ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

เมื่อระบบการศึกษาไทยไม่ยอมรับระบบการศึกษาของอังกฤษ?

สลิสา ยุกตะนันทน์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ จิตติภัทร พูนขำ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษจำนวนเพิ่มมากขึ้นและในบรรดาบัณฑิตเหล่านี้มีผู้ที่สนใจสมัครเข้าทำงานเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยในไทยมากขึ้นด้วยทว่าพวกเขากลับเผชิญกับปัญหาร่วมกันนั่นคือ บัณฑิตที่จบการศึกษาจากอังกฤษจำเป็นต้องแปลงเกรดจากระบบอังกฤษให้เป็นระบบเกรดเฉลี่ยแบบอเมริกัน (GPA) โดยระบุว่าจะต้องได้คะแนน GPA ไม่ต่ำกว่า 3.50 (เพื่อให้สอดรับกับระเบียบกฎเกณฑ์ที่ สกอ. และมหาวิทยาลัยกำหนดขึ้นมา) ปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศไทยคือ การที่สกอ.และมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่มีเกณฑ์กลางที่เป็นมาตรฐานในการพิจารณาระบบคะแนนแบบลำดับขั้นของประเทศอังกฤษ ความลักลั่นดังกล่าวนี้กลับกลายเป็นการกีดกันและเลือกปฏิบัติทางวิชาการกับบัณฑิตที่จบการศึกษาจากอังกฤษจนทำให้ตัดโอกาสในการเข้าเป็นอาจารย์โดยปริยาย

โดยพื้นฐานแล้ว ระบบการให้คะแนนอังกฤษนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากระบบของอเมริกัน โดยระบบอังกฤษเป็นระบบคะแนนแบบลำดับขั้น (Classification) ซึ่งเป็นระบบการให้คะแนนที่เป็นที่ยอมรับอย่างทั่วไปทั้งในอังกฤษและนานาประเทศรวมทั้งสหรัฐอเมริกาว่าเป็นระบบที่มีมาตรฐานสากล ระบบคะแนนแบบลำดับขั้นของประเทศอังกฤษนั้นประกอบด้วยลำดับขั้นของการจบอยู่ 3 ประเภท คือ Distinction (ดีเยี่ยม), Merit (ดี) และ Pass (ผ่าน) ทว่าการให้คะแนนแบบลำดับขั้นเหล่านี้ ในแต่ละมหาวิทยาลัยในอังกฤษก็มีความแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น สำหรับมหาวิทยาลัย Oxford และ Cambridge กำหนดให้ลำดับขั้นคะแนน Pass อยู่ที่ร้อยละ 60 และ Distinction อยู่ที่ร้อยละ 70 ในขณะที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ ส่วนใหญ่มักจะกำหนด Pass ที่ร้อยละ 50 Merit ที่ร้อยละ 60 และ Distinction ที่ร้อยละ 70

อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์เหล่านี้ก็มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ต่างคณะกันก็มีความแตกต่างหลากหลายออกไปด้วย เช่น แม้ว่าคณะโดยส่วนใหญ่ ของมหาวิทยาลัย Warwick Distinction จะถูกนับจากร้อยละ 70 แต่คณะสังคมวิทยา (ซึ่งติดอันดับ 2 ของ Rank Sociology อังกฤษในปี 2011 จัดอันดับโดยหนังสือพิมพ์ Independent) กำหนดว่าบัณฑิตจะได้ Distinction ก็ต่อเมื่อจะต้องได้ร้อยละ 70 (Distinction) ในการทำวิทยานิพนธ์ (dissertation) และได้ร้อยละ 70 ในคะแนนรายงาน (essays) อย่างน้อยจำนวน 1 วิชา และร้อยละ 65 ขึ้นไปไม่น้อยกว่า 3 วิชา เป็นต้น

สิ่งที่เราเห็นคือ แต่ละมหาวิทยาลัยของอังกฤษมีเกณฑ์และมาตรวัดในการให้คะแนนที่แตกต่างหลากกันออกไปอย่างแทบจะสิ้นเชิง และไม่สามารถหาหลักเกณฑ์แน่นอนตายตัวในการแปลงคะแนนไปเป็นเป็นเกรดเฉลี่ยอย่างเที่ยงตรงและเป็นธรรมต่อบัณฑิตที่จบการศึกษาจากอังกฤษได้ ปัญหาการแปลงเกรดย่อมไม่เป็นปัญหาแต่ประการใดในการศึกษาต่อในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แม้แต่ในเว็บไซต์ทุน Fulbright ก็ได้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า สำหรับผู้สมัครที่จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษนั้นไม่มีความจำเป็นประการใดที่จะต้องแปลงเกรด เพราะมหาวิทยาลัยจะพิจารณาจากคุณสมบัติ และคะแนนที่แท้จริงที่บัณฑิตผู้นั้นได้จากมหาวิทยาลัยของอังกฤษ (ซึ่งจะพิจารณาตามแต่ละคณะและมหาวิทยาลัยไป)

ในกรณีของประเทศไทย การแปลงเกรดกลายเป็นปัญหาใหญ่ร่วมกันของบัณฑิตเหล่านั้นที่จะสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ หลายครั้งหลายครา บัณฑิตที่จบการศึกษาจากอังกฤษมักประสบปัญหาเนื่องจากการแปลงเกรด ซึ่งทำให้เขาหมดโอกาสทางวิชาการและขาดคุณสมบัติในการเป็นอาจารย์ (ทั้งแบบที่ไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าสอบสัมภาษณ์และสอบสอนตั้งแต่ต้น หรือแบบที่สอบได้แล้ว แต่ไม่สามารถแปลงเกรดให้สอดคล้องกับเกณฑ์ของ สกอ. หรือมหาวิทยาลัยกำหนด) ทั้งนี้เนื่องจาก

ประการแรก ระบบเกรดนั้นไม่สามารถแปลงได้เพราะไม่มีเกณฑ์กลางที่เป็นมาตรฐานและเป็นธรรม

ประการที่สอง เมื่อไม่มีเกณฑ์กลางของมหาวิทยาลัยไทยแล้ว บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากอังกฤษ (โดยเฉพาะในสาขาสังคมศาสตร์) จะถูกขอร้องแกมบังคับให้ยื่นเรื่องขอให้มหาวิทยาลัยในอังกฤษที่ตนจบการศึกษามาทำการแปลงเกรดเป็นเกรดเฉลี่ย GPA คำตอบจากมหาวิทยาลัยนั้นๆ มักจะได้แก่ "มหาวิทยาลัยไม่สามารถแปลงเกรดได้" และ หากติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาแล้ว เราจะพบได้ว่าเจ้าหน้าที่มักแสดงความฉงนสงสัย อีกทั้งไม่เชื่อหูว่าหากไม่แปลงเกรดแล้ว บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยของตนจะไม่มีงานทำ อันนี้ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่ความผิดของระบบอังกฤษหรือมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด เพราะในนานาอารยประเทศต่างๆ พวกเขาล้วนยอมรับในมาตรฐานของระบบการศึกษาอังกฤษอย่างไม่มีข้อสงสัย

ประการที่สาม เมื่อมหาวิทยาลัยในอังกฤษไม่อาจแปลงเกรดเป็น GPD ได้ สิ่งที่มักเกิดขึ้น คือ มหาวิทยาลัยหลายแห่งมักพยายามบังคับให้แปลงเกรดโดยยึดหลักว่าคะแนนมากกว่าร้อยละ 70 = A ร้อยละ 65-69 = B+ ร้อยละ 61-64 = B เป็นต้น

การแก้ไขปัญหาตามข้อหลังนี้นั้นสะท้อนถึงความไม่รู้ (ignorance) เกี่ยวกับระบบการศึกษาแบบอังกฤษของแวดวงการศึกษาไทย ที่มักคุ้นชินอยู่กับระบบการศึกษาแบบอเมริกันมากกว่า กล่าวคือ การที่นักศึกษาจะได้คะแนนมากกว่าร้อยละ 70 นั้นย่อมหมายถึง การได้ Distinction ซึ่งสำหรับประเทศอังกฤษแล้ว ในแต่ละรุ่นการศึกษาในสาขาวิชาหนึ่งๆ นั้นคนที่ได้ Distinction จะมีแค่ประมาณร้อยละ 10-15 เท่านั้น และยิ่งสำหรับนักศึกษาคนไทยด้วยแล้ว ในแต่ละปียิ่งมีคนจบ Distinction รวมกันไม่ถึงร้อยละ 5 (โดยประมาณจากนักศึกษาทุกสาขาวิชากว่า 5,000 คนที่ศึกษาในอังกฤษในแต่ละปี) 

ประการต่อมา ระบบการศึกษาแบบอังกฤษโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำหรือ Ivy League ของอังกฤษ (Ivy League หมายถึงมหาวิทยาลัยที่รับนักศึกษาที่ได้เกรดเฉลี่ย AAB หรือเกียรตินิยมอันดับ 1 (First Honor) มากกว่าร้อยละ 60 ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด อันได้แก่มหาวิทยาลัย Cambridge, Oxford, Durham, London School of Economics (LSE), Bristol, Exeter, Warwick, Imperial College London, University College London (UCL)) ล้วนแล้วแต่เป็นมหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันสูง และไม่ยอม “ปล่อยเกรด" โดยเด็ดขาด เพื่อรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของมหาวิทยาลัยเอาไว้ สำหรับนักศึกษาไทยแล้ว การที่จะได้คะแนนสูงกว่าร้อยละ 60 ในแต่ละรายวิชานั้น เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญเลือดตาแทบกระเด็น

ดังนั้นแล้ว เมื่อระบบการศึกษาไทยไม่มี “เกณฑ์กลาง” ในการแปลงคะแนนที่เป็นมาตรฐานและเป็นธรรมแล้ว คณะหรือมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งก็จำต้องหา “เกณฑ์กู” ในการพิจารณาตัดสินว่าบัณฑิตเหล่านั้น “ผ่าน” เกณฑ์ที่เกรดเฉลี่ย 3.50 แบบอเมริกันหรือไม่ สิ่งที่เรามักจะพบคือ นักศึกษาไทยที่มีความรู้ความสามารถและมีศักยภาพเป็นจำนวนมากที่จบการศึกษามาจากอังกฤษ เมื่อแปลงเกรดตามที่ถูกบังคับ (ตาม “เกณฑ์กู” ข้างต้น) จึงได้ไม่ถึง 3.50 ถึงแม้ว่าจะได้คะแนนในลำดับขั้น Merit ก็ไม่สามารถผ่านเกณฑ์คุณสมบัติได้ ในหลายครั้งด้วยกันที่คณะต้องการรับบุคลากรที่จบการศึกษามาจากอังกฤษ เนื่องจากสามารถสอบผ่านกระบวนการสอบคัดเลือกบุคลากรตามขั้นตอนปกติของคณะ ซึ่งย่อมปรารถนาคัดเลือกเอาผู้ที่มีคุณภาพ และมีคุณสมบัติเหมาะสมไว้แล้ว ทว่าไม่สามารถรับบุคลากรนั้นได้ เนื่องจากติดระเบียบมหาวิทยาลัยในเรื่องการแปลงเกรดดังกล่าว

ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการแปลงเกรดนี้ยังสะท้อนความไม่เป็นธรรมของระบบการอุดมศึกษาของไทย เมื่อเทียบกับกรณีของนักศึกษาที่รับทุนของ สกอ. เนื่องจากผู้ที่รับทุน สกอ. มักมีเงื่อนไขผูกพันธ์ต้องใช้ทุนกับมหาวิทยาลัยต้นสังกัด ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าผู้ที่รับทุนจาก สกอ. จะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยใดๆ ก็ตามในโลก และได้รับเกรดเฉลี่ยเท่าใดก็ตาม ก็มักได้รับการบรรจุเข้าทำงาน โดยไม่ต้องผ่านแม้แต่ขั้นตอนการสอบคัดเลือกบุคคลากรของคณะโดยปกติ ในขณะที่ผู้ที่ใช้ทุนการศึกษาของตนเองหรือผู้ปกครอง ดั้นด้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปศึกษาต่างประเทศ กลับต้องเผชิญกับอุปสรรค และการปิดกั้นโอกาสเนื่องจากเกณฑ์การรับอาจารย์ใหม่ที่ไม่เป็นธรรม

ในปัจจุบัน จำนวนนักศึกษาไทยไทยที่เดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และ บัณฑิตจบใหม่จากอังกฤษจำนวนไม่น้อยที่มีความมุ่งมั่นจะใช้วิชาความรู้รับใช้สังคม อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่รายได้น้อย ไม่พอกินในแต่ละเดือน เพียงเพราะพวกเขารักที่จะรู้ รักที่จะเผยแพร่ความรู้ และรักที่จะรับใช้สังคม บุคลากรที่มีศักยภาพเหล่านี้กลับต้องถูกปิดกั้นโดยระบบ คนจำนวนมากจำต้องผันตัวเองไปทำงานในภาคเอกชน ระบบราชการ หรือ NGO เพียงเพราะพวกเขาหมดศรัทธาในระบบที่เป็นอยู่

ในเมื่อสกอ.ได้ลงนามรับรองมหาวิทยาลัยทุกแห่งที่ได้รับการรองรับโดยรัฐบาลอังกฤษแล้วว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐาน แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีการสร้างมาตรฐานที่รองรับต่อบุคลากรจำนวนมากที่สำเร็จการศึกษาจากระบบอังกฤษแต่อย่างใด ถึงเวลาแล้วกระมังที่ท่านที่เป็นบัณฑิตทั้งที่กำลังศึกษาและจบการศึกษาแล้ว อาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้บริหารของมหาวิทยาลัยและกระทรวงศึกษาธิการพึงที่จะร่วมกันขบคิดกันว่าเราควรจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร เพื่อทำลายมายาคติในการอุดมศึกษาไทยที่ไม่ยอมรับระบบการศึกษาของอังกฤษโดยปริยาย เปิดโอกาสให้บัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานรับใช้สังคม และเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ พร้อมกันนั้นก็เพื่อให้ระบบการศึกษาของไทยปรับตัวและก้าวไกลทันการศึกษาโลก ถึงเวลาแล้วกระมังที่เราต้องออกจากกะลาที่ครอบเราเอาไว้เสียที!

ที่มา : ประชาไท




 

Create Date : 27 กันยายน 2555    
Last Update : 27 กันยายน 2555 14:50:25 น.
Counter : 3415 Pageviews.  

โครงสร้างประชากรไทยกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

 เคยสังเกตหรือไม่ว่าในปัจจุบันเรามักจะพบผู้สูงอายุตามสถานที่ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น  นั่นแสดงให้เห็นว่าคนไทยมีอายุยืนเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต  ผู้สูงอายุเหล่านี้บางส่วนได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากสมาชิกในครอบครัว  บางส่วนยังคงต้องออกมาประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงตนเองเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป  และพบว่าบางส่วนก็มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกสมาชิกในครอบครัวทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังหรือนำไปทิ้งไว้ตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากไม่มีเวลาในการเลี้ยงดูหรือคิดว่าเป็นภาระที่ไม่อยากรับผิดชอบ  ดังที่เราเคยได้รับทราบข่าวสารจากสื่อต่างๆ กันมาแล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าแนวโน้มของการทอดทิ้งผู้สูงอายุนี้จะเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบทที่ลูกหลานต้องอพยพมาหางานทำในเมืองหลวงหรือในเมืองใหญ่ๆ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้บ่งชี้ถึงโครงสร้างประชากรของไทยที่มีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงในอนาคต  โครงสร้างประชากรมีรูปแบบเป็นอย่างไร  และที่ว่ามีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงนั้น  เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง  เรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า

            โครงสร้างประชากรมนุษย์ (population structure) นิยมแสดงด้วยพีระมิดประชากร (population pyramid) ซึ่งเป็นแผนภาพประกอบด้วยกราฟแท่งแสดงอายุของประชากรในแต่ละช่วงวัยต่างๆ กัน  โดยสามารถแบ่งช่วงอายุประชากรออกได้เป็น 3 ช่วงด้วยกันคือ ช่วงวัยก่อนเจริญพันธุ์ มีอายุตั้งแต่แรกเกิด-14 ปี ช่วงวัยเจริญพันธุ์ มีอายุตั้งแต่ 15-44 ปี และช่วงวัยหลังเจริญพันธุ์ มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป  ซึ่งกราฟแต่ละแท่งจะแสดงจำนวนร้อยละของประชากรทั้งหมดในช่วง 5 ปี เช่น 0-4 ปี 5-9 ปี และ 10-14 ปี เป็นต้น นอกจากนี้ กราฟแท่งที่แสดงนี้จะแยกประชากรเพศชายและเพศหญิงออกจากกันคนละด้านในแผนภาพเดียวกัน 

            พีระมิดประชากรมนุษย์สามารถเขียนแสดงในรูปแบบต่างๆ ได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ พีระมิดแบบขยายตัว พีระมิดแบบคงที่  พีระมิดแบบเสถียร และพีระมิดแบบหดตัว  โดยแต่ละแบบจะมีความแตกต่างกันดังนี้

         1. พีระมิดแบบขยายตัว(expansive pyramid) เป็นพีระมิดประชากรที่มีรูปแบบของฐานพีระมิดกว้างและยอดแหลม ซึ่งแสดงถึงรูปแบบของอัตราการเกิดและอัตราการตายของประชากรที่สูง มีอัตราการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว พบโครงสร้างประชากรแบบนี้ได้ในประเทศกัวเตมาลา ซาอุดิอาระเบีย เคนยา เป็นต้น

          2. พีระมิดแบบคงที่ (stationary pyramid) เป็นพีระมิดประชากรที่มีรูปแบบคล้ายทรงกรวยปากแคบ หรือมีโครงสร้างประชากรในแต่ละช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งแสดงถึงรูปแบบของอัตราการเกิดและอัตราการตายของประชากรที่ต่ำ  พบโครงสร้างประชากรแบบนี้ได้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ไทย  เป็นต้น

         3. พีระมิดแบบเสถียร (stable pyramid) เป็นพีระมิดประชากรที่มีรูปแบบคล้ายกับระฆังคว่ำ  หรือมีโครงสร้างประชากรที่คงที่  ซึ่งแสดงถึงรูปแบบของอัตราการเกิดและอัตราการตายของประชากรที่ไม่เปลี่ยนแปลงพบโครงสร้างประชากรแบบนี้ได้ในประเทศสเปน เดนมาร์ก ออสเตรีย เป็นต้น

         4. พีระมิดแบบหดตัว (constrictive pyramid or declining pyramid) เป็นพีระมิดประชากรที่มีรูปแบบของฐานพีระมิดแคบ ตรงกลางพองออกและยอดค่อยๆ แคบเข้าคล้ายรูปดอกบัวตูม ซึ่งแสดงถึงรูปแบบของอัตราการเกิดและอัตราการตายที่ต่ำ หรือมีโครงสร้างประชากรลดลง พบโครงสร้างประชากรแบบนี้ได้ในประเทศสาธารณรัฐเยอรมนี สวีเดน สิงคโปร์  เป็นต้น

            ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรประมาณ 67.2 ล้านคน หากดูโครงสร้างอายุของประชากรพบว่า อายุ 0-14 ปี มีประมาณร้อยละ 20.3 อายุ 15-64 ปี  มีประมาณร้อยละ 70.7  และอายุ 65 ปีขึ้นไป มีประมาณร้อยละ 9 และเมื่อพิจารณาอายุขัยเฉลี่ยแล้วพบว่า  เพศชายมีอายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดประมาณ 71.02 ปี และเพศหญิงมีอายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดประมาณ 75.82 ปี (ที่มา: ข้อมูลประมาณการปี 2553 จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และ CIA World Factbook) 

             ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลกรองจาก จีน  อินเดีย  สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย บราซิล รัสเซีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ไนจีเรีย ญี่ปุ่น เม็กซิโก เยอรมนี  ฟิลิปปินส์  เวียดนาม อียิปต์ เอธิโอเปีย ตุรกี และอิหร่าน  โดยมีประชากรคิดเป็นร้อยละ 1 ของประชากรโลก  และมีการเพิ่มของประชากรประมาณ 1 ใน 140 ส่วนของการเพิ่มประชากรโลก  ซึ่งการเพิ่มประชากรของไทยดังกล่าวนี้เป็นการเพิ่มในอัตราที่คงที่และมีแนวโน้มที่จะลดลงในอนาคต โดยพบว่าเมื่อปีพ.ศ. 2549 ประเทศไทยมีอัตราการเพิ่มประชากรร้อยละ 0.6 ต่อปี และข้อมูลประมาณการในปีพ.ศ. 2553 ก็ยังพบว่ามีอัตราการเพิ่มประชากรอยู่ที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มประชากรในวัยก่อนเจริญพันธุ์จะลดลงเรื่อยๆ และจากการคาดการณ์ของคณะทำงานฉายภาพประชากร ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่าในปีพ.ศ. 2565 หรืออีก 11 ปีข้างหน้าอัตราการเพิ่มประชากรจะใกล้เคียงกับศูนย์  คืออัตราการเกิดในแต่ละปีมีจำนวนที่ใกล้เคียงกับอัตราการตายในแต่ละปี

ประชากรไทยกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

                ดังที่ทราบแล้วว่าปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการการเกิดของประชากรที่ค่อนข้างคงที่  สาเหตุเนื่องมาจากประเทศไทยมีนโยบายในการคุมกำเนิดที่ได้ผลดีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ผู้หญิงไทยในวัยทำงานมีแนวโน้มที่จะแต่งงานช้าและเป็นโสดมากขึ้น ตลอดจนโครงสร้างของสังคมที่เปลี่ยนมาเป็นแบบครอบครัวเดี่ยวมากขึ้นจึงมีภาระและต้นทุนของค่าใช้จ่ายต่างๆ ตลอดจนการเลี้ยงดูบุตรที่มากขึ้นตามไปด้วย เป็นต้น ทั้งนี้พบว่าประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุในอนาคต โดยประชากรในวัยเด็กจะลดลงในขณะเดียวกันประชากรผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) จะเพิ่มมากขึ้น

แนวโน้มของจำนวนประชากรของประเทศไทยทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และลดลง  และจำนวนประชากรในวัยเด็กมีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่ประชากรวัยผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  ถ้าหากจะเขียนพีระมิดโครงสร้างประชากรตั้งแต่อดีต  ปัจจุบัน  และอนาคตเพื่อดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนั้น

รูปแบบพีระมิดประชากรจะเปลี่ยนจากพีระมิดแบบคงที่  มาเป็นพีระมิดแบบเสถียรหรือรูประฆังคว่ำ และพีระมิดแบบหดตัวหรือแบบดอกบัวตูมตามลำดับ  ทั้งนี้ประเทศไทยมีการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุตั้งแต่ปีพ.ศ. 2533 จนถึงปีพ.ศ. 2553 ในอัตราส่วนเกือบเท่าตัว ซึ่งจากการสำรวจขององค์การสหประชาชาติพบว่า การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยนี้มีระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นหรือใช้เวลาเพียงประมาณ 20 ปีในการเพิ่มสัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุเป็นเท่าตัว ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะใช้เวลานานประมาณ 70 ปีขึ้นไป  สาเหตุที่ประชากรผู้สูงอายุของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเนื่องมาจาก ประเทศไทยมีระบบการแพทย์และสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชากรมีความรู้เกี่ยวกับภาวะโภชนาการที่ดีขึ้น  ตลอดจนมีการดูแลรักษาสุขภาพที่ดีและนิยมหันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมากขึ้น  เป็นต้น   

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรในอนาคตนี้จะส่งผลอย่างไรบ้าง

                จากการคาดการณ์ถึงโครงสร้างของประชากรไทยที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงในอนาคต คือ มีการลดลงของประชากรในวัยก่อนเจริญพันธุ์และมีการเพิ่มขึ้นของประชากรของผู้สูงอายุนั้น จะส่งผลในด้านต่างๆ ดังนี้คือ

                1.  สังคมไทยเปลี่ยนจากสังคมที่มีวัยแรงงานมาก (อายุ 25-59 ปี) เป็นสังคมของผู้สูงอายุโดยจะพบผู้ที่มีอายุยืนมากขึ้น แต่จะขาดแคลนแรงงานที่จะป้อนสู่ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ ปัญหาที่จะพบตามมาคือ  อาจต้องมีการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ  ทั้งนี้รัฐต้องมีมาตรการในการควบคุมดูแลการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศให้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เนื่องจากจะส่งผลถึงความมั่นคงของประเทศได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานที่ผิดกฏหมายทั้งหลายเพราะอาจนำมาซึ่งปัญหาอาชกรรมต่างๆ ได้

                2.  การปรับนโยบายในการบริหารประเทศทางด้านเศรษฐกิจและสังคม  เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุจะส่งผลต่อการลดลงของรายได้เฉลี่ยของประชากร และส่งผลต่อรายได้จากเงินภาษีอากรของรัฐลดลงด้วย  แต่รัฐจะต้องมีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในด้านที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ เช่น  การประกันสังคม  สุขภาพอนามัย  และสวัสดิการของผู้สูงอายุต่างๆ เป็นต้น  ทั้งนี้รัฐก็ได้มีการเตรียมความพร้อมของการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุไว้บ้างแล้ว  จะเห็นได้จากการจัดทำแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545-2564) ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น

                3.  รูปแบบของการพึ่งพิงกันระหว่างกลุ่มประชากรในช่วงอายุต่างๆ จะเปลี่ยนไป โดยพบว่าโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปนี้จะทำให้จำนวนประชากรในวัยเด็กที่ต้องพึ่งพิงวัยทำงานลดลง  แต่กลับมีวัยผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพิงวัยทำงานเพิ่มขึ้น  เมื่อวัยเด็กลดลงก็จะส่งผลต่อการลดลงของวัยผู้ใหญ่ที่เป็นวัยทำงานด้วย  ถ้าหากวัยผู้สูงอายุมากกว่าวัยทำงาน  ก็จะพบกับปัญหาของการขาดที่พึ่งพิงของกลุ่มคนสูงอายุ  ในแต่ละครอบครัวก็จะมีสมาชิกที่จะดูแลผู้สูงอายุน้อยลง ปัญหาผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งก็จะมีมากขึ้นตามลำดับ

                4.  ส่งเสริมการประกอบธุรกิจที่ใช้แรงงานจากผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น  ผู้สูงวัยในปัจจุบันพบว่ามีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนเพิ่มมากขึ้น และสุขภาพก็ยังคงแข็งแรงเฉกเช่นเดียวกับวัยทำงาน หากภาครัฐและเอกชนมีนโยบายในการส่งเสริมการประกอบอาชีพที่ให้ผู้สูงวัยเหล่านี้ได้เข้ามาทำงานมากขึ้นก็จะช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้  หรืออาจจะขยายระยะเวลาในการประกอบอาชีพจากเดิมที่กำหนดให้มีการเกษียณอายุในวัย 60 ปี  อาจเพิ่มเป็น 65 ปีดังเช่นหลายๆ ประเทศ  ทั้งนี้ควรดำเนินการในเชิงนโยบายให้เป็นรูปธรรม เป็นต้น

                ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างของแนวทางในการวางแผนเพื่อการก้าวไปสู่สังคมของผู้สูงอายุ  แต่ทั้งนี้ในส่วนของประชากรของประเทศเองก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมที่จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย  กล่าวคือต้องมีการเตรียมความพร้อมของสมาชิกในครอบครัว  มีการวางแผนการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน  ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นอยู่ต่างๆ  เพื่อให้เกิดภาระที่น้อยที่สุดของสมาชิกในครอบครัวและต่อสังคมโดยรวม

                                                                *********************************

เอกสารอ้างอิง

ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานและเพิ่มเติม ชีววิทยา เล่ม 6. พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ: องค์การค้าของ สกสค. 2550. ปัทมา  ว่าพัฒนวงศ์ และปราโมทย์  ประสาทกุล.  ประชากรไทยในอนาคต. Online available://www.ipsr.mahidol.ac.th/JPSR/Annual ConferenceII/Article/Article02.htm Retrieved 06/12/2010

ประชากรโลก  ประชากรไทย.  Online available: //vclass.mgt.psu.ac.th/~465-302/2006-2/Assignment-02/BPA_29_06_2/future.htm  Retrieved 06/12/2010

ประชากรมนุษย์. Online available: //human.uru.ac.th/Major_online/SOC/03Populatio/Life_3.htm Retrieved 06/12/2010

ฐานข้อมูลประชากร: ผู้สูงอายุ. Online available: //www.cps.chula.ac.th/research_division/article/ageing_001.htm Retrieved 16/12/2010

Population in Thailand. Online available: www.boi.go.th/thai/how/demographic.asp Retrieved 16/12/2010

Population Pyramid. Online available: //www.metagora.org/training/encyclopedia/agesex.html   Retrieved 16/12/2010

Thailand Population. Online available: //www.searo.who.int/LinkFiles/Family_Planing_Fact_Sheets+thailand.pdf Retrieved 16/12/2010

Thailand and Family Planning: An Overview. Online available: //w3.whosea.org/fch Retrieved 16/12/2010

ที่มา : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สาขาชีววิทยา




 

Create Date : 27 กันยายน 2555    
Last Update : 27 กันยายน 2555 14:48:00 น.
Counter : 4829 Pageviews.  

การศึกษาในประเทศไทย: ความล้มเหลวที่น่าสยดสยอง

การศึกษาในประเทศไทย: ความล้มเหลวที่น่าสยดสยอง

ระบบการศึกษาของไทยเป็นหนึ่งในระบบการศึกษาที่แย่ที่สุดของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และกำลังย่ำแย่ลงทุกๆ ปี

โดย คาสซานดรา เจมส์ Feb 13, 2008

แปลเรียบเรียงโดย อรรถพล อนันตวรสกุล

//www.facebook.com/athapol

จาก //voices.yahoo.com/education-thailand-terrible-failure-889841.html?cat=16

ดิฉันสอนในระบบการศึกษาไทยมานานกว่าสามปี และระหว่างเวลานั้น ดิฉันได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วถึงความย่ำแย่ของระบบการศึกษาไทยที่เป็นอยู่ ระบบการศึกษาที่ล้มเหลวเป็นผลมาจากการถูกจัดสรรงบประมาณอย่างไม่เพียงพอเหมาะสม จำนวนเด็กต่อชั้นที่ล้นทะลัก (มากเกินกว่า 50 คน ต่อชั้นเรียน) การผลิตและพัฒนาครูที่ย่ำแย่ นักเรียนที่ขี้เกียจ และระบบที่บังคับให้ครูต้องปล่อยให้นักเรียนเหล่านี้ผ่านเลื่อนชั้นทั้งๆ ที่พวกเขาสอบตก ดูเหมือนว่าความหวังที่การศึกษาของประเทศไทยจะพัฒนาได้ในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้.. จะเป็นเรื่องที่ริบหรี่เหลือเกิน

ดิฉันสอนอยู่ในโรงเรียนพหุภาษาที่เป็นโรงเรียนเอกชน ซึ่งประสบปัญหาหนักหนาน้อยกว่าโรงเรียนของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม โรงเรียนที่ดิฉันสอนอยู่ก็ได้รับการสนับสนุนงบประมาณโดยกระทรวงที่เป็นหนึ่งในบรรดาหน่วยงานที่ไร้ซึ่งความสามารถอย่างน่าขบขันที่สุดในโลก กฎกติกาและนโยบายเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกภาคการศึกษา เอกสารคู่มือต่างๆ รวมทั้งประมวลรายวิชา แผนการสอน แบบทดสอบ ถูกส่งมาถึงมือครูในแต่ละภาคการศึกษาและก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้งในภาคการศึกษาต่อมา ครูถูกขอร้องให้ช่วยนักเรียนที่สอบตกผ่านเลื่อนชั้น และทำเสมือนว่าตาบอดมองไม่เห็นปัญหาที่สำคัญยิ่งอย่างเช่น การคัดลอกงานมาส่ง เป็นต้น

ทุกๆ ปี กระทรวงศึกษาธิการจะริเริ่ม “ความคิดแสนดีใหม่ๆ” เพื่อพัฒนาการศึกษาของประเทศ “ความคิดแสนดีใหม่ๆ” ของปีนี้ก็คือการบังคับให้ครูชาวตะวันตกทุกคนต้องผ่านการลงทะเบียนเรียนวิชาวัฒนธรรมไทย แม้ว่าครูจำนวนหนึ่งจะอาศัยอยู่อยู่ในเมืองไทยมานานหลายปีและรู้จักวัฒนธรรมไทยดีอยู่พอสมควรแล้ว แต่พวกเขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องผ่านการเรียนรายวิชานี้เพื่อที่จะได้ใบประกอบวิชาชีพ หรือเพื่อต่ออายุใบประกอบวิชาชีพของ ค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนเรียนอยู่ $110 ถึง $300 และครูแต่ละคนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอง ครูจำนวนมากตัดสินใจที่จะไม่ลงทะเบียนเรียน ดิฉันเพิ่งรู้จากครูสองคนที่เก่งมากว่าพวกเขากำลังเตรียมจะย้ายไปสอนที่ประเทศเกาหลีและประเทศญี่ปุ่นแทนการอยู่ทำงานที่นี่

ส่วนใหญ่แล้วประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จะจ่ายค่าตอบแทนครูชาวตะวันตกมากกว่านี้ และการได้รับอนุญาตใบการประกอบวิชาชีพก็ดำเนินการได้ง่ายกว่านี้ โดยไม่ต้องมีภาระยุ่งยากกำหนดเป็นเงื่อนไข กระทรวงศึกษาธิการของประเทศเหล่านี้มีการคิดและมองไปข้างหน้ามากกว่าที่กระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยกำลังเป็นอยู่ ประเทศไทยกำลังเริ่มประสบปัญหาในการสรรหาและรักษาครูชาวตะวันตกที่เก่งและดีให้อยู่ทำงานครูต่อในประเทศ การประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่กำลังกลายเป็นการผลักดันให้ครูจำนวนมากโยกย้ายไปทำงานที่อื่น

ในหลายประเทศของภูมิภาคนี้ หน่วยงานภาครัฐถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยจัดว่าเป็นหน่วยงานภาครัฐที่แย่ที่สุดที่ดิฉันเคยร่วมงานมา วันหนึ่งขณะที่ดิฉันสอนอยู่ที่โรงเรียน ครูคอมพิวเตอร์คนหนึ่งขอให้ดิฉันช่วยตรวจแก้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษในงานของเขา เขาถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากผู้แทนของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนคนนั้นเห็นผลงานที่เขาพัฒนาร่วมกับเด็กนักเรียนและพูดกับเขาอย่างหยาบคายว่าเขาแน่ใจแล้วหรือว่าคำอวยพรในบัตรอวยพรวันแม่ใช้ภาษาได้ถูกต้อง คำพูดนี้มาจากผู้แทนหน่วยงานซึ่งหมั่นส่งแบบฟอร์มต่างๆ ให้ครูชาวตะวันตกกรอก โดยที่แทบจะไม่เคยใช้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้ถูกต้องเลยแม้แต่ประโยคเดียว เอกสารบางฉบับไม่ประเทืองปัญญาขนาดที่ว่าหัวหน้าของดิฉันจัดการโยนมันทิ้งลงถังขยะ

ทุกวันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติทางการศึกษา นักเรียนไทยไม่ได้ถูกสอนให้คิดด้วยตนเอง รวมทั้งไม่ได้ถูกสอนให้ใช้วิจารณญาณในการคิด ในโรงเรียนของรัฐบาล จำนวนนักเรียนที่มากกว่า 50 คน ต่อชั้นเรียนเป็นเรื่องปกติ นักเรียนมากกว่าครึ่งหลับตลอดชั่วโมงเรียน ขณะที่ครูเองก็ไม่ได้สนใจเลยว่านักเรียนยังฟังเขาอยู่หรือเปล่า หนังสือเรียนมีจำนวนจำกัด โรงเรียนจำนวนมากขาดแคลนอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ครูชาวตะวันตกในโรงเรียนรัฐบาลเป็นแค่กากตะกอนไร้ค่าในสังคมครูของโรงเรียน โรงเรียนจำนวนมากไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนตามเรทที่กำหนดนั่นคือ ประมาณ $750 ต่อเดือน พวกเขาจ่ายเท่าที่พอจะจ่ายไหว (ครูชาวตะวันตกจำนวนมากที่ต้องเผชิญสภาพนี้มักเป็นชายสูงอายุที่ไม่มีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรี พวกเขาย้ายมาอยู่เมืองไทยเพียงเพราะแต่งงานกับภรรยาชาวไทย และเลือกทำงานครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน เพราะนี่เป็นงานหนึ่งในน้อยประเภทที่พวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำงานได้)

ปัจจุบันประเทศไทยพยายามจะเข้มงวดกวดขันในเรื่องวีซ่านักท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างชาติเพื่อแก้ปัญหาครูชาวตะวันตกที่ไม่มีคุณภาพ ครูที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้จะไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้างงาน ดังนั้นจึงต้องพักอาศัยอยู่ในฐานะนักท่องเที่ยว และจะต้องต่ออายุวีซ่าทุกๆ สามเดือนโดยการเดินทางออกนอกประเทศและกลับเข้ามาใหม่ ทุกวันนี้วิธีการดังกล่าวดำเนินการได้ยากขึ้น อย่างไรก็ดี มาตรการเดียวที่ใช้ควบคุมอย่างเข้มงวดกับผู้ที่อาศัยช่องทางดังกล่าวในการแก้ปัญหาก็คือการเปรียบเทียบปรับ ผู้ที่เลือกจะประพฤติผิดกฎหมาย ก็ยังสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้อย่างผิดกฎหมาย ความพยายามดังกล่าวจึงไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น

ขณะที่การศึกษาของประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม มาเลย์เซีย เกาหลี และจีน กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ประเทศไทยกำลังถอยหลังลงสู่ตำแหน่งรั้งท้ายสุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในด้านการศึกษาและด้านเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการก็ยังคงเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์กับนโยบายและกฎกติกาที่น่าขบขัน แทนที่จะใช้สามัญสำนึกในการแก้ปัญหาเหล่านี้ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่

หนึ่ง รัฐบาลควรกำหนดไปเลยว่าการมีคุณวุฒิในระดับปริญญาตรีและการมีใบประกาศนียบัตรด้านการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ เป็นคุณสมบัติพื้นฐานในการทำงานครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย ก็จะจัดการกับปัญหาชาวต่างชาติที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการสอนได้; สองการขึ้นเงินเดือนให้กับครูทั้งชาวไทยและชาวตะวันตก จะเป็นแรงจูงใจให้ได้ครูที่มีคุณภาพมากขึ้นมาทำงานสอน ทุกวันนี้โรงเรียนยังคงจ่ายค่าตอบแทนและเงินเดือนในระดับต่ำ และเป็นระดับเดียวกับที่ดิฉันเคยได้รับเมื่อครั้งมาทำงานครูเมื่อห้าปีที่แล้ว ขณะที่ราคาสินค้าต่างๆเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 20%; สาม รัฐบาลควรแก้ไขกระบวนการออกใบอนุญาตทำงานให้ง่ายมากขึ้นสำหรับครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แทนที่จะปล่อยให้ยุ่งเหยิงและเป็นภาระอย่างทุกวันนี้ เพื่อจูงใจให้ครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเหล่านี้ให้ความสนใจที่เข้ามาสอนและเลือกที่จำอยู่ทำงานครูในประเทศไทย อย่าลืมว่าทุกวันนี้ เราสามารถขอวีซ่า ใบอนุญาตทำงาน และได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่านี้ในประเทศเกาหลี จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลย์เซีย และญี่ปุ่น แล้วทำไมเราจึงต้องมาอยู่และทำงานในประเทศไทย?

อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงได้ช้ามาก สังคมไทยเป็นสังคมของการรักษาหน้าตาในทุกๆ ด้าน กระทรวง (ศึกษาธิการ) ไม่เคยรับฟังข้อคิดเห็นจากครูผู้ซึ่งรู้ดีกว่าพวกเขาว่าแท้ที่จริงแล้วอะไรคือสิ่งที่สำคัญจำเป็นสำหรับการศึกษาไทย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของเด็กๆ มากกว่าความรู้ของพวกเขา นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่าระบบการศึกษาของไทยเป็นต้นตอของปัญหาอีกหลายอย่างที่กำลังถูกหลงลืม ประเทศไทยจะยังคงล้มเหลวต่อไปและถูกทิ้งไว้ให้ล้าหลังในเกมการแข่งขันของการศึกษา ครูชาวตะวันตกที่มีความสามารถจะค่อยๆ ทยอยโยกย้ายไปทำงานที่ประเทศอื่น แต่ใครล่ะจะสนใจใส่ใจ ตราบใดที่เด็กๆ ยังดูน่ารักในชุดเครื่องแบบลูกเสือท่ามกลางขบวนสวนสนาม น่าเวทนายิ่งนักที่มีนักเรียนน้อยกว่า 10 % เสียอีกที่สามารถพูดภาษาอังกฤษยาวๆ เกินกว่า 20 คำ ได้อย่างถูกต้อง และเด็กๆ จำนวนมากก็ไม่ได้มีความสามารถทางภาษาไทยที่ดีไปกว่าภาษาอังกฤษเลย

..................

จากผู้แปล

ให้ข้อมูลไว้ก่อนว่านี่เป็นบทความเก่าตั้งแต่ปี 2008 เข้าใจว่าเป็นช่วงที่ระบบการจ้างงานครูชาวต่างชาติกำลังยุ่งเหยิงเต็มที จึงมีเสียงวิพากษ์รุนแรงจากครูชาวตะวันตกท่านหนึ่งเช่นนี้

แต่ก็ต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่าประเทศไทยเองก็ดำเนินนโยบายหลายๆ อย่างน่าปวดหัวจริงๆ นั่นแหละ ขณะที่คุณครูคนนี้ (ชื่อ ครู คาสซานดรา) ก็ใช้ภาษาในการเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างหนักหนาสาหัส ผมแปลเองยังกุมขมับ จำเป็นต้องเลือกใช้คำแรงๆ ให้ได้ความหมาย (และแน่นอนอารมณ์) ของผู้เขียน

ใช้ภาษาในการแปลแรงไป เข้าใจอะไรผิดไป เป็นความผิดของผมคนเดียวก็แล้วกัน ส่วนที่ว่าต้นฉบับเป็นอย่างไร แปะลิงค์ไว้ให้แล้วครับ

ผมไม่มีความปรารถนาจะให้บทความนี้กลายเป็นเครื่องมือในการนำไปตำหนิกันอย่างสนุกปาก โดยมินำพาถึงการทบทวนตนเองเพื่อหาหนทางที่ดีกว่าในการพัฒนาการศึกษาของบ้านเรา บทความอาจจะถูกเขียนโดยชาวต่างชาติที่มาอยู่ต่างวัฒนธรรม และเป็นมุมมอง+ประสบการณ์ส่วนบุคคล ซึ่งคงจะไม่เหมาะที่เอาไปเหมารวมหรือตำหนิกราดไปทั่ว อย่างไรก็ตาม แม้เป็นหนึ่งเสียง ก็ควรรับฟัง และผู้ที่เจริญแล้วเมื่อรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ ต้องทบทวนตนเองถึงสิ่งที่เราต้องทำ

ผมไม่ได้มุ่งหมายจะกล่าวโทษแต่กระทรวงศึกษาธิการ ที่ในบทความโดนตำหนิเป็นหลักอยู่ฝ่ายเดียว แต่ผมเห็นว่านี่คืออีกหนึ่งเสียงสะท้อนว่าสังคมไทยต้องตื่นตัว และลุกขึ้นจัดการกับการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพเพื่อทุกคนอย่างจริงจังเสียที

ที่มา บทความต้นฉบับ




 

Create Date : 25 เมษายน 2555    
Last Update : 25 เมษายน 2555 15:45:46 น.
Counter : 934 Pageviews.  

หมอเผย การเสพย์ติดสื่อโป๊เปลือยทำให้ผู้ชายแย่เรื่องบนเตียง

เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศรายงานโดยอ้างผลวิจัยจากประเทศตะวันตกว่า กลุ่มคนที่เสพย์ติดการดูสื่อโป้เปลือยทางอินเตอร์เน็ตอาจทพให้เกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้

มาร์เนีย โรบินสัน ผู้เขียนหนังสือ "Cupid's Poisoned Arrow" บอกว่ามีชายหนุ่มวัยเจริญพันธุ์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเสพย์ติดการชมสื่อโป๊เปลือยทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถเกิดอารมณ์ทางเพศกับคู่นอนที่เป็นคนจริงได้

"มีชายหนุ่มจำนวนมากจากหลากหลายวัฒนธรรม จากต่างระดับการศึกษา ศาสนา ทัศนคติ ค่านิยม การกินอาหาร การเสพย์กัญชา และบุคลิกภาพ พวกเขาเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก พวกเขาเหล่านี้มีอยู่สองอย่างที่เหมือนกัน คือการเสพย์สื่อโป๊เปลือยทางอินเตอร์เน็ตอย่างหนัก และมีความต้องการเสพย์แบบที่สุดโต่งมากขึ้นเรื่อยๆ" มาร์เนีย กล่าวในบทความที่โพสท์ทางเว็บไซต์ Psychology Today

เธอบอกอีกว่า ชายส่วนมากแปลกใจที่พบว่าการใช้สื่อโป๊เปลือยกลายเป็นปัจจัยหนึ่งของปัญหาการร่วมเพศจริง

"พวกเขาแปลกใจที่การเสพย์สื่อโป้เปลือยอย่างหนักส่งผลทางลบกับพวกเขา ไม่มีใครบอกมาก่อนว่ามันอาจกระทบต่อพวกเขาได้ และมนุษย์เราก็สามารถช่วยตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสื่อโป๊เปลือย เป็นเรื่องที่แทบจะถูกละเลยโดยสิ้นเชิงในการศึกษาค้นคว้าเรื่องการเสพย์ติดของผู้เสพย์สื่อโป้เปลือย" มาร์เนียกล่าว

มาร์เนียเปิดเผยว่ากรณีศึกษาจำนวนมากเคยพบแพทย์ ได้รับการทดสอบหลายอย่าง แต่ก็ยังได้รับการสรุปว่า "ปกติ" ในทางกายภาพ
การวินิจฉัยขั้นสุดท้ายโดยปกติแล้วคือ "การวัดความวิตกกังวลในเชิงปฏิบัติ" เธอกล่าว

มาร์เนียอ้างถึงการสำรวจของแพทย์ด้านอวัยวะเพศชาวอิตาเลียน ที่เคยศึกษาเรื่องการเชื่อมโยงกันระหว่างการแข็งตัวของอวัยวะเพศกับการเสพย์สื่อโป๊เปลือย

โดยคาร์โล ฟอร์เรสต้า หัวหน้าสมาคมบุรุษเวชวิทยาและการแพทย์เรื่องเพศ ศาตราจารย์จากมหาวิทยาลัยปาดัว ระบุว่าร้อยละ 70 ของชายหนุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องสมรรถภาพทางเพศยอมรับว่าพวกเขาเสพย์สื่อโป้เปลือยอย่างเป็นนิสัย

พวกเขาใช้เวลาฟื้นฟู 6-12 สัปดาห์ และในกลุ่มที่รับการฟื้นฟูนั้น "แสดงผลก้าวหน้าไปในทางเดียวกันอย่างน่าประหลาดใจ" เธอกล่าว
'การกระตุ้นเร้ามากเกินไป' ในสื่อโป้เปลือย

มาร์เนีย บอกว่าผลการวิจัยแสดงออกมาในเชิงกายภาพ ไม่ใช่ในเชิงจิตใจ

เธอบอกว่าจากการวิจัยเรื่องพฤติกรรมเสพย์ติดล่าสุดพบว่าการสูญเสียแรงขับทางเพศและสมรรถภาพทางเพศเกิดขึ้นจากการที่ผู้เสพย์ เสพย์สื่อโป้เปลือยอย่างหนักจนเกิดความเฉื่อยชาต่อสมองด้านที่ตอบสนองอารมณ์พึงพอใจ

"การพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดเรื่องเพศตามธรรมชาติ โดยอาศัยการกระตุ้นเร้าอย่างเข้มข้น ทำให้ผู้เสพย์ลดการตอบสนองต่อสารสื่อประสาทที่เรียกว่าโดปามีน" มารืเนียกล่าว

โดปามีนเป็นสารสื่อประสาทที่เป็นแรงเสริมให้เกิด "ความต้องการ" และการเสพย์ติด รวมถึงแรงขับการแสวงหาการตอบสนอง "ถ้อยความ รูปภาพ และวิดิโอที่กระตุ้นเร้าทางเพศมีอยู่มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่อินเตอร์เน็ตสามารถทำให้โดปามีนหลั่งจนถึงระดับขีดสุดอย่างไม่จบไม่สิ้น ผู้เสพย์สื่อโป้เปลือยในทุกวันนี้สามารถทำให้สารดังกล่าวหลั่งออกมาได้เรื่อยๆ โดยการเปิดชมสิ่งโป้เปลือยพร้อมกันหลายวินโดว์ ค้นหาอย่างไม่รู้จบ เร่งไปสู่ช่วงที่เร่าร้อนที่สุด เปลี่ยนไปพูดคุยเซ็กส์แชทแบบสดๆ อ่านนิยายโป้ได้ตลอดศก เติมไฟให้กับเซลส์ประสาทด้วยวิดิโอและแคมทูแคม (การสื่อผ่านกล้องวิดิโอของเครื่องคอมพิวเตอร์) หรือไม่ก็ยกระดับไปหารูปแบบที่สุดโต่ง และชวนให้วิตกกังวล" มาร์เนียกล่าว

"ทุกอย่างฟรีหมด เข้าถึงก็ง่าย ปรากฏให้ใช้ภายในไม่กี่วินาที ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันในหนึ่งสัปดาห์ 'การกระตุ้นเร้ามากเกินไป' จึงกลายเป็นผลลัพธ์ที่เกิดกับสมอง เรื่องนี้มีความเป็นไปได้จริงในทุกวันนี้" เธอกล่าวเสริม

การเลิกเสพย์เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก จากการที่จะทำให้ผู้เลิกมีความอยากทางเพศลดลงชั่วคราวอย่างเห็นได้ชัด และผู้ชายบางคนอาจมีอาการลงแดงด้วย

อาการลงแดงดังกล่าวนี้รวมถึงอาการนอนไม่หลับ, ฉุนเฉียวง่าย, ตื่นตระหนก, สิ้นหวัง, ปัญหาในการใช้สมาธิ และแม้กระทั่งอาการแบบโรคหวัด

มาร์เนียกล่าวว่า สมองต้องการโอกาสในการ "รีบูต" หรือกลับไปสู่การตอบสนองต่อสารโดปามีนอย่างเป็นปกติ

ที่มา : Cyber porn making men bad in bed, GMA News, 23-10-2011

แปลภาษาไทยโดย ประชาไท




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2554    
Last Update : 25 ตุลาคม 2554 13:21:04 น.
Counter : 561 Pageviews.  

ปาฐกถาพิเศษของ Jobs ที่ Stanford เมื่อปี 2005

เนื่องในวาระที่Steve Jobได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนเมื่อช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาในไทย หรือก็คือช่วงเย็นวันที่ 5 ตุลาคม 2554 ตามเวลาในท้องถิ่น เราจึงขอนำปาฐกถาพิเศษของ สตีฟ จ็อบส์ ที่ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อปี 2005 ปาฐกถาเลื่องชื่อที่แม้แต่นิตยสารชื่อดังอย่าง Fortune ยังต้องนำไปตีพิมพ์มาลงให้อ่านรำลึกกัน

Fortune ฉบับ September 5, 2005 ฟอร์จูนได้เขียนในข้อความโปรยก่อนบทความว่า ปกติการปาฐกถาพิเศษในวันรับปริญญามักจะเป็นอะไรที่ฟังสบาย ๆ แล้วก็ผ่านไป แต่ปาฐกถาพิเศษของ Jobs ที่ Stanford ครั้งนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเพราะหลังจากวันนั้นก็คนพูดถึงอย่างมากมาย ไม่เฉพาะในหมู่บัณฑิต ของสแตนด์ฟอร์ดเท่านั้น แต่มีการโพสต์เข้าไปในเวบไซด์ ต่างๆ ส่งอีเมล์ให้คนรู้จักอ่าน ถกเถียงในเวบล็อก คนที่ไม่ได้อ่านก็ถามหากันมาก จนฟอร์จูนต้องเอามาตีพิมพ์แม้จะผ่านมาแล้วถึง 4 เดือนก็ตาม





" ผมรู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้มาร่วมในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกับ พวกท่านในวันนี้ ความจริงที่คนรู้กันทั่วไปก็คือ ผมไม่จบปริญญาครับ จะว่าไปแล้วการมาที่นี่ในวันนี้ถือว่าทำให้ผมได้อยู่ใกล้กับคำว่าได้ปริญญา มากที่สุด วันนี้ผมอยากจะบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตผมให้ฟัง สามเรื่อง เป็นแค่เรื่องของชีวิตผมเองเท่านั้นจริง ๆ นะครับ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

เรื่องแรก

... เป็นเรื่องของการมองเส้นทางเดินของชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งมันเป็นคล้าย ๆ การต่อเชื่อมจุดให้เป็น รูปร่าง ผมดรอปจากมหาวิทยาลัย Reed หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 6 เดือน แต่ก็ยังเตร็ดเตร่อยู่ในมหาวิทยาลัย อีก 18 เดือน ก่อนที่จะออกมาจริง ๆ ถามว่าทำไมผมถึงดรอป บางทีเรื่องนี้อาจจะเริ่มมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วย ซ้ำไป แม่ของผมเป็นสาวรุ่นที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยและไม่ได้แต่งงาน เธอตั้งใจว่าจะยกผมให้คนที่ต้องการเด็กรับไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เธอมีเงื่อนไขในใจที่ค่อนข้างแรงกล้าว่า จะยกผมให้กับคู่สามีภรรยาที่ต้องจบมหาวิทยาลัยเท่านั้น ตอนแรกผู้ที่จะรับผมไปอุปการะนั้นเป็นคู่ของทนายความกับภรรยา แต่ปรากฏว่าตอนผมคลอดนั้น ทั้งสองก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหันว่าอยากได้เด็กผู้หญิง ผมก็เลยมาเป็นลูกของพ่อแม่ผมในขณะนี้ ตอนนั้นท่านทั้งสองอยู่ในรายชื่อถัดไปที่ต้องการรับเด็กไปเลี้ยง พอคู่ของทนายปฏิเสธ ก็เลยมาถึงคิวของท่าน แต่ปัญหาก็คือ..พ่อแม่ผมไม่ได้จบมหาวิทยาลัยในหนแรก แม่ผมจึงไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะพ่อแม่ผมให้ สัญญาว่าจะส่งผมเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อผมโตขึ้นอย่างแน่นอน

17 ปีต่อมาผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยจริง ๆ แต่ผมดันไปเลือกมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงพอ ๆ กับ ที่นี่ ด้วยเงินเก็บของพ่อแม่ผมซึ่งท่านก็เป็น คนระดับทำงานธรรมดา หมดไปกับค่าเทอมของผม หกเดือนในมหาวิทยาลัยผมมองไม่เห็นว่า มันจะคุ้มกับค่าเล่าเรียนยังไง ผมไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี และมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ให้ทางออกกับผม ผมใช้เงินที่พ่อแม่สะสมมาทั้งชีวิตหมดไปในหกเดือนที่ Reed

ในที่สุด ผมตัดสินใจดรอปโดยมั่นใจว่าทุกอย่างจะดีขึ้น จริง ๆ ตอนนั้นผมก็ค่อนข้างกลัว แต่เมื่อมองกลับไป การตัดสินใจดรอปเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตการดรอปทำให้ผม ไม่ต้องเรียนวิชาบังคับที่ผมไม่ชอบ แต่ในขณะเดียวกันกลับทำให้ผมได้เข้าเรียนวิชาที่ผมสนใจ

แต่ก็ไม่ใช่ เรื่องดีทั้งหมดนะครับ ผมไม่มีหอพัก ต้องสิงในห้องของเพื่อน ผมต้องเก็บกระป๋องโค้กไปคืนที่ร้านเพื่อเอาเงินมัดจำกระป๋องละ 5 เซ็นต์ ไปซื้อข้าวประทังชีวิต และทุก ๆ วันอาทิตย์ผมต้องเดินข้ามเมืองถึง 7 ไมล์ เพื่อที่จะได้กินอาหารดี ๆ ซักมื้อที่โบสถ์พราหมณ์ และมีหลาย อย่างที่ผมอาจจะก้าวพลาดไปโดยบังเอิญเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือโดยสัญชาตญาณ ได้ให้บทเรียนที่มิอาจประเมินค่าได้กับผม ผมอยากจะยกตัวอย่างให้ฟังซักเรื่อง

มหาวิทยาลัย Reed ในตอนนั้นอาจจะเรียกได้ว่ามีคอร์สสอนการออกแบบตัวอักษร (calligraphy) ที่ดีที่สุดในอเมริกาก็ว่าได้ ป้ายหรือโปสเตอร์ ต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยจะถูกออกแบบอย่างสวยงาม ผมตัดสินใจเข้าเรียนวิชานี้ เนื่องจากไม่ต้องลงเรียนวิชาปกติ หลังจากดรอปไว้ ผมได้เรียนรู้ตัวอักษร serif และ sans serif ได้รู้เรื่องการจัดวางช่องไฟ การผสมผสานตัวอักษรขนาดต่าง ๆ กัน ให้งานออกมาดูดีที่สุด มันเป็นอะไรที่ บ่งบอกถึงความสวยงาม มีที่มาที่ไป และมีศิลปะแบบที่วิทยาศาสตร์ก็สอนเราไม่ได้ มันสุดยอดจริง ๆ

แต่สิ่ง เหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในชีวิตผมเลย จนกระทั่งสิบปีต่อมาเมื่อเราออกแบบคอมพิวเตอร์ แมคอินทอชเครื่องแรก นั่นแหละวิชาที่เรียนตอนดรอปถึงช่วยได้จริง ๆ ทุกท่านคงเห็นเครื่องแมคฯ ที่มีตัวฟอนท์ที่สวยงาม นี่ถ้าผมไม่ได้ลงเรียนวิชาการออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) ใน ตอนนั้นแล้ว เราก็คงไม่มีเครื่องแมคอย่างที่เราเห็นในวันนี้ และความจริงก็คือถ้าวินโดวส์ไม่ลอกเราในวันนั้น พีซีในยุคปัจจุบันก็จะไม่มีตัวฟอนท์อย่างนี้ก็ได้

ทั้ง หมดเกิด ขึ้นได้เพราะผมลงเรียนวิชาคัดลายมือครั้งนั้นทีเดียวจริง ๆ แน่นอนครับว่าเราคงไม่สามารถต่อเชื่อมจุดเป็นรูปร่างได้เมื่อผมอยู่ที่ Reed แต่เมื่อตอนสิบปีผ่านไปทุกอย่างก็เห็นได้ชัด

ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า

เราไม่สามารถต่อจุดให้เป็นรูปร่างได้โดยการมองไปข้างหน้า เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเรามองย้อนหลังไป (ถ้านึกไม่ออกให้ นึกถึงเวลาเราเชื่อมจุดเป็นรูปต่าง ๆ ถ้าเราเอากระดาษปิดจุดที่เราต่อมาแล้วเราจะต่อไปข้างหน้าไม่ถูก) ฉะนั้นขอให้เชื่อว่าจุดต่าง ๆ ที่ผ่านมา นั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราในวันข้างหน้า เราต้องเชื่อในอะไรซักอย่างไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจ ชะตาชีวิตหรือกรรม อะไรก็ได้ วิธีคิดแบบนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังท้อแท้ แต่กลับสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นกับชีวิตผมมากมาย

เรื่องที่สอง

... ที่จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความรักและการสูญเสียครับ ผมโชคดีที่ได้พบกับสิ่งที่ผมรักที่จะทำตั้งแต่วัยหนุ่ม วอซ (Stephen Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple) กับผมเริ่มทำคอมพิวเตอร์แอปเปิลกันที่โรงรถของพ่อแม่ผมตอนผมอายุ 20 เราทำงานกันอย่างหนัก ภายใน ระยะเวลา 10 ปี แอปเปิลที่เริ่มจากเราสองคนในโรงรถเติบโตขึ้น มีสินทรัพย์ถึง 2,000 ล้านเหรียญ มีพนักงานกว่า 4,000 คน

เราเพิ่งสร้าง คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดคือ แมคอินทอช ตอนผมเพิ่งย่างสามสิบ แต่ผมกลับถูกไล่ออก หลายคนอาจสงสัยว่าผมถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมาได้ยังไง คือเมื่อแอปเปิลเริ่มเข้าที่และเติบโต เราก็หาคนที่เราคิดว่าเก่งมาร่วมบริหาร แรกก็ไปได้ดี แต่พอซักพัก วิสัยทัศน์เราก็เริ่มไม่ตรงกันหนักเข้าก็กลายเป็นความขัดแย้ง และในที่สุดคณะกรรมการบริหารก็เลือกข้างเขา และผมก็เป็นฝ่ายต้องออกมา เป็นการออกที่คนรู้กันทั่วไปใหญ่โต สิ่งที่เป็นหัวใจในชีวิตของผมมลายหายไป ชีวิตผมเหมือนไม่เหลืออะไรเลย

ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรอยู่หลาย เดือน ผมรู้สึกว่าผมได้ปล่อยให้ความเป็นเจ้าของกิจการหลุดลอยไป ทั้ง ๆ ที่มีโอกาส ช่วงหลังผมได้พบกับDavid Packard (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง HP) และ Bob Noyce (หนึ่งใน ผู้ร่วมก่อตั้ง Intel) เพื่อขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น คนทั่วไปมองว่านี่เป็นความ ล้มเหลวของผม จนผมคิดจะออกจากธุรกิจไอทีนี่แล้ว แต่แล้วผมก็รู้สึกว่าเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิลไม่ได้ทำให้ความรักของผมกับคอมพิวเตอร์ลดลงแม้แต่ น้อย ถึงผมจะถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังรักมัน ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง

ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่รู้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ถ้ามามองตอนนี้ การออกจากแอปเปิลกลับถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมความ รู้สึกหนักอึ้งที่แบกรับไว้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ กลับถูกแทนที่ด้วยการที่ไม่มีอะไรต้องเสียจากการที่เป็นผู้ที่เริ่มต้นใหม่ ผมกลายเป็นคนที่จะไม่มั่นใจกับอะไรมากจนเกินไป และที่สำคัญ มันเป็นการปลดปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ช่วงที่ถือว่ามีพลังสร้างสรรค์มากที่สุด

ช่วง หนึ่งของชีวิต ในช่วง 5 ปีหลังจากนั้นผมเริ่มทำบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และอีกบริษัทหนึ่งคือ Pixar และพบรักกับหญิงสาวคนที่เป็นภรรยาผมตอนนี้ Pixar ได้ ผลิตหนังการ์ตูนแอนนิเมชั่นด้วยคอมพิวเตอร์เรื่องแรกของโลก คือ Toy Story และปัจจุบันนี้ Pixar ก็เป็นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในโลก และเหตุการณ์ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกจุดหนึ่งก็มาถึง แอปเปิลซื้อกิจการ NeXT และผมก็กลับแอปเปิล และสิ่งที่ผมสร้างไว้ที่ NeXT ก็กลายมาเป็นหัวใจของแอปเปิลในยุคฟื้นฟู และผมก็ได้แต่งงานกับ Laurene "ผม ค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจากแอ ปเปิล ถือว่าเป็นการให้ยาที่แรงสุด ๆ แต่ก็ถือว่าถูกกับคนไข้ บางที ชีวิตก็เล่นกับเราแรง แต่ขออย่าเสียความเชื่อมั่นศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ผมก้าวหน้ามาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะผมรักในสิ่งที่ผมทำ พวกคุณต้อง ค้นหาว่าคุณรักอะไร ความจริงมันก็คล้าย ๆ กับการหาแฟนซักคนนั่นแหละ จะว่าไปแล้วการทำงานนี่ถือเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตของเรา ทางเดียวที่จะทำให้เรามีความพึงพอใจสูงสุดก็คือ การได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ มีความหมาย และการที่จะทำให้การทำงานที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จก็คือ การรักในสิ่งที่ทำ
...ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็จงค้นหาต่อไป อย่าเพิ่งหยุด คุณจะรู้ได้ด้วยใจคุณเองเมื่อ คุณค้นพบมัน และมันจะทำให้เราดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นจงค้นหา ต่อไป

เรื่องที่สาม

... ที่จะเล่าให้ฟังวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความตาย เมื่อตอน อายุ 17 ผมอ่านเจอคำพูดของคน ๆหนึ่งพูดไว้ว่า "ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ สักวันคุณจะดีขึ้นแน่นอน" ผมประทับใจมาก และตลอด 30 ปีตั้งแต่นั้นมา ผมจะมองกระจกและถามตัวเอง ทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมอยากทำอะไร และวันนี้จะทำอะไรบ้าง ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบออกมาว่า ไม่รู้จะทำอะไรติดต่อกันหลายๆ วัน

ผม รู้ว่าผมต้องเปลี่ยนแปลง อะไรบางอย่างแล้วการระลึกอยู่เสมอว่าเราต้องตายเร็ว ๆ นี้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุด ที่ผมใช้ในยามต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิต เพราะเกือบจะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังต่าง ๆ จากคนภายนอก ความภาคภูมิใจ การกลัว การเสียหน้า หรือล้มเหลว ล้วนแต่ไม่เป็นสาระทั้งสิ้น เมื่อเราต้องเผชิญกับความตาย มันทำให้เรานึกถึงแต่สิ่งที่เป็นแก่น เป็นความสำคัญที่สุดเท่านั้น การ ระลึกว่า คุณกำลังจะตายเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะหลุดพ้นจากความคิดที่กลัวการสูญเสียอะไรบางอย่าง ชีวิตคุณมีแต่ตัวนี่ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุอะไรที่ไม่เดินตามความฝันของตัวเอง

เมื่อ ปี ที่แล้วผมไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง หมอทำสแกนผมราว เจ็ดโมงครึ่ง และเห็นชัดว่ามีก้อนเนื้อที่ ตับอ่อน ผมเองไม่รู้แม้กระทั่งว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเท่าที่ดูแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นมะเร็ชนิดที่ไม่มีทางรักษา และบอกว่าผมน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3-6เดือน หมอแนะนำว่าให้กลับบ้านและจัดการอะไรต่าง ๆ ให้เรียบร้อย พูแบบชาวบ้านก็คือ หมอบอกให้ไปเตรียมตัวตายนั่นเอง มันหมายความว่าคุณต้องรีบคุยกับลูกในสิ่งที่คุณคิดว่าจะคุยในอีกสิบปีข้าง หน้า หมายความว่าต้องเตรียมสิ่งต่าง ๆ ไว้ให้ครอบครัวเมื่อคุณต้องจากไป และหมายความความว่าคุณต้องลาโลกนี้ไปแล้ว

ผมอยู่ กับความรู้สึกว่าเป็นมะเร็งและต้องตายเร็ว ๆ นี้ทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็นหมอต้องตัดเอาเนื้อเยื่อเพื่อวิเคราะห์อีกครั้ง หมอใช้กล้องส่องภายในสอดผ่านลำคอ ผ่านกระเพาะ ลงลำไส้เล็ก และใช้เข็มเล็ก ๆ เจาะก้อนเนื้อเล็ก ๆ ในตับอ่อนออกมาตรวจ ตอนนั้นผมถูกวางยางสลบอยู่แต่ภรรยาผมบอกภายหลังว่า เมื่อหมอตรวจเนื้อเยื่ผ่านกล้องจุลทรรศน์อีกครั้งหนึ่งก็พบว่า ผมเป็นมะเร็งแบบที่พบได้น้อยมากคือ เป็นชนิดที่รักษาได้ด้วยการผ่าตัด และผมก็เข้ารับการผ่าตัดรักษาจนหายดีแล้วในตอนนี้

นี่ถือว่าเป็นการ เข้าใกล้ความตายมากที่สุดของผม และผมก็หวังว่ามันจะรักษาสถิติที่ใกล้ที่สุดไปอีกหลายสิบปีข้างหน้าด้วย การที่ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็ทำให้ผมเล่าให้พวกคุณฟังได้อย่างเต็มที่ไม่ ใช่เพียงแค่ความคิดเชิงหลักการอย่างเดียว ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ แม้แต่คนที่อยากไปสวรรค์ก็ไม่ต้องการตายเพื่อที่จะไปถึงที่นั่น แต่ ทุกคนต้องตายครับ ไม่มีใครหลีกพ้นความตายได้ และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมถือว่า ความตายน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิต ความตายทำให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเป็นการกำจัดคนเก่าเพื่อเปิดทางให้คนใหม่ ตอนนี้คนใหม่คือพวกคุณทั้งหลาย และจะค่อย ๆ แก่ไปในที่สุดและจะถูกกำจัดไป ขอโทษที่ผมอาจจะพูดอะไรที่เป็นนิยายไปหน่อย แต่ก็เป็นความจริงนะครับ

ชีวิต ของพวกคุณมีจำกัดครับ จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตอยู่บนชีวิตของคนอื่น อย่าตกอยู่ในหลุมพรางของความเชื่ออะไรบางอย่าง ซึ่งทำให้เรา ดำรงชีวิตอยู่บนความคิดของคนอื่น อย่าให้ความคิดของคนอื่นมากดความต้องการที่แท้จริงภายในใจของเรา สิ่งที่สำคัญนะครับ จงมีความกล้าหาญที่จะก้าวเดินตามสิ่งที่หัวใจเราเรียกร้อง ซึ่งตอนนี้อาจจะรู้แล้วว่าคุณต้องการเป็นอะไร อย่างอื่นเป็นเรื่องรองทั้งสิ้นตอนผมหนุ่ม ๆ มีสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า

The Whole Earth Catalog ซึ่งได้รับความนิยมมากในยุคนั้น คนที่ทำมันขึ้นมาชื่อ Stewart Brand ซึ่งอยู่ไม่ ไกลจากนี่เท่าไหร่ คือที่ Menlo Park ใน Whole Earth Catalog มีบทกวี ดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเยอะ ตอนนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1960 ก่อนที่จะมีพีซี เพราะฉะนั้นนิตยสารนี้จึงทำขึ้นด้วยพิมพ์ดีดมือกรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันก็คล้าย ๆ กับ Google ฉบับ หนังสือนั่นแหละ คือเกิดก่อน Google 35 ปี มันเป็นอะไรที่อุดมคติ มีคำสอน ข้อคิดเตือนใจดี ๆ มากมาย

Stewart ออก Catalog หลายฉบับแต่ทุกอย่างก็ย่อมมีจุดสิ้นสุด มาถึงฉบับสุดท้ายเมื่อราวกลาง ทศวรรษ 1970 ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุเท่า ๆ กับ พวกคุณนี่แหละ ในปกหลังของฉบับสุดท้ายนี่เป็นรูปถ่ายถนน ในชนบทยามเช้า เป็นภาพที่หลายคนคงเคยสัมผัส ถ้าเผื่อเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ด้านล่างของภาพเขียนว่า "Stay Hungry.Stay Foolish " มันเป็นเหมือนการกล่าวอำลาของพวกเขาด้วย "จงเป็นคนที่หิวอยู่เสมอ จงเป็นคนที่โง่อยู่เสมอ" เป็นสิ่งที่ผมใช้เตือนตัวเองตลอดเวลา และในโอกาสที่พวกคุณจะจบการศึกษาออกไปเผชิญโลกกว้าง ผมขอให้พวกคุณ จงเป็นคนที่ Stay Hungry และ Stay Foolish .."

ถอดความโดย : กิตติ สิงหาปัด

ที่มา : Voice TV




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2554    
Last Update : 6 ตุลาคม 2554 18:23:01 น.
Counter : 755 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.