เผชิญวิกฤตแห่งปัญญาด้วยหัวใจที่มีธรรม ธรรมะเนื่องในวารดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๕๕ (ตอน 1-3)
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโสปุจฉา : เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๕ ขอเจริญพรสาธุชนชาวไทยทุกท่าน ได้พึงตระหนักในการดำเนินชีวิตให้มากยิ่งขึ้น รู้จักคิด วางแผน เพื่อการดำเนินชีวิตไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยมีระเบียบแบบแผนที่สอดคล้องสัมพันธ์กับสภาพความจริงที่ปรากฏอยู่ในสังคมและสิ่งแวดล้อม... พึงคิดทบทวนในวันส่งท้ายปีเก่าว่า ...ในห้วงเวลาที่ผ่านมาเราได้กระทำอะไรไปบ้าง... สิ่งที่กระทำนั้นให้คุณให้โทษอย่างไร ทั้งต่อตนเอง... ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ตลอดจนสิ่งแวดล้อม... และเราได้รับผลจากการกระทำของผู้อื่น หรือจากครอบครัว สังคม ประเทศชาติ ตลอดจนถึงสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง เป็นคุณหรือโทษอย่างไร ลองคิดพิจารณาดู...การรู้จักคิดพิจารณาเพื่อเข้าให้ถึงสัจจะ หรือความจริง (Truth) จากเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้นจริง (Fact) นั้น เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เพื่อการศึกษาที่จะนำไปสู่ความเข้าใจในความจริงที่ปรากฏมีอยู่ในเรื่องจริงนั้นๆ...เป็นการฝึกฝนความระลึกรู้หรือสติ ที่สามารถจดจำเรื่องดังกล่าวด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องได้...เพื่อการพิจารณาให้เกิดปัญญาจากเรื่องนั้นๆ เป็นสำคัญ...หลากหลายเรื่องที่ผ่านมาในชีวิต เราอยากจะลบเลือนไปจากจิต...ไม่อยากจดจำเพราะไม่สบายใจ...ทุกข์ใจ...เสียใจ...ซึ่งหากไม่รู้จักละความจดจำเรื่องราวทั้งหลายไปจากจิตใจบ้าง...ก็ไม่ใช่เป็นหนทางปฏิบัติที่ถูกต้องนัก ถึงแม้จะเป็นอำนาจแห่ง วิภวตัณหา ที่ไม่อยากมี...ไม่อยากเป็น หรืออำนาจแห่งความอยากมี...ความอยากเป็น ที่เรียกว่า ภวตัณหา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอำนาจแห่งความอยาก ที่เรียกว่า ตัณหา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม การอาศัยความอยากที่ดี แก้ความอยากที่ไม่ดีนั้น ก็คงไม่ใช่เรื่องถูกต้องนักในทางความเป็นปกติตามหลักปฏิบัติธรรม... เผชิญวิกฤตแห่งปัญหา...ด้วยหัวใจที่มีธรรม ธรรมะเนื่องในวารดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ตอน ๒) โดย...พระอาจารย์อารยะวังโสปุจฉา : แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้จักคิดแก้ไขอะไรๆ เลย จึงเป็นเบื้องต้นแห่งการคิดทำเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิต แม้จะต้องแก้ด้วยอำนาจแห่งความอยาก หากดำรงความอยากให้อยู่ในกรอบศีลธรรม ...ความอยากนี้ก็สามารถปรับรูปเป็นอำนาจแห่งความพึงใจ (ฉันทะ) ที่ถูกต้องชอบโดยธรรมได้ ซึ่งจะนำไปสู่พลังสร้างสรรค์แห่งการดำเนินชีวิตต่อไป ...แท้จริงแห่งการดำเนินชีวิตเพื่อนำไปสู่ความสงบสุขนั้น จึงจะต้องรู้จักการบรรเทาเบาบางในความอยาก จนสามารถทำให้ความอยากสิ้นสุดลงไปได้ จึงจะพบความสงบสุขได้...ซึ่งต้องใช้ความเข้าใจ...เข้าถึง เหตุปัจจัยแห่งเรื่องราวปัญหาความทุกข์เหล่านั้น...ว่า ทำไมเป็นอย่างนั้น..! ทำไมเป็นอย่างนี้ หรือปัญหานั้น ปัญหานี้ เกิดขึ้นด้วยเพราะอะไร... อะไรทำให้เกิดปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาได้... ความเข้าใจที่เข้าถึงชั้นความจริง รู้แจ้งถึงเหตุปัจจัยแห่งปัญหานั้นๆ จึงเป็นอำนาจธรรมที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาให้สิ้นไปได้อย่างแท้จริง...ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่จะนำชีวิตไปสู่ความสุขสงบได้อย่างแท้จริง คือ ความเข้าใจ อันหมายถึง การมี สติปัญญา ตามความหมายแห่งธรรมนั่นเอง ...จึงไม่แปลกที่มีคำพูดว่า จงใช้ปัญญา ในการแก้ปัญหา เพราะปัญหาดับสิ้นได้ด้วยปัญญา เท่านั้นเอง อย่างอื่นไม่มี...การที่จะสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นได้ ก็ต้องรู้จักพัฒนาจิตจนเข้มแข็ง ตั้งมั่น (หมายถึง การมีสมาธิอยู่ในระดับใช้งานได้ อุปจารสมาธิ) เพื่อใช้จิต พินิจพิจารณาด้วยอำนาจแห่งสติ คือ ความระลึกรู้ของจิต จนเกิดปัญญาตามการระลึกรู้นั้น ซึ่งอำนาจแห่งสติจะระลึกรู้ในเรื่องราวต่างๆ แม้ที่ผ่านไปแล้ว เพื่อประโยชน์จากการพิจารณาให้เกิดความเข้าใจ จนกลายเป็นปัญญา เพื่อจะได้นำความรู้ความเข้าใจ มาจัดระบบ ระเบียบ วางแผนการดำเนินชีวิต เพื่อป้องกันและเตรียมพร้อมในการแก้ไขทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้นในเบื้องหน้าหมายเหตุ : ขออภัยท่านผู้อ่านธรรมส่องโลกฉบับวันที่ 2 ม.ค. ที่ตีพิมพ์ผิดพลาดในหัวข้อเรื่อง : เผชิญวิกฤตแห่งปัญหา...ไม่ใช่เผชิญวิกฤตแห่งปัญญา... เผชิญวิกฤตแห่งปัญหา...ด้วยหัวใจที่มีธรรมธรรมะเนื่องในวารดิถีขึ้นปีใหม่พ.ศ.๒๕๕๕ (ตอน๓) โดย...พระอาจารย์อารยะวังโสปุจฉา : การรู้จักระลึกรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านไป เพื่อประกอบการพิจารณาโดยแยบคายอันนำไปสู่ปัญญา จึงเป็นเรื่องแนวทางปฏิบัติ เพื่อสร้างเสริมสติปัญญาให้แข็งแรง เตรียมพร้อมกับการเผชิญเหตุในกาลเบื้องหน้า ... ด้วยสัจธรรมที่ว่า ไม่เคยสิ้นปัญหาให้แก้ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่... จึงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญหาในวันพรุ่งนี้!! เพราะนี้คือโลกที่เป็นสังขารธรรม หรือสภาวธรรมที่ปรุงแต่ง หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ดังพุทธภาษิตที่ว่า...โลกอันชรานำไปไม่ยั่งยืน...โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตนโลกไม่มีสิ่งใดเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไปโลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่มเพราะฉะนั้น เมื่อโลกเต็มไปด้วยปัญหาที่เกิดจากธาตุอวิชชา จึงเป็นเรื่องยากที่จะหยุดยับยั้งให้โลกนี้สงบราบเรียบ ไร้มูลฝอยแห่งปัญหา... ปัจจัยที่สำคัญของการดำเนินชีวิตที่จะนำไปสู่การบรรลุผลในฐานะมนุษย์ที่ประเสริฐ จึงต้องพร้อมที่จะแก้ไขปัญหา ... ดับปัญหานั้นๆ ให้สิ้นไป ซึ่งจะต้องใช้อำนาจแห่งปัญญาที่เกิดจากการรู้เท่าทัน เข้าถึงสาเหตุแห่งปัญหานั้นของโลก ด้วยความเข้าใจ...เข้าถึงเหตุปัจจัยแห่งปัญหาของโลก จึงจะทำให้เราอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี เรียกว่า ขจัดธุลีละอองแห่งปัญญาได้ด้วยอำนาจแห่งปัญญา ... ที่เกิดจากจิตใจที่มีธรรม...อาตมากล่าวบรรยายหลักธรรมโดยสรุปดังกล่าวมา เพื่อแสดงให้เห็นแนวทางของการพิจารณาออกมาจากปัญหา และความทุกข์ของการดำเนินชีวิต ที่สาธุชนทั้งหลายจะต้องครรลองชีวิตต่อไปบนโลกใบนี้ ที่นับวันยิ่งมากรกรุงรังไปด้วยปัญหา ทั้งที่เกิดขึ้นด้วยธรรมชาติของมันเอง และเกิดขึ้นเพราะสัตว์มนุษย์ ผู้โง่เขลาเบาปัญญาก่อการกระทำขึ้น ให้ปัญหามันสืบเนื่อง มากปมจนยุ่งเหยิง เหมือนกลุ่มด้ายของช่างทอหูก ... ให้ความทุกข์มันเกิดสืบเนื่องจากความทุกข์ที่มีอยู่แล้ว ให้ทับถมทุกข์มากเพิ่มพันทวี จนสัตว์มนุษย์ทั้งหลาย ผู้ไม่ปรารถนาทุกข์ เริ่มหมดขีดความอดทนต่อความทุกข์ หรือปัญหาที่มากขึ้น ยิ่งขึ้น ... จึงนำไปสู่การขวนขวายหาหนทางแก้ไขปัญหา เพื่อขจัดความทุกข์ดังกล่าวของมวลมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ให้สิ้นไปcredit : posttoday