|
รู้โลกไม่สู้รู้ตน : มงคลแห่งชีวิต...ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน
คนไทยเรา, ชาวพุทธเรามักจะหวังให้มีสิ่งมงคลเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ผมเลยอยากจะเริ่มบทความด้วย มงคลสูตร 38 ประการ ที่จะพบว่า ข้อแรก ๆของมงคลสูตร คือ การบูชาผู้ที่ควรบูชา สำหรับคนไทยเราแล้ว เราถือว่าได้ทำสิ่งที่เป็นมงคลทุกวัน เพราะเรามีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงเป็นแบบอย่างให้ปวงชนชาวไทย พระผู้ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม
ต้นเดือนธันวาคมถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คนไทยมีความสุขที่สุด เพราะเป็นช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยเฉพาะในปีนี้ปีที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๘๔ พรรษา ได้อ่านหนังสือ ธรรมดี ที่พ่อทำ (โดยคุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย, สนพ.ดีเอ็มจี) บนหน้าปกหนังสือเขียนไว้ว่า คนไทยเราหลงลืมอะไรหรือเปล่า คนไทยเราโชคดี โชคดีที่มีพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงรักคนไทยที่สุด เพียงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และ เดินตามรอยพ่อ ด้วยการกระทำ เท่ากับเราก็มีมงคลติดตัวแล้ว
...เมื่อพูดถึงมงคลสูตรแล้ว วันนี้ขอพูดถึง ๒ ข้อแรกของมงคลสูตร (ที่มีทั้งสิ้น ๓๘ ประการ) คือ ๑) ไม่คบคนพาล ๒) คบบัณฑิต จะพบว่า สังคมไทยในระยะหลังไม่ว่าจะจากโพล จากการสำรวจความคิดเห็นพบว่า คนไทยเรามีความสุขน้อยลง ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องของ คน นั่นเอง
วันนี้ผมจะขอเล่าถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเสวนาธรรม ที่จัดโดยญาติธรรมลูกศิษย์ลูกหาของพระอาจารย์อริยะวังโส ที่สวนสราญรมย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (โดยมี ดร.วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง...ขออนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี้ด้วย) พูดถึงบทบาทของคนรุ่นใหม่ต่อการเปลี่ยนประเทศไทย ในงานเสวนาได้มีการพูดถึงเรื่องของ ปัญหาของคนไทยเราที่ปัจจุบันเราห่างจากธรรมะกันออกไปทุกที ห่างจากความเมตตาต่อกันและกันออกไปทุกที บางคนเคยพูดว่าสังคมเราที่เป็นอย่างทุกวันนี้เพราะ เราพูดกันด้วยเหตุด้วยผลมากเกินไป
ฟังแล้วอาจจะตลกนะครับว่า การพูดกันด้วยเหตุด้วยผล นั้นเป็นสิ่งที่สร้างปัญหาได้ด้วย แต่จริง ๆ ไม่ตลกครับเพราะ ในปัจจุบัน คนเรา มีความจริงกันคนละชุด คนเรา มีเหตุผลของคุณ มีเหตุผลของผม กล่าวคือมีชุดของเหตุผลคนละชุด การพูดจากันของคนไทยในวันนี้จึงเป็นการเข้าประหัตประหารกันด้วยเหตุผลคนละชุด มากกว่าการที่คุยกันด้วย ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกันและกัน อันเป็นพื้นฐานของสังคมไทยที่วางอยู่บนหลักการของพระพุทธศาสนา นอกจากนี้จากการที่สังคมไทยมีการปะทะกันผ่านการใช้เหตุผลคนละชุดแล้ว ทำให้บ่อยครั้งที่ระดับ ความก้าวร้าว ในสังคมไทยนั้นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้ผู้ที่มีความอ่อนโยน นุ่มนวล ต้องตกเป็นเบี้ยล่างเพราะต้านทานความรุนแรงของการใช้เหตุผลนั้นไม่ได้และต้องพ่ายแพ้ไป และกลายเป็นการนำมาสู่การขาดหายไปของ ความกล้าหาญเชิงจริยธรรม ในวันนี้บ่อยครั้งที่ผู้มีจิตใจดี มีธรรมนั้นค่อย ๆ หดหายไปเรื่อย ๆ คนพาลข่มบัณฑิต บัณฑิตนั้นก็ไร้ซึ่งความกล้าหาญที่จะหนักแน่นต่อสิ่งดีและความดี และการปะทะสังสรรค์กับความไม่ดี ระหว่างการสนทนาทำให้ผมนึกถึง พระชัยมงคลคาถา (หรือคาถา พาหุง มหากา) อันว่าด้วย ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๘ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะของพระพุทธองค์เหนือยักษ์อาวฬกะ ผู้หยาบกระด้าง, ช้างนาราคิริง (ที่เสียสติเพราะตกมัน), นางจิญจายมานวิกา ผู้ป้ายสีพระศาสดาด้วยการสร้างความเท็จ, นิครนนาฏบุตร ผู้อวดดีด้วยการใช้เหตุใช้ผลและวาทกรรม ว่าชัยชนะแต่ละครั้งของพระพุทธองค์นั้นไม่มีครั้งใดที่พระพุทธองค์ทรงหันหลังให้กับความชั่ว ความผิดศีล ผิดธรรม ความรุนแรง มิจฉาทั้งหลายทั้งปวง พระพุทธองค์ทรงหนักแน่นในทุก ๆ วาระ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนผู้ต้องการให้สังคมของเราดีขึ้นควรที่จะศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติ ท่ามกลางสังคมในปัจจุบัน ที่ยังมีสัดส่วนของคนพาล ผู้เห็นผิดอยู่หากว่าปราศจากซึ่งความกล้าในเชิงจริยธรรม ความดีที่มีอยู่อาจจะไม่สามารถสร้างผลในสังคมพลิกฟื้นสังคมของเราได้
ในช่วงเดือนมหามงคลเป็นรอยต่อกับช่วงปีใหม่นี้ มาร่วมกันสร้างมงคลให้กับตนเองตามหลักมงคลสูตรกันเถอะครับ ไม่คบคนพาล ปฏิเสธการกระทำของคนพาลด้วยความกล้าทางจริยธรรม คบบัณฑิตและส่งเสริมให้บัณฑิตเสริมสร้างความดีในสังคมขยายผลให้ความดีมีที่ยืน และบูชาบุคคลที่ควรบูชา แล้วสังคมเราจะน่าอยู่ขึ้นครับ.
credit : dailynews
Create Date : 14 มกราคม 2555 |
Last Update : 14 มกราคม 2555 20:49:42 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1026 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Upper Midwest United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [?]
|
"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น" ขุ.ธ. 25/15/24 เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557
| | | |