กลุ่มทวงคืนพลังงานไทย โจมตีอีกว่า โรงกลั่นน้ำมันได้กำไรมหาศาลจากการขายน้ำมันสำเร็จรูปในต่างประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า มูลค่าการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในปี 2555 สูงถึง 270,000 ล้านบาท สูงกว่ามูลค่าการส่งออกข้าวไทยที่ 140,000 ล้านบาทเสียอีก!
คนพวกนี้บิดเบือนด้วยการพูดถึงกำไรมหาศาล แต่กลับอ้างตัวเลขยอดขายรวมแทน! น้ำมันสำเร็จรูปที่ส่งออกไม่ได้เกิดมาจากอากาศธาตุ แต่ต้องใช้น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบ เรามีสถิติทั้งมูลค่าและปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบตลอดปี 2555 สามารถคำนวณราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบนำเข้าต่อบาร์เรลได้เท่ากับ 114 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้อมูลเดียวกันสำหรับน้ำมันสำเร็จรูปส่งออกได้เท่ากับบาร์เรลละ 118 ดอลลาร์สหรัฐฯ คือมีส่วนต่างเพียง 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือลิตรละ 0.75 บาทเท่านั้น ทั้งที่ยังไม่ได้หักต้นทุนค่าใช้จ่ายของโรงกลั่นแต่อย่างใด
เหตุใดโรงกลั่นจึงผลิตน้ำมันสำเร็จรูปล้นเกินและส่งออกในส่วนต่างราคาอันน้อยนิดเช่นนี้? คำตอบคือ การกลั่นน้ำมันเป็นอุตสาหกรรมหนัก เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติ เหล็กและเหล็กกล้า ไฟฟ้า เป็นต้น คือต้องเดินโรงงานและเครื่องจักรให้เต็มหรือใกล้เต็มสมรรถนะร้อยละ 80-100 เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงและได้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ หากเดินเครื่องจักรต่ำกว่าสมรรถนะอย่างมาก ก็จะไม่มีประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองพลังงาน และมีต้นทุนต่อหน่วยสูง
แต่ข้อวิจารณ์ที่ว่า น้ำมันสำเร็จรูปส่งออกไปขายในตลาดโลกมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นในประเทศไทยนั้นมีส่วนจริง เพราะน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ มีการซื้อขายในตลาดโลกเป็นปริมาณมหาศาล มีผู้ซื้อผู้ขายจำนวนมาก ผู้ที่ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปชนิดใดก็ต้องขายในราคาเดียวกันในตลาดกลางของภูมิภาค ราคาหน้าโรงกลั่นในประเทศไทยยึดราคาอ้างอิงในตลาดกลางสิงคโปร์โดยมีส่วนต่างไม่เกินกว่าค่าขนส่ง ฉะนั้น โรงกลั่นจะส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้ ก็ต้องยอมขายต่ำกว่าราคาหน้าโรงกลั่น เพราะถ้าไม่กระทำเช่นนั้น ก็ต้องยอมจัดเก็บน้ำมันสำเร็จรูปส่วนเกินไว้ในคลังและจะมียอดเก็บกักสะสมเพิ่มทุกปี เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่า
นัยหนึ่ง โรงกลั่นจะต้องเลือกระหว่างเดินเครื่องใกล้เต็มสมรรถนะให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด แล้วมีผลผลิตส่วนเกินที่ต้องส่งออกในราคาต่ำกว่าราคาหน้าโรงกลั่น แต่ก็ยังได้ส่วนต่างราคาจากต้นทุนน้ำมันดิบอยู่บ้างดังตัวเลขข้างต้น หรือเดินเครื่องต่ำกว่าสมรรถนะ แล้วมีต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น แต่มีผลผลิตส่วนเกินน้อยลง ไม่มีปัญหาต้องส่งออกหรือจัดเก็บจำนวนมาก ที่ผ่านมา โรงกลั่นไทยเลือกหนทางแรกเพราะมีความสมเหตุสมผลทางธุรกิจมากกว่า
จากการที่ประเทศไทยผลิตน้ำมันสำเร็จรูปล้นเกินจนต้องส่งออกไปต่างประเทศ ได้นำไปสู่ข้อเรียกร้องของ กลุ่มทวงคืนพลังงานไทย ให้ งดส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมด เก็บไว้ในประเทศเพื่อให้คนไทยได้ใช้ในราคาถูก นี่เป็นข้อเสนออันตรายที่จะทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันของไทยทั้งหมด เพราะจะงดส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปได้ รัฐบาลต้องออกกฎหมายห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปข้ามแดนเท่านั้น ปัจจุบัน อุตสาหกรรมน้ำมันเป็นอุตสาหกรรมเปิดเสรี หากรัฐบาลประกาศห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป แน่นอนว่า จะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศลดต่ำลงเพราะมีอุปทานล้นเกินในประเทศ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดการลักลอบส่งออกน้ำมันข้ามแดนแล้ว ยังเป็นการทำลายธุรกิจโรงกลั่น เพราะหากรัฐบาลยังคงจัดเก็บภาษีน้ำมันในอัตราเดิม ราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นจะต้องลดลงอย่างมากด้วย
ถ้าประเทศไทยเป็นเศรษฐีพลังงาน มีน้ำมันดิบราคาถูกจำนวนมหาศาลอย่างที่ พวกทวงคืนฯ แอบอ้าง ด้วยต้นทุนน้ำมันดิบต่ำ โรงกลั่นก็อาจจะยังมีกำไรอยู่ได้ แต่ความจริงคือ ประเทศไทยไม่ใช่เศรษฐีน้ำมัน จึงยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศจำนวนมากในราคาตลาดโลก และด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันดิบนำเข้า-น้ำมันสำเร็จรูปส่งออกข้างต้นที่เพียงลิตรละ 0.75 บาท การกดราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นให้ต่ำลง จะทำให้โรงกลั่นประสบภาวะขาดทุนอย่างแน่นอน ซึ่งหากรัฐบาลดำเนินการดังกล่าวเป็นนโยบายถาวรจริง โรงกลั่นก็จะต้องเลิกกิจการไปในที่สุด
ยิ่งกว่านั้น การห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป นอกจากจะทำให้โรงกลั่นไม่มีแรงจูงใจขยายการผลิตแล้วยังจะลดการผลิตลงอีกด้วย ส่วนการบริโภคน้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาที่ต่ำลง ในที่สุด การบริโภคจะเกินกว่าการผลิต ประเทศไทยที่เคยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปก็จะกลับกลายเป็นประเทศนำเข้าทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป ดังเช่นที่ประเทศไทยเคยเป็นในอดีต เมื่อถึงเวลานั้น คนไทยก็ต้องกลับมาบริโภคน้ำมันราคาแพงอีกอยู่ดี
การให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงด้วยการห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป หมายความว่า ในแต่ละปี รัฐบาลจะต้องวางแผนล่วงหน้าว่า โรงกลั่นจะผลิตน้ำมันสำเร็จรูปเท่าใด ปริมาณบริโภคในประเทศเป็นเท่าใด และต้องนำเข้ามาให้พอเพียงอีกจำนวนเท่าใด หากรัฐบาลคาดการณ์ผิด อาจเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูป เป็นภาพรถยนต์เข้าคิวยาวเหยียดแย่งกันเติมน้ำมันที่สถานีจำหน่าย ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกันกับสินค้าเกษตรหลายชนิด ที่รัฐบาลแทรกแซงด้วยการห้ามนำเข้า แต่ให้ส่งออกได้ เช่น น้ำตาล น้ำมันปาล์ม ซึ่งเมื่อรัฐบาลคาดการณ์ผิด ก็จะเกิดปัญหาขาดแคลน ผู้บริโภคหาซื้อในตลาดเปิดไม่ได้ ต้องไปซื้อในตลาดมืดในราคาสูง ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
นอกจากนั้น ธุรกิจน้ำมันของไทยเป็นธุรกิจเสรี มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาทมาก ตั้งแต่สัมปทานสำรวจผลิต กลั่น ไปจนถึงการลงทุนในบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทย การเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลจากการเปิดเสรีมาเป็นการห้ามส่งออกจะกระทบกระเทือนต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในสายตานักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติอย่างมาก
ข้อเรียกร้องที่ให้รัฐบาลห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปก็คือ ข้อเสนอให้ทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันทั้งระบบนั่นเอง เผยแพร่ครั้งแรกใน โลกวันนี้วันสุขฉบับวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2556
ที่มา :
//www.prachatai.com/journal/2013/04/46414 น้ำมันแพงเพราะภาษีและกองทุนฯ ข้อโจมตีอีกประการหนึ่งของ กลุ่มทวงคืนพลังงาน คือ ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศไทยมีราคาแพงในอันดับต้น ๆ ของโลก ตัวอย่างที่คนพวกนี้เผยแพร่ไปทั่วคือ ราคาขายปลีกในประเทศไทยยังแพงกว่าในสหรัฐอเมริกาทั้งที่คนไทยโดยเฉลี่ยมีรายได้ต่ำกว่าคนอเมริกันอย่างมาก
คนพวกนี้จงใจเลือกหยิบข้อมูลเฉพาะจุดโดยไม่กล่าวถึงภาพรวมทั้งหมด เป็นความจริงที่ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯมีราคาต่ำกว่าไทย โดยปัจจุบันราคาขายปลีกในสหรัฐฯเท่ากับลิตรละ 32.60 บาท ขณะที่ราคาขายปลีกของไทยอยู่ที่ลิตรละ 45.25 บาท
แต่จากสถิติราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในเกือบ 200 ประเทศทั่วโลกในเดือนเมษายน 2556 จะพบว่า ประเทศไทยมีราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอยู่ในระดับกลาง ๆ อันดับที่ 95-100 และยังมีอีกหลายประเทศที่พลเมืองมีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าคนไทย แต่มีราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแพงกว่า เช่น ศรีลังกา (46.8 บาท) เนปาล (47.8 บาท) กัมพูชา (49.2 บาท) ราวันดา (69.6 บาท) เป็นต้น ประเทศที่มีราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแพงที่สุดในโลกคือ ตุรกี ที่ลิตรละ 90 บาท!
ความจริงคือ
ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินไม่ได้สัมพันธ์กับระดับรายได้ของประชากรในแต่ละประเทศ ประเทศยากจนไม่จำเป็นต้องมีราคาน้ำมันถูกกว่าประเทศร่ำรวย เพราะแม้ว่าราคาตัวเนื้อน้ำมันหน้าโรงกลั่นจะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่รัฐบาลในแต่ละประเทศก็มีนโยบายภาษีน้ำมันที่ไม่เหมือนกัน ประเทศที่จัดเก็บภาษีน้ำมันสูงก็จะมีราคาขายปลีกสูง ประเทศยากจนที่มีราคาน้ำมันแพงมาก เช่น ในอาฟริกา มักมีสาเหตุจากต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ มีภาวะขาดแคลนน้ำมัน และรัฐบาลมีฐานจัดเก็บภาษีแคบ จึงต้องหันมาขูดรีดภาษีจากน้ำมันเป็นหลัก เป็นต้น
หากจำแนกโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเฉลี่ยในประเทศไทยเดือนเมษายน 2556 ที่ราคาลิตรละ 45.25 บาท จะพบว่า เป็นราคาเนื้อน้ำมัน 21.80 บาท (ร้อยละ 48.2) ภาษีทุกชนิด 10.66 บาท (ร้อยละ 23.6) เงินสมทบกองทุนน้ำมันฯและกองทุนอนุรักษ์พลังงาน 9.45 บาท (ร้อยละ 20.9) และค่าการตลาด 3.34 บาท (ร้อยละ 7.4)
ราคาเนื้อน้ำมันคือราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งกำหนดเทียบเท่าราคากลางที่ตลาดสินค้าสิงคโปร์ โดยมีค่าแตกต่างไม่เกินกว่าค่าขนส่งและประกันภัย
เหตุที่ต้องอ้างอิงราคากลางสิงคโปร์เนื่องจากการกลั่นน้ำมันมีวัตถุดิบเป็นน้ำมันดิบ แต่มีผลผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปและผลพลอยได้รวมกว่าสิบชนิด (เช่น เบนซิน ดีเซล น้ำมันก๊าด น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเตา แอลพีจี น้ำมันหล่อลื่น ยางมะตอย เป็นต้น) ซึ่งมีประโยชน์ใช้สอยและความต้องการในตลาดที่แตกต่างกันมาก จึงไม่สามารถใช้ต้นทุนเฉลี่ยน้ำมันดิบมากำหนดต้นทุนของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดเท่า ๆ กันได้ จำเป็นต้องใช้ราคาซื้อขายของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดในตลาดกลางที่มีขนาดใหญ่เป็นราคาอ้างอิง ซึ่งที่ใกล้ที่สุดคือ ตลาดกลางสิงคโปร์ ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมากเป็นอันดับสามของโลก
ตลาดน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยมีขนาดเล็กจิ๋ว มีผู้ซื้อผู้ขายน้อยราย หากกำหนดราคาซื้อขายกันเองที่สูงกว่าราคากลางสิงคโปร์บวกค่าขนส่ง โรงกลั่นจะเกิดแรงจูงใจนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเข้ามาจากสิงคโปร์ หรือในทางกลับกัน หากราคากำหนดเองในประเทศไทยต่ำกว่าราคากลางสิงคโปร์หักด้วยค่าขนส่ง ก็จะมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปขายสิงคโปร์ ในที่สุด การไหลเข้าออกของน้ำมันสำเร็จรูประหว่างไทยกับสิงคโปร์จะทำให้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นในไทยเท่ากับราคาสิงคโปร์โดยมีส่วนต่างไม่เกินกว่าค่าขนส่ง (ยกเว้นกรณีรัฐบาลห้ามส่งออกนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปโดยสิ้นเชิง ดังที่ กลุ่มทวงคืนพลังงาน เรียกร้อง)
โรงกลั่นได้รับประโยชน์ในรูปของ ค่าการกลั่นรวม ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างต้นทุนน้ำมันดิบ (บวกค่าขนส่งถึงโรงกลั่น) กับราคาเฉลี่ยหน้าโรงกลั่นของผลผลิตการกลั่นทุกชนิด (อ้างอิงราคาสิงคโปร์) แต่ค่าการกลั่นดังกล่าวยังไม่ใช่ กำไร ของโรงกลั่นเพราะยังไม่ได้หักต้นทุนค่าใช้จ่ายภายในโรงกลั่น ต่อเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว จึงเรียกว่า ค่าการกลั่นสุทธิ ซึ่งเป็นกำไรของโรงกลั่น จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับทิศทางของราคาน้ำมันดิบเทียบกับทิศทางของราคาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปและต้นทุนการกลั่น (ซึ่งก็มีทิศทางเดียวกันกับราคาผลิตภัณฑ์เพราะการกลั่นก็ต้องใช้พลังงานเช่นกัน)
ค่าการกลั่นรวมสามารถคำนวณได้จากตัวเลขราคาน้ำมันดิบและราคาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปทุกชนิดรวมกัน แต่ ค่าการกลั่นสุทธิ เป็นข้อมูลภายในของธุรกิจโรงกลั่น ในประเทศไทย บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เป็นธุรกิจโรงกลั่นล้วน ๆ ฉะนั้น กำไรสุทธิ ของไทยออยล์น่าจะสะท้อนแนวโน้มค่าการกลั่นสุทธิโดยคร่าว ๆ ได้ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แสดงว่า ในปี 2555 ไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 12,320 ล้านบาท ขณะที่ในปีเดียวกัน ไทยออยล์กลั่นน้ำมันดิบประมาณ 100 ล้านบาร์เรล คำนวณเฉลี่ยแล้ว คิดเป็นกำไรสุทธิลิตรละ 0.77 บาทเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น กำไรสุทธิดังกล่าวยังคิดเป็นเพียงร้อยละ 2.75 ของยอดขายรวม 447,432 ล้านบาท เป็นร้อยละ 7.2 ของสินทรัพย์รวม 170,676 ล้านบาท และเป็นร้อยละ 13.6 ของส่วนผู้ถือหุ้นสุทธิ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากและไม่แตกต่างจากค่าเฉลี่ยของทั้งตลาดหลักทรัพย์มากนัก ข้อสังเกตคือ กำไรสุทธิของไทยออยล์ขึ้นลงผันผวน เช่น ปี 2553 มีกำไรสุทธิ 8,956 ล้านบาท ขณะที่ปี 2551 มีกำไรสุทธิเพียง 224 ล้านบาทเท่านั้น
ธุรกิจโรงกลั่นซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงจากความผันผวนของต้นทุนกับราคาผลิตภัณฑ์ และก็มิได้มีผลตอบแทนที่ห่างไกลจากธุรกิจที่มีกำไรโดยทั่วไป
ฉะนั้น
ตัวการที่ทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมันแพง ก็คือ ภาษีและเงินสมทบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั่นเอง ดังจะเห็นได้ว่า ราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่น ณ สิ้นเดือนเมษายน 2556 เท่ากับลิตรละ 21.85 บาทและ 22.20 บาทเท่านั้น ขณะที่ราคาขายปลีก ณ สถานีจำหน่ายกลับสูงถึงลิตรละ 44.35 บาทและ 29.99 บาทตามลำดับ นัยหนึ่ง ภาษีบวกเงินสมทบกองทุนฯ รวมกันสูงถึง 22.50 บาทในกรณีเบนซิน และ 7.79 บาทในกรณีดีเซล ลักษณะดังกล่าวเป็นผลจากนโยบายบิดเบือนราคาพลังงานที่ตกทอดต่อเนื่องกันมาหลายรัฐบาลนับสิบปีจนถึงปัจจุบัน
แต่เหตุใด กลุ่มทวงคืนพลังงานไทย จึงมุ่งโจมตีแต่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทโรงกลั่นเป็นหลัก? ก็เพราะพวกเขาพยายามจะเบี่ยงเบนประเด็นจากนโยบายราคาน้ำมันของรัฐบาลที่ตกทอดกันมา ไปเป็นประเด็นการเมือง โดยชี้ให้เห็นว่า มี กลุ่มทุนสามานย์ เข้าไปแสวงประโยชน์อยู่ในสัมปทานปิโตรเลียมและในปตท. ด้วยความร่วมมือจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนั่นเอง แม้คนพวกนี้จะไม่ได้ระบุชัดในเวทีสาธารณะว่า ใครคือ ทุนสามานย์ แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า พวกพันธมิตรฯเสื้อเหลืองใช้คำนี้หมายถึงทักษิณ ชินวัตรและพรรคพวกนั่นเอง
เผยแพร่ครั้งแรกใน โลกวันนี้วันสุขฉบับวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2556
ที่มา :
//www.prachatai.com/journal/2013/05/46679 ความจริงเกี่ยวกับก๊าซแอลพีจี พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
พันธมิตรเสื้อเหลืองที่สวมเสื้อคลุม กลุ่มทวงคืนพลังงาน และ กลุ่มทวงคืน ปตท. ยังมีประเด็นโจมตีรัฐบาลที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ นโยบายก๊าซแอลพีจี
ก๊าซแอลพีจีที่ใช้ในประเทศไทยได้มาจาก 3 แหล่งคือ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง (ซึ่งนำเข้าน้ำมันดิบมากลั่น) ได้จากอ่าวไทยผ่านโรงแยกก๊าซของ ปตท. และได้จากการนำเข้าจากต่างประเทศ
สาเหตุหนึ่งของราคาน้ำมันแพงในประเทศไทยคือ การจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้อุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจี เช่น ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 น้ำมันเบนซินมีราคาขายปลีกลิตรละ 45.15 บาท เป็นเงินสมทบกองทุนฯ ถึง 9.70 บาท ขณะที่น้ำมันดีเซลต้องจ่ายเข้ากองทุนฯ ลิตรละ 3.40 บาท แก๊ซโซฮอล 95 E10 สมทบลิตรละ 3.50 บาท
ประมาณตัวเลขในวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 มีเงินเข้าสมทบกองทุนฯ ทั้งสิ้น 254.58 ล้านบาท โดยได้จากน้ำมันดีเซลมากที่สุดคือ 192.20 ล้านบาท จากน้ำมันเบนซิน 18.62 ล้านบาท น้ำมันก๊าซโซฮอล 95 E10 จำนวน 30.42 ล้านบาท และน้ำมันก๊าซโซฮอล 91 E10 จำนวน 12.74 ล้านบาท รัฐบาลจัดเก็บเงินสมทบกองทุนฯสูงมากเพราะเหตุใด?
ข้อมูลแสดงว่า
ในวันเดียวกัน กองทุนมีรายจ่ายรวม 57.86 ล้านบาท รายการใหญ่ที่สุดคือ อุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจี สูงถึง 52.28 ล้านบาท นอกนั้น เป็นการอุดหนุนราคาก๊าซโซฮอล 95 E20 และก๊าซโซฮอล 95 E85 รวมกันประมาณ 5 ล้านบาท แต่ทำไมถึงต้องอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจี?
ราคาก๊าซแอลพีจีหน้าโรงกลั่นจะกำหนดตามราคาตลาดโลก (เช่นเดียวกับ ราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่กลั่นได้) ซึ่งใกล้เคียงกับราคาก๊าซแอลพีจีนำเข้า ปัจจุบัน ราคาตลาดโลกแกว่งตัวในช่วง 750-1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน หรือประมาณ กก.ละ 20-30 บาท ส่วนต้นทุนก๊าซแอลพีจีจากอ่าวไทยที่โรงแยกก๊าซอยู่ที่ 550 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ กก.ละ 16.92 บาท
แต่ปัจจุบัน รัฐบาลกำหนดราคาก๊าซแอลพีจีหน้าโรงกลั่นไว้ที่ 333 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เท่ากับ กก.ละ 9.72 บาท ซึ่งต่ำกว่าทั้งราคาตลาดโลกและต้นทุนที่โรงแยกก๊าซ รัฐบาลจึงต้องชดเชยส่วนต่างให้กับโรงกลั่น โรงแยกก๊าซ และผู้นำเข้า ในปี 2555 กองทุนน้ำมันต้องอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจีเป็นจำนวนถึง 3.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ภาคครัวเรือนได้ใช้ก๊าซหุงต้มในราคาขายปลีกเพียง กก.ละ 18.13 บาท และภาคขนส่งเพียง กก.ละ 21.38 บาท ซึ่งต่ำที่สุดในภูมิภาคนี้ เมื่อเทียบกับเวียดนาม (59 บาท) ลาว (49 บาท) กัมพูชา (45 บาท) พม่า (34 บาท) อินโดนีเซีย (23 บาท) และมาเลเซีย (20 บาท)
นโยบายอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจีเป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่การเปิดเสรีโรงกลั่นน้ำมันเมื่อปี 2534 โดยรัฐบาลเวลานั้นได้ใช้นโยบายลอยตัวราคาน้ำมัน เพื่อจูงใจให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นเพิ่ม แต่กลับตรึงราคาก๊าซแอลพีจีไว้ และกลายเป็นมาตรการที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันในขณะที่ราคาก๊าซแอลพีจีในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นโดยตลอด
การอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจีให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ไม่สะท้อนความหาได้ยากที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก เป็นผลให้ประเทศไทยมีการใช้ก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงกว่าร้อยละ 10 ต่อปี และเกิดการบิดเบือนการใช้พลังงาน โดยในภาคขนส่ง ได้มีการดัดแปลงยานพาหนะเบนซินมาใช้ก๊าซแอลพีจีเป็นจำนวนมาก (ปี 2555 เพียงปีเดียว เพิ่มถึง 2 แสนคัน รวมเป็นทั้งสิ้นประมาณ 1 ล้านคัน) ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมก็เลิกใช้น้ำมันเตา หันมาใช้ก๊าซแอลพีจีแทน จนประเทศไทยกลั่นได้น้ำมันเตาเหลือใช้ ต้องส่งออกจำนวนมากทุกปี
ผลก็คือ
ประเทศไทยจากที่เคยผลิตก๊าซแอลพีจีเหลือใช้และส่งออกได้ถึงวันละ 3 หมื่นบาร์เรล กลายเป็นติดลบ ผลิตไม่พอใช้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2551 โดยในปี 2555 ประเทศไทยต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีถึงวันละ 55,000 บาร์เรล เป็นภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจนถึงขั้นติดลบ
รัฐบาลที่ผ่านมาจึงพยายามที่จะลดการอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจี แต่ก็ถูกต่อต้านจากพันธมิตรเสื้อเหลือง กลุ่มทวงคืนพลังงาน มาโดยตลอด ในทางตรงข้าม คนพวกนี้กลับโยงประเด็นราคาก๊าซแอลพีจี ไปโจมตีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้ก๊าซแอลพีจีเป็นวัตถุดิบอีก โดยกล่าวหาว่า รัฐบาลขึ้นราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีเพื่อไปอุดหนุนกำไรของ ปตท.และให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีซื้อก๊าซแอลพีจีในราคาต่ำกว่าภาคอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกลุ่มโอเลฟินส์ใช้ก๊าซแอลพีจีเป็นวัตถุดิบขั้นต้นในการผลิตเม็ดพลาสติกประเภท PP ได้รับการส่งเสริมในช่วงปลายยุค 2520 โดยใช้วัตถุดิบก๊าซจากอ่าวไทยผ่านโรงแยกก๊าซของ ปตท.โดยตรง ขณะที่ครัวเรือนในยุค 2530 ได้รับก๊าซหุงต้มจากโรงกลั่นเป็นหลัก แต่การอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจีก็ทำให้การใช้ก๊าซในภาคครัวเรือน ขนส่ง และอุตสาหกรรมขยายตัวมากจนผลผลิตจากโรงกลั่นไม่พอใช้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่ปตท.ก็ต้องแบ่งก๊าซแอลพีจีจากโรงแยกก๊าซมาให้ด้วยเช่นกัน
ราคาก๊าซแอลพีจีที่ ปตท.ขายเป็นวัตถุดิบปิโตรเคมีนั้น ถูกกำหนดให้แปรผันขึ้นลงตามราคาเม็ดพลาสติก PP ในตลาดโลก โดยมีช่วงราคาระหว่างต้นทุนที่โรงแยกก๊าซ 16.92 บาทต่อ กก.แต่ไม่เกินราคานำเข้าหรือราคาตลาดโลก (ประมาณ 30 บาท ต่อกก.) ฉะนั้น ราคาก๊าซแอลพีจีที่อุตสาหกรรรมปิโตรเคมีซื้อไปนั้นจึงมีราคาขึ้นลง บางช่วงอาจสูงถึงราคาตลาดโลก
กลุ่มทวงคืนพลังงาน อ้างว่า ปัจจุบัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีจ่ายเงินสมทบกองทุนน้ำมันในอัตราเพียง กก.ละ 1 บาท ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมต้องจ่ายสมทบถึง กก.ละ 10.87 บาท ทำให้ราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมมีราคาขายปลีกสูงถึง กก.ละ 28.07 บาท ซึ่งก็เป็นจริงบางส่วน แต่เบื้องหลังคือ
ก๊าซแอลพีจีที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับนั้นมีจุดเริ่มต้นที่หน้าโรงกลั่นในราคาเพียง กก.ละ 9.72 บาท ซึ่งเป็นราคาที่รัฐบาลได้ใช้เงินกองทุนไปอุดหนุนตั้งแต่ต้นน้ำเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายลดการอุดหนุนภาคอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มแรก ฉะนั้น เมื่อถึงราคาขายปลีก รัฐบาลจึงได้จัดเก็บเงินสมทบกองทุนจากก๊าซแอลพีจีเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ให้ราคาขายปลีกเข้าใกล้ราคาตลาดโลก
นัยหนึ่ง รัฐบาลจัดเก็บเงินสมทบกองทุนจากราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมก็เพื่อ เอาคืน เงินอุดหนุนราคาหน้าโรงกลั่นที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับไปก่อนหน้านั้นนั่นเอง แน่นอนว่า เราอาจเรียกร้องให้รัฐบาลจัดเก็บเงินสมทบกองทุนน้ำมันจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอัตราสูงกว่า 1 บาท ต่อ กก. ได้โดยอ้าง ความเป็นธรรม แต่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีข้อแตกต่างสำคัญจากผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีภาคอื่นๆ คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไม่ได้ซื้อวัตถุดิบก๊าซแอลพีจีในราคาที่ได้รับการอุดหนุนจากกองทุน หากแต่ซื้อในราคาที่เคลื่อนไหวตามราคาเม็ดพลาสติกในตลาดโลก การจัดเก็บเงินกองทุนจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจึงเป็นเสมือนการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มจากวัตถุดิบต้นน้ำ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตเม็ดพลาสติกที่เป็นผลผลิตไปด้วย
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเม็ดพลาสติกมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างกว้างขวาง เม็ดพลาสติก PP เป็นพลาสติกหลัก (นอกเหนือไปจาก PVC) ที่ใช้ในระบบเศรษฐกิจไทย เป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมไทยแทบทุกสาขา ตั้งแต่รถยนต์ อิเล็กโทรนิกส์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเด็กเล่น ไปจนถึงภาชนะในครัว เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตครัวเรือนไทยทุกด้าน ยิ่งกว่านั้น เม็ดพลาสติก PP ยังเป็นสินค้าส่งออกในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมไทยอีกด้วย มีมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งสิ้นหลายแสนล้านบาทต่อปี การจัดเก็บเงินสมทบกองทุนในอัตราสูงจะมีผลกระทบลูกโซ่ถึงอุตสาหกรรมปลายน้ำของไทยทั้งหมด ต่อสินค้าอุปโภคของครัวเรือนไทย และต่อการแข่งขันส่งออกเม็ดพลาสติกของไทย แน่นอนว่า รัฐบาลจะต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ประกอบในการกำหนดนโยบาย
ถึงกระนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะจัดเก็บเงินสมทบจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสักเท่าไร ก็ไม่มีผลให้ราคาก๊าซแอลพีจีที่ประชาชนใช้มีราคาถูกลง เพราะข้อเท็จจริงคือ ราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนและภาคขนส่งยังต่ำกว่าความเป็นจริงในตลาดโลก จนเกิดการใช้เกินตัวและใช้ผิดประเภท เป็นภาระแก่ผู้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ อยู่ดี และหนทางแก้ไขคือ ต้องลดเลิกการอุดหนุนราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีทั้งหมดด้วยมาตรการที่เหมาะสมและเป็นขั้นตอน
หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกใน 'โลกวันนี้วันสุข' ฉบับวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน 2556 ที่มา :
//prachatai.com/journal/2013/06/47102