โขน...นาฏศิลป์ชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทย มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงการเล่นโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ ผู้เต้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ โขนเป็นที่รวมของศิลปะหลายแขนง นำวิธีเล่นและวิธีแต่งตัวบางอย่างมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ มีท่าทางการต่อสู้ที่โลดโผน ท่ารำ ท่าเต้น และนำศิลปะการพากย์ การเจรจา หน้าพาทย์ และเพลงดนตรีมาประกอบการแสดง การแสดงโขน ผู้แสดงสวมศีรษะคือหัวโขนปิดหน้าหมด ยกเว้นเทวดา มนุษย์ มเหสี ธิดาพระยายักษ์ มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้ และมีคนพากย์และเจรจาให้ด้วย
เรื่องที่นิยมแสดงคือเรื่องรามเกียรติ์และอุณรุท ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนใช้วงปี่พาทย์
โขนแบ่งออกเป็น 5 ประเภท มีโขนกลางแปลง โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว โขนหน้าจอ โขนโรงใน และโขนฉาก
โขนกลางแปลง คือการเล่นโขนบนพื้นดินกลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรงให้เล่น นิยมแสดงตอนยกทัพรบกัน ได้วิวัฒนาการมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์
โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว เป็นการแสดงบนโรงมีหลังคา ไม่มีเตียงสำหรับตัวโขนนั่ง แต่มีราวพาดตามส่วนยาวของโรงตรงหน้าฉาก (ม่าน) มีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราวแทนเตียง มีการพากย์และเจรจา แต่ไม่มีการร้อง มีปี่พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ 2 วง เพราะต้องบรรเลงมาก ตั้งที่หัวโรงและท้ายโรง เรียกว่าวงหัวและวงท้าย หรือวงซ้ายและวงขวา วันก่อนแสดงโขนนั่งราวจะมีการโหมโรง และให้พวกโขนออกมากระทุ้งเส้าตามจังหวะเพลง พอจบโหมโรงก็แสดงตอนพิราพออกเที่ยวป่า จับสัตว์กินเป็นอาหาร พระรามหลงเข้าสวนพวาทองของพิราพ แล้วก็หยุดแสดง พักนอนค้างคืนที่โรงโขน รุ่งขึ้นจึงแสดงตามเรื่องที่เตรียมไว้ จึงเรียกว่า “โขนนอนโรง”
โขนหน้าจอ คือโขนที่เล่นตรงหน้าจอ เดิมขึงไว้สำหรับเล่นหนังใหญ่ที่มีการเชิดหนังใหญ่อยู่หน้าจอผ้าขาว การเล่นหนังใหญ่มีศิลปะสำคัญคือ การพากย์และเจรจา มีดนตรีปี่พาทย์ประกอบการแสดง ผู้เชิดตัวหนังต้องเต้นตามลีลาและจังหวะดนตรี นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์ ต่อมามีการปล่อยตัวแสดงออกมาแสดงหนังจอแทนการเชิดหนังในบางตอน เรียกว่า “หนังติดตัวโขน” เมื่อมีผู้นิยมมากขึ้นเลยปล่อยตัวโขนออกมาแสดงหน้าจอตลอด กลายเป็นโขนหน้าจอ และต้องแขวะจอเป็นประตูออก 2 ข้าง เรียกว่าจอแขวะ
โขนโรงใน คือโขนที่นำศิลปะละครในเข้ามาผสม มีปี่พาทย์บรรเลง 2 วงผลัดกัน การแสดงมีทั้งออกท่ารำท่าเต้น มีการพากย์และเจรจาตามแบบโขน เพลงขับร้องและเพลงประกอบกิริยาอาการของดนตรีแบบละครใน และมีการนำระบำรำฟ้อนผสมเข้าไปด้วย เป็นการปรับปรุงให้มีวิวัฒนาการขึ้นอีก มีการผสมผสานระหว่างโขนกับละครในสมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ทั้งมีกวีในราชสำนักช่วยปรับปรุงขัดเกลา และประพันธ์บทพากย์บทเจรจาให้ไพเราะสละสลวยขึ้นอีก
โขนที่กรมศิลปากรนำออกแสดงในปัจจุบันก็ใช้ศิลปะการแสดงแบบโขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอก็ตาม
โขนฉาก เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีผู้คิดสร้างฉากประกอบเรื่องเมื่อแสดงโขนบนเวทีคล้ายกับละครดึกดำบรรพ์ ส่วนวิธีแสดงดำเนินเช่นเดียวกับโขนโรงใน แต่มีการแบ่งเป็นชุดเป็นตอน เป็นฉาก และจัดฉากประกอบตามท้องเรื่อง จึงมีการตัดต่อเรื่องใหม่ไม่ให้ย้อนไปย้อนมาเพื่อสะดวกในการจัดฉาก กรมศิลปากรได้ทำบทเป็นชุดๆไว้หลายชุด เช่น ชุดพระรามเดินดง ชุดหนุมานอาสา ชุดนางลอย ฯลฯ
โอกาสดูโขนไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการแสดงมีต้นทุนสูง ผู้แสดงมีน้อย และส่วนใหญ่มีงานประจำ เว้นแต่ในพระราชพิธีสำคัญจะมาร่วมกันแสดงให้คนดูได้ตื่นตะลึงกับความโลดโผนสวยงาม สมกับเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงจริงๆ
ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน ปีที่ 13 ฉบับที่ 3255 ประจำวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2555 คอลัมน์ วัฒนธรรมบ้านเรา โดย กรวี
วัฒนธรรมบ้านเรา: โขน..โลดโผนและสวยงาม