เกิดอะไรขึ้นเมื่อ 95 ปีก่อน? ..... เรื่องจริงข้างหลัง "รักสยามเท่าฟ้า"

ผมเป็นคนบ้าเครื่องบินครับ คนประเภทนี้มีลักษณะพิเศษอยู่อย่าง คือเห็นอะไรบินได้ ตั้งแต่เครื่องบิน เครื่องร่อน บอลลูน ไปจนถึงนก ถึงผีเสื้อ หรือแม้แต่สากกะเบือที่บินข้ามหัวมา ก็ยังต้องเหลียวมอง (อันหลังมองเพราะกลัวว่ามันจะหล่นมาลงหัวหรือเปล่า)
ผมนั่งอ่านประวัติศาสตร์การบินของไทยมาก็หลายครั้ง นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า สมัยนั้น มันเป็นยังไง ...... พอมาเห็นโปสเตอร์ของหนังเรื่องนี้จึงค่อนข้างตกใจ ..... ตกใจเพราะ ไม่คิดว่า จะมีนายทุนและผู้กำกับ ที่ใจกล้า ท้าความเจ้ง ทำหนังประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ท่ามกลางหนังตลกไทย หนังซุปเปอร์ฮีโร่ฮอลลิวู้ด และหนังรักเกาหลี ..... ยิ่งเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อเกือบร้อยปีก่อนอีกด้วย ที่สำคัญ เป็นเรื่องที่ผู้คนส่วนมาก แทบจะลืมไปแล้ว
ผมไม่ใช่นักวิจารณ์หนังครับ อีกอย่างผมก็ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วย แต่มานั่งคิดว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงข้างหลังหนังเรื่องนี้ พอจะมีความน่าสนใจอยู่บ้าง จึงขออนญาต ใช้พื้นที่ตรงนี้ เล่าเรื่องราวของบรรพบุรุษการบินสยาม ที่ใจกล้าไม่น้อยไปกว่าสตั้นแมนส์สมัยนี้ วางรากฐานของกิจการการบินของไทย ให้ก้าวหน้าจนถึงทุกวันนี้ หวังว่าคงได้รับอนุญาตครับ
".....ข้าพเจ้าตกลงใจทำเรื่องการบินขึ้น ด้วยเห็นเป็นประโยชน์ โดยได้แผ่ความรู้ เรื่องนี้ให้แพร่หลายออกไปในหมู่คนไทย ซึ่งยังไม่สู้ได้เอาใจใส่ในเรื่องการบินกันนัก และก็ไม่ค่อยปรากฏว่าผู้ใดได้เรียบเรียงขึ้นไว้ สำหรับอ่านกันเป็นความรู้ ทั่ว ๆ ไปเลย..."
นายร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต ต่อมาเป็น นาวาอากาศเอก พระยาทะยานพิฆาต บ้านเหนือสถานีสามเสน. จังหวัดพระนคร. วันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖
(ขอบคุณ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ)
เพียง 7 ปี หลังจากวิวเบอร์ และ เออร์วิล ไรต์ สร้าง Flyer เครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์ลำแรก พามนุษย์บินขึ้นท้องฟ้าได้เป็นผลสำเร็จ ณ เนินเขา Kitty Hawk ในสหรัฐ ...... พ.ศ. 2453 ชาร์ล ฟัน เดอร์ บอร์น (Charles Van Den Born) ชาวเบลเยี่ยม ได้ขับเครื่องบินที่ชื่อ Henri Farman IV ร่อนลงจอดที่สนามม้าปทุมวัน ..... สนามบินแห่งแรกของประเทศไทย ... เพื่อแสดงการบินให้คนไทยในสมัยนั้นได้ชม
 [ภาพ Charles Van Den Born]
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ที่ทรงดำริที่จะตั้งกิจการการบินขึ้นในประเทศสยาม จึงทรงส่งนักบินไทยชุดแรก 3 ท่าน ไปเรียนการบินที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านการบินของโลกในสมัยนั้น คือ
- นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ - นายร้อยเอก หลวงอาวุธสิขิกร - นายร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต
หลังจากที่เดินทางกลับมาประเทศไทยในปี พ.ศ. 2456 ทั้งสามท่าน ได้กลายมาเป็นบุพารีของกองทัพอากาศ และสร้างกองบินทหารบก ซึ่งต่อมากลายเป็นกองทัพอากาศไทย (Royal Thai Air Force)
และเราถือว่า ปี พ.ศ. 2456 (ค.ศ. 1913) คือจุดเริ่มต้นของกิจการการบินของไทย

ทั้งสามท่านไม่ได้กลับมาตัวเปล่า แต่จัดซื้อเครื่องบินกลับมาด้วยจำนวน 8 ลำ คือ Breguet ปีก 2 ชั้น จำนวน 4 ลำ และ Nieuport ปีกชั้นเดียว จำนวน 4 ลำ
เครื่องบินที่เห็นในภาพยนต์ ก็คือ Breguet เครื่องบินแบบแรกของไทยนั่นเองครับ
 [ภาพวาดของเครื่องบินทั้งสองแบบในสมัยเริ่มแรก]
น่าเสียดาย ที่ในสมัยนั้น ยังไม่มีแนวคิดที่จะอนุรักษ์เครื่องบินเหล่านี้เอาไว้ ปัจจุบัน จึงคงเหลือเพียงภาพถ่าย และเครื่องบินจำลอง ที่ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศเท่านั้น
 [ภาพวาด บุพการีทหารอากาศ นำเครื่องบินมาลงที่สนามบินดอนเมืองเป็นครั้งแรก]
สมัยนั้น Breguet ถูกใช้ในกิจการหลาย ๆ อย่าง เช่นการขนส่งไปรษณีย์ทางอากาศในปี 2462 จากดอนเมืองไปยังจังหวัดจันทบุรี การขนส่งยาและเวชภัณฑ์ ไปช่วยผู้ป่วยจากอหิวาตกโรคที่จังหวัดอุบลราชธานี ในปี 2464 และเป็นเครื่องบินลาดตระเวน รวมถึงเดินทางไปอวดธง ซึ่งคือการเดินทางไปเยี่ยมอินโดจีนฝรั่งเศส เพื่อวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ทหารฝรั่งเศสที่เสียชีวิตในสงครามโลก ครั้งที่ 1 ณ เมืองไฮฟอง ในวันที่ 22 ตุลาคม 2465

และในสมัยนั้น ยังมีประเพณีหนึ่ง ที่เจ้านายชั้นสูง หรือประชาชน มักจะรวบรวมเงินกัน จัดซื้อเครื่องบินบริจาคให้ทางราชการเอาไว้ใช้ในกิจการของรัฐ และมักจะตั้งชื่อตามต้นทางของเงินที่ได้มา เช่น "ขัติยะนารี ๑" ที่ตั้งอยู่ ณ พิพิธภัณธ์กองทัพอากาศ (เป็นเครื่องจำลอง)

กองทัพอากาศไทย เกิดขึ้นหลังจากพี่น้องกระกูลไรต์ขึ้นบินได้เพียง 10 ปี และจัดตั้งก่อนการจัดตั้งกองทัพอากาศสหรัฐ (United State Air Force) ถึง 10 ปี ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในกองทัพอากาศที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในยุคที่รุ่งเรืองสูงสุดก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพอากาศไทย คือกองทัพอากาศที่มีนภานุภาพมากเป็นอันดับสองของเอเชียรองจากญี่ปุ่น ด้วยจำนวนอากาศยานกว่า 300 ลำ ทั้งที่ออกแบบสร้างขึ้นเอง ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมาสร้าง จนถึงจัดซื้อมาโดยตรง ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้น ประเทศในอาเซียนทุกประเทศ ยังไม่ได้ตั้งประเทศเลยด้วยซ้ำ กองทัพอากาศมีบทบาทอย่างสูงในกรณีพิพากอินโดจีน ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส โดยได้ใช้กำลังทางอากาศ โจมตีที่มั่นของทหารฝรั่งเศสในอินโดจีน และสามารถยิงเครื่องบินของฝรั่งเศสตกได้หลายลำ จนสิ้นสุดสงคราม
แต่แม้ว่าอากาศยานจะมีจำนวนมาก แต่ก็ไม่ทันสมัยนัก และกำลังทางอากาศส่วนใหญ่ ถูกทำลายจากสงครามโลกครั้งที่สองด้วยหลายสาเหตุ และเริ่มต้นยุคใหม่ของกองทัพอากาศไทย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
 [ภาพวาดการโจมตีเมืองศรีโสภณ ในสงครามอินโดจีนฝรั่งเศส]
ถ้าจะพูดถึงกิจการการบินพลเรือน ก็ต้องพูดถึงเครื่องบินพลเรือนลำแรกของประเทศไทย คือ "นางสาวสยาม" หรือ "Miss Siam"
นางสาวสยาม คือเครื่องบินรุ่น OX-5 Travel Air 2000 ซึ่งนาวาอากาศเอก เลื่อน พงษ์โสภณ ใช้เงินส่วนตัวที่ได้จากการแสดงการบินในประเทศสหรัฐอเมริกา ซื้อกลับมาในเมืองไทย ในปี 2475
นางสาวสยาม โดยนาวาอากาศเอก เลื่อน พงษ์โสภณ เคยทำการบินครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน โดยนาวาอากาศเอกเลื่อน บินนางสาวสยามจากประเทศไทย ผ่านลาว เวียดนาม ไปสู่ประเทศจีน และบินย้อนกลับมา ใช้เวลาเดินทาง 5 วัน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ กลายเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงการบินไปทั่วโลก ตลอดเส้นทางที่นาวาอากาศเอกเลื่อนแวะพัก จะมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ออกมาต้อนรับมากมาย หนังสือพิมพ์ของต่างประเทศในสมัยนั้น ถึงกับชื่นชมว่า ประเทศไทย มีกิจการการบิน ที่ก้าวหน้า แะลล้ำหน้ากว่าชาติใดในภูมิภาค
ปัจจุบัน มูลนิธิอนุรักษ์และพัฒนาอากาศยานไทย ได้ทำการอนุรักษ์และฟื้นฟูเครื่องบินประวัติศาสตร์ลำนี้ให้สามารถทำการบินได้อีกครั้ง และยังมีความพยายาม ที่จะทำการบินย้อนรอยเส้นทางเดิมของนาวาอากาศเอกเลื่อนในอนาคต

นักบินในสมัยนี้ ขับเครื่องบินไอพ่นที่มีระบบคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน เครื่องบินใช้วัสดุผสมที่ทันสมัย นำทางด้วยเรด้าร์ การฝึกบิน ใช้เครื่องฝึกจำลองการบินที่จำลองได้แทบทุกสถานการณ์ การเรียนก็มีความปลอดภัยสูง
แต่ในสมัยนั้น ทั้ง Breguet และนางสาวสยาม ใช้เครื่องยนต์ลูกสูบ ที่ไม่ได้ดีไปว่าเครื่องยนต์ของรถยนต์ในสมัยนี้ ส่วนมากใบพัดจะทำด้วยไม้ ลำตัวบุด้วยผ้า เดินทางโดยใช้ระบบ Mannual ล้วน ๆ ไม่มีการพยากรณ์อากาศล่วงหน้า ไม่มีระบบนำร่อง
ไม่ใช่ว่านักบินสมัยนี้ไม่เก่ง แต่นักบินสมัยก่อน ต้องใช้ความพยายามมากมาย กว่าจะบินได้แต่ละครั้ง ถือว่ากล้าหาญมากทีเดียว
 [ภาพวาดยุทธเวหาเหนือบ้านยางในสงครามโลกครั้งที่สอง]
และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็นำมาสู่คำถามที่ว่า "สิบโท โทน บินดี มีจริงหรือไม่?"
ร้อยเอก หลวงสัดทัดยนครกรรม หรือ สิบโท โทน บินดี (นามสกุลเดิม ใยบัวเทศ) เป็นคนเมืองนนท์ โดยนามสกุล "บินดี" เป็นนามสกุลพระราชทานจากรัชกาลที่ 6 เข้ารับราชการทหารสังกัด กองพันที่ 2 กองร้อยที่ 5 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ท่านได้ทิ้งยศสิบโท ไปเป็นพลทหารนักบินหลังจากเรียนช่างเครื่องอยู่ 6 เดือน และสามารถสอบไล่ได้เป็นอันดับสอง พระยาเฉลิมอากาศ จึงขออนุมัติจากกระทรวงกลาโหม ส่งสิบโท โทน บินดี ไปฝึกบินพร้อมกับนายทหารชั้นสัญญาบัตรอีก 5 นายเป็นเวลา 4 เดือน ถือเป็นนักบินคนที่ 6 ของกองการบินสยาม
ในสงครามโลกครั้งที่ 1 สิบโท โทน บินดี เคยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย เมื่อครั้งที่ไปฝึกบินผาดแผลงทิ้งระเบิดด้วยท่าควงสว่านในเครื่อง Nieuport ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยสามารถฝึกบินผาดแผลงได้สำเร็จเป็นคนแรก ก่อนหน้านายทหารจากหลายชาติ และได้รับเหรียญ ครัวซ์ เดอ แกร์จากฝรั่งเศสจากการเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1
ร้อยเอก หลวงสัดทัดยนครกรรม ถึงแก่กรรมในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2508 ที่อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
(ข้อมูลจาก พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ)

ในวันที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลไทยมีเครื่องบินรวมกันเฉียด 500 เครื่อง การบินไทย สายการบินแห่งชาติ หนึ่งในสายการบินชั้นนำของโลก มีเครื่องบินรวมกันกว่า 90 เครื่อง รวมถึงสายการบินอื่นๆ ทั้ง Bangkok Airways สายการบินต้นทุนต่ำ บริษัทการบิน และอากาศยานของเอกชนมากมายหลายร้อยลำ กว่าที่ประเทศไทยจะมีกิจการการบินที่ก้าวหน้าไม่แพ้ชาติใดในโลก ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากวิสัยทัศน์และความพยายามของบรรพบุรุษด้านการบินทุกท่าน ที่ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย (มากจริง ๆ) จนทำให้สยามประเทศในวันนี้ พูดได้อย่างเต็มปากกว่า "นักบินไทย ก็เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก"
ผมคงหยุดพูดเรื่องประวัติศาสตร์ช่วงนั้นไว้เพียงเท่านี้ เพราะเดี๋ยวจะเป็นการสปอยด์หนังทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ดู
ผมพบคุณ Tom Claytor เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และได้คุยกับแกพักหนึ่ง มีประโยคหนึ่งซึ่งแกพูดกับผม ด้วยดวงตาเป็นประกายว่า "คุณรู้ไหม ประเทศไทยมีการบินที่ก้าวหน้า มีมาก่อนหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคนี้ คุณควรภูมิใจว่า ประเทศไทยมีบรรพบุรุษที่กล้าหาญจริงๆ " ..... เขาพูดพลางชี้นิ้วไปที่หัวใจ
ผม, คุณ 001 JZ Team, และคุณ Luftwaffe อึ้งไปพักหนึ่งทีเดียว
... ... ...
สำหรับวันนี้ จบเพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกท่าน สวัสดีครับ 
ปล. ผมไม่ได้รับจ้างมาโพสนะครับ
Create Date : 30 มกราคม 2551 |
Last Update : 30 มกราคม 2551 18:20:46 น. |
|
32 comments
|
Counter : 4688 Pageviews. |
 |
|