Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
12 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

10 ข้อ ลูกสาว คบเพื่อนชายไม่ให้เกินเลย


วันก่อนแม่เห็นรูปถ่ายลูกสาวกับเพื่อนๆ ถ่ายร่วมกันที่โรงเรียน
รูปถ่ายนักเรียนชายหญิงเป็นกลุ่มใหญ่ หลายคนทำท่าล้อเลียนชูนิ้วเติมเขาให้เพื่อนที่อยู่ข้างหน้า
แม่ลูกสาวยืนเอามือเกาะไหล่นักเรียนชายคนหนึ่ง อีกมือหนึ่งชูสองนิ้วยิ้มร่า
วันนั้นแม่ดูรูปผ่านไป ยังไม่ได้คิดอะไร

วันนี้ลูกสาวขออนุญาตชวนเพื่อนๆ ที่โรงเรียนมาทำรายงานกลุ่มที่บ้าน พ่อแม่อนุญาต
และชวนกันไปตลาดเพื่อจัดเตรียมเรื่องอาหารการกินให้พวกเขา
พอกลับถึงบ้านเห็นเด็กๆ นั่งคุยกันอยู่ตรงสนามหน้าบ้าน
ในกลุ่มนั้นมีเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ดูจะโตที่สุดในกลุ่มอยู่ 2 คน นอกนั้นก็ยังดูเป็นเด็กๆ อยู่
แม่สังเกตเห็นลูกและเพื่อนๆ คุยกันไปก็แหย่กันเสียงเฮฮา เล่นผลักกันบ้าง ตีหัวกันบ้าง
เด็กหนุ่มที่โตกว่าเพื่อนเอื้อมมือมาขยี้ผมสาวน้อย ในกลุ่มที่นั่งตรงข้าม ทีเล่นทีจริง เด็กสาวสะบัดผมยกมือปัดออก
พ่อหนุ่มคนนั้นยังชะโงกมาดูรายงานจนใกล้ตัวแม่สาวน้อย แม่รีบลุกขึ้นออกไปทักทาย
แต่ในใจจะตัดบทและเปลี่ยนพฤติกรรมของหนุ่มน้อยมากกว่า

คืนนั้นแม่ย้อนคิดไปถึงหลายปีก่อนที่แม่ตั้งใจ จะให้ลูกเรียนโรงเรียนสหศึกษา
เพราะแม่เชื่อมั่นว่า จะเป็นการเตรียมความพร้อมลูก ให้ปรับตัวเข้ากับเพื่อนเพศตรงข้ามได้อย่างเหมาะสม
และยังเป็นการหลีกเลี่ยง พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศแบบทอม-ดี้ที่มักจะเกิดในโรงเรียนเพศเดียวล้วนๆ
แต่ภาพที่เห็นวันนี้ตอนกลางวัน แม่ได้ทบทวนว่าตัวแม่ลืมให้ความสำคัญในบางเรื่องไป
เพราะเคยมองเห็นแต่ด้านดีเป็นหลัก ด้านดีที่พบว่า การคบหาเพื่อนชายเป็นไปโดยธรรมชาติ
กล้าพูดกล้าแสดงออกไม่มีเขินอาย คำเรียก เธอ-เรา หรือสนิทหน่อยก็ เอ็ง-ข้า แม้จะฟังขัดหูตอนแรก
แต่หลังๆ แม่ก็ชักชินเหมือนกัน แม่คิดว่าลูกสาวของแม่สอบผ่าน ในเรื่องการปรับตัวกับเพื่อนชายดังที่มุ่งหวังไว้

แต่วันนี้ แม่รู้ว่าแม่ลืมบางอย่างที่สำคัญไป ลืมที่จะบอกลูกสาวว่า ควรวางตัวอย่างไรกับเพื่อนชาย
และท่าทีความสนิทสนมแค่ไหนอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม

ประสบการณ์อาบน้ำร้อนมาก่อนทำให้แม่รู้ว่าลูกและเพื่อนๆ ลูกบางคนยังเด็กอยู่
อาจไม่ได้คิดอะไรมากมายเหมือนแม่ แต่เพื่อนบางคนโดยเฉพาะเพื่อนชายที่โตแล้ว
แม่เชื่อว่าเขาคิด เพราะธรรมชาติของเด็กชายวัยนี้ ฮอร์โมนทางเพศในร่างกายเขาได้พัฒนาไปเต็มที่แล้ว
เด็กชายบางคนเป็นหนุ่มเร็วกว่าที่เราคิด จึงส่งผลให้เขามีการแสดงออกที่เริ่มจะเกินเลยไป จากความเป็นเพื่อน

ท่าทีเช่นนี้หากไม่มีใครเอาใจใส่หรือปล่อยปละละเลยโดยคิดว่า เด็กคงยังไม่คิดอะไร
หากสถานการณ์ เวลา โอกาสหรือสถานที่เอื้ออำนวย การค่อยๆ รุกล้ำแบบไม่เจตนาเช่นนี้
อาจทำให้เด็กหญิงของเรา ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและในที่สุดอาจจะเสียท่าได้ง่ายๆ เหมือนกัน


สำคัญที่วางตัว

เริ่มต้น แม่ต้องทำให้ลูกสาวเข้าใจก่อนว่า วัยนี้ทั้งตัวลูกและเพื่อนผู้ชายของลูก ต่างก็โตขึ้น
ร่างกายและจิตใจมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยหนุ่มสาวมากขึ้น โดยที่ตัวเองอาจไม่ได้สังเกตตนเองหรือไม่ทันคิด
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ส่งผลให้ร่างกาย เกิดความเรียกร้องต้องการต่อความรู้สึกทางเพศได้โดยธรรมชาติ
ดังนั้นถ้าเราไม่รู้จักระวังตัว หรือควบคุมตัวเองอย่างเหมาะสม มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาเพลี่ยงพล้ำได้ง่าย

สอง ต้องยกตัวอย่างคุยกับลูกในแต่ละสถานการณ์ต่างๆ ว่า
ควรวางตัวอย่างไร จึงจะไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งเกินเลยได้โดยง่าย เช่น การเล่นกันหรือแกล้งกัน
โดยการถูกเนื้อต้องตัว เหมาะสมแล้วหรือไม่ เพราะฝ่ายหญิงค่อนข้างเสียเปรียบกว่าฝ่ายชาย
ลูกสาวเล่าว่า เคยเล่นกันถึงขนาดกระโดดเตะก้นกันมาแล้ว ยิ่งทำเอาแม่ตกใจใหญ่ เพราะการเล่นสนุกกัน
โดยไม่ทันคิดอย่างนี้ ถ้าเพื่อนชายบางคนเกิดสนุกเล่นตอบบ้าง เป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลยในสายตาพ่อแม่

สาม ต้องหลีกเลี่ยงการจับไม้จับมือ การปล่อยให้เพื่อนเอามือขยี้ผม ตีหัว
ลูกต้องรู้จักดูแลร่างกายของเรา ไม่ใช่ปล่อยให้ใครๆ มาสัมผัสได้ง่ายๆ
แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนซี้สนิทสนมกันสักแค่ไหน ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เพื่อนๆ เท่านั้น
ญาติพี่น้องหรือแม้แต่ครู ก็ไม่ควรยินยอมให้มาสัมผัสเนื้อตัวเราได้ สมัยนี้วางใจกันลำบากเหลือเกินลูกเอ๋ย

สี่ไม่ควรอยู่ในที่ลับตาคนสองต่อสองกับเพื่อนชายหรือผู้ชายคนอื่นๆ
หากมีความจำเป็น ควรชวนคนอื่นอยู่เป็นเพื่อนด้วย

ห้า เวลาชวนเพื่อนๆ มาบ้าน ไม่ควรให้เพื่อนชายขึ้นมาอยู่บนห้องส่วนตัวของเรา
เพราะห้องนอนเป็นที่เฉพาะตัว และเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมาแม่จะอนุญาต เมื่อลูกพาเพื่อนหญิงมาทำงานด้วยกัน
แต่ถ้าเป็นเพื่อนชายลูกจะรู้ว่าควรมีขอบเขตแค่ไหน เช่น เฉพาะห้องรับแขก หรือชั้นล่างของบ้านเท่านั้น

หก สำหรับเพื่อนชายรุ่นน้องก็เช่นเดียวกัน
แต่เดิมลูกให้ความสนิทสนมเป็นพิเศษ เพราะเป็นน้อง เป็นเพื่อนๆ ของน้อง แต่เมื่อลูกเริ่มโตเป็นสาวขึ้น
น้องก็ย่อมโตขึ้นด้วย จึงควรระมัดระวังท่าที ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมเช่นสมัยเมื่อเรายังเป็นเด็กด้วยกัน

เจ็ด การพูดคุยทางโทรศัพท์
เพื่อนชายบางคนเริ่มหัดใช้คำหวานป้อนสาวๆ เป็น ก็มักจะลองพูดโทรศัพท์กับเพื่อนหญิงใกล้ตัวดูก่อน
(การไม่เห็นหน้าทำให้ไม่เขิน) ทั้งที่บางทีไม่ได้คิดอะไรหรอก
แต่ฝ่ายหญิงที่อ่อนหัดกว่ารับโทรศัพท์ ก็อดใจอ่อนตามไม่ได้
สถานการณ์เช่นนี้ต้องฝึกลูกสาวให้กล้าตอบโต้ กล้าเบรกเพื่อนคนนั้น หรือต้องกล้าปฏิเสธที่จะไม่รับฟัง
ต้องหยั่งท่าทีคนพูดให้ออกว่าพูดด้วยเจตนาอย่างไร
ไม่ควรเกรงใจทนฟังคำป้อยอนั้นจนทำให้อีกฝ่ายได้ใจ รุกมากขึ้น
แม้จะเป็นเรื่องการพูดจาก็ต้องมีศิลปะ จัดการอย่างเหมาะสมเช่นกัน

แปด การขอไปบ้านเพื่อนชาย ไม่ควรไปโดยลำพังคนเดียว
เพราะถึงเราจะเชื่อใจลูก แต่พ่อแม่ของเพื่อนชายเขาอาจจะตีความไปในทางมิชอบได้
ลูกเราก็จะตกเป็นขี้ปากไป โดยไม่เป็นธรรม
หากลูกจะไปเพราะเป็นงานวันเกิด ไปทำรายงาน ก็ควรแน่ใจว่ามีเพื่อนๆ คนอื่นไปด้วยหลายคน
หรือหากยังไม่มั่นใจก็ไปส่งและขอนั่งรอเป็นเพื่อนด้วยก็น่าจะได้

เก้า การร่วมงานกินเลี้ยงในหมู่เพื่อนๆ
เด็กสมัยนี้หนีไม่พ้นงานดิ้น งานเต้นหรือบางครั้งก็มี การขอลองกินเบียร์ กินไวน์บ้าง สำหรับเด็กอาจรู้สึกว่าเท่
แต่เราพ่อแม่ควรกำหนดเป็นข้อห้ามสำคัญ
เพราะบางครั้งขอเพียงแค่ลองครั้งแรก ก็อาจมีเหตุชักนำให้ไปไกลจนเราเสียใจภายหลังได้
การวางตัวในงานเลี้ยงสังสรรค์ การกินเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ที่ระยะหลังหันมาเน้นกลุ่มเป้าหมาย วัยรุ่นมากขึ้น
เป็นเรื่องที่จะชักนำไปสู่ยาเสพย์ติด ยาบ้า หรือยากระตุ้นประสาทต่างๆ ได้
ดังนั้นต้องขอเป็นคำมั่นสัญญาจากลูก และคุยกันให้จงหนักก่อนอนุญาติให้ไป
พร้อมกับควรมีการคาดโทษไว้ด้วย หากทำผิดกติกา
และที่ควรเอาใจใส่อย่างยิ่ง ควรโทรศัพท์ไปพุดคุยกับผู้ใหญ่ของบ้านที่จะจัดเลี้ยงนั้นด้วย
จะได้ฝากฝังและถามรายละเอียด ที่เราจะวางใจได้ หรือหากจะทันสมัยขนาดจัดเลี้ยงในโรงแรม
และพ่อแม่ไม่อาจปฏิเสธได้ ขอแนะนำให้หาหนังสือไปอ่านรอที่หน้าห้อง เพื่อดูแลและรับกลับในเวลาที่เหมาะสม

สิบ การไปดูภาพยนต์กับเพื่อนชาย เด็กสาววัยนี้ยังไม่สมควรไปดูหนังกับเพื่อนชาย สองต่อสอง
จะบอกว่าเป็นหนังแอ็กชั่นบู๊เด็ดเผ็ดมัน หนังเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ก็ยังไม่เหมาะสม
หากจะไปดูก็ควรไปดูเป็นกลุ่มจะดีกว่า เพราะในโรงหนังมันมืด อะไรจะเกิดก็เกิดได้ง่ายกว่าปกติ
หากลูกสาวของเราเป็นเด็กอ่อนหัด และเด็กชายเจตนาไม่ดี บอกได้คำเดียวว่า งานนี้เสียเปรียบจ้า


ความจริงการเปลี่ยนไปของลูก ก็ทำให้คนเป็นพ่อแม่ต้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทัศนคติ
และเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลลูกใหม่

การที่ลูกจะวางตัวได้อย่างเหมาะสมนั้น เขาคงไม่สามารถคิดเองได้ รู้เท่าทันสถานการณ์ด้วยตัวเอง
เป็นภาระจำเป็นที่แม่ต้องสอน ต้องบอก ต้องคิดคาดการณ์เผื่อล่วงหน้า และต้องตามทัน
แม่คงไม่สามารถใช้ความเคยชินเดิมๆ มาจัดการ เพราะลูกไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่คอยแต่รับฟังแม่แต่อย่างเดียว

วันนี้ลูกโตขึ้น เป็นหนุ่มเป็นสาวมากขึ้นทุกวัน คิดอะไรด้วยตัวเองมากกว่าเดิม
และที่สำคัญยังเถียงฉอดๆ เก่งกว่าเดิมอีก ไม่รู้ใครสอน ให้ตายสิ


ที่มา //www.elib-online.com/doctors3/child_love04.html


สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก
คลิกดู ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
0 comments
Last Update : 1 ธันวาคม 2552 19:36:40 น.
Counter : 1265 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.