ทิพย์สุรางค์กำลังแต่งตัวอยู่แต่ยังไม่ทันเสร็จดี กรก็มาเคาะประตูห้อง และยังไม่ทันที่เธอจะร้องอนุญาต เขาก็เปิดประตูแล้วยื่นหน้าเข้ามา ทำให้หญิงสาวเริ่มอารมณ์เสีย
“กร บอกหลายครั้งแล้วใช่ไหม จะเข้าห้องใครก็ต้องรอให้เขาอนุญาตเสียก่อน แกนี่ช่างสอนยากสอนเย็นเสียจริงๆ”
เด็กชายหน้าเสีย “ขอโทษครับ ผมจะมาบอกคุณหนูว่า คำปันกำลังจะพาผู้ชายคนนั้นไปส่งโรงพยาบาล หนานคำบอกผมว่า หมอประสพชัยไม่รับรองว่าเขาจะรอดตาย”
“ผู้ชายคนไหน?”
คุณหนูของกรทำหน้างง เพราะเธอลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ทันทีที่ส่งมอบภาระต่อให้บิดา
“อ้าว ก็คนที่เราช่วยจากน้ำเมื่อเช้านี้ไงฮะ แหม คุณหนูนี่ขี้ลืมจังเลย” เขาต่อว่า
“แล้วมาบอกฉันทำไม ฉันเป็นหมอหรือไง? เขาจะตายหรือไม่ตายก็ไม่เกี่ยวกับฉันนี่” เธอเริ่มมีโมโหกับเสียงค่อนขอดของเขา
“คุณหนูใจดำแต๊ๆ ถ้าเฮาเป็นเปิ้นก็ขอไม่ฟื้นดีกว่า”
พูดจบเขาก็ผลักประตูให้ปิดเข้ามา เดินโครมๆไปจากหน้าห้องลงบันไดไปชั้นล่าง หยิบคุกกี้ในห้องแพนทรีพกติดตัวไปด้วยแล้วลงจากตึก ตั้งใจว่าจะแกล้งเถลไถลไปให้ไกลเลย
ออกจากตึกใหญ่ได้ กรก็วิ่งบ้างเดินบ้างไปตามทางเดินเล็กๆ บางครั้งก็ออกนอกเส้นทาง เดินบุกเข้าไปในพงรกๆ บางครั้งก็เหยียบลงไปบนกอดอกหญ้าหลากสี ขาวบ้าง แดงบ้าง เหลืองบ้างที่ขึ้นเป็นกอๆอยู่แถวนั้น
กรจงใจเหยียบย่ำลงไปบนดอกไม้ดอกจิ๋วๆหลากสีพวกนั้น เขาโกรธและน้อยใจทิพย์สุรางค์เขาจึงทำอย่างนี้ เพราะเขารู้ว่าเธอรักต้นไม้ดอกไม้ในบริเวณเวียงพุกามนี้มาก ถ้าเป็นดอกไม้เธอก็ชอบที่จะชื่นชมความงามของมันอยู่ห่างๆ โดยไม่คิดจะเก็บออกจากต้น
เธอเคยบอกเขาว่า “ฉันไม่ชอบให้ใครเด็ดดอกไม้ออกจากต้น ดอกไม้ทุกดอกจะสวยและสดชื่นที่สุดเมื่ออยู่บนต้น เก็บเอาไปชื่นชมชั่วประเดี๋ยวประด๋าวก็โยนทิ้ง ฉันไม่ชอบ”
ซึ่งทุกครั้งเด็กชายก็มักจะเออออไปด้วยกับเธอ เขาไม่ได้เห็นว่ามันจะสวยหรือไม่สวย เมื่อถูกเด็ดออกจากต้นหรอก เขารู้สึกเฉยๆไม่ว่าดอกไม้ดอกนั้นหรือพันธ์นั้นจะสวยขนาดไหน แต่ที่เห็นดีเห็นงามเออออไปด้วยก็เพราะต้องการเอาใจเธอ เขารักคุณหนู โดยเฉพาะเวลาที่เธออารมณ์ดี เขารู้ว่าเธอจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อได้เห็นดอกไม้ที่กำลังออกดอกพราวไปทั้งต้น
แต่วันนี้เขาน้อยใจคุณหนู เมื่อตอนเช้าตรู่เธอยังใจดีอยู่เลย เธอกับเขาร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือผู้ชายคนหนึ่ง ให้รอดพ้นจากความตายในลำน้ำแห่งนั้นมาได้ เขารู้สึกภาคภูมิใจกับวีรกรรมนี้มาก เที่ยวโอ้อวดให้พวกสาวใช้บนตึกฟัง แถมลงทุนปั่นจักรยานเข้าไปถึงโรงบ่ม
แล้วยังวิริยะอุตสาหะเลยขึ้นไปถึงไร่บนเนินเขา เพื่อเล่าแจ้งแถลงไขถึงความเก่งกาจเป็นวีรบุรุษของเขาในครั้งนี้ แล้วนี่อะไร ที่เขาเข้าไปรายงานคุณหนูก็เพียงเพื่ออัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ในฐานะที่เธอเป็นผู้ร่วมวีรกรรมมาด้วยกันเท่านั้น แต่เธอกลับทำเป็นหลงลืมไม่แยแสไปเสียเฉยๆอย่างนั้น แถมยังมาทำอารมณ์เสียใส่เขาเสียอีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งเดือดดาล เด็กชายคว้าไม้ไผ่ท่อนไม่ยาวนักที่ปักอยู่บนดินให้ต้นไม้เล็กๆต้นหนึ่งอาศัยเป็นที่ยึดเกาะ แล้วใช้มันฟาดลงไปบนกอดอกไม้ ที่หลังจากถูกเขาเหยียบจนนอนราบลงกับดินแล้ว กำลังค่อยๆไหวกิ่งก้านดอกจิ๋วๆสีเหลืองชมพูขาวแดงของมันขึ้นมาใหม่ คราวนี้เขาหวดกระหน่ำจนกิ่งใบและดอกหลุดขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระจายเกลื่อนอยู่บนพื้นดิน เมื่อสาแก่ใจแล้วก็โยนไม้ทิ้งไปข้างทางแล้วออกเดินต่อไปเรื่อยๆ
กรรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรกับท่านหรือคุณหนู เพราะคุณดนัยไม่ได้ปิดบัง เขารู้เมื่อโตแล้วว่าพ่อแม่ของเขาตายหมดแล้ว คุณดนัยรับเขามาอุปการะตั้งแต่สามหรือสี่ขวบ แต่สิ่งที่เขาและคนส่วนใหญ่ในเวียงพุกามไม่เคยรู้ คือเหตุผลที่ประมุขของเวียงพุกามนำเขามาเลี้ยงดูนั้น ก็เนื่องมาจากบิดาของกร ซึ่งเป็นคนสนิทของคุณดนัยคู่กับหนานคำ ติดสอยห้อยตามเขามานาน ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตและจงรักภักดีต่อคุณดนัยอย่างสูง ได้สละชีวิตตัวเองเข้าขวางหน้ารับคมกระสุนแทนเจ้านายของเขา ปกป้องชีวิตของคุณดนัยให้รอดพ้นจากความตาย ตามใบสั่งของผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในพื้นที่ไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังการตายของสามี มารดาของกรหอบหิ้วลูกน้อยวัยสามเดือน อพยพไปอยู่กับญาติห่างๆที่ต่างอำเภอ คุณดนัยให้เงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งซึ่งมากพอที่จะเลี้ยงดูลูกไปได้นานหลายปี โดยสัญญาจะส่งไปให้ใหม่เรื่อยๆ จนกว่าเด็กชายจะบรรลุนิติภาวะ หลังจากนั้นอีกประมาณสามสี่ปี เมื่อได้ข่าวว่ามารดาของกรเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุอย่างกระทันหัน ทิ้งลูกชายวัยประมาณสี่ขวบไว้กับญาติห่างๆซึ่งมีฐานะยากจนไม่สามารถจะช่วยเหลือดูแลเขาได้
คุณดนัยซึ่งเป็นคนที่ไม่ลืมบุญคุณใครที่เคยมีต่อเขาจึงส่งหนานคำไปรับกร ซึ่งตอนนั้นกลายเป็นลูกกำพร้าขาดทั้งพ่อและแม่ มาอุปการะเลี้ยงดูมาจนถึงทุกวันนี้ โดยตั้งใจเอาไว้ว่าจะส่งเสียเขาให้ได้เรียนจนถึงระดับสูงสุด เท่าที่สติปัญญาของเขาจะอำนวยให้ แม้กรจะไม่มีความเกี่ยวพันกับเขาทางสายโลหิต แต่คุณดนัยก็ให้การเลี้ยงดูเขาคล้ายกับบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง
เนื่องจากเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเล็กมาก กรจึงไม่รู้สึกผูกพันกับครอบครัวเดิมของเขา เขาเติบโตขึ้นมาในเวียงพุกาม มีห้องส่วนตัวเล็กๆอยู่มุมหนึ่งของตึกบนชั้นเดียวกับคุณหนู มีสำรับอาหารเล็กๆ ซึ่งเขานั่งรับประทานคนเดียวบนโต๊ะในห้องแพนทรี เขาได้เรียนหนังสือในโรงเรียนเอกชนชั้นดีในตัวจังหวัด
แม้ต้องอยู่โรงเรียนประจำ ได้กลับบ้านเพียงสัปดาห์ละครั้ง แต่กรก็ไม่รู้สึกเหงาเพราะเป็นเด็กที่ปรับตัวได้เก่ง เข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนได้ดี ไม่มีใครเกลียดเขา แม้แต่คนที่เวียงพุกามบางคนที่รู้ถึงชาติกำเนิดและประวัติพ่อแม่ของเขาดี ก็ไม่มีใครรู้สึกที่ไม่ดีกับเขา อาจจะรำคาญหรือหมั่นไส้ความขี้โม้โอ้อวด หรืออวดรู้ของเขาอยู่บ้างบางเวลา แต่ก็ไม่มีใครถือสา แต่ถ้าเลือกได้ กรก็อยากอยู่ที่เวียงพุกามมากกว่าโรงเรียน เพราะเขารักที่นี่และคิดว่ามันเป็นบ้านของเขา
เด็กชายเคารพบูชาและเกรงกลัวคุณดนัย สำหรับทิพย์สุรางค์นั้นแรกๆเขารู้สึกกลัวเธอมาก เพราะเธอไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เธอกลับมาที่เวียงพุกามปีละสองสามครั้งเวลาที่โรงเรียนปิดภาค บางครั้งเธอก็ทักทายพูดเล่นกับเขาอย่างเป็นกันเอง แต่บางครั้งเธอก็ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ทั้งๆที่เขาก็นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ตรงหน้านั่นแหละ
บางปีที่กลับมาเธอมีของเล่นแปลกๆจากเมืองนอก ที่ทำให้กรใจเต้นตึกตักด้วยความดีใจมาฝาก และคาดหวังถึงของเล่นชิ้นต่อไปในคราวหน้าที่เธอกลับมาเยี่ยมบ้าน แต่แล้วกรก็ต้องเสียใจและผิดหวัง เพราะเธอไม่ได้ซื้ออะไรมาฝากเขาเลย แม้เขาจะพยายามเลียบๆเคียงๆทวงของฝาก แต่เธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับไม่รู้ว่าได้ทำร้ายหัวใจดวงน้อยๆของเขา แล้วกรก็จะหลบหน้าหลบตาเธอไปสองสามวัน เป็นการประท้วงความใจดำของเธอ
ตอนนี้ทิพย์สุรางค์กลับมาอยู่บ้านได้หลายเดือนแล้ว เธอเริ่มให้ความสนใจกับเขาและความเป็นอยู่ของเขามากขึ้น เด็กชายสังเกตว่าในช่วงที่โรงเรียนยังไม่ปิดเทอม ซึ่งเขาต้องจากบ้านไปอยู่ประจำ เมื่อรถที่ไปรับเขาจากโรงเรียนหลังเลิกเรียนในบ่ายวันศุกร์ กลับมาถึงเวียงพุกามในตอนค่ำ และเขาเข้าไปหาเธอที่ห้องเพื่อสวัสดี เขาเห็นได้ชัดว่าเธอดีใจมากที่เห็นเขา ถึงกับโอบตัวเขาไว้หลวมๆ กุลีกุจอไต่ถามทุกข์สุขและการเรียนของเขาอย่างสนอกสนใจ เด็กชายรู้สึกอบอุ่นและเริ่มรักทิพย์สุรางค์มากขึ้นเรื่อยๆ
ความฉลาดทำให้กรอ่านออกว่า ที่ทิพย์สุรางค์ดีกับเขามากขึ้นในระยะหลังๆนี้ก็เพราะความเหงา
ในเวียงพุกามถึงจะมีคนอยู่กันเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ใช่คนในระดับชั้นที่เธอจะคบหาสมาคมเป็นเพื่อนกันได้ คนงานทุกคนและครอบครัว ล้วนเป็นผู้ที่มาพึ่งพาอาศัยคุณดนัยด้วยกันทั้งสิ้น พวกเขาเคารพนับถือคุณดนัยมากเท่าไร ก็ย่อมให้เกียรติยกย่องทิพย์สุรางค์ในฐานะลูกสาวเจ้านายมากเท่านั้น
อีกทั้งหญิงสาวเองก็เป็นคนเฉยๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจากับใครเท่าไรนัก มีแต่แม่บัวศรีที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เล็กคนเดียวเท่านั่น ที่เธอมักจะเข้าไปนั่งคุยเรื่องเก่าๆสอบถามหญิงวัยกลางคนผู้นั้น เกี่ยวกับมารดาที่เธอจำหน้าไม่ได้ เพราะจากไปตั้งแต่เธอยังเล็กๆ
ส่วนกรนั้นก็เป็นลูกกำพร้า เขายิ่งแย่กว่าเธอตรงที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ แถมญาติพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อก็ไม่มี จะมีก็แต่ญาติห่างๆในอีกอำเภอหนึ่งที่ห่างไกล หลังจากที่คุณดนัยนำตัวเขามาอุปการะที่เวียงพุกามแล้ว คนพวกนั้นก็ไม่เคยติดต่อไปมาหาสู่เขาอีกเลย''
กรเป็นเด็กที่โหยหาความอบอุ่น แต่ก่อนนี้เขาไม่มีใครที่จะหันไปหา คุณดนัยนั้นให้การอุปการะเขาอย่างดีก็จริง แต่ก็เป็นผู้ชาย ไม่ค่อยได้มาใส่ใจอะไรกับเขามากนัก เพราะมีธุระวุ่นวายต้องเดินทางไปที่ต่างๆอยู่เป็นประจำ ถ้าไม่ไปกรุงเทพฯก็จะเดินทางไปต่างประเทศ บางครั้งทิพย์สุรางค์ก็ติดตามไปด้วย แต่บางครั้งเธอก็ไม่ไปโดยให้เหตุผลว่าขี้เกียจเดินทางบ้าง เบื่อบ้าง แล้วพอนานเข้าเธอก็หันมาหากร ซึ่งเด็กชายก็เลยยึดเธอเป็นที่พึ่งเสียเลย
กรไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาโหยหาความอบอุ่น จากอ้อมอกของพ่อและแม่ที่เขาไม่มี เขาถูกดึงดูดด้วยความเป็นผู้หญิงเพศเดียวกับแม่ของเขา ให้รักและภักดีต่อทิพย์สุรางค์ ถึงบางครั้งเธอจะดุว่าหรือโมโหโทโสใส่เขาเวลาอารมณ์ไม่ดี เขาก็ไม่ถือสา เขาคิดว่าดีกว่าให้เธอทำท่าเฉยเมยไม่แยแส เพราะอย่างน้อยมันทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวอ้างว้าง ในโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้
อย่างไรก็ตาม กรก็ยังเป็นเพียงเด็กอายุสิบขวบกว่าๆเท่านั้น และเป็นเด็กที่รู้สถานภาพของตัวเองดีว่าเป็นใครมาจากไหน เขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องประจบเอาใจคนโน้นคนนี้ในเวียงพุกาม เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง เขาเป็นคนอ่อนไหว แต่ก็มีน้อยคนที่จะรู้ความจริงข้อนี้ ทิพย์สุรางค์นั้นอยู่ใกล้ชิดกับเขามากกว่าคนอื่นก็จริง แต่เด็กชายก็รู้ว่าเธอไม่ค่อยจะอินังขังขอบกับความรู้สึกของเขานัก
ในสายตาของเธอ เขาก็เป็นเพียงเด็กบ้าๆบอๆคนหนึ่งเท่านั้น ยามอารมณ์ดีเธอก็พูดจาเล่นหัวกับเขา หรือยอมให้เขาพาเธอซอกซอนไปตามที่ต่างๆนอกเวียงพุกาม ตอนนั้นเธอทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนหรือพี่สาวของเขา แต่เวลาที่อารมณ์ไม่ดีหรือรู้สึกเบื่อหน่ายอะไรก็ตาม เธอก็มักจะมาลงที่เขา ทำให้กรน้อยใจอยู่บ่อยๆ
แต่ถึงอย่างไร ในเวียงพุกามนี้เขาก็รักเธอมากที่สุด แต่ถึงจะรักทิพย์สุรางค์มากแค่ไหน บางครั้งเขาก็รู้สึกโกรธเกลียดและหมั่นไส้เธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เธอจงใจฉีกหน้าเขา ตอนที่เขากำลังเล่าถึงวีรกรรมต่างๆของเขา ที่โรงเรียนบ้างหรือในเวียงพุกามนี้บ้างให้คนอื่นฟัง
กรยังจำได้ถึงตอนที่คุณใหญ่และคุณสิริมา พี่ชายและพี่สะใภ้ของคุณหนู มาเยี่ยมบ้านเมื่อครั้งที่แล้ว มีพรรคพวกเพื่อนฝูงติดตามมาเที่ยวด้วยหลายคน มีการจัดเลี้ยงกันทุกวันด้วยอาหารรสเลิศ ทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง และที่ขาดไม่ได้คืออาหารเหนือ ทั้งน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง แคบหมู ไส้อั้ว แกงฮังเลย์ แกงอ่อมปลา แกงโฮะ ยำหน่อไม้ แคบหมู และข้าวเหนียวนึ่งใหม่ๆหอมกรุ่นที่คุณใหญ่โปรดปรานเป็นพิเศษ
ตกกลางคืนก็มีการจุดกองไฟและปิ้งบาบิคิวนั่งกินกันรอบกองไฟ ทุกคนสวมเสื้อกันหนาว เพราะอากาศที่นี่หนาวเย็นและหมอกลงจัดตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าหนาว บางคืนก็จับกลุ่มกันอยู่ในห้องโถงยาวใหญ่ เปิดเพลงเต้นรำกัน
หนุ่มๆสาวๆที่มาจากกรุงเทพฯเต้นรำเก่งกันทุกคน เป็นครั้งแรกที่กรได้เห็นคุณหนูเต้นรำ ตอนแรกเธอเต้นกับคุณใหญ่พี่ชายของเธอ กรจ้องมองไม่วางตา เขาลงความเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดและเต้นรำเก่งที่สุดในที่นั้น หลังจากนั้นก็มีการสลับคู่เต้นกัน คุณใหญ่หันไปจับคู่กับคุณสิริมา ส่วนคู่ของคุณสิริมาที่ชื่อคุณชาคริตก็เปลี่ยนมาเต้นกับคุณหนู
กรรู้จากแขกคนอื่นว่าคุณชาคริตผู้นี้เป็นเพื่อนรุ่นน้องของคุณใหญ่ ในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เขาเป็นลูกชายนักการเมืองผู้มีอิทธิพลสูงคนหนึ่งในจังหวัด ตัวเขาเองเป็นผู้บริหารระดับสูงในกิจการของครอบครัว
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เขาโอภาปราศัยกับกรเป็นอย่างดี ทำให้เด็กชายชื่นชอบเขาเป็นพิเศษ คุณชาคริตเต้นรำเก่งมาก เขาพาคุณหนูฉวัดเฉวียนไปมาบนหื้นห้อง ที่ปูด้วยไม้สักขัดเป็นมันวับอย่างแคล่ว คล่องสวยงาม และคุณหนูก็สามารถเต้นตามจังหวะของเขาได้โดยไม่ติดขัด
เด็กชายอ้าปากค้างตอนที่คุณชาคริตสะบัดคุณหนูออกไปจนสุดปลายแขน แล้วดึงเธอกลับเข้าหาตัวเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับที่เพลงจบลงพอดี กรไม่รู้ว่ามันคือจังหวะแทงโก เขารู้แต่เพียงว่ามันเป็นจังหวะเพลงที่กระแทกกระทั้น หมุนพริ้วและสวยงามยิ่งนัก
กรเพิ่งรู้ในวันนั้นว่าคุณหนูเต้นรำได้เก่งและสวยงาม ส่วนคุณชาคริตก็ทั้งหล่อและเก่ง เหมาะสมกับคุณหนูราวกับกิ่งทองใบหยก นั่นเป็นความรู้สึกของเด็กอายุเพียงสิบขวบ
หลังการเต้นรำ ระหว่างนั่งจิบเหล้าสรวลเสเฮฮา พูดคุยเล่าเรื่องต่างๆสู่กันฟัง แล้วใครสักคนในกลุ่มก็เล่าถึงเรื่องการไปล่าสัตว์ในป่าแถบเขาใหญ่ขึ้นมา เขาเล่าถึงการตามล่าควายป่าที่ถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัส แล้วจู่ๆ กรซึ่งนั่งฟังอยู่ใกล้ๆอย่างสนอกสนใจ คอยจังหวะที่จะแสดงความเก่งกาจของเขาออกมาบ้าง ก็ทะลุกลางป้องขึ้นมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ
“ผมก็เคยตามหนานคำไปยิงสัตว์ในป่าเหมือนกัน หนานคำยิงหมูป่าไม่ตาย ผมเลยวิ่งตามไปยิง...”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงเย็นชาแกมเยาะของคุณหนู ดังแทรกขึ้นมาว่า “ยิงด้วยปืนพลาสติกบ้าๆนั่นของเธอใช่ไหม นายกร?”
หน้าเล็กๆน่าขันของเด็กชายแดงก่ำขึ้นมาทันที เขาอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี น้ำตาพาลจะรินไหลออกมา คนอื่นๆหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน บางคนก็หัวเราะออกมา แล้วคนเล่าเรื่องควายป่าก็เล่าต่อไป ในขณะที่กรค่อยๆลุกเลี่ยงออกจากวง หลบขึ้นไปนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่คนเดียวในห้องส่วนตัวเล็กๆของเขา
คุณหนูใจดำอย่างกับอีกา พูดออกมาได้อย่างไรว่ายิงด้วยปืนพลาสติก คุณหนูเคยเห็นเขาสะพายปืนยาวที่ทำด้วยพลาสติก เที่ยวไล่ยิงสุนัขบ้าง ไก่บ้าง นกบ้างอยู่บ่อยๆ เธอไม่เคยรู้ว่าเขาเคยขอให้หนานคำสอนวิธียิงปืนจริงให้ แม้หนานคำจะไม่ยอมสอนให้ แต่ก็เคยให้เขายืมปืนจริงๆที่ไม่มีกระสุน มาลูบๆคลำๆและหัดเหนี่ยวไกเปล่าบ้างแล้ว
ใช่...เขาพูดเกินจริงไปหน่อย เรื่องยิงหมูป่า แต่คุณหนูก็ไม่ควรจะหักหน้าเขา ก็เขายังเป็นเด็กอยู่นี่นา คอยดูนะ ต่อไปนี้เขาจะไม่แยแสเธออีกแล้ว ต่อให้คุณหนูมาง้อเขา ตอนที่พี่ชายของเธอและพรรคพวกเพื่อนฝูงกลับไปกรุงเทพฯหมดแล้ว ซึ่งตอนนั้นคุณหนูคงจะเหงาและต้องการเขาเป็นเพื่อน เขาก็จะเมินเฉย จะหนีไปเที่ยวในหมู่บ้านใกล้ๆนี่ทุกวันเลย ตอนโรงเรียนเปิดเทอมเขาก็จะประท้วง ไม่กลับบ้านสักอาทิตย์สองอาทิตย์ เขาต้องสั่งสอนเธอเสียบ้างว่าการทำร้ายจิตใจผู้อื่นนั้นมีผลอย่างไร เด็กชายคิดฟุ้งซ่านเช่นนี้ไปเรื่อย จนผล็อยหลับไปทั้งที่น้ำตายังเปียกแก้ม