happy memories
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
13 มีนาคม 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๘๙




ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










"จิตรกรรมไทยปริศนาธรรมร่วมสมัยและจิตรกรรมพุทธประวัติ(สมมติสัจจะ)”


ลิขิต นิสีทนาการ และ สุรทิน ตาตะนะ สองศิลปินรุ่นใหม่จากดินแดนล้านนา รวบรวมผลงานจิตรกรรมไทยแบบประเพณี จัดนิทรรศการร่วมกันในชื่อชุด “จิตรกรรมไทยปริศนาธรรมร่วมสมัยและจิตรกรรมพุทธประวัติ(สมมติสัจจะ)” ถ่ายทอดเนื้อหาของพุทธประวัติตอนสำคัญ ผ่านฝีมืออันวิจิตร และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จำนวนกว่า ๗o ชิ้น โดยจัดแสดง ณ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ระหว่างวันที่ ๑ – ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗


จิตรกรรมไทยเป็นศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นงานวิจิตรศิลป์อันสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมประเพณี ชีวิตความเป็นอยู่ และที่ปรากฏเด่นชัดคือ สะท้อนเรื่องราวและความผูกพันเหนียวแน่นที่คนไทยมีต่อพระพุทธศาสนา ดังเช่นที่สองศิลปิน ลิขิต นิสีทนาการ และ สุรทิน ตาตะนะ นำเสนอร่วมกันในนิทรรศการครั้งนี้


ลิขิต นิสีทนาการ เป็นชาวล้านนาโดยกำเนิด มีภูมิลำเนาตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงราย ได้รับการบ่มเพาะมาตั้งแต่เยาว์วัยในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความละเอียด ประณีตของฝีมือช่าง ความละมุนละไมของสำเนียงภาษา ประกอบกับพรสวรรค์ของตัวเอง ในที่สุดได้หันเหชีวิตของเขามาสู่การศึกษาขั้นสูงสุดระดับปริญญาโทในภาควิชาศิลปไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยความมุ่งมั่นศึกษาและทำงานสร้างสรรค์มาอย่างต่อเนื่องทำให้งานของเขาก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ ลิขิตมีฝีไม้ลายมือที่โดดเด่นไปในทางการแสดงออกที่เต็มไปด้วยพลังความรุนแรงของอารมณ์ เขาจึงหาความบันดาลใจด้วยการเลือกสรรหัวข้อเรื่องพุทธประวัติจากตอนต่าง ๆ ที่แสดงถึงพลังอำนาจและฤทธิ์เดช ที่มีปรากฏอยู่ในวรรณกรรมทางพุทธศาสนา เช่น พุทธประวัติตอนมารผจญ ปลาอานนท์ ช้างเอราวัณ พญาฉัตทันต์ พญาวานร พญาราชสีห์ พญาครุฑ พญานาค มาเป็นจุดดลใจให้เขาสร้างจินตนาการและแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นพลังลึกเข้าไปภายในงาน สามารถสร้างความสะเทือนใจออกมาได้อย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นก็แสดงความเป็นไทย ความเป็นพื้นถิ่นล้านนาและความเป็นตัวเองของลิขิตเองอีกด้วย


สุรทิน ตาตะนะ มีถิ่นพำนักอยู่ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางการร่ำเรียนศิลปะในขั้นต้นนั้น เขาสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ (เจ็ดยอด) ที่ซึ่งเขาได้รู้จักกับลิขิต นิสีทนาการ ในฐานะรุ่นพี่ร่วมสถาบัน สุรทินเติบโตท่ามกลางวิถีชีวิตและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวล้านนา ได้ซึมซับและผูกพันกับประสบการณ์ต่าง ๆ และได้มาศึกษาต่อในส่วนกลางของประเทศ จึงทำให้ได้รับอิทธิพลและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานจากจิตรกรรมฝาผนังของล้านนากับภาคกลาง ซึ่งรวมถึงภาพพระบฎ ภาพในสมุดข่อย และสมุดภาพไตรภูมิ จนกระทั่งนำไปสู่การต่อยอดในการศึกษาอย่างลึกซึ้งในระดับปริญญาโท ในภาควิชาศิลปไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยเน้นเรื่องราวพุทธประวัติในแง่คติความเชื่อที่มีเนื้อหาเชิงอิทธิปาฏิหาริย์ เพื่อสื่อถึงความดี ความงาม ความศรัทธาต่อพุทธศาสนา สำหรับผลงานที่จัดแสดงในครั้งนี้ สุรทินยังคงถ่ายทอดเนื้อหางานจิตรกรรมพุทธประวัติ โดยหยิบยกหลักธรรมคำสอนเรื่องสมมติสัจจะ อันหมายถึง ความจริงที่โลกสมมติขึ้น เป็นการยอมรับตกลงร่วมกัน มาเป็นแนวเรื่องในการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมไทยแบบประเพณี ซึ่งประกอบด้วย ภาพบุคคล สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ต่างๆมาเป็นสื่อเพื่อแสดงถึงความจริงแท้ที่ไม่เที่ยง ไม่มีอยู่จริงที่สังคมมนุษย์ได้ยึดมั่น ถือมั่น หลงติดในภพ ภูมิแห่งวัฏฏะสงสารอันไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยวิธีการแสดงออกอย่างมีชั้นเชิงและฝีมืออันประณีต ละเอียดอ่อน มีลำดับองค์ประกอบและควบคุมน้ำหนักบรรยากาศได้อย่างงดงาม


ผลงานจิตรกรรมไทยแบบประเพณีในนิทรรศการ “จิตรกรรมไทยปริศนาธรรมร่วมสมัยและจิตรกรรมพุทธประวัติ(สมมติสัจจะ)” ของสองศิลปินดังกล่าว มิใช่เพียงการสืบทอดเนื้อหาในอุดมคติจากอดีตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการตีความด้วยพุทธิปัญญาของศิลปินเอง อันเป็นผลมาจากทักษะ ความรู้สึกนึกคิดของศิลปิน และสภาพแวดล้อมของสังคม ภาพจิตรกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจึงยังคงสะท้อนมาจากชีวิตและสังคมที่มีความเป็นท้องถิ่นล้านนานั้นอีกด้วย



ภาพและข้อมูลจากเวบ
queengallery.org













"บีเอ็นเอช เล่าเรื่องราวผ่านงานศิลป์ใน The Art fo Care Gallery”


เป็นเวลา ๑๑๖ ปีแล้ว ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยอย่างโรงพยาบาลบีเอ็นเอชได้ถือกำเนิดขึ้นมา และเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โรงพยาบาลบีเอ็นเอชได้จัดงานครบรอบ ๑๑๖ ปีขึ้นมาอย่างเรียบง่ายแต่น่าจดจำ โดยมีผู้บริหารจากโรงพยาบาลในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ มาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งและพร้อมใจกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวน ๑๙ รูป และร่วมประกอบพิธีสงฆ์เพื่อเป็นสิริมงคลในโอกาสสำคัญนี้


เมื่อเสร็จสิ้นพิธีสงฆ์ กิจกรรมครบรอบ ๑๑๖ ปีก็เริ่มขึ้น โดยคณะผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่พร้อมเพรียงกันที่บริเวณล็อบบี้ชั้น ๔ สถานที่จัดงาน และเป็นสถานที่แสดงงานศิลปะ "The Art of Care Gallery" ซึ่งเป็นจุดเด่นของกิจรรมวันนี้


นพ. ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม ๒, พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร ที่ปรึกษา กลุ่ม ๒, นพ.ปิยภัทร นภวัชรกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีร่วมตัดริบบิ้นเปิดนิทรรศการ The Art of Care Gallery อย่างเป็นทางการ ร่วมด้วย นพ. กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล, พญ. ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ, นพ. ดุลย์ ดำรงศักดิ์, นพ. นพดล นพคุณ, นพ. อดินันท์ กิตติรัตนไพบูลย์, นพ. นพรัตน์ พานทองวิริยะกุล, พญ. ยิ่งลักษณ์ ปัญจวรานุวัตร์, นพ. จิรสิทธิ์ เมฆวิชัย


The Art of Care Gallery เป็นนิทรรศการแสดงภาพศิลปะที่ร้อยเรียงเรื่องราวดี ๆ อันน่าจดจำของโรงพยาบาลบีเอ็นเอชที่มีมาตลอดระยะเวลา ๑๑๖ ปี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบ้านพยาบาลจนถึงปัจจุบัน และชูจุดเด่นของ BNH Breast Health Centre แสดงความพร้อมในการให้บริการแก่คนไข้มะเร็งเต้านมด้วยความเข้าใจ โดยใช้เทคโนโลยี QR Code เป็นช่องทางบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละภาพ



ภาพและข้อมูลจากเวบ
bnhhospital.com














"SEE SEA”


โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี (ถนนสีลม) ภูมิใจเสนอนิทรรศการจิตรกรรมชุด ‘SEE SEA’ ‘มองเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยหัวใจ’ โดยคณาจารย์และนักศึกษาผู้บกพร่องทางการได้ยิน และนักศึกษาปกติ จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี






ด้วยตระหนักถึงคุณค่าของงานศิลปะที่มีต่อมวลมนุษย์ ซึ่งแม้มีความบกพร่องทางร่างกาย ก็มิอาจปิดกลั้นจิตวิญญาณแห่งการรับรู้และสัมผัสถึงความงามจากศิลปะอันเกิดขึ้นจากความอ่อนโยน และจิตใจที่สูงส่งของมนุษย์ผู้ประเสริฐ คณะบุคคลากรซึ่งเป็นทั้งศิลปิน และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ธนบุรี ซึ่งมีจิตเมตตาและเสียสละ ได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ทั้งให้โอกาส และผลักดันลูกศิษย์ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินให้ได้เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม โดยให้ศึกษาเล่าเรียนร่วมกันกับผู้มีร่างกายครบสมบูรณ์พร้อม ให้ได้รับประสบการณ์ทางด้านศิลปะร่วมกันอย่างเสมอภาค แกลลอรี่ชั้น ๓๖ โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ ได้ตระหนักถึงคุณค่าของการให้โอกาส และรับรู้ถึงความทุ่มเทของคณะอาจารย์ และบุคลากรของวงการศิลปะ จึงร่วมให้การสนับสนุน และผลักดันให้เกิด นิทรรศการจิตรกรรม ‘SEE SEA’ ‘มองเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยหัวใจ’






โดยได้รับเกียรติจากศิลปินรับเชิญ ร่วมจัดแสดงผลงานในครั้งนี้ด้วย อาทิ ลำพู กันเสนาะ/ สิโรจน์ พวงบุบผา/ นิวัฒน์ ชูทวน/ เมธาสิทธิ์ อัดดก/ กฤษณวงศ์ ศิวะพราหมณ์สกุล/ สุชา ศิลปชัยศรี ฯลฯ รวมทั้งสิ้นกว่า ๔o ชิ้นงาน จาก ๓๖ ศิลปิน






ซึ่งแนวความคิดในนิทรรศการครั้งนี้นั้นคือ โดยธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคน ย่อมมีรูปลักษณ์ และฐานะทางสังคมแตกต่างกันไป ตามชาติกำเนิด ที่มิอาจเลือกได้ หากเรากล่าวถึงความหมายในเชิงคุณค่าของแก่นแห่งความเป็นมนุษย์ ย่อมหมายถึง ผู้มีจิตใจสูง ภาพลักษณ์และฐานะทางสังคมนั้นจึงถือว่า เป็นเพียงเปลือกผิวภายนอกที่ห่อหุ้มรักษาความรู้ความสามารถ ความคิด สติปัญญา และที่สำคัญคือ ความประเสริฐของจิตใจ สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ อันถือว่าเป็นคุณสมบัติของแก่นแห่งความเป็นมนุษย์






เมื่อกล่าวถึงการเข้าถึงความงามทางศิลปะแล้ว ความบกพร่องทางร่างกายด้านต่างๆ ก็มิอาจถือได้ว่าเป็นอุปสรรค์สำคัญในการเข้าถึงความงาม โดยเฉพาะความงามทางทัศนศิลป์ หรือกล่าวได้ว่า เป็นความงามที่รับรู้ได้จากการมองเห็นด้วยสัญชาตญาณ และวิสัยแห่งผู้สร้างสรรค์ศิลปะ จึงควรมีญาณทัศนะในการเข้าถึงความงาม แม้ในสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว หรือ มองเห็นความงามในสิ่งที่ดาษดื่นทั่วไปที่อาจไม่ได้รับการให้ความสำคัญ ศิลปินหรือนักสร้างสรรค์ ย่อมสามารถมองเห็นและเข้าถึงความงามที่เร้นอยู่นั้น และสามารถนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นสื่อ ในการสร้างสรรค์ แสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกและความคิด ได้อย่างแยบคาย






“ทุกคนมีความงาม นายต้องค้นให้พบ แม้แต่คนที่ขี้ริ้วขี้เหร่ก็อาจมีความงามแอบซ่อนอยู่ อาจจะเป็นนิ้วมือ นิ้วเท้า หรือฟัน หรือแม้จิตใจที่งดงามก็ตาม นายต้องคนให้พบ” ดังคำที่ท่านศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวไว้






ขอเชิญทุกท่านร่วมพิธีเปิดนิทรรศการ จะจัดขึ้นวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๙.oo น. โดยได้รับเกียรติจาก คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช เป็นประธานในพิธีเปิด ณ แกลลอรี่ ชั้น ๓๖ โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี (สีลม)






ผู้ที่สนใจเข้าชมนิทรรศการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือสนับสนุนซื้อภาพโดยไม่หักค่าใช้จ่ายสมทบเป็นทุนการศึกษา ณ แกลลอรี่ ชั้น 36 โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี (สีลม) ระหว่างวันที่ ๑๓ มีนาคม-๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ และเปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทุกวัน เวลา ๑o.oo–๑๙.oo น.


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสนใจซื้อผลงานโทร : o๒-๒๓๘-๑๙๙๑
เฟซบุ๊ค : //www.facebook.com/pullmanbangkokhotelG
อีเมล์ : pr@pullmanbangkokhotelG.com















ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














งามกรุ่นกลิ่น 'สี' ผสาน 'เมล็ดกาแฟ'


นอกจากรสชาติและกลิ่นอันหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟแล้ว ในวันนี้ กาแฟยังมีส่วนในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอีกด้วย โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ แบล็คแคนยอนจับมือศิลปินระดับสากล และคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างสรรค์ผลงานศิลปะแนว ”แอ็บสแตร็กต์อาร์ต” โดยเป็นการผสานระหว่าง “สี” กับ “เมล็ดกาแฟ” จนเกิดผลงานศิลป์


กรรณิการ์ ชินประสิทธิ์ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารตราสินค้า บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา พบว่า “กาแฟ” ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก แม้จะมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ต้องการเหมือนๆ กันนั่นก็คือ “ความสุนทรีย์” อันเป็นความละเมียดละไม เฉกเช่นงานศิลปะชั้นยอดอย่างเป็นสากล ด้วยเหตุนี้ แบล็คแคนยอนจึงได้ร่วมกับ มร.จิมมี เอ็นจิเนีย ศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับสากล ผู้สร้างสรรค์ศิลปะแนว “แอ็บสแตร็กต์อาร์ต” โดยใช้ชื่อผลงานชุดนี้ว่า Black Canyon : The Coffee Art (แบล็คแคนยอน : เดอะ คอฟฟี่ อาร์ต) มีทั้งหมด จำนวน ๑๔ ภาพ และอาจารย์จักรกฤษณ์ การะเกต อาจารย์พิเศษภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ร่วมสนับสนุนการจัดนิทรรศการครั้งนี้


มร.จิมมี เอ็นจิเนีย ศิลปินลูกครึ่ง “ปากีสถาน-อเมริกัน” ผู้มีชื่อเสียงและผลงานศิลปะที่สวยงามและเป็นที่รู้จักในระดับสากล ซึ่งโดดเด่นในด้านการนำเสนอผลงานแนวสะท้อนชีวิตและความเป็นอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ และมากความสามารถ วาดรูปได้หลากหลายสไตล์ โดยใช้เทคนิควาดรูป เช่น สีน้ำมัน, สีสเปรย์ และเทคนิคอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ เขายังเป็นนักออกแบบแสตมป์ และนักสังคมสงเคราะห์ ผู้ที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมายาวนานถึง ๒๕ ปี ได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลที่มีมนุษยธรรมในการดำเนินชีวิต และเขาได้นำแง่มุมชีวิตด้านนี้มาเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างผลงานศิลปะมากกว่า ๓,ooo ชิ้น และตีพิมพ์ไปแล้ว ๒o,ooo ชิ้นทั่วโลก






"ผลงาน Black Canyon : The Coffee Art จึงเกิดจากความปรารถนาให้ชีวิตของมนุษย์มีความสุข และต้องการให้ทุกคนมีพลังงาน มีแรงบันดาลใจ ซึ่งในบางครั้งของช่วงเวลา เราอาจรู้สึกถดถอย การสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองอยู่เสมอๆ ก็เสมือนการเติมพลังงาน เพื่อเติมพลังชีวิตให้มีพลังที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า และเขายังมองอีกว่าการนำเมล็ดกาแฟมาผสมผสานกับสีเพื่อสร้างชิ้นงานศิลปะ นับว่าสามารถกลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดี เป็นอีกมิติหนึ่งของงานศิลปะแนว “แอ็บสแตร็กต์อาร์ต” เพราะนอกจากความงามของงานศิลปะแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่า “ชีวิต” ของมนุษย์จะขาดสีสันไม่ได้" ผอ.ฝ่ายการตลาดแบล็คแคนยอนกล่าว


มร.จิมมี เอ็นจิเนีย ศิลปินระดับสากล กล่าวถึงผลงานศิลปะชุดนี้ของเขาใช้สีสเปรย์ในการวาดภาพ และเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยมจากแบล็คแคนยอนมาเป็นส่วนประกอบหลักของภาพวาดทุกภาพ โดยนำเมล็ดกาแฟมาสร้างสรรค์เป็นรูปร่างต่าง ๆ


"ผมพบว่าเมล็ดกาแฟเป็นสิ่งที่น่าสนใจและท้าทายในการวาดรูป เพราะผลงานที่ผ่านๆ มายังไม่เคยใช้เมล็ดกาแฟมาเป็นส่วนประกอบในการวาดภาพ นอกจากนี้ ธรรมชาติรอบตัวผมยังเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจในการวาดภาพในทุก ๆ ภาพ ตลอดรวมถึงภาพวาด ๑๔ ภาพ ทำให้ได้รูปแบบของผลงานที่มีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป"






ในผลงานทั้ง ๑๔ ชิ้น มร.จิมมีตั้งชื่อดังนี้ว่า 1. Black is Beautiful 2. Coffee at Sunrise 3. Coffee at Sunset 4. Coffee at Black Sun 5. Coffee at Moonlight 6. Coffee Beans with Square, riangle and Circle 7. Coffee in the Garden of Flower 8. Coffee Bean in the Galaxy 9. Sunlight through the Branches 10. Different Shapes 11. Spreading of Black Canyon Coffee 12. Coffee is Gold 13. Coffee beans in white circle 14.Floating square in pink


อาจารย์จักรกฤษณ์ การะเกต อาจารย์พิเศษ ภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจ อีกทั้งได้เปิดโอกาสให้นิสิตเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานสนับสนุนการทำงานของ มร.จิมมี เอ็นจิเนีย ครั้งนี้ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในการสร้างสรรค์ ผลงานศิลปะชุด Black Canyon : The Coffee Art (แบล็คแคนยอน : เดอะ คอฟฟี่ อาร์ต) ได้ช่วยเหลือในการสนับสนุนการบริหารจัดการสถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ มร.จิมมี เอ็นจิเนีย ได้สร้างสรรค์ผลงานทั้ง ๑๔ ภาพ และมองว่าผลงานศิลปะของ มร.จิมมีเป็นงานที่ถ่ายทอดตัวตน ความรู้สึกภายในให้เห็นแก่นแท้ของชีวิตที่ผ่านเวลาของการเดินทาง


ผลงานศิลปะชุด “Black Canyon : The Coffee Art" จะจัดแสดงให้ผู้ที่รักงานศิลปะและประชาชนทั่วไปได้รับชม ณ ร้านแบล็คแคนยอน สาขาศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ นี้ หลังจากนั้น แบล็คแคนยอนจะนำผลงานไปตกแต่งภายในร้านแบล็คแคนยอนสาขาต่าง ๆ ต่อไป.



ภาพและข้อมูลจากเวบ
thaipost.net
manager.co.th














"ประมูลงานศิลป์ล้ำค่าฉลองครบรอบ ๑oo ปีรพ.จุฬาฯ”


นับเป็นโอกาสดีที่พี่น้องคนไทยและผู้มีจิตศรัทธาจะได้ทำบุญร่วมกันอีกครั้ง ในงาน "ศิลปินเกื้อหนุน ๑oo ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์" ซึ่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จัดขึ้น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบ ๑oo ปี และหารายได้สมทบการก่อสร้างอาคาร "ภูมิสิริมังคลานุสรณ์" โดยได้รับบริจาคผลงานศิลป์จากศิลปินแห่งชาติ ศิลปินผู้มีชื่อเสียง ศิลปินรุ่นใหม่ และผู้สะสมงานศิลป์ มาจัดแสดงให้ชมก่อนนำออกประมูลในวันจริง ซึ่งได้รับเกียรติจาก รศ.นพโศภณ นภาธร ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน บริเวณห้องโถง ตึก ๑๔ ชั้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ วันก่อน


รศ.นพโศภณ นภาธร กล่าวว่า งานศิลปะนั้น นอกเหนือจากคุณค่า ความงดงาม และสุนทรียภาพต่อจิตใจแล้ว ในทางการแพทย์ ยังสามารถพิสูจน์ได้ว่า งานศิลปะยังมีผลดีต่อการช่วยเยียวยาร่างกายและจิตใจอีกด้วย ดังนั้นการจัดงานเช่นนี้จึงนับว่ามีคุณค่าสูงยิ่ง ทั้งยังเป็นการร่วมใจสร้างกุศล ทั้งของบรรดาเหล่าศิลปิน ผู้สะสมงานศิลป์ ที่กรุณาบริจาคผลงานต่าง ๆ มาให้ดำเนินการประมูล รวมถึงผู้มีจิตกุศลที่กรุณาร่วมประมูลผลงานเหล่านี้ ซึ่งรายได้ที่เกิดขึ้นนั้นจะนำไปสมทบการก่อสร้าง อาคาร “ภูมิสิริมังคลานุสรณ์” และจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์โดยไม่หักค่าใช้จ่าย






ด้าน รศ.นพ.ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์ รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฝ่ายบริหาร ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงาน กล่าวว่า งาน “ศิลปินร่วมบุญ เกื้อหนุน ๑oo ปี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์” กำหนดจัดขึ้นใน วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มีนาคม ที่ห้องคริสตัลฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน โดยได้รับพระกรุณาจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงเป็นประธาน


"ก่อนที่จะถึงวันเปิดประมูลอย่างเป็นทางการ คณะกรรมการจัดงาน จึงได้จัดงานพรีวิว เพื่อนำผลงานศิลปะของ ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินอาวุโส ศิลปินรุ่นใหม่ และ ผู้สะสมงานศิลป์ ที่ได้กรุณาบริจาคสำหรับการประมูล นำออกมาจัดแสดงให้ได้รับชมตั้งแต่วันนี้-๑๒ มีนาคม ทั้งนี้การประมูลในวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มีนาคม แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ การประมูลแบบเปิด ของ ๓๑ ศิลปิน ๓๕ ผลงาน อาทิ "เบิกบาน" โดย บัญชา ทัศมาลี, "ในหลวงของเรา" โดย พีระ โภคทวี, "พระพุทธชินราช" โดย วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร เป็นต้น และการประมูลแบบปิดของ ๒๒ ศิลปิน ๒๗ ผลงาน อาทิ "พ่อ แม่ ลูก ปีมะเมีย" โดย ประหยัด พงษ์ดำ, "กิ่งไผ่" โดย ช่วง มูลพินิจ, "ไอซ์นาคา" โดย จิรวัฒน ชวนะธิต เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสิ่งของพระราชทานและประทานจากพระบรมวงศานุวงศ์ อาทิ หม้อน้ำมนต์ถมตะทองทรงกลีบบัวลายดอกพุดตานและใบเทศพร้อมกี๋ไม้แกะสลักสายบัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานมาร่วมประมูล" ประธานคณะกรรมการจัดงาน แจง


ขณะที่ศิลปินชื่อดัง วิวิชชา ยอดนิล เจ้าของผลงาน "ทะเลตรัง" เล่าว่า ภาพนี้สร้างสรรค์โดยใช้สีอะคริลิกบนผืนผ้าใบ เป็นภาพของทะเลตรังบริเวณอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เดินทางไปแล้วประทับใจมากกับความสวยและความสงบของเกาะ จึงถ่ายทอดออกมาเป็นภาพนี้ซึ่งวาดขณะที่อยู่บนเรือแล้วมองเข้าไปหาฝั่ง


ด้าน อนุพงษ์ จันทร เจ้าของผลงาน "เปรตผิวแดง" บอกว่า ผลงานนี้เป็นการเขียนสีอะคริลิกบนผ้ามุ้ง โดยทำออกมาเป็น ๒ ชิ้นคือเปรตผิวเหลือง และเปรตผิวแดง เพื่อต้องการนำเสนอถึงความขัดแย้งเรื่องในครอบครัว ซึ่งความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นจากการใช้อารมณ์และความรู้สึก แทนการใช้สมองไตร่ตรองแก้ปัญหา นำไปสู่ความวิบัติ เสื่อม จนถึงความแตกแยก นำเสนอผ่านเปรตไม่มีหัว หมายถึงไม่มีสมองและไม่มีปัญญาในการแก้ไขปัญหา



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














"เวิร์คชอป "การวาดภาพด้วยแสง"”


ขอเชิญพบกับเวิร์คช็อปใหม่ที่ท่านจะได้พบกับเทคนิคการภาพถ่ายซึ่งใช้เวลาสักหน่อยกับการวาดภาพและการใช้แสงที่หลากหลายกับวัตถุหรือฉาก ภาพถ่ายที่ได้รับจะถูกนำไปจัดแสดงในนิทรรศการรวมที่แกลเลอรี่ของสมาคมฝรั่งเศส


เวิร์คช็อปนี้จะจัดให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองหลากหลายเทคนิค ความน่าสนใจของภาพถ่ายจะอยู่ที่คุณภาพของการเล่นแสงที่ปรากฏ หลังจากเกริ่นนำเรื่องเทคนิค (อุปกรณ์ที่ใช้ การตั้งค่าความเร็วของชัตเตอร์ การปรับระดับความขาว-ดำ เครื่องมือต่าง ๆ) แล้ว ก็มาถึงเวลาของการเล่นกับแสงและการวาดภาพด้วยแสงบนพื้น เมื่ออุปกรณ์พร้อม ก็จะมีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อยให้ท่านได้ถ่ายภาพในที่ร่มหรือกลางแจ้ง


สปีลเบ็น นักวาดภาพแสงตัวยง เบ็น หรือนามแฝงว่า สปีลเบ็น เป็นศิลปินอิสระ เป็นผู้กำกับคลิปและรายการทีวี เขายังเป็นนักถ่ายภาพแนวทดลอง เขาเคยทำงานร่วมกับเอเจนซี่โฆษณาและบริษัทผู้ผลิตสื่อ เขาเคยช่วยงานนิติกาญจน์ ทาจินะ สมาชิผู้ก่อตั้งกลุ่ม Vynians (www.vynians.com) ซึ่งคร่ำหวอดอยู่กับการวาดภาพด้วยแสงมาเป็นเวลามากกว่า ๓ ปี นอกจากนี้ นักวาดภาพด้วยแสงท่านอื่นอาจแวะมาร่วมกับกลุ่มหากเวลาว่างตรงกัน
ปรมาจารย์ด้านการวาดภาพด้วยแสงชื่อดัง ได้แก่
แมน เรย์ (ค.ศ. ๑๙๓๗) ปาโบล ปิกัสโซ่ และ Gjon Mili (ค.ศ. ๑๙๔๙)


ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
เวิร์คช็อปภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และไทย
รับจำกัดจำนวนที่ ๑o คน
ขอเชิญชวนให้ผู้ที่เข้าอบรมนำอุปกรณ์มาเอง (เผื่อมีการถ่ายภาพแบบใช้ความเร็วของชัตเตอร์ต่ำ)
วันที่ : วันที่ ๑๗-๒๘ มีนาคม ตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ เริ่มเวลา ๑๘.oo น. ไปจนถึง ๒๑.oo น.
พิธิเปิดนิทรรศการจะจัดขึ้นในวันที่ ๙ พฤษภาคม
ค่าอบรม : ๖๔๕o บาทสำหรับการอบรม ๓o ชั่วโมง
สถานที่ : ศูนย์ศิลปะ สมาคมฝรั่งเศส กรุงเทพ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. o๒-๖๗o-๔๒๒๒


ภาพและข้อมูลจากเวบ
afthailande.org
เฟซบุค Frangset ฝรั่งเศส














นิทรรศการ "ดอกไม้กลางไฟใต้"


เชิญชมนิทรรศการ “ดอกไม้กลางไฟใต้ (Deep South Insight: Women Across Barriers) ในวันอังคารที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๓.๓o น. ณ มิวเซียมสยาม ถนนสนามไชย กรุงเทพมหานคร


ฯพณฯ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัลทรงเกียรติ “สตรีต้นแบบ” แก่ผู้มีบทบาทพัฒนาท้องถิ่น และนำสันติภาพอันยั่งยืนสู่ชุมชน พร้อมเปิดนิทรรศการ “ดอกไม้กลางไฟใต้” (Deep South Insight: Women Across Barriers) รวมภาพถ่ายสะท้อนวิถีชีวิตอันเรียบง่ายและงดงามของผู้คนใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยช่างภาพสารคดีชื่อดัง ในวันอังคารที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๓.๓o น. ณ มิวเซียมสยาม ถนนสนามไชย กรุงเทพมหานคร


โครงการดังกล่าว จัดขึ้นโดยองค์การอ็อกแฟม ประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิยูนิลีเวอร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้และกลุ่มสห+ภาพ เพื่อร่วมฉลองหนึ่งศตวรรษวันสตรีสากล นิทรรศการ “ดอกไม้กลางไฟใต้” เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมถึงเดือนเมษายนนี้







ภาพและข้อมูลจากเวบ
travel.mthai.com














"Blue”


“น้ำเงิน” (Blue – 2013) ผลงานชุดล่าสุดของ “มานิต ศรีวานิชภูมิ” ศิลปินภาพถ่ายระดับโลกของไทย ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างแสบสัน ทั้งโทนสีและท่วงท่าของนายแบบและนางแบบในสภาพเปลือยฉายอาบด้วยสีน้ำเงินเข้มจัดและสีแดงสด


ตรึงให้ผู้ชมถลำลึกเข้าสู่ภวังค์แห่งความหมาย ซึ่งนำมาจัดแสดงในโอกาสงานแกรนด์โอเพ่นนิ่งเปิดตัว “แอดเลอร์ ศุภโชค แกลเลอรี่” ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ถึง ๓o เมษายน ๒๕๕๗ ก่อนจะถูกส่งบินตรงไปจัดแสดงในเทศกาลงานอาร์ตแฟร์ “Art Paris 2014” ประเทศฝรั่งเศส ในนามของ “แอดเลอร์ ศุภโชค แกลเลอรี่” แกลเลอรี่ที่พร้อมรับประกันผลงานศิลปะคุณภาพจากประเทศไทยสู่ตลาดโลก ในปลายเดือนมีนาคมนี้






มานิต ศรีวานิชภูมิ ได้ให้ความหมายถึงผลงานในนิทรรศการครั้งนี้ว่า “น้ำเงิน (Blue) เป็นชุดภาพนู้ดหญิงและชายในท่วงท่าที่บิดเบี้ยว คดงอ เรือนร่างที่เปลือยเปล่าอาบชุ่มด้วยสีน้ำเงิน สลัดคราบทางเพศสภาวะออกจนดูคลุมเครือ แยกไม่ออกว่าเป็นเพศไหน ราวกับจิตวิญญาณภูตผีท่ามกลางความขัดแย้ง เพื่อสื่อถึงความอึดอัดคับข้องใจและเก็บกดในภาวะทางสังคมการเมือง ดูเหมือนคนไร้ทางออก เจ็บปวดทรมาน


“ขณะเดียวกัน สีน้ำเงิน ยังเป็นหนึ่งในสามสีบนผืนธงชาติไทย ที่ถูกนำมาใช้เพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชาติไทยที่นับวันจะแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย อย่างไรก็ดี ภายใต้แสงสีน้ำเงินนั้นก็ยังปรากฏความสวยงามสูงส่งที่อยู่เหนือความรุนแรงทางการเมืองและอาการป่วยไข้ของสังคม”






นอกจากเรื่องราวของ “น้ำเงิน” (Blue) แล้ว มานิต ศรีวานิชภูมิ ยังหยิบชุดภาพ แดง (Red) มาเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดเรื่องราวหักล้างความเป็นน้ำเงินได้อย่างสุดขั้ว ผ่านภาพนู้ดสีแดง ๓ ภาพ กับการจัดวางองค์ประกอบที่ถูกอาบไปด้วยสีแดงเข้มนำเสนอผู้หญิงเปลือยหลายคนทับซ้อนกันในท่วงท่าที่สื่อถึงอารมณ์ทางเพศอย่าง ภาพที่มือของหญิงสาวกำลังจับหน้าอกและอวัยวะเพศของเธอ ขณะที่สายตาก็จ้องมองมายังผู้ชม แอ่นหลังจนเห็นทรวดทรงโค้งเว้า ซึ่งเป็นท่วงท่าที่แสดงออกในอารมณ์ทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง






ด้วยเทคนิคกระบวนการถ่ายภาพที่เป็นเนกาทีฟ แสดงความคอนทราสต์โดยตรงกับภาพชุด “น้ำเงิน” (Blue) ซึ่งเป็นภาพโพสิทีฟแบบทั่ว ๆ ไป ขณะที่ภาพ “แดง” กลับบอกเป็นนัย ๆ ถึงความสมยอม หรือความพึงพอใจที่จะให้เกิดการร่วมเพศและด้วยความที่เป็นภาพถ่ายแบบเนกาทีฟ ความวิปริตผิดแผกในภาพชุดแดงจึงไม่ได้มีเฉพาะที่ตัวแบบเท่านั้น แต่ยังผิดแผกไปถึงเทคนิคของกระบวนการสร้างสรรค์อีกด้วย นิทรรศการครั้งนี้ผู้ชื่นชอบงานศิลปะและนักสะสมไม่ควรพลาด


นิทรรศการ : “น้ำเงิน” (Blue)
ศิลปิน : มานิต ศรีวานิชภูมิ
วันที่ : ๑๓ มีนาคม – ๓o เมษายน ๒๕๕๗
สถานที่ : แอดเลอร์ ศุภโชค แกลเลอรี่ สุขุมวิท ๓๓
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : o๒-๖๖๒-o๒๙๙, o๘๘-๑๑๖-๖๖๑๖



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














"Moi / Soi”


Moi/Soi เป็นนิทรรศการภาพ “Portrait” จากศิลปิน ๘ ท่าน คือ คุณกิติคุณ หมั่นกิจ, คุณประดิษฐ์ ตั้งประสาทวงศ์, คุณพัชรพงษ์ มีศิลป์, คุณลำพู กันเสนาะ, คุณเกียรติอนันต์ เอี่ยมจัน, คุณพลุตม์ มารอด, คุณไมเคิล เชาวนาศัย และคุณศิลาวิทย์ พูลสวัสดิ์ที่มาร่วมกันสร้างสรรค์งานศิลปะที่สื่อถึงความชอบส่วนบุคคล โดยงานศิลปะเหล่านี้นำเสนอความลึกซึ้งของไอเดีย เอกลักษณ์ และตัวตน ความอยากที่จะโดดเด่นในสังคม และการฉีกหนีวัฒนธรรมของบุคคลที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แทนที่จะสร้างตัวตนขึ้นมาหนึ่งชิ้น ศิลปินเหล่านี้จะตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ ที่จะตีความหมายของเอกลักษณ์ และค้นหาความเป็นไปได้ในการหาตัวตนที่แท้จริง การค้นหาครั้งนี้ อาจจะไม่ได้บทสรุปที่กระจ่าง แต่จะนำไปสู่ความไม่ชัดเจนต่อไป และ ความ “มัวซัว”


ในภาษาฝรั่งเศส “Moi” แปลว่า “ฉัน” และ “Soi” แปลว่า “ตัวตนของฉัน”






ผลงานของศิลปินทั้ง ๙ ท่าน จะเป็นตัวแทนศิลปินไทย ไปร่วมจัดแสดงผลงานศิลปะในงาน “Art Paris Art Fair 2014” งานนิทรรศการศิลปะ ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในประเทศฝรั่งเศส เป็นแหล่งรวมศิลปินและงานศิลปะยุคใหม่ที่น่าจับตามอง โดยในปีนี้ “Adler Subhashok Gallery Bangkok” เป็นแกลอรี่เดียวจากเมืองไทย ที่จะนำงานศิลปะคุณภาพของศิลปินไทย ไปเปิดตัวสู่สายตาระดับโลก ในวันที่ ๒๗-๓o มีนาคม ๒๕๕๗ ที่จะถึงนี้






นิทรรศการ : “Moi / Soi” (มัวซัว)
ศิลปิน : กิติคุณ หมั่นกิจ, ประดิษฐ์ ตั้งประสาทวงศ์, พัชรพงษ์ มีศิลป์, ลำพู กันเสนาะ, เกียรติอนันต์ เอี่ยมจัน, พลุตม์ มารอด, ไมเคิล เชาวนาศัย และศิลาวิทย์ พูลสวัสดิ์
วันที่ : ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๗ – ๓o เมษายน ๒๕๕๗
สถานที่ : ADLER SUBHASHOK GALLERY สุขุมวิท ๓๓
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร : o๒- ๖๖๒-o๒๙๙
Email : info@adlersubhashok.com
Facebook : //www.facebook.com/adlersubhashokgallery















ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














นิทรรศการของ "มูไก คัตสุมิ”



Mukai Katsumi (มูไก คัตสุมิ) ประติมากรชาวญี่ปุ่น วัย ๗o ปี

ผู้เคยเดินทางมาร่วมกิจกรรมด้านศิลปะที่เมืองไทยบ่อยครั้ง

หลังจากมาเป็น ศิลปินในที่พำนัก (Artist-in-residence) ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นราว ๒ เดือน

ล่าสุดจึงมีผลงานประติมากรรมแกะไม้มาจัดแสดงให้ชม ณ เมืองดอกคูนเสียงแคน จ.ขอนแก่น

ผู้สนใจสามารถไปชมนิทรรศการได้

ระหว่างวันที่ ๑๔-๓o มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ หอศิลป์หลักเมือง จ.ขอนแก่น

พิธีเปิดนิทรรศการ วันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗

เวลา ๑๔.oo-๑๖.oo น. เชิญฟัง "ทัศนะการสร้างสรรค์งานศิลปะ
ของ มูไก คัตสุมิ" ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

จากนั้้น เวลา ๑๗.oo น. ร่วมพิธีเปิดนิทรรศการอย่างเป็นทางการ โดยประธานในพิธี รศ.ดร.เฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น



ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุค ART EYE VIEW














"'ศักดิ์ชัย กาย' ภายใต้ 'เสื้อลายอุดมการณ์' ”


"สถานการณ์มาถึงจุดนี้อยู่เฉยไม่ได้แล้ว คงต้องอยู่ข้างความถูกต้อง เขาต่อสู้กันมาเป็นร้อยวันแล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำแล้วว่าอะไรคือเหตุผล เราต่อสู้เพื่ออะไร..."


ในวงการช่างภาพแฟชั่น ชายร่างสูงโปร่งสวมแว่นสายตา นาม "ศักดิ์" ศักดิ์ชัย กาย บรรณาธิการนิตยสาร "ลิปส์" (LIPS) แสดงบทบาทอยู่แถวหน้า และเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเรียกร้องเขาก็พร้อมเผยตัวตนอยู่หน้าแถวผู้ชุมนุมทันที วันนี้จึงได้เห็นคนที่ประกาศตัวชัดเจนว่า "รักชาติ เทิดทูนพระมหากษัตริย์" แสดงจุดยืนอย่างเต็มภาคภูมิ สู้เคียงบ่าเคียงไหล่มวลมหาประชาชน กปปส. ตั้งแต่เริ่มจนชั่วโมงนี้ยังคงไม่ไปไหน...


บทบาทที่ใครๆ ได้เห็นทุกเมื่อเชื่อวัน มากกว่างานเบื้องหน้าบนเวทีปราศรัย ศักดิ์ชัย กาย นิยมวุ่นอยู่เบื้องหลังแล้วทำงานถนัดอย่างการช่วยหาทุนสนับสนุนด้วยออกแบบเสื้อยืดคอลเลกชั่นกอบกู้ชาติรุ่นแล้วรุ่นเล่า โดยระหว่างที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดแจงไซส์เสื้อภายในเต็นท์หลังเวทีชุมนุมบริเวณแยกปทุมวัน เขาหันมาเล่าถึงที่มาที่ไปของการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมวลมหาประชาชนว่า จุดยืนง่าย ๆ คือความรักชาติ รักประเทศ เห็นความไม่ชอบธรรมในสังคม เห็นสถาบันถูกย่ำยี นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้นิ่งเฉยไม่ได้


"ไม่มีใครชักชวน ผมแค่เห็นว่า เราทำอะไรได้ก็ต้องทำ ก็เห็นว่าหลาย ๆ คนอยู่ดู ทำเฉย ไม่เลือกข้าง ผมว่าการที่เราเฉยมันเป็นการทำลายชาติมากกว่าที่จะออกมาทำอะไร อย่างที่เขาพูด ๆ กัน ความดีไม่มีตรงกลาง เราไม่ใช่คนบู๊ แต่คิดว่าทำอะไรที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ต้องออกมาช่วย แล้วบังเอิญสิ่งที่เราทำคนส่วนมากมองเห็น ก็เลยอาจรู้สึกว่าเราทำมากกว่าคนอื่น ความจริงไม่ใช่หรอก สิ่งที่เราทำอยู่เป็นแค่สะพานกลางให้แก่ประชาชนในการมาช่วยเหลือ กปปส.หาทุนต่อสู้แค่นั้นเอง ด้วยการทำเสื้อขาย มันก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของคนที่อยากบริจาคช่วยแล้วก็มีของชำร่วยไป บางคนใช่ว่าจะต้องมาซื้อเสื้อๆ อย่างเดียว เพราะคนศรัทธาว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันเป็นการรวบรวมรายได้จำนวนมากพอสมควรในการส่งต่อ กปปส. ตรงนี้อาจจะเป็นจุดแตกต่างจากคนที่ทำอยู่" ช่างภาพแถวหน้าที่มวลมหาประชาชนเรียกติดปากว่า "พี่ศักดิ์" เท้าความเหตุผลที่ต้องเดินอยู่บนอุดมการณ์รักชาติ


หลายคน (อาจ) มองว่าเขามีตำแหน่งใหญ่เป็นฝ่ายหาทุนกู้ชาติไปแล้ว ทว่าเจ้าตัวเผย "แค่ทำตัวให้มีประโยชน์" เพราะเพียงลำพังคงไม่สามารถปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุลวง ภายในเต็นท์ขายเสื้อยังมีน้อง ๆ จิตอาสาอีกมากที่เต็มใจ ลงทุน ลงแรงช่วยกัน และไม่ใช่เพราะกระแส แต่จริง ๆ แล้วตัวเองตัดสินใจไปร่วมชุมนุมตั้งแต่เวทีแรกเริ่มริมทางรถไฟสามเสน เป็นความรู้สึก "อิน" และ "ผูกพัน" ในความคิดและมุมมองที่คล้ายกันของผู้คนจำนวนมากที่ต้องการปฏิรูปประเทศ อีกทั้งต่อสู้กับระบอบที่ไม่ปกติ


พร้อมกันนี้ เขายังปฏิเสธที่จะเรียกตัวเองว่า "กปปส." แต่ยอมรับเป็นกองกำลังประชาชนคนหนึ่งที่คิดว่าทำสิ่งนี้แล้วมีประโยชน์ เพราะรายได้ที่ช่วยกันหาก็สืบเนื่องมาจากเงินทุนทำครัวถูกปิดบัญชี ทำให้ชาวบ้านที่มาร่วมชุมนุมเดือดร้อน ดังนั้นเงินจากการขายเสื้อจึงมีส่วนสำคัญไม่น้อย


"เสื้อที่ออกแบบมา มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย จากเดิมที่เราคิดทำแค่เสื้อชัตดาวน์กรุงเทพฯ เป็นสัญลักษณ์ของการมาร่วมกันต่อสู้ แล้วก็ไม่นึกว่ามันจะได้รับการยอมรับ ปรากฏว่าคนต้องการเสื้อจำนวนมาก พอเริ่มขายดีก็เลยคิดทำเสื้อรุ่นต่อ ๆ มา รุ่นวันแห่งความรัก รุ่นชาวนา เหมือนกับเป็นวาระที่เราทำเสื้อเพื่อคนใส่ แล้วก็มีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์นั้น ๆ ซึ่งเสื้อก็ไม่มีข้อความในการต่อสู้อะไรเลย เป็นเสื้อที่เราใส่ในโอกาสอะไรก็ได้ ก็เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องใส่อะไรที่มันวุ่นวายลงไป ทำซอฟท์ๆ ไม่ต้องด่าใคร เพราะสิ่งที่เราออกมาต่อสู้มันอยู่ในใจลึก ๆ อยู่แล้ว ล่าสุดเราทำรุ่นใหม่มี ๔ ลายเป็นกราฟฟิกสวยๆ ที่ผ่านมาเราสามารถหารายได้ให้เวที กปปส. ๒o กว่าล้านบาทแล้ว และวันนี้ (๒๖ ก.พ.) ก็จะเอาเงินขึ้นไปให้อีก ๒ ล้าน" โต้โผจัดทำเสื้อกู้ชาติ อธิบาย


ทว่าท่ามกลางสถานการณ์คุกรุ่น ซ้ำมีมือดีก่อความรุนแรงในหลายรูปแบบ อีกทั้งภัยคุกคามจากคนเห็นต่าง ศักดิ์บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นดาราหรือคนมีชื่อเสียงที่จะได้รับผลกระทบ ทุกคนที่ถูกคุกคามเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าประเทศนี้ต้องการการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน เพราะตราบใดที่ผู้คนนิยมความรุนแรง บ้านเมืองก็จะไปไหนไม่รอด


"เราคิดไม่เหมือนกันได้ แต่ว่าในเชิงสร้างสรรค์เราก็ต้องไม่ทำลายฝ่ายตรงข้าม ดูสังคมของประเทศที่เจริญแล้ว เขาคิดต่างกัน เถียงกันในสภาได้ ไม่ลงรอยกันได้ แต่ไม่ทำลายกัน ไม่เกลียดกัน อันนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการการปฏิรูปอย่างรุนแรง เราเลือกข้างแล้วเราไปเกลียดฝ่ายตรงข้ามแบบนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่เราต้องปฏิรูปการศึกษาใหม่ว่า เราเห็นต่างได้ แต่เราต้องรักกัน ในที่สุดแล้วประเทศชาติต้องเป็นตัวตั้ง ผมคิดต่างแต่ไม่คิดเกลียดฝั่งตรงข้าม แล้วเราพยายามบอกทุก ๆ คน" ศักดิ์ แสดงความเป็นห่วง


ท้ายที่สุด เขาบอกชัดเจนว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่เคยท้อ และหวาดกลัว หากกลัวก็คงไม่มา การทำงานอยู่ในที่แจ้งอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ต่อให้อยู่บ้านถึงเวลาก็ต้องตายอยู่ดี ตายแบบนี้เป็นการตายในความคิด ในความรับผิดชอบ ได้ช่วยประเทศชาติ น่าภาคภูมิใจกว่า


"กว่าร้อยวันที่ผ่านมาผมเห็นมิตรภาพ ประชาชนมีการตื่นรู้มากขึ้น รู้ว่าตัวเองมีสิทธิทางการเมืองอย่างไรบ้าง มีความรู้สึกหวงแหนประเทศไทยมากขึ้น สำนึกต่อประเทศมากขึ้น อันนี้คือสิ่งที่เห็นได้ชัด เพราะฉะนั้นผมมีความรู้สึกว่า เฮ้ย...เราไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้ในสังคมไทยนะ ผมไม่อยากบอกว่าให้ทุกคนมาหรือไม่มาร่วม คงไม่บอกว่ามาเถอะ ไม่ตายหรอก ทุกคนคงต้องมีวิจารณญาณของตัวเอง แต่ละคนมีภาระหน้าที่ต่างกัน ให้ดูสถานการณ์อย่างมีวิจารณญาณควรอยู่จุดไหน ช่วยอะไรได้บ้าง สถานการณ์มาถึงจุดนี้อยู่เฉยไม่ได้แล้ว คงต้องอยู่ข้างความถูกต้อง เขาต่อสู้กันมาเป็นร้อยวันแล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำแล้วว่าอะไรคือเหตุผล เราต่อสู้เพื่ออะไร..."


...และนี่คือความชัดเจนภายใต้อุดมการณ์ที่มั่นคงของคนแมกกาซีนชื่อ...ศักดิ์ชัย กาย



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














"โชว์วิถีดีไซน์สไตล์ญี่ปุ่น”


เป็นที่รู้กันดีว่าคนไทยชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน ภาษา อาหาร หรือแม้แต่แฟชั่น และด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงกลายเป็นต้นทุนให้เกิดปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของวงการแฟชั่นเมืองไทย นั่นคือ "สยามเซ็นเตอร์ พรีเซ็นต์ เจแปน แฟชั่น วีค อิน บางกอก" มหกรรมแสดงผลงานแฟชั่นชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นในเมืองไทยอย่างเต็มรูปแบบครั้งแรก ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง สยามเซ็นเตอร์ รัฐบาลประเทศญี่ปุ่น และเจแปน แฟชั่น วีค ออร์แกไนเซซั่น โดยมี ชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด อากิโกะ ชิโนดะ ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ เจแปน แฟชั่น วีค ออร์แกไนเซซั่น อิเซกิ โทโคโดโระ แบรนด์โปรดิวเซอร์จากฟุกาฮัม พร้อมด้วยสาวกแดนอาทิตย์อุทัย ร่วมตัดริบบิ้นเปิดงาน ณ เอเทรี่ยม ๒ ชั้น ๑ สยามเซ็นเตอร์ เมื่อวันก่อน






ชฎาทิพ จูตระกูล เปิดเผยว่า ประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในมหานครแห่งแฟชั่นชั้นนำของโลก เจ้าของวัฒนธรรมสตรีทสไตล์สุดล้ำที่ขึ้นชื่อว่ามีความโดดเด่น ไร้กติกา สำหรับความคิดสร้างสรรค์ และแตกต่างไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังมีแหล่งแฟชั่นชื่อดังที่เหล่าแฟชั่นนิสต้าจากทั่วโลกต่างยกให้เป็นเดสทิเนชั่น อาทิ ฮาราจุกุ, โอยามา, โอเมโตะซันโดะ และโดเวอร์สตรีท ทั้งนี้ ในจังหวะที่ สยามเซ็นเตอร์ ปรับลุคใหม่ให้เป็นเมืองไอเดียล้ำเทรนด์ ตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นสถานที่จัดงาน โดยคัดสรรแบรนด์ดังจากฝีมือนักออกแบบชั้นนำ ซึ่งได้รับการการันตีว่าได้รับความนิยมจากแฟชั่นนิสต้าและนักออกแบบหน้าใหม่มาให้เหล่าคนรักแฟชั่น รวมทั้งสิ้น ๑o แบรนด์ แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ แบรนด์ไฮแฟชั่น คือ คริสเตียน ดาดา, ฟุกะฮัม, เอ็ทวะ วอนเนเก็ต, โจจิ โคจิมา, มาร์ค แอนด์ โลนา และ โรลคา ส่วน แบรนด์แฟชั่น แคชชวลแวร์ คือ โอลีฟ เด โอลีฟ, ไนซ์ โคลฟ, แกลด นิวส์, วิเฟลล์, มาเจสติก เลกอน, เอสเปรันซา, คัลเชอร์ มาร์ท และ บลองก์ เดอนัวร์


ด้าน อากิโกะ ชิโนดะ กล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่นเพียบพร้อมไปด้วยวัตถุดิบ ฝีมือที่ดี และดีไซเนอร์คุณภาพ เจแปน แฟชั่น วีค จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้ต่างประเทศได้รับรู้ถึงแบรนด์แฟชั่นของญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็ยังเป็นประตูให้แฟชั่นนิสต้าได้รู้จักเราด้วย ทั้งนี้ เจแปน แฟชั่น วีค จัดขึ้นครั้งแรกในปี ๒oo๘ และจัดแสดงปีละ ๒ ครั้งอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อผลักดันและส่งเสริมวงการอุตสาหกรรมแฟชั่นญี่ปุ่นให้ก้าวสู่ระดับนานาชาติต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดแสดงมาแล้วในมหานครแห่งแฟชั่นทั่วโลก อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา อิตาลี รัสเซีย อินเดีย จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และล่าสุดประเทศไทย






ขณะที่หนึ่งในนักออกแบบเลือดซามูไร มามิโกะ ฟุกุโยชิ เจ้าของแบรนด์บลองก์ เดอนัวร์ เปิดเผยแนวคิดของแบรนด์ตัวเองว่า เป็นโตเกียวป๊อป แฟชั่นฤดูร้อน สวมใส่สบาย ๆ กับกางเกงขาสั้น ใส่หมวกแก๊ป และรองเท้าส้นสูง ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ที่นิยมอยู่ในขณะนี้ โดยสื่อคาแรกเตอร์ของเสื้อผ้าผ่าน "กระต่ายโลภมาก" ชื่อ "คุโสะ มิมิจัง" ในอารมณ์ต่าง ๆ พร้อมกันนี้ยังได้กล่าวถึงเทรนด์แฟชั่นของไทยว่ามีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากและหากเทียบกันแฟชั่นญี่ปุ่นส่วนใหญ่เน้นความเป็นหญิงหวาน ๆ ต่างจากแฟชั่นไทยซึ่งเน้นความเซ็กซี่


ทั้งนี้ ภายในงานยังได้เชิญ "ตือ" สมบัษร ถิระสาโรช หนึ่งในกูรูประจำแวดวงแฟชั่นไทย ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความประทับใจเกี่ยวกับแฟชั่นแดนซามูไรด้วย โดยเจ้าตัวเผยว่า การแต่งตัวสไตล์ญี่ปุ่น เป็นการรวมเอาศิลปะเข้าไว้ด้วยกัน แต่ละคนจะแต่งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ วัยรุ่นในญี่ปุ่นถึงจะเดินมาด้วยกันทว่าแต่งตัวต่างกันคนละขั้ว แต่ก็เข้ากันได้อย่างสบาย งานครั้งนี้ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของสองประเทศผ่านศิลปะแฟชั่น ข้อดีของแฟชั่นญี่ปุ่นคือเป็นเจ้าของวัฒนธรรมสตรีทสไตล์อันดับหนึ่งของโลก คนที่สนใจด้านนี้จึงไม่ควรพลาดมาชม



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net





บล็อกนี้อยู่ในหมวดศิลปะค่ะ




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor




Create Date : 13 มีนาคม 2557
Last Update : 13 มีนาคม 2557 9:19:28 น. 0 comments
Counter : 3974 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.