดนิทรรศการ “มนต์เสน่ห์ไทย : มรดก+พลังสร้างสรรค์” (Thai Charisma : Heritage + Creative Power) เพื่อให้ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศได้ชมระหว่างวันที่ ๒๘ สิงหาคม ถึง ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ นี้ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ มหานคร


มนต์เสน่ห์ไทย ที่จะนำมาอวดโฉมให้รับชมในครั้งนี้ ประกอบด้วยการนำโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่สำคัญของไทยมาจัดแสดงกว่า ๓๘ รายการ แบ่งเป็น หมวดงานช่างโบราณ อาทิ ภาชนะรูปวัว สมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุมากกว่า ๒,ooo ปีมาแล้ว ซึ่งสันนิษฐานว่า ใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรหรือกสิกรรม,ศิวลึงค์ ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕, พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ปางห้ามสมุทร โลหะผสมลงรักปิดทองศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔, พระบฏเรื่องพระเวสสันดร คือ ภาพเขียนบนแผ่นผ้าเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า พุทธประวัติ หรือพุทธชาดก ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นจะสะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งความศรัทธาและพลังแห่งการสร้างสรรค์ของช่างผ่านโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุอันทรงคุณค่าของแผ่นดินที่อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากรที่ยังไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อน


หมวดงานศิลป์ร่วมสมัยก็จะมีความน่าสนใจไม่น้อย โดยมีการแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยใหม่ โดย ๑๙ ศิลปินที่มีชื่อเสียง อาทิ ถวัลย์ ดัชนี, ปัญญา วิจินธนสาร, ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวานิช ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นได้ประยุกต์มาจากรากของวัฒนธรรมไทย ที่มีมนต์เสน่ห์ออกมาเป็นงานศิลปะร่วมสมัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว


ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) บอกถึงแนวคิดของการจัดงานให้ฟังว่า นิทรรศการศิลปะครั้งนี้เกิดจากการบูรณาการของเครือข่ายทางศิลปวัฒนธรรมทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นครั้งแรกที่โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุอันล้ำค่าของชาติที่ช่างโบราณสร้างสรรค์ขึ้นนำมาจัดแสดงพร้อมกับงานศิลปะของศิลปินร่วมสมัย จึงเปรียบเสมือนการส่งต่อทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น โดยใช้ศิลปะเป็นสื่อกลาง ถือเป็นการรักษาสืบทอดวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่อย่างมั่นคง และยังเป็นการสร้างค่านิยม ปลูกจิตสำนึก และภูมิปัญญาไทย ให้คนรุ่นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่สำคัญจะทำให้คนไทยและคนต่างชาติได้เห็น มนต์เสน่ห์ทางวัฒนธรรมที่สื่อผ่านผลงานศิลปะ โบราณวัตถุ ส่งผลต่อภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยว รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ใช้


ศิลปวัฒนธรรมไทยต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์สู่สากลด้วย


“การจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ร่วมกับงานศิลปะร่วมสมัยนั้น ผมเชื่อว่า ผลงานแต่ละชิ้นล้วนมีเรื่องราวสามารถบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแผ่นดิน และยังแสดงให้เห็นถึงฝีไม้ลายมือในเชิงช่างชั้นครูที่มีความงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ เปรียบเสมือน “มนต์” ดึงดูดให้หลงใหลในความงดงาม ประกอบกับ “พลังสร้างสรรค์” กลายเป็นพลังดึงดูดให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และซึมซับคุณค่าของงานศิลปะในการนำมาพัฒนางานศิลปะร่วมสมัย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์สร้างรายได้ให้แก่ประเทศในอนาคต”


นายเขมชาติ เทพไชย ผอ.สำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) บอกว่า ประเทศไทยมีมรดกวัฒนธรรมมากมายที่คนไทยยังไม่ได้ชื่นชม ซึ่งนิทรรศการครั้งนี้ จะทำให้ผู้ชมได้เห็นพัฒนาการของงานศิลปกรรมไทยในมิติและมุมมองใหม่ ๆ เกิดเป็นมนต์เสน่ห์ไทยอย่างน่าหลงใหล ที่สำคัญจะได้เห็นพลังของศิลปินที่ได้ต่อยอดความคิด ความเชื่อ ปรัชญา มาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะ ถือเป็นการสร้างเมล็ดพันธุ์สายพันธ์ไทยให้เจริญเติบโตแตกกิ่งก้านสาขาเป็นผลงานที่สร้างสรรค์และมีมนต์เสน่ห์ในอนาคต


ด้าน นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร บอกว่า ผลงานศิลปะที่นำมาจัดในนิทรรศการครั้งนี้ ได้ผ่านการวิเคราะห์ศึกษาจากศิลปินมาแล้ว โดยนำเสนอองค์ความรู้ของคนโบราณสะท้อนออกมาในรูปแบบของผลงานให้ประชาชนได้ชื่นชม ถือเป็นมิติใหม่ของการนำคลังความรู้ในพิพิธภัณฑ์มาสร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปิน คนรุ่นใหม่ ได้มาวิเคราะห์และศึกษาศิลปวัตถุที่มีอายุกว่าพันปีจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งนำองค์ความรู้มาต่อยอดออกแบบความคิดมาสร้างเป็นผลงานให้ผู้คนได้ชื่นชม ซึ่งตนเชื่อว่า การนำโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มาผสมผสานกับงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยจะเป็นการ กระตุ้นความสนใจให้คนเข้ามาชมศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑ์มากยิ่งขึ้น


หากใครอยากรู้ว่า มนต์เสน่ห์ความเป็นไทย เป็นเช่นไร ก็ไปชมกันได้ในงาน “มนต์เสน่ห์ไทย : มรดก+พลังสร้างสรรค์” ตามวันและเวลาดังกล่าว...ถึงแม้ว่า จะมีการจัดแสดงนิทรรศการให้เห็นถึงมนต์เสน่ห์ความเป็นไทยมากแค่ไหน หากคนไทยลืมรากเหง้าความเป็นคนไทยทั้ง ประเพณี วิถีชีวิตที่งดงาม รอยยิ้ม การไหว้ อ่อนน้อมถ่อมตน ความมีน้ำใจเป็นมิตรไมตรีต่อผู้อื่น ที่ถือเป็นเสน่ห์ให้คนนานาประเทศอยากมาค้นหาก็จะจืดจางไปในที่สุด เปรียบเหมือน สาวสวย....นิสัยไม่ดี แรกเจอน่ารู้จัก สักพักเจอธาตุแท้ก็ไม่มีใครอยากคบหา.



ภาพและข้อมูลจากเวบ
dailynews.co.th














TRUTH


๒o กว่าปี ที่ใช้ชีวิตในเมืองหลวงมาตั้งแต่เริ่มเข้าเมืองหลวงเพื่อมาเรียนหนังสือในระดับ ม.ต้น จนกระทั้งจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และทำงานในเมืองหลวงต่อเนื่อง เมื่อ ๔ ปีที่ผ่านมา ได้โยกย้ายตัวเองกลับมาอยู่ที่บ้านที่มุกดาหาร ผมได้พบเจอกับคนรู้จักแถวบ้านเกิดมากขึ้น ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านจริง ๆ วิถีชีวิตความเป็นจริง ความสัมพันธ์ระหว่างญาติพี่น้อง คนรอบข้าง เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมหมู่บ้าน และคนในชุมชน ที่มีหลากหลายอาชีพต่าง ๆ ของแต่ละคนตามวิถีชีวิตของคนในชุมชน ที่อยู่ร่วมกันในสังคม สิ่งเหล่านี้คือความงดงาม ความงดงามของชีวิต ได้เป็นแรงบันดาลใจต่อการทำงานของผม ผมวาดบันทึกความงดงาม เรื่องราวต่างๆของชีวิตของคนในสังคมที่อยู่อาศัย สิ่งเหล่านี้ มันมีความงดงามในวิถีชีวิตอยู่แล้ว เพราะ ”ชีวิตคือศิลปะ”


ผมนำเรื่องราวภาพชีวิตของคนในสังคม ภาพบรรยากาศของชุมชนต่างจังหวัดในยุคปัจจุบันที่มีทั้งวิถีชีวิตแบบเกษตรกร ข้าราชการ พ่อค้า แม่ค้า และในขณะเดียวกันก็มีความเจริญเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนในชุมชนด้วยเช่นกัน


ผลงานของผมถือว่าเป็น”ผล” ตามบริบทหน้าที่ที่เป็นอยู่ส่วนหนึ่งของสังคมที่อาศัยอยู่ ทำให้ผมต้อง “ทำ”เพื่อสร้าง”ผล” สู่ “ความสุข”

เพราะมันคือหน้าที่
เพราะมันคือชีวิต
เพราะมันคือความจริง


หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญทุกท่านร่วมพิธีเปิดงานนิทรรศการจิตรกรรม “ความจริง” (TRUTH) โดย วรวิทย์ แก้วศรีนวม ในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น.


นิทรรศการ : “ความจริง” (TRUTH)
ศิลปิน : วรวิทย์ แก้วศรีนวม
วันที่ : ๒o กันยายน – ๘ ตุลาคม ๒๕๕๗
สถานที่ : ห้องนิทรรศการชั้น ๒ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : o๒-๒๑๘-๓๗o๙ / o๘๕-๙๔๕-๗๗๔๖
ติดต่อศิลปิน : o๘๕-๙๓๙-๙๕๔o















ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














3 THINGS


นิทรรศการแสดงผลงานภาพเขียนโซโลครั้งแรกของจิตรกรร่วมสมัยเลือดใหม่ไฟแรงอย่าง ‘ณเรศ จึง’ ผู้คร่ำหวอดในวงการศิลปะไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานมืออาชีพแห่งนิตยสารศิลปะชั้นนำของเมืองไทยอย่าง “ไฟน์ อาร์ต” (Fine Art) ซึ่งการที่เขามีโอกาสได้มาทำงานคลุกคลีอยู่ในวงการศิลปะนั้นก็ยิ่งเปรียบเสมือนการจุดประกายไฟในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตนอย่างต่อเนื่อง


‘ณเรศ จึง’ ทุ่มเทระยะเวลาหนึ่งปีเศษ ในการสร้างเนรมิตผลงานภาพเขียนที่เปี่ยมไปด้วยพลังจำนวนกว่า ๒o รูป ซึ่งเขาได้คิดค้นเทคนิควิธีการเฉพาะตัวในการสร้างมิติแห่งผิวสัมผัสที่หลากหลายให้กับผลงาน ด้วยการใช้สีต่างขั้วชนิด คือ สีน้ำมันและสีอะคริลิคบนเฟรมเดียวกัน ก่อนจะทำการเคลือบพื้นผิวให้งดงามตามแบบฉบับและเพื่อเพิ่มความคงทนในการถนอมรักษาสีสันบนผลงานภาพเขียนที่เขารัก นอกจากนี้ผลงานภาพเขียนของเขายังโดดเด่นด้วยเทคนิคทีแปรงที่แม่นยำ ฉวัดเฉวียนแสดงให้เห็นถึงทักษะทางศิลปะอันเหนือชั้นของเขา ซึ่งสอดประสานกลมกลืนกับพลังแห่งสีสันที่จัดจ้านดุดัน หรือในผลงานบางภาพก็จะแสดงให้เห็นทีแปรงที่เนี๊ยบกริบในสีสันที่นุ่มละมุนตามากขึ้นตามโหมดอารมณ์ที่แตกต่างของเขาในแต่ละวันนิทรรศการแสดงผลงานภาพเขียนโซโลครั้งแรกของจิตรกรร่วมสมัยเลือดใหม่ไฟแรงอย่าง ‘ณเรศ จึง’ ผู้คร่ำหวอดในวงการศิลปะไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานมืออาชีพแห่งนิตยสารศิลปะชั้นนำของเมืองไทยอย่าง “ไฟน์ อาร์ต” (Fine Art) ซึ่งการที่เขามีโอกาสได้มาทำงานคลุกคลีอยู่ในวงการศิลปะนั้นก็ยิ่งเปรียบเสมือนการจุดประกายไฟในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตนอย่างต่อเนื่อง


‘ณเรศ จึง’ ทุ่มเทระยะเวลาหนึ่งปีเศษ ในการสร้างเนรมิตผลงานภาพเขียนที่เปี่ยมไปด้วยพลังจำนวนกว่า ๒o รูป ซึ่งเขาได้คิดค้นเทคนิควิธีการเฉพาะตัวในการสร้างมิติแห่งผิวสัมผัสที่หลากหลายให้กับผลงาน ด้วยการใช้สีต่างขั้วชนิด คือ สีน้ำมันและสีอะคริลิคบนเฟรมเดียวกัน ก่อนจะทำการเคลือบพื้นผิวให้งดงามตามแบบฉบับและเพื่อเพิ่มความคงทนในการถนอมรักษาสีสันบนผลงานภาพเขียนที่เขารัก นอกจากนี้ผลงานภาพเขียนของเขายังโดดเด่นด้วยเทคนิคทีแปรงที่แม่นยำ ฉวัดเฉวียนแสดงให้เห็นถึงทักษะทางศิลปะอันเหนือชั้นของเขา ซึ่งสอดประสานกลมกลืนกับพลังแห่งสีสันที่จัดจ้านดุดัน หรือในผลงานบางภาพก็จะแสดงให้เห็นทีแปรงที่เนี๊ยบกริบในสีสันที่นุ่มละมุนตามากขึ้นตามโหมดอารมณ์ที่แตกต่างของเขาในแต่ละวัน






แรงดลบันดาลใจหลักในการสร้างสรรค์ผลงานภาพเขียนครั้งนี้ของ ‘ณเรศ จึง’ มีที่มาจาก “สามสิ่ง” สำคัญได้แก่ ๑. หนังสือภาพประติมากรรมปูนปั้นเล่มโปรด ซึ่งเขาได้หยิบยืมเค้าโครงของประติมากรรมสมัยคลาสสิค ต้นแบบที่ชื่นชอบมาปรับประยุกต์และสร้างสรรค์มันขึ้นมาใหม่ในรูปแบบเฉพาะของตนเอง ก่อนที่จะนำไปถ่ายทอดลงบนผลงานจิตรกรรม ๒. “ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า” วรรณกรรมอมตะเรื่องยาวเกี่ยวกับขุนนางต่ำศักดิ์นักฝันแห่งลามันซ่า ประเทศสเปน ที่แม้เขาจะยังอ่านมันไม่จบ แต่เขาก็เกิดความประทับใจในตัวละครเอกของเรื่องอย่างมาก แม้ผู้อ่านหลายๆ คนอาจคิดว่าก็อัศวินชราผู้นี้สติฟั่นเฟือน แต่ทว่าในมุมมองของ ‘ณเรศ’ อัศวินผู้นี้กลับเป็นสุภาพบุรุษอัศวินที่แสดงท่าทางห้าวหาญ สง่างามอย่างชายชาตินักรบออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เขาจึงต้องการถ่ายทอดลักษณะดังกล่าวลงสู่ผลงานจิตรกรรมของเขา ภายใต้แรงปรารถนาที่จะเป็นอัศวินผู้กล้าเฉกเช่น ดอนกิโฆเต้ ๓. การถูกพร่ำสอนให้เชื่อว่ารูปทรงสามเหลี่ยม คือ การจัดองค์ประกอบที่สวยงามที่สุด ดังปรากฏในขนบการสร้างพีระมิด ของอียิปต์ หรือการสร้างพระพุทธรูปในศาสนาพุทธ ฯลฯ ประกอบกับการที่เขาได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งและพบเรื่องราวที่น่าสนใจ ซึ่งมีข้อความกล่าวว่า “จงสังเกตให้ดีในการแข่งขันกีฬาคนที่ได้ที่สาม ณ ตอนนี้ อนาคตจะได้ที่ ๑…”


นอกเหนือไปจากนั้น “สามสิ่ง”นิทรรศการแสดงผลงานผานเขียนโซโลครั้งแรกของเขายังถูกกำหนดให้มีฤกษ์เปิดแสดงต่อสาธารณชน พร้อมกับนิทรรศการศิลปะของศิลปินมากฝีมืออีก ๒ ท่าน รวมเป็นการเปิดนิทรรศการศิลปะสุดยิ่งใหญ่ถึง ๓ งานในวันและสถานที่เดียวกัน ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของชื่อนิทรรศการ “สามสิ่ง”


วันเปิดนิทรรศการเสาร์ที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ตั้งแต่เวลา ๑๗.oo น. เป็นต้นไป ณ หอศิลปแห่งชาติ เจ้าฟ้า


นิทรรศการ : “สามสิ่ง”
ศิลปิน : ณเรศ จึง
วันที่ : ๔ – ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๗
สถานที่ : หอศิลปแห่งชาติ เจ้าฟ้า
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : o๒-๒๘๑-๒๒๒๔







ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor




Create Date : 30 สิงหาคม 2557
Last Update : 30 สิงหาคม 2557 10:16:10 น. 0 comments
Counter : 6439 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.