เปิดเมืองลับแล ชมวิถีวัฒนธรรม
เอ่ยถึงเมืองลับแล นอกจากการเป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดอุตรดิตถ์ หลายคนคงนึกถึงนิยายที่เล่าขานถึงเมืองอาถรรพ์
เอ่ยถึงเมืองลับแล นอกจากการเป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดอุตรดิตถ์ หลายคนคงนึกถึงนิยายที่เล่าขานถึงเมืองอาถรรพ์ แต่หากพิจารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว เมืองนี้ไม่ได้ลึกลับอะไร ตรงข้ามเป็นเมืองที่มีความเก่าแก่และยังคงรักษาเสน่ห์แบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี
หลักฐานด้านโบราณคดีระบุว่า ในอดีตลับแลเคยเป็นเมืองใหญ่ซึ่งเป็นชุมชนของพวกละว้าและขอม โดยมีการขุดพบกลองมโหระทึกและพร้าสำริดได้ในบริเวณดังกล่าว ส่วนที่มาของชื่อ "ลับแล" มาจากการที่ทางด้านเหนือของเมืองมีภูมิประเทศเป็นป่าเขาสลับซับซ้อน มีอากาศเย็น ในยามพลบค่ำแม้พระอาทิตย์จะยังไม่ตกดินก็ตามแต่ก็จะมืดเร็ว เพราะมีดอยม่อนฤๅษีเป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ ป่านี้จึงได้ชื่อว่า ป่าลับแลง (แลง แปลว่า เวลาเย็น)
ต่อมาเกิดการเพี้ยนเป็น ลับแล ซึ่งกลายมาเป็นชื่ออำเภอลับแลในสมัยปัจจุบัน ในท้องถิ่นลับแลงมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอยู่หลายด้านอาทิ เช่น การทอผ้าซิ่นลับแลง ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นและยังมีการสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการฟ้อนซอลับแลงโดยฟ้อนประเภทนี้เป็นการฟ้อนประกอบกับดนตรีปี่ซอ เป็นต้น
ดังนั้นเพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรม จังหวัดอุตรดิตถ์ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ สภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมกับองค์กรภาครัฐ เอกชน ผู้นำท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่จึงได้ร่วมกันจัดทำโครงการสืบสานงานศิลป์ถิ่นลับแลง ครั้งที่ 2 ประจำปี 2555 ขึ้น ในวันที่ 21 มกราคม 2555 ณ บริเวณหน้าอนุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยได้เรียนเชิญ ดร.เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ มาเป็นแขกรับเชิญกิตติมศักดิ์
การจัดงานจะเริ่มตั้งแต่เวลา 08.30 น. หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการในช่วงเช้า เวลา 10.00 น. เริ่มการเสวนาหัวข้อ สายใยไท - ยวนเมืองอุตรดิตถ์ นำเสวนาโดยนายไกรวุฒิ จันทร์รัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวัฒนธรรม รองนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์
งานนี้นอกจากจะได้รู้จักเมืองลับแลในมิติประวัติศาสตร์ ยังจะได้สัมผัสกับของดีเมืองลับแล อาทิ ผลไม้ขึ้นชื่ออย่างทุเรียนพันธุ์พื้นเมือง "หลงลับแล" "หลินลับแล" ที่ได้รับการยอมรับว่ารสชาติเข้มข้น อร่อย หอมหวานเป็นเอกลักษณ์ รวมถึง ลางสาด ลองกอง ลางกอง ที่มีชื่อเสียงเรื่องรสชาติเช่นเดียวกัน
ส่วนอาหารพื้นบ้านที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนเมืองลับแลก็คือ "ข้าวแคบ" มีลักษณะเป็นแผ่นแป้งบางๆ คล้ายพลาสติก ได้จากการไล้น้ำแป้งลงบนผ้าที่วางลงปากหม้อดินขณะที่มีไอน้ำเดือดคล้ายกับข้าวเกรียบปากหม้อ ข้าวแคบสามารถแบ่งออกได้เป็นแบบเปียกและแบบแห้ง นิยมนำมารับประทานเล่นได้ทันที หรือนำมาห่อกับเส้นหมี่ที่คลุกกลับเครื่องปรุงรส เรียกว่า หมี่พัน สำหรับข้าวแคบแบบเปียกจะใช้ไม่แผ่นแบนๆ ชาวลับแลเรียกว่า ไม้หลาบ ม้วนแผ่นแป้งที่สุกแล้ว รูดออกมาจากไม้แล้วม้วนทันที เรียกว่า "ข้าวพัน" นิยมรับประทานกับน้ำจิ้ม ที่ปรุงรสด้วยพริกป่น น้ำปลา และน้ำตาล
นอกจากนี้เมืองลับแลยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง อาทิ วัดเจดีย์คีรีวิหาร พระบรมธาตุเจดีย์ทรงลังกา บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า, วัดดอนสัก ที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาและมีบานประตูแกะสลักงดงาม, วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง วัดเก่าแก่ภายในพระบรมธาตุทุ่งยั้งซึ่งเก่าแก่มาก และวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงสุโขทัย และปฏิสังขรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่น่าสนใจคือเส้นทางศึกษาวัฒนธรรมเมืองลับแล เป็นเส้นทางจักรยาน มีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นทำหน้าที่ให้ข้อมูลประกอบการแวะชมโบราณสถาน และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรซึ่งเน้นระบบธรรมชาติแบบพึ่งพาอาศัยกัน โดยมีไฮไลต์คือการชมการขนส่งผลไม้ข้ามภูเขาด้วยลวดสลิงแห่งเดียวในประเทศไทยหรืออาจจะรวมถึงแห่งเดียวในอาเซียนก็ว่าได้
รับรองว่าทุกท่านจะได้อิ่มอร่อยกับผลไม้สดๆ จากยอดดอย สมกับที่มีคนขนานนามว่า ภูเขากินได้
credit : bangkokbiznews
Create Date : 28 มกราคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 28 มกราคม 2555 11:42:06 น. |
Counter : 2930 Pageviews. |
|
|
|