happy memories
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2557
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
1 สิงหาคม 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๒๔




ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto








พระปรางค์สร้างใหม่ที่เห็นจากแม่น้ำ


"วัดปรางค์เหลือง ภูมิตำราเหยียบฉ่าสมัยรัชกาลที่ ๕”


จากแคมเปญ “หลงรักประเทศไทย” เพื่อเปิดให้มีการท่องเที่ยวภายในประเทศตามเส้นทางต่าง ๆ นั้น ทำให้การท่องเที่ยวประเทศไทยได้จัดคาราวานไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เป็นประจำตามวาระถึง ๖ ครั้งตามโครงการ อาทิตย์นี้ได้เดินทางไปตามรอยเสด็จประพาสต้นไปตามเส้นทางนครสวรรค์-อุทัยธานีกับ “เพื่อนธรรมชาติ” ไปที่วัดสำคัญริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ วัดนี้ชื่อ วัดพระปรางค์เหลืองเป็นวัดเก่าครั้งสมัยอยุธยาตอนปลาย (ประมาณพ.ศ.๒๓๐๕) ที่ชำรุดทรุดโทรมเหลือแต่โบราณสถานที่บูรณะใหม่กับซากเจดีย์เก่ากองพะเนินอยู่ริมแม่น้ำ เดิมจะชื่อวัด อะไรนั้นไม่มีหลักฐานแต่มาเรียกว่า วัดพระปรางค์เหลือง ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ขึ้นใหม่ และก็คงเป็นพระปรางค์สีเหลืองจนปรากฏชัดแก่ผู้เดินทางในแม่น้ำเจ้าพระยา





รัชกาลที่ ๕ ทรงชุดประพาสต้นเป็นช่างถ่ายรูป



ความสำคัญของวัดนี้ในสมัยอยุธยานั้นสืบค้นข้อมูลไม่ได้มาก แต่ด้วยที่เป็นวัดที่อยู่ใกล้บริเวณแหล่งโบราณสถานสมัยทวารวดี ๒ แห่งที่มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๕ คือเมืองบนหรือเมืองอู่บน และโบราณสถานที่บ้านโคกไม้เดน จึงมีความสำคัญในฐานะเป็นวัดของชุมชน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมี หินกังสดารและวัตถุอื่น ๆ มาไว้อยู่วัดนี้ ส่วนที่รู้จักกันจนกลายเป็นกิจกรรมสำคัญของวัดก็คือเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จฯทรงแวะเยี่ยมเจ้าอาวาสหรือผ่านวัดนี้ถึง ๓ คราวคือ ครั้งแรกเมื่อเสด็จฯตรวจราชการมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ. ๒๔๔๔ ครั้งเสด็จประพาสต้น พ.ศ. ๒๔๔๙ และครั้งเสด็จฯ สำรวจลำแม่น้ำมะขามเฒ่า พ.ศ. ๒๔๕๑ นั้นเรือได้หลงเข้าไปจนถึงวัดน้ำทรง จึงต้องกลับออกมาทางบางผี แล้วออกมาแม่น้ำใหญ่
ผ่านวัดแห่งนี้และล่องจอดเรือที่จอดพักที่วัดหัวหาดหรือหาดพิกุลงาม อำเภอมโนรมย์ เมืองชัยนาท หาใช่ออกทางแม่น้ำสะแกกรังไม่ ด้วยเหตุที่มีขบวนเรือล่วงหน้าไปรอที่แม่น้ำใหญ่แล้ว จึงได้แต่เล่าไว้เป็นข้อศึกษาว่า จากคลองบางหวายนั้นมีคลองแยก





ศาลาการเปรียญเก่า





เรือพระที่นั่งใช้เสด็จประพาสต้น



ออกมาทางบางผีทางหนึ่ง ที่แยกไปทางแควตากแดดที่ไหลออกไปต่อกับแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งมีโขดเขินอยู่เป็นห้วง ๆ และไม้รก จึงมีแต่เรือเป็ดกินน้ำตื้นออกไปขายข้าวทางแม่น้ำสะแกกรังเท่านั้น ไม่ได้ออกไปขายที่แม่น้ำใหญ่ แม่น้ำสะแกกรังในหน้าแล้งนั้นกลางน้ำลึกเพียง ๕-๖ วา เป็นดินเลนและมีจระเข้ชุกชุม หน้าน้ำจระเข้จึงเข้าป่าไป





พระครูเงิน วัดพระปรางค์เหลือง





รับเสด็จที่ ๕ ที่แพศาลาท่าน้ำ



ตั้งแต่สมัยอยุธยาพระเจ้าแผ่นดินได้เคยเสด็จทางน้ำผ่านหน้าวัดอยู่ก่อนแล้วหลายครั้ง หลังสุดในรัชกาลที่ ๔ นั้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๙ พระองค์เสด็จฯ ไปนมัสการพระพุทธชินราชพร้อมด้วยสามเณรเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากวัดเดิมสมัยอยุธยานั้นถูกน้ำเซาะตลิ่งพังลงและโบราณสถานของวัดก็พังลงไปในแม่น้ำ เหลืออยู่แต่ซากเจดีย์และศาลาหลังเล็ก ภายหลังได้มีการสร้างวัดขึ้นใหม่ถัดเข้าด้านใน พร้อมด้วยเสนาสนะต่าง ๆ สำหรับหลวงพ่อเงินหรือพระครูพยุหานุศาสน์ (เงิน) ผู้เป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะเมืองพยุหะคีรีนั้น เป็นพระเถระที่มีคุณวิเศษด้านน้ำพุทธมนต์ที่รู้จักกันว่า “น้ำมนต์มหาจินดา” ในครั้งนั้นพระเถระรูปนี้ได้ถวายการรดน้ำมนต์แด่พระองค์รัชกาลที่ ๕ ด้วย มีความปรากฏเล่าไว้ว่า “เดินดูกุฏิและโบสถ์ที่ทำใหม่ ไม่มีสาระอะไร กลับลงมาร้อนอาบน้ำเลยให้พระครูรดน้ำมนต์ อยู่ข้างจะเหวสบายมาก” คำว่าเหวนี้หมายถึง ปลื้มในใจ ในวาระนั้นเองพระองค์ได้พบพระหมอที่มีความรู้ด้านการ “เหยียบฉ่า” คือ การนวดด้วยการเอาเท้าที่เหยียบไฟร้อนลงบนผิวหนังที่ลูบด้วยน้ำมันมนต์ พระองค์ได้ทอดพระเนตรการเหยียบฉ่า





วิหารและพระปรางค์ที่สร้างใหม่





การเหยียบฉ่าต่อหน้าพระพักตร์รัชกาลที่ ๕



โดยทรงให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเป็นคนไข้ทดลองให้พระเหยียบให้ทรงถ่ายรูป เมื่อสิ้นการทดสอบก็เสด็จฯต่อไปยังเมืองพยุหะคีรีใช้เวลาชั่วโมงเศษ ด้วยต้องแล่นเรือทวนกระแสน้ำขึ้นไป สิ่งสำคัญในรัชกาลที่ ๕ ที่ปรากฏให้ชมคือศาลาท่าน้ำสำหรับเฝ้าฯ รับเสด็จ เมื่อคราวเสด็จฯ ตรวจราชการมณฑลฝ่ายเหนือที่ยังเหลือเสาไม้จำหลักลวดลายงดงามอยู่บางส่วน นอกนั้นก็เป็นเก๋งเรือสำหรับเจ้าคณะเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ สิ่งก่อสร้างมีกุฎี เจ้าอาวาส โบสถ์และศาลา สำหรับองค์พระปรางค์เหลืองนั้นได้สร้างขึ้นใหม่ในพระอุปถัมภ์ของรัชกาลที่ ๕ โดยยังมีเนินเจดีย์เก่าสมัยอยุธยาอยู่ และศาลาเล็กเก่าได้บูรณะใหม่ให้มีผนังเหมือนวิหารและนำใบเสมาจากที่อื่นมาไว้ให้ศึกษา วัดนี้ ถือเป็นต้นตำรับ “น้ำมนต์มหาจินดา” ที่พระครูเงินได้รดถวายพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ เมื่อคราวเสด็จประพาสต้นมาแล้วและเป็นต้นตำรับ “การเหยียบฉ่า” ที่ร่ำลือไปทั่วคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาทีเดียว





ศาลาท่าน้ำรับเสด็จกับพระปรางเหลือง





กุฎีพระครูเงินที่ยังคงอยู่ในปัจจุบัน



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com














"แรงบันดาลใจ ของผู้ที่เคยเป็นแรงบันดาลใจ”


ตลอดมา มีสาวสวยนับไม่ถ้วนเป็นแรงบันดาลใจให้นักดนตรีประพันธ์เพลงมอบให้พวกเธอ แต่ไม่มีใครอีกแล้ว ที่เป็นแรงบันดาลใจให้นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ หยิบอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อเธอมาบรรยายเป็นบทเพลงที่เข้าขั้นสุดยอดของบทเพลงทั้งมวลได้เท่า แพตตี้ บอยด์


เธอคือแรงบันดาลใจของสุดยอดนักดนตรีถึงสองคน คือ จอร์จ แฮริสัน ผู้เงียบขรึมแห่ง The Beatles และ อีริก แคลปตัน เทพเจ้ากีตาร์!


ตำนานของหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นแรงบันดาลใจคนนี้ เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ ๖o ตอนนั้น แพตตี้ บอยด์ คือนางแบบดาวรุ่งหน้าหวาน เธอโดดเด่นขนาดที่ได้ขึ้นปกนิตยสาร Vogue และถูกชักชวนมาแสดงหนังของ เดอะ บีทเทิลส์ เรื่อง A Hard Day's Night (1964) แพตตี้ ได้รับบทเล็ก ๆ ที่มีบทพูดแค่คำเดียว แต่ความสวยของเธอไปเข้าตามือกีตาร์ของสี่เต่าทองเข้าอย่างจัง เขาชวนเธอออกเดท แต่ แพตตี้ ปฏิเสธ เพราะตอนนั้นเธอกำลังเริ่มคบกับช่างภาพหนุ่มคนหนึ่ง จนเมื่อเพื่อนสาวของเธอทักว่า “นั่นมัน จอร์จ แฮริสัน นะ” เธอจึงได้คิด


แพตตี้ บอกเลิกกับแฟน แล้วเริ่มออกเดทกับ จอร์จ แล้วมันก็คือบทเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ของนางแบบสาวสวยกับมือกีตาร์หนุ่มหล่อของวงดนตรีที่ดังที่สุดในโลก เขาและเธอกลายเป็นคู่ขวัญของสื่อมวลชน






จอร์จ แต่งเพลงให้เธอหลายเพลง แต่ที่โด่งดังที่สุดก็คือ Something จากอัลบั้ม Abbey Road (1969)


“บางสิ่งในท่วงท่าของเธอ ดึงดูดฉันยิ่งกว่าคนรักคนไหน ๆ...”


เนื้อเพลงเปิดเปลือยหัวใจของชายหนุ่มในห้วงรัก เสียงกีตาร์บาดลึกเว้าวอน ท่วงทำนองหวานเศร้า ทำให้เพลงนี้โด่งดังขนาดที่ขึ้นไปถึงอันดับ ๑ ในอเมริกา ที่สำคัญคือมันเป็นเพลงแรกที่ จอร์จ สามารถทำให้ จอห์น เลนนอน และพอล แม็คคาร์ทนีย์ ยอมรับในฝีมือการแต่งเพลงของเขา


ชีวิตแต่งงานของ จอร์จ และแพตตี้ มีความสุขอยู่ไม่นาน ก็มีปัญหาในแบบร็อกสตาร์ทั้งเรื่องยาเสพติด การนอกใจของจอร์จ และความวุ่นวายของชีวิตในแสงไฟ ทำให้ทั้งคู่เริ่มมีปัญหา และปัญหากก็ยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อ อีริก แคลปตัน เข้ามาสนิทสนมกับ จอร์จ


ดูเหมือนว่า แคลปตัน จะตกหลุมรัก แพตตี้ ซึ่งเป็นภรรยาของเพื่อนสนิทตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ได้เจอกัน เขาใช้เวลาอยู่กับเธอมากกว่าสามีที่กำลังห่างเหิน แพตตี้ เคยให้สัมภาษณ์ว่า เหตุผลที่เธอก็ยอมมาคลุกคลีอยู่กับแคลปตัน ในช่วงนั้นก็เพราะเขาเป็นคนเดียวที่เฝ้าพร่ำบอกว่าเธอสวยขนาดไหน ...ดูเหมือนว่าการเป็น "ภรรยาของ เดอะ บีทเทิลส์" จะทำให้เธอหมดความมั่นใจในตัวเองเพราะถูกรัศมีของสามีบดบังเสียมิด






แคลปตัน ยังเฝ้ารบเร้าขอโอกาสจากแพตตี้อยู่เสมอ สิ่งหนึ่งสุดยอดนักกีตาร์บลูส์แห่งยุคคนนี้ทำเพื่อรักก็คือการแต่งเพลงชื่อ Layla เพื่อแสดงความอัดอั้นจากความรักที่ไม่ได้รับการตอบรับ แล้วชวนเธอมานั่งฟัง


Layla ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้ม Layla and Other Assorted Love Songs (1970) ของวงเฉพาะกิจของ แคลปตัน ชื่อ Derek and the Dominos มันเป็นเพลงที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งของวงการดนตรีร็อก เปี่ยมพลัง กีตาร์ดุดัน เนื้อร้องบีบหัวใจ และแถมด้วยท่อนท้ายเพลงที่มีเปียโนสุดไพเราะเป็นสีสัน


แต่แม้บทเพลงจะยอดเยี่ยมเพียงใด แพตตี้ ก็ยังปฏิเสธรักของแคลปตัน ...นั่นทำให้มือกีตาร์เทพเสียผู้เสียคนเพราะหันไปใช้ยาเสพติดอย่างหนักเพื่อบรรเทาอาการหัวใจสลายอยู่อีกพักใหญ่ จนหลังจากนั้นไม่นาน แพตตี้ ก็จับได้ว่า จอร์จ นอกใจเธอ แล้วชีวิตแต่งงานของอดีตนางแบบกับเต่าทองผู้เงียบขรึมก็จบลงในปี ๑๙๗๔ เธอตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ อีริก แคลปตัน ก่อนจะแต่งงานกับเขาในที่สุด


ในช่วงที่อยู่ด้วยกัน แคลปตัน ยังแต่งบทเพลงอมตะอีกเพลงให้แพตตี้ เพลงเพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดของเขา นั่นก็คือ Wonderful Tonight จากอัลบั้ม Slowhand เมื่อปี ๑๙๗๗






เนื้อเพลงเพลงนี้เล่าเรื่องของคู่รักที่กำลังจะออกไปงานปาร์ตี้ โซโลกีตาร์เพราะขาดใจ จังหวะเนิบช้ารองรับท่วงทำนองอันไพเราะ และเสียงร้องจริงใจของ แคลปตัน ทำให้เพลงนี้มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ


แต่ชีวิตรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้อยู่ยืนยง ปัญหาเดิม ๆ ในชีวิตคนดัง ทั้งยาเสพติด เวลาที่ไม่มีให้กัน ไปจนถึงการนอกใจ ทุกอย่างวนเวียนกลับมาอีกครั้ง


ปี ๑๙๘๓ แพตตี้ บอยด์ ก็ตัดสินใจทิ้ง อีริก แคลปตัน


ในวัยย่างสี่สิบ แพตตี้ ต้องใช้เวลาไม่น้อยเพื่อรักษาใจจากชีวิตรักอันไม่สมหวัง แต่ที่ยากกว่านั้น เธอยังต้องพยายามกลับไปค้นหาที่อยู่ที่ยืนและแรงบันดาลใจของตัวเองเพราะอยู่ภายใต้เงาของสามีมาเนิ่นนาน


ใช้เวลาหลายปี กว่าที่เธอจะกลับมาหาสาธารณชนพร้อมกับ "บางสิ่ง" ที่ "น่าอัศจรรย์"


ในปี ๒oo๕ แพตตี้ บอยด์ จัดนิทรรศการภาพถ่ายของตัวเอง เธอตั้งชื่องานว่า Through the Eye of a Muse - จากสายตาของผู้เป็นแรงบันดาลใจ - มันเป็นการแสดงภาพที่เธอถ่าย จอร์จ แฮริสัน และ อีริก แคลปตัน ในวันเวลาและอิริยาบถต่าง ๆ รวมไปถึงคนดัง ๆ ที่เธอได้พบเจอในวันเวลาที่อยู่ในแสงสีนั่นด้วย


จากสาวน้อยที่อยู่หน้ากล้อง กลายมาเป็นคนที่ชื่นชอบถ่ายภาพ และในที่สุดภาพถ่ายก็ทำให้ใคร ๆ ได้มองเรื่องราวที่เธอพานพบผ่านสายตาของเธอ ในวันนี้นิทรรศการภาพถ่ายของเธอถูกตระเวนจัดแสดงมาแล้วในหลายประเทศ และในที่สุด นอกจากจะเป็นหญิงสาวเจ้าของตำนานรักสามเส้าแห่งวงการร็อกแล้ว...


วันนี้ สื่อมวลชนบางคนยังเรียกเธอว่า "ช่างภาพ" อีกด้วย



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














"ศูยน์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย ครบรอบ ๑ ปี”


มร.ชอน เจมัน ออท.สาธารณรัฐเกาหลี พร้อมด้วย วศิน ธีรเวชญาณ, ดร.ผุสดี ตามไท รองผู้ว่าฯกทม., วาริน พูนศิริวงศ์ ผู้บริหาร หนังสือพิมพ์แนวหน้า และ ไกรรวี ศิริกุล รองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมแสดงความยินดี






ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย จัดงานครบรอบ ๑ ปี โดยมี มร.ชอน เจมัน เอกอัครราชทูตเกาหลีประจำประเทศไทย ให้เกียรติเป็นประธานในงาน กิจกรรมในครั้งนี้ยังมีนิทรรศการแสดงศิลปะและวัฒนธรรมที่ช่วยส่งเสริมไทยเกาหลี โดยศิลปินเกาหลี ยองฮี คิม และศิลปินไทย คงศักดิ์ กุลกลางดอน ผลงานของทั้งสองเป็นวัสดุเก่าเหลือใช้ในชีวิตประจำวัน นำมาสร้างสรรค์ทำให้เกิดชิ้นงานใหม่ โดยผลงานของยองฮี คิม มักเป็นเศษไม้และเศษผ้าเก่า ๆ นำมาจัดวางในรูปแบบใหม่เป็นศิลปะอันสวยงาม ส่วนศิลปินไทย คงศักดิ์ ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะใหม่จากวัสดุเหลือใช้ อาทิ กระดาษหนังสือพิมพ์, แผ่นเหล็กเก่าและอื่น ๆ นำมาจัดแสดง ณ ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี สุขุมวิท ๑๕ เมื่อค่ำวันที่ ๔ กรกฏาคม ๒๕๕๗






บรรยากาศภายในงานมีคณะทูตานุทูต แขกวีไอพีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ มร.คอร์เค เอดูอาร์โด เชน ชาร์เปนเตียร์ เอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำประเทศไทย, MR.ANDELFO GARCIA เอกอัครราชทูตโคลัมเบีย ประจำประเทศไทย, ดร.ผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร,วาริน พูนศิริวงศ์ ผู้บริหาร หนังสือพิมพ์แนวหน้า ร่วมแสดงความยินดี งานนี้นอกจากจะมีนิทรรศการศิลปะแล้ว ยังมีการแสดงการร้องเพลงอวยพรของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรอีกด้วย โดยนิทรรศการของทั้งสองศิลปินจัดแสดงตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ เข้าชมฟรี ณ ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี สุขุมวิท ๑๕















ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
naewna gallery














A Chant of Seasons "บทเพลงสี่ฤดู"


ลู่ จุน ศิลปินชาวจีนผู้มีชื่อเสียงจากการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัยได้กลับมาร่วมงานกับ ละลานตา ไฟน์อาร์ต อีกเป็นปีที่ ๓ ในนิทรรศการ “A Chant of Seasons” ซึ่งเป็นการแสดงผลงานชุดใหม่ที่ ยังคงแสดงให้เห็นความสามารถของ ลู่ จุน ในการบันทึกภาพน้ำหมึกที่พริ้วไหวในน้ำ ได้อย่างงดงาม


















ลู่ จุน เป็นศิลปินภาพถ่ายระดับแนวหน้าของจีน โดยได้รับรางวัลชนะเลิศ จาก ฟลอเรนซ์ เบียนนาเล่ ในปี ๒๕๕๒ ในสาขาการถ่ายภาพยอดเยี่ยมและในปี ๒๕๕๖ ได้รับรางวัลที่สามจาก ฟลอเรนซ์ เบียนนาเล่ ในสาขา ประติมากรรม โดยทำงานร่วมกับศิลปินอีกท่านหนึ่งด้วยการนำเทคนิคน้ำหมึกพริ้วไหวมาสร้างสรรค์ เป็นงาน สามมิติ ด้วยความสามารถอันโดดเด่นนี้เอง ทำให้ชื่อของ “ลู่ จุน” เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยได้รับการกล่าวถึงในนิตยสารด้านศิลปะระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น นิตยสาร Art Manager นิตยสาร Chinese Photography นิตยสาร Art Gallery และ Britain’s Genius List of 100 Top International Artists.


















ผลงานของ “ลู่ จุน” เป็นศิลปะจีนร่วมสมัยด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาสร้างสรรค์ผลภาพทิวทัศน์แบบโบราณ “ลู่ จุน” เรียกการถ่ายภาพของเขาว่าเป็น “ดิจิตอล อิงค์ แอน วอช” เริ่มจากที่ต้องใช้ความอดทน ในการสังเกตความเคลื่อนไหว ท่วงท่าของน้ำหมึกเมื่ออยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการจม การลอย การไหล ความไหว ซึ่งสามารถเปลี่ยนไปได้หลากหลายตามธรรมชาติของน้ำที่ไม่สามารถบังคับได้ “ลู่ จุน” ถ่ายภาพน้ำหมึกใน อิริยาบถต่าง ๆ จากนั้น จึงนำภาพทั้งหมดมาสร้างใหม่ โดยประกอบกันในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างให้เป็นรูป ทิวทัศน์ หรือ ภาพกึ่งนามธรรม โดยให้ภาพของน้ำหมึกเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราว ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่น่าสนใจว่า “น้ำหมึก” จึงเป็นทั้งเนื้อหาและอุปกรณ์ในการสร้างงานของ “ลู่ จุน”


















นิทรรศการ A Chant of Seasons จะจัดแสดงที่ละลานตา ไฟน์อาร์ต ตั้งแต่วันที่ ๑๖ สิงหาคม จนถึงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๗


ละลานตา ไฟน์อาร์ต ตั้งอยู่ที่ ๒๔๕/๑๔ ถ. สุขุมวิทซอย ๓๑ คลองตันเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ ๑o๑๑o โทร o๒-๒o๔-o๕๘๓, o๒-๒๖o-๕๓๘๑ แฟกซ์ o๒-๒o๔-o๕๘๒ อีเมลล์ fon@lalanta.com เวลาทำการ วันอังคารถึงวันเสาร์ เวลา ๑o.oo น. ถึง ๑๙.oo น.



ภาพและข้อมูลจากเวบ
portfolios.net
lalanta.com












The Cloak Room, Clifton Assembly Rooms



"Rolinda Sharples ใน Bristol Museum and Art Gallery”


ผลงานของศิลปินในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง ใน Bristol Museum and Art Gallery ก็คือ Rolinda Sharples จิตรกรชาวอังกฤษผู้เชี่ยวชาญด้านภาพเหมือน เธอเกิดในครอบครัวศิลปินโดยทั้ง James Sharples และ Ellen Sharples แม่ของเธอ รวมทั้งพี่น้องอีกสามคนล้วนเป็นศิลปิน ครอบครัวของเธอย้ายไปอยู่สหรัฐฯ ตั้งแต่เธอยังเป็นทารก มารดาของเธอซึ่งเป็นจิตรกรในการวาดภาพขนาดเล็กก็ส่งเสริมให้เธอเข้าสู่ธุรกิจของครอบครัวตั้งแต่เธออายุได้เพียง ๑๓ ปีด้วยการให้เธอเขียนภาเหมือนของบุคคลสำคัญ หลังจากบิดาของเธอเสียชีวิตที่นิวยอร์คในปี ๑๘๑๑ เธอและครอบครัวก็ย้ายกลับไป Bristol และเริ่มสร้างสรรค์ผลงานตามแบบอย่างของตัวเองด้วยการวาดภาพเหมือนสีน้ำมัน และภาพที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ปัจจุบัน





The Stoppage of the Bank



ภาพเขียนของเธอที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่มีรายละเอียดของผู้คนที่ถูกต้องตามประวัติศาสตร์ที่สุดในยุคนั้น นั่นคือ ภาพ The Cloak Room, Clifton Assembly Rooms ซึ่งกลายเป็นภาพที่ถูกนำมาใช้ในหนังสือหลายเล่ม เช่น A Portrait of Jane Austen โดย David Cecil, Jane Austen's World โดย Maggie Lane และ High Society โดย Venetia Murray แม้ภาพ Clifton Assembly Rooms ที่มีบรรยากาศของการเตรียมตัวเข้าสู่งานเลี้ยงโดยมีเด็กรับใช้คอยเปลี่ยนรองเท้าให้กับนายหญิงก่อนเข้างาน บางคนก็เพิ่งเข้ามาในห้อง บางคนก็กำลังหยอกล้อเย้าแหย่กันราวกับเด็ก ๆ นี้จะเป็นผลงานชิ้นแรกที่ศิลปินวาดผู้คนในท่าทางที่หลากหลาย แต่มันกลับทำให้เธอประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ส่วนการที่ภาพนี้ถูกนำมาใช้ในหนังสือบ่อยครั้งส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะภาพแนว Georgian ที่มีการเต้นรำนี้หลงเหลืออยู่ในยุคปัจจุบันจำนวนไม่มากด้วย





The Stoppage of the Bank



The Stoppage of the Bank เป็นภาพ Group Portrait อีกภาพหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับศิลปิน หลังจากที่ตลาดหุ้นล่มสลายในปี ๑๘๒๕ ธนาคารหลายแห่งก็ปิดตัวลง ศิลปินเลือกเขียนภาพนี้เพราะเธอสามารถที่จะเขียนถึงสีหน้าท่าทางของผู้คนได้อย่างหลากหลาย เมื่อชาวบ้านต่างเร่งรีบไปยังธนาคารเพื่อถอนเงิน ผู้ชมจะเห็นว่าศิลปินสามารถเขียนสีหน้าท่าทางของผู้คนที่กำลังกลัดกลุ้ม วิตกกังวล ตื่นตระหนก เคร่งเครียดและสิ้นหวังได้อย่างสมจริงราวกับภาพถ่ายเลยทีเดียว





The Stoppage of the Bank



นอกจากภาพผู้คนเป็นกลุ่มแล้ว Sharples ยังนิยมวาดภาพเหมือนและภาพคู่ด้วย เช่น The Village Gossips ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ นั้นการดื่มชากำลังเป็นวัฒนธรรมใหม่ของชาวอังกฤษ อุปกรณ์การดื่มชาของเพื่อนบ้านสูงวัยสองคนนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่เห็นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นกาต้มชาจากทองแดงที่วางอยู่บนเตาถ่าน รวมทั้งกาชาและชุดน้ำชากระเบื้อง แยมและขนมปัง ศิลปินเขียนให้หญิงสูงวัยทั้งสองกำลังสนทนากันอย่างออกรสชาติจนลืมสังเกตไปว่ามีคนแอบฟังอยู่





The Village Gossips



ยิ่งกว่านั้นศิลปินยังชอบวาดภาพของเธอและมารดาด้วย The Artist and her Mother แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของมารดาและความสัมพันธ์ที่ชิดใกล้ระหว่างทั้งสองได้เป็นอย่างดี Portrait of the Artist ภาพเหมือนตัวเองที่ศิลปินเขียนในปี ๑๘๑๔ นี้เป็นภาพที่สะท้อนความเป็นอัจฉริยภาพของศิลปินได้อย่างเด่นชัด สังเกตได้จากแววตาที่ดูมีชีวิตชีวา ดอกไม้ที่ประดับบนศีรษะ รายละเอียดของแขนเสื้อ และผ้าพันคอ





Portrait of the Artist





The Artist and her Mother



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com














"Dare to Dream" เรื่องราวชีวิต สนูปปี้


ศิลปะกำเนิดขึ้นมาจากชีวิต และชีวิตก็เจิดจรัสได้ด้วยความฝัน! นับตั้งแต่ที่ได้มีการเปิดตัวการ์ตูน "พีนัทส์" (Peanuts) ในสหรัฐอเมริกาไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ตัวการ์ตูนหลักอย่าง สนูปปี้ (Snoopy) ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ "ความฝันที่เป็นจริง"


ศูนย์การค้าฮาร์เบอร์ ซิตี้ (Harbour City) ภูมิใจนำเสนอ "Dare to Dream" นิทรรศการศิลปะ และเรื่องราวชีวิตของสนูปปี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม – ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๗ โดยภายในงานจะมีการจัดแสดงหุ่นสนูปปี้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีความสูงถึง ๓.๓ เมตร และผลงานศิลปะรูปสนูปปี้ในแบบฉบับงานศิลป์ดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดของญี่ปุ่นโดยศิลปินชาวญี่ปุ่นอย่าง โยชิเตรุ โอตานิ (Yoshiteru Otani) และช่างศิลป์ระดับปรมาจารย์ของญี่ปุ่นอีกมากมาย


ก่อนหน้านี้ โยชิเตรุ โอตานิ เคยร่วมงานกับชาร์ลส์ เอ็ม ชูลซ์(Charles M. Schulz) ผู้สร้างการ์ตูนพีนัทส์มาแล้วหลายครั้ง และพิพิธภัณฑ์ชาร์ลส์ เอ็ม ชูลซ์ ยังได้จัดแสดงผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์โดยโยชิเตรุ ไว้ถึง ๒ ชิ้น นอกจากนี้ โยชิเตรุ โอตานิ ยังจัดแสดงศิลปะการวาดพู่กันเป็นรูปสนูปปี้พร้อมตัวอักษรคำว่า "Hong Kong" ซึ่งมีขนาด ๔x๒ เมตร และภาพอักษรคำว่า "Dream" ขนาด ๒x๒ เมตร ณ ลานกิจกรรมที่ ๒ ของเกตเวย์ อาร์เคด ฮาร์เบอร์ ซิตี้ เมื่อวันที่ ๑๖-๑๗ กรกฎาคมที่ผ่านมา






ในนามของทุก ๆ คนที่ พิพิธภัณฑ์ชาร์ลส์ เอ็ม ชูลซ์ บริษัท ครีเอทีฟ แอสโซซิเอเทส แอนด์ พีนัทส์ เวิลด์ไวด์ (Creative Associates and Peanuts Worldwide) นางฌอง ชูลซ์ (Jean Schulz) ภรรยาของนายชาลส์ เอ็ม ชูลซ์ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับการยกย่องและให้เกียรติเป็นพิเศษแก่การ์ตูนพีนัทส์ของศูนย์การค้าฮาร์เบอร์ ซิตี้ นิทรรศการครั้งนี้มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ท่ามกลางงานที่เธอเคยพบเห็นมาทั่วโลก หรือแม้แต่งานที่เคยจัดขึ้นที่ซานตา โรซ่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอประทับใจกับการจัดแสดงที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เธอรู้ว่าสามีของเธอ ซึ่งมีชื่อเล่นว่าสปาร์คกี้ (Sparky) จะมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้เห็นตัวการ์ตูนที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาสร้างความสุขให้แก่ผู้คน และเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นนิทรรศการที่จัดขึ้นทั่วโลกมาจัดที่ฮ่องกง เธอหวังว่าทุกคนจะมีความสุขไปกับนิทรรศการสุดอลังการนี้


การแสดงผลงานศิลปะขนาดใหญ่ "Dreams Never Fail" -- Snoopy's Time Track


ลานกิจกรรม Ocean Terminal Forecourt ในห้างสรรพสินค้าฮาร์เบอร์ ซิตี้ จะมีการจัดแสดงผลงานศิลปะขนาดใหญ่ "Dreams Never Fail" Snoopy's Time Track Giant Art Installation ซึ่งสร้างสรรค์โดยโยชิเตรุ โอตานิ หุ่นสนูปปี้ใน ๔ อิริยาบถ พร้อมแบ็คกราวด์กราฟฟิกขนาดยักษ์ที่สามารถเคลื่อนตัวจากทางเข้าหลักของโอเชียน เทอร์มินอล ในห้างฮาร์เบอร์ ซิตี้ ไปยังเสาธงทั้ง ๕ ต้น เพื่อแสดงให้เป็นนัยว่า สนูปปี้กำลังเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกตั้งแต่สหรัฐอเมริกาไปสู่ญี่ปุ่นจนมาถึงฮ่องกง ซึ่งเป็นการสื่อความหมายว่าศิลปะไม่มีพรมแดน นอกจากนี้ยังมี หุ่นสนูปปี้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งสูงถึง ๓.๓ เมตร มาร่วมเป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณแห่งการริเริ่มความฝัน สื่อให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการก้าวไปข้างหน้า เพื่อทำความฝันให้เป็นจริง


"Create Your Dreams"—นิทรรศการสิ่งประดิษฐ์ และอักษรภาพแบบญี่ปุ่นในธีมงานสนูปปี้


ในขณะเดียวกัน "Gallery by the Harbour" ณ ฮาร์เบอร์ ซิตี้ ได้จัดงาน "Create Your Dreams" นิทรรศการภาพลายเส้นพู่กันและงานฝีมือแบบญี่ปุ่นในธีมสนูปปี้ขึ้นด้วยเช่นกัน โยชิเตรุ โอตานิ ศิลปินชาวญี่ปุ่นผู้มีชื่อเสียง ได้บรรจงสร้างสรรค์ภาพสนูปปี้ด้วยการวาดแบบใช้พู่กัน ขณะที่ช่างศิลป์ชาวญี่ปุ่นระดับปรมาจารย์คนอื่นๆได้นำเสนอศิลปะในแบบดั้งเดิมที่มีความโดดเด่นมากที่สุดของญี่ปุ่น อาทิ เครื่องปั้นดินเผาประจำจังหวัดมิโนะ (Mino pottery) และเทคนิคการเคลือบเงาไม้แบบวาจิมะ (Wajima) บนหุ่นรูปปั้นสนูปปี้


ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการจัดแสดงผลงานสะสมส่วนตัวของนางฌอง ชูลซ์ อาทิ งานแกะสลักชุด Hida Ichii Itto-bori: Dragon and SNOOPY มาจัดแสดงในงานนี้อีกด้วย ผลงานศิลปะที่มีความสวยงามโดดเด่นแต่ละชิ้นสร้างสรรค์ขึ้นโดยใช้วิธีการแบบดั้งเดิมที่แตกต่างกัน เพื่อสื่อถึงบุคลิกที่น่ารักของสนูปปี้ได้อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานศิลปะตะวันตก และตะวันออกได้อย่างลงตัว






"Small House, Big World " ศิลปะบ้านสุนัขของสนูปปี้ในแบบต่างๆ


ในการ์ตูนชุดพีนัทส์นั้น สนูปปี้ ชอบสร้างสรรค์ ฝันกลางวัน และตกอยู่ในภวังค์ของโลกแห่งจินตนาการที่ไม่สิ้นสุดอยู่บนหลังคาบ้านสุนัขของตัวเอง บริเวณทางเดินของเกตเวย์ อาร์เคด ที่ฮาร์เบอร์ ซิตี้ จะถูกแปลงโฉมให้เป็น "Small House, Big World" ศิลปะบ้านสุนัขของสนูปปี้ในแบบต่างๆซึ่งจัดแสดงบ้านสุนัข ๑o แบบที่ออกแบบโดยบรรดาเซลิบริตี้ และศิลปินจากหลายสัญชาติ และสาขาวิชาชีพ สื่อถึงความทรงจำ และความฝันในวัยเด็กของตนเองภายใต้ธีมเรื่องความฝัน โดยมีการใช้ศิลปะหลากหลายแขนงตามวัฒนธรรมของแต่ละคนภายในบ้านสุนัขขนาด ๑.๘ เมตร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นครั้งแรกที่ ชูลซ์


สตูดิโอ ออฟ ชาร์ลส์ ชูลซ์ (Schulz Studio of Charles Schulz) ผู้สร้างสรรค์การ์ตูนพีนัทส์ ได้มีโอกาสออกแบบ และจัดแสดงบ้านสุนัขในต่างประเทศอีกด้วย ดีไซเนอร์รายอื่นๆ ได้แก่ ศิลปินสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง โยชิเตรุ โอตานิ, เอียน รัช เอ็มบีอี (Ian Rush MBE) นักเตะสังกัดสโมสรลิเวอร์พูล และฟิลิป คอลเบิร์ต (Philip Colbert) ดีไซเนอร์แฟชั่นชาวอังกฤษ รวมถึงศิลปินฮ่องกง อย่างพัค ซึง ฉวน (Pak Sheung Chuen) และลูกๆของเขา, "ผู้เชี่ยวชาญการใช้คำศัพท์แสลง" So Real Real และผู้มีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพอย่าง เคนนี่ ลัว คิน จิ (Kenny Lau Kin Gi) การจัดแสดงผลงานศิลปะในครั้งนี้จะช่วยให้เราทลายข้อจำกัดแห่งความเป็นจริง เพื่อเผชิญหน้ากับโลกอันกว้างใหญ่ของเรา มาเริ่มต้นการเดินทางในดินแดนแห่ง "ความฝัน" กันเถอะ






"Dream Memorial" – ป๊อปอัพ สโตร์ สำหรับจำหน่ายผลิตภัณฑ์สนูปปี้ที่ผลิตในญี่ปุ่น


"Dream Memorial" – ป๊อปอัพ สโตร์สำหรับจำหน่ายผลิตภัณฑ์สนูปปี้ที่ผลิตในญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกในฮ่องกง จะจัดขึ้นที่ลานกิจกรรม ๑ ของเกตเวย์ อาร์เคด ห้างสรรพสินค้าฮาร์เบอร์ ซิตี้ โดยภายในงานจะมีผลิตภัณฑ์สนูปปี้รุ่นพิเศษที่ผลิตในญี่ปุ่นและวางจำหน่ายในฮ่องกงเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันไปจนถึงเครื่องประดับต่าง ๆ ซึ่งสินค้าทุกชิ้นผสมผสานงานฝีมือแบบดั้งเดิมชั้นเลิศของญี่ปุ่น อาทิ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารชุด Mino-yaki และ Wajima-nuri, เครื่องใช้ภายในบ้าน และเครื่องประดับตกแต่ง รวมถึงผ้าเช็ดหน้า Kaga Yuzen ซึ่งแสดงถึงความพยายามสร้างสรรค์งานฝีมือชิ้นเยี่ยมที่ไม่มีที่สิ้นสุด และปัจจุบัน คุณสามารถสะสมงานศิลปะสนูปปี้ไว้ที่บ้านของคุณเองได้แล้ว


นอกจากนี้ยังมีเคาน์เตอร์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านศิลปะ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสนูปปี้ อาทิ ของเล่นสนูปปี้, กระเป๋าถือ, เป้ สิ่งประดิษฐ์ขนาดเล็ก คุกกี้ และช็อกโกแลตอีกด้วย


Snoopy Artland


ลานโอเชียน เทอร์มินอล ของห้างฮาร์เบอร์ ซิตี้ จะถูกแปลงโฉมเป็นดินแดนศิลปะ Snoopy Artland ที่จะนำเด็ก ๆ เข้าสู่โลกแห่งความฝันของสนูปปี้ โดยที่ลานกิจกรรมแห่งนี้จะตกแต่งด้วยโทนสีสันสวยงามอย่างสีฟ้า และชมพูอ่อน พร้อมบ้านสุนัขสนูปปี้ขนาดความสูง ๑๒ ฟุต ซึ่งเด็ก ๆ จะสามารถลื่นไถลจากบ้านสุนัขลงมายังสนามเด็กเล่นได้ พื้นที่รอบๆงานจะประดับประดาไปด้วยกลิ่นอายแห่งฤดูร้อน อาทิ สนูปปี้ที่กำลังเอร็ดอร่อยไปกับไอศครีม, ไอศครีมแท่ง และคัพเค้ก ซึ่งช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดี






"Dare to Dream" กิจกรรม และการจำหน่ายสินค้าการกุศล


เด็ก ๆ แต่ละคนมีความฝันเป็นของตัวเอง ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถไล่ตามความฝันนั้นได้ ฮาร์เบอร์ ซิตี้ จะจัดจำหน่ายโปสการ์ดสนูปปี้รุ่นพิเศษเพื่อการกุศล รวมถึงกิจกรรมการกุศลอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งรายได้ทั้งหมดจะบริจาคให้แก่องค์กร UNICEF เพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ขาดแคลนจากทั่วโลกได้มีโอกาสได้เดินตามความฝันของตนเอง


๑. การจำหน่ายโปสการ์ดสนูปปี้เพื่อการกุศล: ฮาร์เบอร์ ซิตี้ ได้เชิญศิลปินโยชิเตรุ โอตานิ ร่วมออกแบบโปสการ์ดลายอักษรจากพู่กันเพื่อนำเสนอนิทรรศการสนูปปี้ในฮ่องกงเป็นพิเศษ โดยลายพู่กันดังกล่าวจะปรากฎเป็นสีทอง ราคาใบละ ๑o ดอลลาร์ฮ่องกง โดยรายได้เพื่อการกุศลทั้งหมด


๒. Snoopy Meet & Greet: การจัดนิทรรศการในช่วงสุดสัปดาห์นั้น ฮาร์เบอร์ ซิตี้ จะเชิญสนูปปี้มาร่วมพบปะกับทุกคน ณ บริเวณโอเชียนเทอร์มินอล โดยผู้ที่ร่วมบริจาคเพื่อการกุศลทุกคนจะได้ถ่ายรูปร่วมกับสนูปปี้ และยังสามารถกอดสนูปปี้ได้อีกด้วย


ศิลปะกาแฟสนูปปี้เพื่อการกุศล


ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กรกฎาคม – ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๗ บรรดาร้านอาหารที่ฮาร์เบอร์ ซิตี้ ที่ร่วมงานการกุศล "Dare to Dream" จะนำเสนอผลงานศิลปะผ่านกาแฟภายใต้ธีมของนิทรรศการศิลปะ และเรื่องราวชีวิตของสนูปปี้ เพื่อให้ทุกคนได้พึงพอใจไปกับประสบการณ์พิเศษจากอาหาร ศิลปะผ่านกาแฟธีมสนูปปี้นี้ จะจำหน่ายในราคาการกุศล โดยส่วนหนึ่งของรายได้จะบริจาคให้แก่องค์กร "UNICEF" ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าที่มีส่วนร่วมในการกุศลครั้งนี้ สามารถเข้าร่วมกิจกรรม "Charity Snoopy Coffee Art Workshop" เพื่อสร้างสรรค์ศิลปะผ่านกาแฟธีมสนูปปี้ ซึ่งจัดขึ้นโดยร้าน illy Caffe ได้อีกด้วย


ร้านอาหารที่เข้าร่วมงาน: add@Prince , Bubbles Bar, Cafe Marco, Caffe Greco, illy Caffe, Marco Polo Hongkong Hotel -- Lobby Lounge, Prince Hotel -- Lobby Lounge, niji bistro, The Coffee Academics & Three On Canton



ภาพและข้อมูลจากเวบ
boldbiz.net
bangkokbiznews.com














“เล็ง 2 : with or without live (view)”


“กล้อง” คืออุปกรณ์ทรงอานุภาพที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๑ “เล็ง” คือปฏิกิริยาการจ้องมองภาพของผู้ถ่ายก่อนลั่นชัตเตอร์บันทึกภาพ และปรากฏเป็นผลงานภาพถ่ายที่สื่อสารเรื่องราวนานัปการต่อตัวผู้ชม นำมาสู่งานนิทรรศการจัดแสดงภาพถ่ายภายใต้ชื่องาน “เล็ง 2 ” : with or without live (view) โครงการจัดงานศิลปะภาพถ่ายที่จัดขึ้นต่อเนื่องจากงานครั้งแรก ณ หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา


ความพิเศษของนิทรรศการเล็งครั้งใหม่ คือการผนวกเอาผลงานภาพถ่ายฟิล์มและภาพถ่ายดิจิตอลเอาไว้ด้วยกัน เพื่อสะท้อนเรื่องราวที่ผู้ถ่ายสื่อสารต่อตัวผู้ชมผลงาน เพราะไม่ว่าจะเป็นกล้องรูปแบบใดท้ายที่สุดคุณค่าที่แท้จริงก็คือเรื่องราวที่ผู้ถ่ายต้องการเล็งภาพที่ตาเห็นผ่านกล้องออกมาเป็นภาพถ่ายแต่ละใบ จากผลงานการถ่ายภาพของศิลปิน (เล็งเกอร์) รุ่นใหม่ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นทั้งหมด ๒๒ คน และเล็งเกอร์จากจังหวัดราชบุรี ๔ คน และศิลปินรับเชิญสุดพิเศษ ๒ ท่าน บนพื้นที่ศิลปะแห่งใหม่ใจกลางจังหวัดราชบุรี ณ ส่วนจัดแสดงงาน ๓ แห่ง ได้แก่ หอศิลป์ร่วมสมัยดีคุ้น โรงงานเถ้าฮงไถ่ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดราชบุรี พบกับมุมมองการถ่ายภาพชีวิตของเล็งเกอร์ทั้งหมด ดนตรีสด และร่วมกันหาคำตอบจากการเสวนาของผู้ใช้กล้องแต่ละช่วงวัยได้ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤษภาคม – ๒๗ กรกฎาคม ศกนี้เป็นต้นไป


งาน “ เล็ง 2 : with or without live (view) ” จะมีพิธีเปิดแสดงในวันเสาร์ที่ ๑o พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๑๗.oo น. ณ หอศิลป์ร่วมสมัย d Kunst 323 ถ.วรเดช อ.เมือง จ.ราชบุรี โดยงานจะแสดงถึงวันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


งาน “ เล็ง 2 : with or without live (view) ” เปิดให้ชมที่หอศิลป์ร่วมสมัย d Kunst ๑o.oo-๑๙.oo น. เว้นวันจันทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี เปิดให้บริการเข้าชมพุธ – อาทิตย์ เวลาราชการ ๙.oo-๑๖.oo น. ที่พื้นที่แสดงงาน โรงงานเถ้าฮงไถ่ ทุกวัน ๘.oo-๑๗.oo น.


ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวกิจกรรมได้จาก
//www.facebook.com/THT.dKunst



























ภาพและข้อมูลจากเวบ
matichon.co.th














"Gentle & War”


Peggy Wauters และ Nir Segal

Curated by Brian Curtin

๑๙ มิถุนายน – ๑o สิงหาคม ๒๕๕๗

วันเปิดงาน: วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๙.oo เป็นต้นไป


ศิลปินหนึ่งคนจากหนึ่งสัญชาติ กับผลงานที่ถูกกล่าวขานกันเรื่องความหม่นหมอง บิดเบี้ยว และรุนแรง กับอีกหนึ่งคนจากอีกหนึ่งสัญชาติกับผลงานที่มีสีสัน ช่างสังเกต และมีความซุกซนเป็นเอกลักษณ์ เมื่อผลงานของทั้งคู่ถูกนำเสนอพร้อมกัน อาจทำให้อุดมคติเกี่ยวกับความงามของคุณเปลี่ยนไป


๑oo ต้นสนแกลเลอรี ร่วมกับ Brian Curtin คิวเรเตอร์และนักวิจารณ์ศิลปะชื่อดังของกรุงเทพฯ เสนอ GENTLE WAR นิทรรศการศิลปะชิ้นที่สามของแกลเลอรี่ประจำปี ๒o๑๔ ซึ่งเป็นนิทรรศการสื่อผสมที่จับคู่ระหว่าง Peggy Wauters ศิลปินชาวเบลเยียมที่เคยร่วมงานกับ ๑oo ต้นสนมาแล้วในปี ๒oo๘ และ Nir Segal ศิลปินชาวอิสราเอลที่มีความสนใจเหตุการณ์ในสังคมไทยกับครั้งแรกของเขาในการแสดงงานกับ ๑oo ต้นสน


GENTLE WAR คือโปรเจคที่เน้นวิธีการนำเสนอเฉพาะตัวของศิลปินทั้งสองคน โดยผลงานของ Peggy นั้นประณีตด้วยงานประดิษฐ์และภาพตัดปะที่ใช้สัญลักษณ์จากตำนานต่าง ๆ ในขณะที่ Nir สร้างสรรค์ผลงานจากวัสดุที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ทั้งสองศิลปินต่างต้องแยกแยะและศึกษาบริบทที่มากับวัตถุนั้น ๆ เพื่อค้นหาความน่าสนใจของความหมายใหม่ในเชิงร่วมสมัย


Peggy ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมคาร์นิวอลในบ้านเกิด งานของเธอแต่ละชิ้นมักมีลักษณะหม่นหมอง สะท้อนถึงไสยศาสตร์และความเชื่อต่าง ๆ ส่วน Nir สนใจการเล่าเรื่องจากสิ่งของเล็ก ๆ ที่มักใช้แล้วทิ้ง โดยนำมาใช้ใหม่ในบริบทอื่น ๆ ได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ยังอ้างอิงจากเศษวัสดุที่ใช้ในเต็นท์ของผู้ชุมนุมทางการเมืองในไทย รวมถึงชีวิตในประเทศของเขา


ส่วนชื่อ GENTLE WAR นั้นมาจากการที่ศิลปินทั้งสองต่างพยายามต่อสู้หาความหมายใหม่จากวัตถุของตน การต่อสู้กันระหว่างการใช้สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของ Peggy และมุมมองใหม่ต่อสิ่งที่เรามักมองข้ามของ Nir ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากสงครามครั้งนี้ได้นำเสนอผ่านนัยยะต่าง ๆ ตั้งแต่การบิดเบี้ยวของรูปทรงไปจนถึงการท้าทายจากสิ่งที่เราคิดว่ารู้จักดีแล้ว










ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com














นิทรรศการ "เล่าไทย”


สำหรับผู้สนใจชมงานออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และงานออกแบบที่พยายามชูความเป็นไทย ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดมาหมาด ๆ อย่าลืมแวะ ๒ จุดดังต่อไปนี้ ในงาน “บ้านและสวนแฟร์ MID YEAR 2014” ระหว่างวันที่ ๓o กรกฎาคม -๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ อาคารไบเทคบางนา


โครงการ ECO VILLAGE ณ บริเวณ ทางเข้า HALL ๑o๒ อาคารไบเทคบางนา เป็นจุดที่ กลุ่ม ECO DESIGN THAI ๆ (กลุ่มสินค้าออกแบบไทย ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) นำสินค้า ไลฟ์สไตล์ ของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของนักออกแบบชาวไทยจาก ๒๕ แบรนด์ มาอวดและจำหน่าย อาทิ DESAWAT, DOT, GREYRAY, HOO DIY, PIN, REPAIR, OSISU ฯลฯ พร้อมชวนให้ร่วมกิจกรรม สนุก ๆ และ Workshop D.I.Y โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย


นิทรรศการ “เล่าไทย” ณ ห้อง EH 102 อาคารไบเทคบางนา

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดให้มีการประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ในหัวข้อ “บรรจุภัณฑ์เล่าไทย” โดยการเปิดโอกาสให้นักออกแบบรุ่นใหม่ แสดงศักยภาพในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่นำเสนอเอกลักษณ์ไทย


นอกจากจะจัดให้มีพิธีมอบรางวัลให้กับเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ผลงานยังถูกนำมาจัดแสดงให้ชมผ่านนิทรรศการ “เล่าไทย” ในงาน “บ้านและสวนแฟร์ MID YEAR 2014” ครั้งนี้ด้วย







ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th





font size="4" face="georgia,times new roman,times,serif">








"Thai Flower Handicraft ”


มาศึกษาการร้อยพวงมาลัยตามแบบฉบับไทยเดิมกับคอร์ส Thai Flower Handicraft มีหลายคอร์ส

คอร์สที่ ๑ การร้อยมาลัยขั้นพื้นฐาน ๑ สำหรับผู้ไม่มีพื้นฐาน เรียนส่วนต่าง ๆ ของมาลัย มาลัย อุปกรณ์ การเลือกดอกไม้ การเก็บรักษา และลงมือการร้อยมาลัยห่วงรัก และมาลัยฝังมรกต และมาลัยซีก อุบะบานไม่รู้โรย


คอร์สที่ ๒ การร้อยมาลัยขั้นพื้นฐาน ๒ เรียนรู้การเตรียมดอกไม้และใบตองสำหรับมาลัย ปั่นดอกข่ากุหลาบ การอ่านผังมาลัยเพื่อร้อยมาลัยซีกใหญ่


คอร์สที่ ๓ การร้อยมาลัยมะลิ เรียนรู้การเลือกดอกมะลิ การเตรียมดอกกล้วยไม้เพื่อทำดอกไม้ประดิษฐ์สำหรับอุบะ ร้อยมาลัยซีก ประกอบเข้าด้วยกันเป็นมาลัยข้อพระกร


คอร์สที่ ๔ การร้อยมาลัยแบบชำร่วย รู้จักดอกไม้ต่างๆในการร้อย การอ่านลาย และร้อยมาลัยแบบสองหน้า และมาลัยซีกลายต่าง ๆ ทำดอกไม้ประดิษฐ์และนำส่วนต่าง ๆ มาประกอบด้วยกัน เป็นมาลัยแบนแบบชำร่วย


สอนโดย คุณรริน ลี ภัทรพรไพศาล
เวลาอบรม ๑o.๓o - ๑๗.oo น.
อบรมวันที่ ๒๓, ๒๔, ๓o, ๓๑ ส.ค. ๒๕๕๗
สถานที่อบรม เซ็นทรัลชิดลม ชั้น ๖
ค่าอบรมคอร์สละ ๔,๙๕o บาท
*แบ่งออกเป็น ๔ คอร์ส เรียนต่อเนื่อง ๔ วัน อบรมแบบคอร์สเต็ม ราคา ๑๗,ooo บาท
สมัครและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ o๘๕-๔๘๘-๗๗๘๖ หรือ o๒-๗๙๓-๗๔๓๘



ภาพและข้อมูลจากเวบ
เฟซบุค Central Workshop




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor




Create Date : 01 สิงหาคม 2557
Last Update : 1 สิงหาคม 2557 23:14:05 น. 0 comments
Counter : 2509 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.