อันว่าด้วย .... "กองบัญชาการกองทัพไทย"

กองบัญชาการทหารสูงสุดจะได้เปลี่ยนชื่อไปเป็นกองบัญชาการกองทัพไทยจากการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พุทธศักราช 2551 ซึ่งมีผลแล้วครับ (ต่อไปจะเรียกว่า พ.ร.บ.)
ตามมาตรา 47 ของ พ.ร.บ. นั้นกำหนดให้มี "คณะผู้บัญชาการทหาร" ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และเสนาธิการทหาร โดยมีหน้าที่เสนอแนะและให้คำปรึกษาต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในการเตรียมกำลัง การสั่งการใช้กำลัง การเคลื่อนกำลัง และการเตรียมพร้อม ตลอดจนรับผิดชอบในการควบคุมอำนวยการยุทธในภาพรวมครับ
เนื้อความตาม พ.ร.บ. นั้น ดูแล้วนึกถึงการจัดส่วนราชการของสหรัฐอเมริกาที่แต่ละเหล่าทัพของกองทัพสหรัฐจะมีเสนาธิการประจำเหล่าทัพ (Cheif of Staff) ซึ่งเทียบเท่ากับผู้บัญชาการเหล่าทัพ (Commander In Chief) ของไทย และจะมีคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐ (Joint Chiefs of Staff of The United States Armed Forces) ซึ่งจะคล้ายกับกองบัญชาการทหารสุงสุด (Supreme Commander Headquater) ของไทยครับ
สิ่งที่ต่างกันก็คือ คณะเสนาธิการร่วมจะมีหน้าที่ให้คำแนะนำต่อประธานาธิปดีสหรัฐเพื่อสั่งการใช้กำลังหรือดำเนินภารกิจใด ๆ ของกองทัพสหรัฐทั้งหมด หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เสนาธิการประจำเหล่าทัพจะไม่มีอำนาจสั่งใช้กำลัง ซึ่งแตกต่างจากระบบของไทยที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพสามารถสั่งการใช้กำลังได้ และกองบัญชาการทหารสูงสุดมีหน้าที่เพียงประสานการปฏิบัติการระหว่างเหล่าทัพเท่านั้น
แต่ตามความใน พ.ร.บ. ใหม่ ก็ยังคงเรียกหัวหน้าเหล่าทัพว่า ผู้บัญชาการเหล่าทัพ (Commander In Chief) อยู่ดี และความในมาตรา 31 กำหนดภารกิจของกองบัญชาการกองทัพไทยให้มีหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยต่าง ๆ ทำให้ดูแล้วไม่มีความแตกต่างนักระหว่างระบบเก่าและระบบใหม่ โดยกองบัญชาการกองทัพไทยก็ยังคงทำหน้าที่เพียงประสานงานระหว่างเหล่าทัพ และผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ยังคงมีอำนาจในการเตรียมกำลังและใช้กำลังอยู่ดีครับ
แค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น ทุกอย่างยังเกือบจะเหมือนเดิม
ตามมาตรา 24 นั้น รัฐมนตรีกลาโหมมีหน้าที่สั่งการและอนุมัติการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม (ซึ่งนั้นก็หมายถึงเหล่าทัพด้วย) มาตรา 35 การสั่งการใช้กำลังในการปราบจลาจล จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และยังมีอีกหลายมาตราที่ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูแล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะมีอำนาจในการสั่งการมากทีเดียวครับ ซึ่งก็นับเป็นสิ่งที่ดีเช่นกันที่ให้อำนาจฝ่ายการเมืองในการตัดสินใจในการดำเนินภารกิจทางทหาร เพราะในความเป็นจริงกองทัพต้องดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลซึ่งเป็นพลเรือน ผู้สั่งการให้กองทัพดำเนินภารกิจควรจะต้องเป็นพลเรือน ยุทธศาสตร์ของชาติจึงจะถูกขับเคลื่อนอย่างถูกต้องตามแนวทางของรัฐบาลพลเรือนครับ
... ... ...
ต่อไปนี้มาถึงคำถาม (ล่อเป้า) ที่สำคัญคือ .....
"พ.ร.บ. นี้จะช่วยให้ประเทศไทยปลอดการปฏิวัติและรัฐประหารได้หรือไม่?"
ผมคิดว่าไม่ได้ครับ อาจจะยากขึ้น แต่ผู้นำทางทหารก็ยังสามารถเคลื่อนกำลังเพื่อก่อการรัฐประหารได้อยู่ดี เพราะผู้นำทางทหารก็ยังมีอำนาจในการใช้กำลังในระดับหนึ่ง แตกต่างจากกองทัพในประเทศอื่น ๆ ที่ประมุขของประเทศมีอำนาจสั่งการ
แต่แม้ผู้นำทางทหารจะไม่มีอำนาจสั่งการ การปฏิวัติและรัฐประหารก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้อยู่ดี (ในหลาย ๆ ประเทศก็มีตัวอย่าง) เพราะเรื่องอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับผู้นำทางทหารเอง ถ้าผู้นำทางทหารไม่มีความคิดที่จะก่อการปฏิวัติและรัฐประหาร แม้ว่าจะมีอำนาจสั่งการหรือไม่การปฏิวัติและรัฐประหารก็ไม่เกิด แต่ถ้าเกิดว่าผู้นำทางทหารยังคงพยายามก่อการปฏิวัติและรัฐประหาร จะมีอำนาจสั่งการหรือไม่ก็ไม่มีความหมายครับ
ท่านสามารถดุ พ.ร.บ. ฉบับเต็มได้ที่นี่ครับ
//www.person.rtaf.mi.th/doc/command/20080204_Defense.pdf
ผมขอสงวนสิทธิห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดนำบทความนี้ไปใช้ในเชิงการเมืองหรืออ้างอิงเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดนอกจากเพื่อการศึกษา โดยปราศจากคำยินยอมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากผม ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนผมขอสงวนสิทธิในการดำเนินการทางกฏหมายอย่างถึงที่สุดครับ
Create Date : 16 มีนาคม 2551 |
Last Update : 16 มีนาคม 2551 20:00:12 น. |
|
10 comments
|
Counter : 3575 Pageviews. |
 |
|
|
บ้าเครื่องบินขนาดทุ่มสุดตัวแบบนี้ก็
สมควรจะเป็นเซียนแล้วล่ะนะโย
เรื่องเสื้อ ไม่ต้องคิดมากเลยนะ
พี่เองก็ยังไม่ได้ส่งแสตมป์ 555
พอกันเลยเราสองคน