Bloggang.com : weblog for you and your gang
ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้
ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker
ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน
มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที
พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...
ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด
เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน
หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต
ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ
Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่อง
ข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว
ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogใน
กลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้
ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogใน
กลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้
Hall of Shame
กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า
ปากกาสีน้ำ......เงิน
หรือ
กลอน
เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
Group Blog
回
นิยายดองแต่งแล่น
回
บันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้
回
คำทักทายกับสมุดเยี่ยม
回
พงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์
回
สาระ(แนว)วงการการ์ตูน
回
มารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้
回
แจกCDพระไตรปิฎกฟรี
回
รวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้
回
รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้
回
ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้
回
ภัยมืดของโลกออนไลน์
回
เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษ
回
ห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้
回
กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternet
回
คุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์
回
ตำราพิชัยสงครามซุนวู
回
แฟนพันธ์กูเกิ้ล
回
หน้าสารบัญ
回
คลังเก็บรูป
回
กล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)
回
ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ต
回
สาระเบ็ดเตล็ด
回
รู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกร
回
รวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกร
回
รวมกระทู้ดีๆการเมือง1
回
กรรมกรกับโรคAsperger
回
รวมกระทู้ดีๆการเมือง2
回
ความเลวของสื่อ
回
ความเลวของพรรคประชาธิปัตย์
回
ความเลวของอำมาตย์ศักดินา
回
ข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไป
回
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย
回
รวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงิน
回
เจาะฐานการเมืองท้องถิ่น
ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing
Userใต้ดิน
เพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing
Userใต้ดิน
ผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว
อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจาก
Weblogของผมที่Exteen.com
ซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำWeb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้มีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง
ธงชัย วินิจจะกูล: มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปัจจุบัน
การประนีประนอมหาทางออกในวันนี้จะส่งผลดีต่อ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์ในระยะยาว อันดับแรกสุดคือ เปิดประตู เปิดช่องทางให้กับการประนีประนอม
หยุดใช้มาตรา 112 ณ บัดนี้ ปลดปล่อยคนที่เดือดร้อนโดยเร็วที่สุด ปล่อยคุณสมยศ (พฤกษาเกษมสุข) ปล่อยคุณดา (ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล) และคนอื่นๆ
ขจัดบรรยากาศความกลัวที่ปกคลุมประเทศไทยในขณะนี้ ยอมให้มีการอภิปรายถึงบทบาทสถานะทางการเมืองของ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผย ปล่อยให้กระบวนการประชาธิปไตยดำเนินไปตามทางของมันไม่ว่าจะลุ่มๆดอนๆขนาดไหนก็ตาม
หากน้อยกว่านี้ สายกว่านี้ หรือรังแกกันต่อไป ก็จะยิ่งเร่งให้ สุก โดยไม่จำเป็นเลย
พระมหากษัตริย์ต้องอยู่พ้นจากการเมืองอย่างแท้จริง จึงจะไม่เกิดความขัดแย้งในเรื่องสถาบันหรือตัวบุคคลอีกต่อไป ฝ่ายเจ้าจึงจะไม่ต้องวิตก วิ่งเต้น สะสมกำลัง ชิงความได้เปรียบกันอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวว่านักการเมืองรายใดจะมาเป็นคู่แข่ง เพราะไม่มีอำนาจการเมืองเป็นเดิมพันอีกต่อไป
ฝ่ายเจ้าของไทยในปัจจุบันจะมีสายตายาวไกลพอหรือไม่ เห็นแก่ประเทศชาติประชาชนขนาดไหน หรือพวกเขาอยู่สูงเหนือประชาชนจนไม่เข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วในระดับรากหญ้าและไม่สามารถหยุดยั้งหรือย้อนเวลากลับได้อีกแล้ว
ธงชัย วินิจจะกูล
000000
เกริ่นนำ
เมื่อ 10 ปีก่อนในรายการเพื่ออาจารย์ชาญวิทย์เช่นกัน ผมถือว่าเป็นโอกาสที่จะเสนอความคิดทางวิชาการครั้งสำคัญเพื่อให้งานสำหรับอาจารย์ชาญวิทย์มีความหมายต่อไปอีกนานๆ คราวนั้นจึงประมวลความคิดความรู้เสนอเรื่อง ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม เป็นหัวข้อที่จัดอยู่ในเรื่องประวัติศาสตร์นิพนธ์และปรัชญาประวัติศาสตร์ของไทยซึ่งเป็นแขนงความรู้หนึ่งที่อาจารย์ชาญวิทย์ให้ความสำคัญ
วันนี้เป็นโอกาสสำคัญทำนองเดียวกันอีกครั้ง คราวนี้ขอเลือกหัวข้อที่จัดอยู่ในเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่อาจารย์ชาญวิทย์ให้ความสำคัญจนเป็นที่รู้จักกันดี
การศึกษาประวัติศาสตร์มีหลายแบบ โดยมากจะสนใจลงรายละเอียดข้อเท็จจริงมากมายเพื่อต่อชิ้นส่วนของอดีตอีกชิ้นหนึ่ง แต่มีงานทางประวัติศาสตร์ การคิดทางประวัติศาสตร์อีกแบบคือ ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในมุมกว้างครอบคลุมเวลานับร้อยปี เพราะการศึกษาในแบบแรกซึ่งทำกันอยู่ทั่วไป มักมองไม่เห็นแนวโน้มใหญ่ๆทางประวัติศาสตร์ของสังคม มองไม่เห็นทั้ง ป่า มองเห็นแต่ ต้นไม้ เป็นต้นๆหย่อมๆ
ในวันนี้ผมอยากจะเพ่งมองลงไปที่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองไทยใน 100 กว่าปีที่ผ่านมานับแต่เริ่มเกิด สยามใหม่ ก็ว่าได้ พยายามมองในกรอบเวลากว้างไกล เราจะเห็นอะไร
แน่นอนว่ามีหลายแง่มุมให้เราเพ่งมอง เช่นฐานของระบบเศรษฐกิจ หรือประวัติศาสตร์ชนบทไทย แน่นอนว่าเราอาศัยความได้เปรียบที่เรามีชีวิต 100 ปีหลังจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้เห็นความคลี่คลายของสังคมไทย 100 ปีให้หลัง ถ้าเรามองจากปัจจุบัน มองภาพรวมของกระแสความเปลี่ยนแปลงในร้อยปี เราจะเห็นอะไรบ้าง
สิ่งที่เด่นชัดขึ้นมา คือ มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังอยู่กับทุกอณูของปัจจุบัน
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ในความเข้าใจของเราและของบทความนี้
ความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์มี 2 นัย คือ
หนึ่ง สมบูรณาญาสิทธิราชย์มีคุณูปการมหาศาลต่อปัจจุบัน ช่วยให้สยามอยู่รอดเป็นเอกราชและเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่รุ่งเรืองเจริญสถาพรทุกด้าน
สอง แต่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รวบอำนาจในมือกลุ่มเจ้า ไม่เปิดโอกาสแก่สามัญชนที่มีความรู้ความสามารถในระบบราชการ จนกลายเป็นอุปสรรคต่อความเจริญ ดังนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 ซึ่งถือว่าเป็น อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม เรามักเข้าใจกันว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์จบไปแล้ว หากนับจากปีที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชอำนาจอย่างเต็มที่ประมาณปี 2425 และเริ่มการปฎิรูปครั้งใหญ่ จนถึง 2475 สมบูรณาญาสิทธิราชย์มีอายุประมาณ 50 ปีเท่านั้น
ทุกวันนี้คนจำนวนมากเอาทั้งสองนัยมารวมกันคือ สรรเสริญทั้งสมบูรณาญาสิทธิราชย์และคณะราษฎร (โดยเฉพาะ 30 ปีหลังมานี้ที่คณะราษฎรและปรีดี พนมยงค์ได้รับการกอบกู้เกียรติภูมิขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง) แต่ประวัติศาสตร์มาตรฐานเน้นนัยแรก และโทษว่าปัญหาหนักหน่วงใดๆของสังคมการเมืองไทยหลังจากนั้นไม่เกี่ยวข้องกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกต่อไปเพราะ สมบูรณาญาสิทธิราชย์จบไปแล้ว บาปเป็นของคณะทหารเริ่มจากจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นต้นมา
สิ่งที่ผมเห็นจากการมองประวัติศาสตร์แบบมุมกว้างกลับพบว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังไม่จบอย่างที่คิด เพราะสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สร้างฐานรากหลายๆด้านแก่สังคมการเมืองไทยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นฐานรากของปัญหาเรื้อรังหลายอย่างของปัจจุบันด้วย ปัญหาสำคัญหลายอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แก้ยากเย็นเหลือหลายเพราะเรื้อรังมานาน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเป็นมรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพราะเรานึกว่าจบไปแล้ว
คณะราษฎรยุติระบอบการเมืองอย่างเป็นทางการแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่ไม่ตระหนักรู้เพียงพอถึงรากฐานที่สมบูรณาญาสิทธิราชย์สร้างไว้ คณะราษฎรจัดการกับปัญหาสำคัญบางด้าน แต่กลับสืบทอดมรดกหลายอย่างของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่อมาด้วยซ้ำ
ขอได้โปรดเข้าใจว่าการประเมินย้อนหลังเช่นนี้มิใช่กล่าวโทษหรือลดคุณูปการของบรรพบุรุษในอดีต ทุกคนมีข้อจำกัดตามยุคสมัยด้วยกันทั้งนั้น และคุณูปการทุกอย่างย่อมมีด้านที่เป็นปัญหาซึ่งมักโผล่ตัวหลายสิบปีหลังจากนั้น เราต้องทั้งเคารพอดีตยามที่เราศึกษาเหตุการณ์และมนุษย์ในอดีต แต่ต้องกล้ามองอดีตจากปัจจุบันยามที่เราแสวงหาบทเรียนหรือประเมินผลของอดีตต่อปัจจุบัน
ทำไม สมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงมีมรดกลึกซึ้งกว้างไกลขนาดนั้น
เพราะว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ ระบอบอำนาจและยุคสมัยที่ให้กำเนิดและหล่อหลอมรัฐไทยสมัยใหม่ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก คือระบอบอำนาจที่ทั้งก่อให้เกิดและเป็นผลผลิตของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงขณะที่สยามเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ สมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงเป็น Defining Period ของสยามยุคสมัยใหม่ หมายถึง เป็นช่วงเวลาที่รัฐไทยและสังคมไทยตัดสินเลือกทางเดินสำคัญๆที่มีผลกำหนดอนาคตของสยามประเทศต่อมาอีกนาน เป็นยุควางรากฐาน เสาเข็ม โครงสร้างของรัฐและภาวะสมัยใหม่ของไทย บ้านหลังนี้เปลี่ยนผนังกั้นห้อง ทาสีใหม่ไปแล้วหลายรอบ แต่ฐานราก เสา โครงสำคัญกลับยังไม่เคยเปลี่ยน
กล่าวอีกอย่างคือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ในที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่ระบอบการเมืองทางการที่จบไปแล้ว แต่หมายถึงยุคสมัยหรือช่วงขณะที่เป็นรากฐานของไทยสมัยใหม่ที่ก่อรูปเกิดขึ้นท่ามกลางการเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ และกลายเป็นรากฐานของสังคมไทยสมัยใหม่ต่อมาอีกนาน ไม่ใช่แค่ช่วง 50 ปีนับจากปลายรัชกาลที่ 5 ถึงสิ้นรัชกาลที่ 7
ผลผลิตสำคัญที่สุดของสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือประเทศไทยสมัยใหม่นั่นเอง
มรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สืบทอดมาอย่างไม่หยุดนิ่งตายตัว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอยู่ภายในกรอบที่วางไว้ตั้งแต่ 100 ปีก่อน เอาเข้าจริงแทบทุกอย่างที่จะเสนออาจกล่าวได้ว่านักประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ก็พอมองเห็นมาก่อน แต่พวกเขามองเห็นว่าเป็นคุณูปการที่น่าเฉลิมฉลองขอให้อยู่ต่อไปอีกนานๆ นั่นเป็นจุดยืนและมุมมองแบบเจ้ากรุงเทพฯที่นักประวัติศาสตร์มักรับเอามาเป็นของตน จนทำให้มองไม่เห็นอีกด้านของเหรียญเดียวกัน นั่นคือ คุณูปการที่น่าเฉลิมฉลองน่าภาคภูมิใจนั้น กลับเป็นกรอบกำแพงที่กักขังสังคมไทยไว้ จนไม่สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับเวลาที่เปลี่ยนไป หลายประเด็นเป็นข้อจำกัดทำให้เราไม่สามารถแม้แต่จะคิดออกนอกกรอบกำแพงดังกล่าว หรือถึงกับรังเกียจ ลงโทษ ทำร้ายคนที่คิดออกนอกกรอบกำแพงดังกล่าว
อะไรบ้างคือมรดกเหล่านั้น ในที่นี้จะขออธิบายเริ่มจากบริบท แล้วจะกล่าวถึงมรดกเป็นเรื่องๆไป เริ่มจากรัฐ ระบบการปกครอง อำนาจอธิปไตย ต่อด้วยเรื่องวัฒนธรรมภูมิปัญญา ได้แก่พุทธศาสนา อุดมคติทางสังคม ความรู้ประวัติศาสตร์ และลงท้ายที่ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์
ในตอนท้ายสุด จะกล่าวถึงทัศนะท่าทีต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ๆ ซึ่งก็เป็นมรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นกันว่าเกี่ยวข้องกับปัจจุบันอย่างไร
บริบทของสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ในที่นี้ขอย้ำบริบทสำคัญเพียงประการเดียว นั่นคือ สภาวะกึ่งอาณานิคมของสยาม
ความเข้าใจที่ว่าสยามไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นนั้นไม่ผิดเสียทีเดียวแต่ก็ไม่ถูกความเข้าใจนี้จำกัดปิดกั้นความคิดวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์อย่างมากจนหลงทิศทางมาตลอด สภาวะกึ่งอาณานิคมกล่าวโดยสรุปหมายถึง
· สยามตระหนกต่อกำลังของมหาอำนาจยุโรป แม้แต่จีนซึ่งเป็นจักรวรรดิใหญ่ของอารยธรรมสมัยก่อนยังพ่ายแพ้ต่อจักรวรรดินิยมยุโรป แม้แต่พม่าซึ่งเป็นอริที่เข้มแข็งในโลกทัศน์ของสยามก็พ่ายแพ้ราบคาบ สยามตระหนักว่าต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว
· แต่ชนชั้นนำสยามให้ความร่วมมือกับมหาอำนาจยุโรปอย่างดี ทั้งเพราะเกรง เพราะเห็นการณ์ไกล และเพราะได้ประโยชน์มาก ความรู้และเทคโนโลยี่การปกครองแบบใหม่ เพิ่มกำลังอำนาจของชนชั้นนำสยาม การเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจอาณานิคมระดับโลกให้ผลประโยชน์แก่ชนชั้นนำสยาม
· เป้าหมายสำคัญของการปรับตัวเพิ่มอำนาจ มิใช่แค่การทัดทานฝรั่ง แต่เพื่อรักษาสถานะเดิมที่เป็นอธิราชเหนืออาณาจักรหลายแห่งในภูมิภาค ในยามที่อธิราชคู่แข่งร่วงลงทีละแห่ง ความเป็น เอกราช ที่สยามต้องการมิได้แค่หมายถึงเป็นอิสระจากฝรั่ง แต่หมายถึงต้องการรักษาสถานะองค์ราชาที่เป็น เอก เหนือราชาทั้งหลาย
· สยามใหม่ภายใต้สมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงเป็นทั้งผู้ด้อยกว่าจักรวรรดิยุโรป และเป็นเจ้าจักรวรรดิ พี่เบิ้ม ของภูมิภาคในเวลาเดียวกัน
· ชนชั้นนำสยามไม่ถูกโค่น พวกเขาเป็นอำนาจนำในการเลือกสร้าง เลือกรับปรับเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีของรัฐสยามใหม่ ที่กล่าวว่า สยามเลือกรับของดีทิ้งของเสียจากตะวันตก จึงหมายถึงเลือกสิ่งที่ชนชั้นนำเห็นว่าดีสอดคล้องผลประโยชน์ จริต รสนิยม อุดมคติของตน การเปลี่ยนแปลงจากบนลงล่างจึงเป็นไปได้เพราะพวกเขาเลือกทำตามผลประโยชน์ของตน ยังไม่มีพลังทางสังคมกลุ่มอื่นที่มีผลประโยชน์เป็นของตนเองต่างจากพวกเจ้าในยุคนั้น
· การกระทำทั้งหลายทั้งปวงเพื่อ รักษาเอกราช จึงแยกไม่ออกจากการรักษาอำนาจ รักษาสถานะเดิมและผลประโยชน์ของชนชั้นนำสยามในขณะนั้น ทั้งสองอย่างเป็นอย่างเดียวกัน ประวัติศาสตร์ฉบับทางการสอนเราด้านเดียวว่าเป็นการรักษาเอกราช แต่ไม่ได้ชี้ให้เห็นอีกด้านที่แยกกันไม่ออก ซึ่งก่อมรดกมากมายมาสู่ปัจจุบัน
รัฐสยามแบบไทยๆ อธิปไตยแบบไทยๆ และลัทธิเสียดินแดน
เรารู้กันดีว่าการสถาปนาระบบการปกครองหัวเมืองและระบบราชการสมัยใหม่ที่กรุงเทพฯเป็นผลงานเอกและเป็นหลักหมายของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ที่ยังมีศึกษากันไม่พอก็คือ รัฐที่ดูเหมือนสมัยใหม่นั้นอยู่บนฐานจารีตเดิมขนาดไหนอย่างไร ผลผลิตหรือรัฐแบบฝรั่งใส่ชฎาหรือนุ่งผ้าม่วงเขมรใส่เชิ้ตฝรั่งที่ตกทอดมาถึงเรานั้น แท้ที่จริงเป็นรัฐแบบไทยๆอย่างไร ก่อปัญหาแบบไทยๆในยุคต่อมาขนาดไหน
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเรื่องรัฐรวมศูนย์และเรื่องอฺธิปไตยเหนือดินแดน ซึ่งเป็นฐานของระบบบริหารที่ล้าหลังไม่ยอมปรับตัว ลัทธิรัฐเดี่ยวที่แข็งทื่อ และลัทธิเสียดินแดน
ก่อนมีอธิปไตยเหนือดินแดนแบบปัจจุบันนั้น สยามเป็นรัฐราชาธิราช องค์อธิราชอ้างความชอบธรรมจากบุญญาบารมีที่สูงส่งกว่ากษัตริย์อื่น ทำตัวเป็นเจ้าพ่อใหญ่ที่แผ่ร่มบรมโพธิสมภารเหนือกษัตริย์รายอื่นซึ่งเป็นเจ้าพ่อรายย่อยกว่า ดินแดนไม่ใช่ฐานของอำนาจแบบรัฐราชาธิราช
อธิปไตยเหนือดินแดนแบบปัจจุบันของสยามเป็นการแปร ร่มบรมโพธิสมภาร หรืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นปริมาณที่มีขอบเขตชัดเจนบนผิวโลก
การแปรเปลี่ยนนี้จึงต่างลิบลับตรงข้ามกับกำเนิดของอธิปไตยเหนือดินแดนของรัฐสมัยใหม่ในยุโรปเมื่อกลางศตวรรษที่ 17 พัฒนาการของ nation-state ในยุโรปในศตวรรษที่ 18-19 ก็เป็นคนละเรื่องกับกำเนิดชาติและสยามประเทศในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
รัฐชาติสยามคือการแปลงร่างรัฐราชาธิราชออกมาเป็นรัฐสมัยใหม่ที่มีฐานอยู่กับดินแดน
กระบวนการแปลงร่างนี้อาศัยกระบวนการ 2 ด้านควบคู่กัน กระบวนการแรกคือ ผนวกประเทศราชเดิมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองแบบ เทศาภิบาลที่ใช้ดินแดนเป็นฐาน เรารู้จักกระบวนการนี้ในนามของการปฎิรูปการปกครองหัวเมืองซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณปลายทศวรรษ 2420 แต่ประกาศเป็นทางการเมื่อ ร.ศ.111 (2435)
กระบวนการที่สองคือ ใช้กำลังทหารเข้าครอบครองแย่งชิงดินแดนที่อธิปไตยเดิมกำกวมซ้อนทับกันระหว่างอธิราชหลายองค์ วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 คือผลของการแย่งชิงประเภทนี้กับฝรั่งเศสแล้วสยามแพ้ สยามจึงไม่เคยพ่ายแพ้จนจะตกเป็นอาณานิคม แต่สยามแย่งดินแดนกับเขาแล้วแพ้ เอามาเป็นของสยามไม่ได้ เสียพระเกียรติยศของเจ้าพ่อรายใหญ่
การแปลงร่างเกิดเป็นสยามขวานทอง จึงเป็นผลลัพธ์ของความพ่ายแพ้ชนิดนี้ ดินแดนถูกกำหนดขอบเขตโดยมหาอำนาจยุโรป ไม่ใช่เสียดินแดนแต่เพราะได้เพียงแค่นี้ และเป็นผลลัพธ์ของผนวกประเทศราชเดิมเข้าในบูรณภาพเหนือดินแดนซึ่งสยามเก่าไม่เคยมีมาก่อน
มรดกสำคัญที่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ส่งทอดต่อมาในเรื่องนี้ได้แก่
ประการแรก ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์เกิดขึ้นเพื่อบริหารบงการบูรณภาพเหนือดินแดนแบบใหม่ เป็นความจำเป็นเพื่อยึดผนวกหัวเมืองและประเทศราชเดิมไว้ในมือกรุงเทพฯอย่างแข็งแกร่งในยามต้องการรักษาอำนาจแต่ตระหนกต่อจักรวรรดินิยมยุโรป
การปกครองดินแดนแบบใหม่เริ่มต้นโดยอธิราชเดิมแปลงร่างเป็นรัฐบาลกลางของรัฐแบบใหม่ เจ้าเมืองเดิม เจ้าครองนครประเทศราชเดิม ล้วนแต่อ่อนแอ ไม่มีอำนาจต่อรองสร้างระบบปกครองที่มีอิสระสักหน่อยจากศูนย์กลาง ครั้นเจ้าเมืองเดิมพยายามเช่นนั้นก็ถูกปราบรุนแรงราบคาบทุกแห่งทั้งในหัวเมืองล้านนา หัวเมืองลาว และหัวเมืองปัตตานีในปี 2445 (ร.ศ.121)
ระบบรวมศูนย์ที่แข็งทื่อไม่ยืดหยุ่นให้อำนาจล้นหลามเกินจำเป็นแก่ขุนนางที่กรุงเทพฯตลอด 100 กว่าปีที่ผ่านมา ให้ผลประโยชน์มหาศาลแก่ขุนนางที่กรุงเทพฯเพราะดูดซับทรัพยการจากทั้งประเทศมาเจือจุนกรุงเทพฯแม้ว่าจะเป็นระบอบหลังสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้วก็ตาม ระบบนี้ขัดขวางการกระจายอำนาจ ไม่ยอมให้อำนาจแก่ประชาชนท้องถิ่นตัดสินอนาคตของตัวเอง ระบบนี้ไม่เคยถูกทบทวนในยุคต่อมารวมทั้งหลัง 2475 แถมแข็งแกร่งขึ้นภายใต้รัฐทหารที่อ้างภัยต่อความมั่นคงของชาติในยุคสงครามเย็น
ประการที่สอง ระบบรวมศูนย์ถูกค้ำจุนด้วยลัทธิรัฐเดี่ยว (เอกรัฐ) แบบแข็งทื่อ นั่นคือ ความเชื่อ ว่า รัฐไทยต้องอยู่ใต้ระบบปกครองที่เหมือนๆกันทั้งประเทศ การกระจายอำนาจถูกหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เพราะถือว่าเป็นก้าวแรกของความแตกแยกไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศไทย เอกราชต้องหมายถึงดินแดนทุกส่วนต้องอยู่ใต้การปกครองจากกรุงเทพฯเหมือนๆกัน การต่อสู้เรื่องกระจายอำนาจจึงยากลำบากแสนเข็ญ เพราะถูกสงสัยเป็นประจำว่าจะทำให้ประเทศแตกแยกเป็นส่วนๆ แม้ว่าการกระจายอำนาจจะเป็นจริงมากขึ้นหลังสงครามเย็นในประเทศสิ้นสุดลง รัฐไทยยอมรับความหลากหลายของภูมิภาคและท้องถิ่นมากขึ้นนับจากกลางทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา แต่มรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ข้อนี้ยังแข็งแกร่งอยู่ ดูได้จากการจัดการวิกฤตชายแดนใต้ไม่ว่าโดยรัฐบาลไหนก็ตามนี่เป็นมรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกอย่างที่เป็นปัญหาหนักหน่วงในปัจจุบัน
ความเชื่อว่าประเทศไทยต้องอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน เป็นแบบเดียวกัน ภาษาเดียวกัน วัฒนธรรมเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งผืน เพื่อความมั่นคงรักษาเอกราชไว้ ยังเป็นฐานของลัทธิ ความเป็นไทย ที่คับแคบตายตัว ซึ่งก่อตัวเติบโตมากับสยามใหม่ที่มีจินตนาการผูกติดกับอธิปไตยเหนือดินแดนแบบไทยๆ มรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ข้อนี้เป็นเสาหลักประการหนึ่งของลัทธิชาตินิยมไทยจนปัจจุบัน
ประการที่สามลัทธิเสียดินแดน แม้สยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคม แต่กลับมีลัทธิความเชื่อทางประวัติศาสตร์ไม่ต่างกับประเทศอาณานิคม คือ เชื่อว่า เสียดินแดนให้นักล่าอาณานิคม ลัทธิเสียดินแดนเป็นมรดกความเชื่อทางประวัติศาสตร์ ที่รับเอามุมมองและความคิดของเจ้ากรุงเทพฯมาเป็นของเรา ถ้าเราคิดอย่างอิสระแบบคนไม่ใช่เจ้า หรือคิดจากมุมมองของเจ้าเวียงจันทน์ ยโสธร มุกดาหาร สุวรรณเขต พวน กัมพูชา ฯลฯ ก็จะไม่มีทางเข้าใจลัทธิเสียดินแดนของไทย
อานุภาพของลัทธิเสียดินแดนมีมากขนาดไหนคงไม่ต้องอธิบายกันอีก แต่อยากขอสรุปแต่เพียงว่า ลัทธิเสียดินแดนเป็นเสาหลักประการหนึ่งของลัทธิชาตินิยมของไทยมาจนถึงปัจจุบัน
พุทธศาสนากับความเป็นไทย
พุทธศาสนาในสยามผ่านการปฎิรูปทางภูมิปัญญาครั้งใหญ่ในต้นศตวรรษที่ 19 โดยขบวนการธรรมยุตินิกายของวชิรญาณภิกษุ (เจ้าฟ้ามงกุฎ) ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือความเข้าใจต่อ ศาสนา อย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน พุทธศาสนาต้องมิใช่ความเชื่อที่อธิบายโลกธรรมชาติทั้งปวงอีกต่อไป แต่ทำให้ศาสนาเป็นระบบความเชื่อทางศีลธรรมของปัจเจกบุคคล และเป็นความเชื่อที่เป็นเหตุเป็นผล การตีความปรัชญาความคิดพุทธศาสนามีต่อมาอีกมากมายในสังคมไทยแต่โดยมากอยู่ภายในกรอบของพุทธศาสนาอย่างที่วางไว้แล้วแต่ครั้งนั้น
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญของพุทธศาสนาในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีสองประการ คือ ประการแรก สถาปนาคณะสงฆ์ที่รวมศูนย์ตามแบบการปกครองของรัฐ และแผ่ขยายความคิด การตีความและคัมภีร์ที่กรุงเทพฯถือเป็นมาตรฐานออกไปเพื่อตะล่อมให้พุทธศาสนาบนแผ่นดินสยามคล้ายคลึงตามมาตรฐานเดียวกัน ทั้งหมดนี้เริ่มขึ้นในครึ่งหลังของรัชสมัยรัชกาลที่ 5
ประการที่สอง ทำให้พุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทยอย่างแยกขาดจากกันไม่ได้ กระบวนการนี้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงริเริ่มลัทธิชาตินิยมตามแบบของพระองค์ แม้คนที่อาศัยบนแผ่นดินสยามจะนับถือศาสนาพุทธเถรวาทเป็นส่วนใหญ่มานานหลายร้อยปีก่อนหน้าศตวรรษที่ 20 แต่ความคิดเรื่องความเป็นไทยเพิ่งถูกประมวลก่อรูปร่างขึ้นมาเป็นวาทกรรมทรงพลังในต้นศตวรรษที่ 20 นี้เอง วาทกรรม ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ เพิ่งเกิดขึ้น พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นการเมืองวัฒนธรรมประการสำคัญของไทย และกลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของชาตินิยมไทยสมัยใหม่ภายใต้สมบูรณาญาสิทธิราชย์นี่เอง
มรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ข้อนี้ยังคงอยู่กับเราในปัจจุบันอย่างแข็งแกร่ง การวิพากษ์วิจารณ์พุทธศาสนาแทนที่จะเป็นเรื่องความเชื่อของปัจเจกบุคคลและเสรีภาพที่จะเชื่อหรือไม่ของแต่ละคน กลับถูกถือเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ ความหลากหลายของความคิด ความเชื่อและวิถีปฎิบัติของแต่ละท้องถิ่นถูกจำกัดทำลายลงไปมากตั้งแต่ครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 แม้ว่าอำนาจรัฐไม่มีทางขจัดความหลากหลายระดับท้องถิ่นให้หมดสิ้นก็ตาม
สังคมไทยปกติที่พึงปรารถนา: A Buddhist Organic Society
ความสัมพันธ์ทางสังคมตามจารีตของไทยเป็นแบบสูงต่ำตามลำดับชั้นของบุญบารมี โดยผูกติดกับเครือข่ายระบบมูลนายอันแผ่กระจายอยู่ทั่วทั้งสังคม แต่แยกเป็นส่วนๆตามหัวเมืองตามกรมกองสังกัด สังคมไทยไม่เคยผ่านการเปลี่ยนแปลงที่โยกคลอนความสัมพันธ์ชนิดนี้อย่างถึงราก ความเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคสมัยใหม่และรัฐสมัยใหม่ของสยามคือการปรับความสัมพันธ์แบบคนสูงต่ำไม่เท่ากันนี้ให้เข้ากับสังคมกระฎุมพีและเข้ากับรัฐรวมศูนย์และระบบราชการใหม่ สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์แห่งชาติกับราษฎรไทยทั้งมวลทั่วไป
ประชากรไทยไม่เคยเป็น citizen ที่เท่าเทียมกันและมีความสัมพันธ์กันตามแนวนอน สังคมไทยสมัยใหม่ไม่เคยเป็นที่รวมของปัจเจกชน (individuals) ที่นับเป็นหน่วยทางสังคมในตัวเอง
การปรับตัวนี้เริ่มมาก่อนสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือมากับการเติบโตของการค้าและเศรษฐกิจเมืองตลอดศตวรรษที่ 19 หรือก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ แต่ความคิดหรือเราอาจเรียกว่าเป็นทฤษฎีหรือปรัชญาการเมืองของไทยเพิ่งจะประมวลขึ้นมาในปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง ผมขอเรียกว่าเป็นสังคมอินทรียภาพแบบพุทธ (Buddhist Organic Society)
สังคมอินทรียภาพแบบพุทธ คือแนวคิดที่เน้นว่าสังคมจะปกติสุขและจะเคลื่อนตัวพัฒนาไปได้ ก็ต่อเมื่อหน่วยต่างๆของสังคมจะต้องรู้จักหน้าที่ของตนและทำงานอย่างประสานสอดคล้องกัน (harmony) เปรียบเสมือนอวัยวะต่างๆของร่างกายซึ่งมีหน้าที่ต่างๆกันความสำคัญไม่เท่ากัน แต่ต้องประสานสอดคล้องกันจึงจะไม่เจ็บป่วย
องค์รวมที่เรียกว่าประเทศไทย จึงเต็มไปด้วยหน่วยย่อยๆที่มีบุญบารมีไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะพิจารณาหน่วยสังคมใดๆ เช่นครอบครัว ที่ทำงาน หมู่บ้าน ตำบล จังหวัด กระทรวงกรม โรงเรียน บริษัท โรงงาน ฯลฯ ก็จะพบผู้คนที่มีบุญบารมีไม่เท่ากัน และต้องยอมรับความสูงต่ำในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล แต่ทุกๆคนล้วนมีความสำคัญเพราะทุกอวัยวะทุกหน้าที่ล้วนมีความสำคัญ ความสามัคคีที่เป็นคาถาในอาร์มแผ่นดินมีรากมาจากพุทธศาสนา ได้รับการตีความให้เข้ากับปรัชญาสังคมอินทรียภาพแบบพุทธของไทยสมัยใหม่
สังคมไทยจึงเรียกร้องและเน้นความสามัคคีและหน้าที่กันเหลือเกินตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน สังคมไทยกลัวความขัดแย้งและจัดการความขัดแย้งไม่ค่อยเป็น สังคมไทยจึงเน้นหน้าที่และความรับผิดชอบเพราะเป็นคุณสมบัติอันจำเป็นของบุคคลที่สังกัดขึ้นต่อผู้อื่น มากกว่าสิทธิและเสรีภาพซึ่งเป็นคุณสมบัติอันจำเป็นของปัจเจกภาพ
(เราท่านคุ้นเคยกับความคิดสังคมอินทรียภาพแบบพุทธจนอาจคิดว่า เรื่องความสามัคคีเป็นสามัญสำนึกของคนทั้งโลกเหมือนๆกัน อาจนึกไม่ออกว่ามีทฤษฎีหรือปรัชญาสังคมแบบอื่นที่สร้างให้เกิดค่านิยม วัฒนธรรม ตลอดจนถึงบุคลิกภาพทั่วๆไปของคนในสังคมนั้นๆที่ต่างออกไป อันที่จริงปรัชญาสังคมอินทรียภาพมีหลายแบบทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก สังคมตะวันตกสมัยใหม่หลายแห่งถือว่าคนเท่ากัน สัมพันธ์ในแนวนอน ปัจเจกชนและสังคมขับเคลื่อนด้วยความขัดแย้งที่อยู่ในกรอบและแปรเป็นพลังสร้างสรรค์)
ลัทธิประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม
แม่บทประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยมที่ยังทรงอิทธิพลแข็งแกร่งถึงทุกวันนี้ก็เป็นมรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ความเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์นิพนธ์ เป็นแบบสมัยใหม่เริ่มต้นราวกลางศตวรรษที่ 19 แต่ไม่มีข้อเสนอเรื่องเล่าประวัติของชาติที่กลายเป็นแม่บทของประวัติศาสตร์ไทย แม้จะมีความพยายามอยู่บ้างก็ตาม
แม่บทประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยมก่อตัวขึ้นในทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 ลงตัวประมาณประมาณปี 2460 เศษโดยเป็นผลของเรื่องเล่า 2 กระแสมาบรรจบผสมกัน
กระแสแรก คือกำเนิดสยามเป็นอารยธรรมเก่าแก่ศิวิไลซ์มาแต่โบราณ ไม่ใช่สืบมาจากพุทธทำนาย หรือวงศ์อวตารอีกต่อไป ประวัติศาสตร์สุโขทัยทำหน้าที่นี้อย่างสำคัญที่สุด แต่อิงอยู่กับจารึกพ่อขุนรามฯ แทบทั้งสิ้น และใช้การตีความแบบเป็นเหตุเป็นผลเข้าอธิบายตำนานปรัมปราเกี่ยวกับพระร่วง สร้างเป็นเรื่องเล่าแบบใหม่ขึ้นมา (ดังนั้นข้อสงสัยเกี่ยวกับจารึกพ่อขุนรามฯจึงกระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติอย่างมาก)
กระแสสอง ว่าด้วยการต่อสู้เพื่อเอกราชของสยาม โครงเรื่องหลักคือการเสียกรุง 2 ครั้งและกู้อิสรภาพกลับมา 2 ครั้ง เรื่องเล่าชุดนี้ใช้ทัศนะชาตินิยมต่อต้านการรุกรานของต่างชาติอันเป็นผลของ ร.ศ.112 เข้าตีความข้อมูลเหตุการณ์ในพระราชพงศาวดาร ผลคือประวัติศาสตร์ต่อต้านผู้รุกรานล่าอาณานิคมในระยะเดียวกับที่ประวัติศาสตร์ทำนองเดียวกันเริ่มเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัน แต่ผู้รุกรานสยามกลับไม่ใช่ฝรั่งนักล่าอาณานิคม กลับเป็นพม่า - อริเก่าของยุคโบราณ เราอาจจะกล่าวกลับกันได้ว่า เอาเข้าจริงประวัติศาสตร์ไทยรบพม่าเป็น allegory ของประวัติศาสตร์ต่อต้านฝรั่งนักล่าอาณานิคม เรื่องเล่ากระแสนี้จึงเป็นผลผลิตของ ร.ศ.112 อย่างชัดเจน
แกนกลางของประวัติศาสตร์ทั้ง 2 กระแสคือ พระมหากษัตริย์ที่เป็นผู้นำของรัฐชาติ ดังนั้นจึงเรียกว่าประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม ซึ่งเคยเสนอไปเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว
(สถาบัน) พระมหากษัตริย์
เหล่านี้คือ มรดกสำคัญของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน แม้มีความเปลี่ยนแปลงในทุกเรื่องเหล่านี้ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในกรอบเดิมทั้งสิ้น คงเห็นแล้วว่าครอบคลุมมิติหลักๆของรัฐและสังคมไทยปัจจุบันขนาดไหน
มรดกสำคัญของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ขอกล่าวถึงเป็นอย่างสุดท้าย เป็นปัจจัยที่ยึดโยงรากฐานของรัฐสมัยใหม่ทุกประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมดเข้าด้วยกัน นั่นคือ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์ [ทำไมต้องวงเล็บรอบคำว่า สถาบัน จะเข้าใจได้ต่อไป]
ระบบการปกครองใหม่ของจักรวรรดิกรุงเทพฯ อธิปไตยเหนือดินแดนที่แปลงร่างมาจากพระบรมโพธิสมภารขององค์อธิราช ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม พุทธศาสนาของไทย และ สังคมอินทรียภาพที่มีอำนาจทรงธรรมเป็นหัวใจขององคาพยพทั้งหมด รากฐานสำคัญๆในระบบการเมืองและวัฒนธรรมการเมืองของไทยสมัยใหม่ มีพระมหากษัตริย์เป็นปัจจัยร่วม
ภาวะเช่นนี้ไม่น่าประหลาดใจเลย เพราะรากฐานดังกล่าวทั้งหมดถูกก่อร่างสร้างขึ้นโดยชนชั้นนำที่ถือเอาพระมหากษัตริย์เป็นใจกลางของรัฐสังคมสมัยใหม่ของสยามเพื่อประโยชน์ของชนชั้นตน
แต่พระมหากษัตริย์สมัยใหม่ (modern monarchy) ของยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีบทบาทสถานะเปลี่ยนจากยุคสยามเก่าอย่างสำคัญ กล่าวคือนอกจากทรงเป็นสมมติเทพและผู้ทรงบุญบารมีสูงสุดในแผ่นดินตามคติฮินดู-พุทธที่ปรับเปลี่ยนเรื่อยมาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์แล้ว ภารกิจของพระองค์กลับมิใช่เพียงแค่ทรงทศพิธราชธรรมเพื่อให้พระบรมโพธิสมภารของพระองค์แผ่ปกป้องคุ้มครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้พ้นทุพภิกขภยันตรายนานาชนิดตามคติความเชื่อแต่โบราณ แต่ทรงเป็นผู้นำรัฐบาลผู้บริหารระบบราชการกระทรวงทบวงกรมแบบใหม่ที่มีหน้าที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ของราษฎร เช่น สร้างถนน คูคลอง น้ำประปาสาธารณูปโภคและการศึกษาแก่ประชาชน เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นภารกิจที่รัฐโบราณไม่เคยต้องรับผิดชอบ
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจเหนือกลไกรัฐทั่วทั้งแผ่นดินนี่เองกลับมีความสัมพันธ์กับประชาชนอย่างที่พระมหากษัตริย์สมัยเก่าไม่เคยต้องเผชิญคือ เป็นพระมหากษัตริย์แบบสาธารณะ (public) ถึงแม้จะยังไม่ถูกตรวจสอบจากสาธารณะและอำนาจอธิปไตยไม่ใช่ของประชาชน แต่พระมหากษัตริย์มาอยู่ในพื้นที่สาธารณะ (public sphere) สาธารณชนรับรู้และสื่อสารกันเกี่ยวกับพระองค์ จึงย่อมหนีไม่พ้นวาทกรรมในสังคมเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
พระมหากษัตริย์ของยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงมีทั้งพระปิยมหาราชของสาธารณชนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย และพระมหากษัตริย์ที่โดนสาธารณชนโค่นล้มเป็นครั้งแรก
พระมหากษัตริย์ที่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองท่ามกลางมหาชนชาวสยาม ย่อมออกหัวก็ได้ ออกก้อยก็ได้ เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน จะบังคับให้ประชาชนใช้เหรียญที่มีแต่หัวทั้งสองด้านย่อมไม่ได้เพราะประชาชนรู้ว่าเป็นของปลอมของเก๊
แม้ว่าความไม่พอใจของสาธารณชนคนเมืองจะมีมากจนมีส่วนหนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 แต่ทั้งคณะราษฎรและผู้ไม่นิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์อื่นๆ กลับแตะต้องมรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่มากเท่าไรนัก คณะราษฎรเห็นความล้มเหลวของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในรัชกาลที่ 6 และ 7 แต่พวกเขาไม่เห็นด้วยซ้ำไปว่ารัชกาลที่ 5 คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน ผู้นำคณะราษฎรแทบทุกคนถือเอาพระปิยมหาราชเป็นแบบอย่างกษัตริย์และผู้นำที่พึงปรารถนา ซึ่งไม่ต่างจากความปรารถนาของพวกเจ้าทั้งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์และภายหลัง
การเปลี่ยนแปลงที่คณะราษฎรกระทำมีความสำคัญและมีผลกระทบมหาศาลในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ความกล้าหาญและคุณูปการของคณะราษฎรเป็นสิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ แต่มรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ระดับรากฐานยังสืบทอดต่อมา แม้แต่อำนาจฝ่ายเจ้าและบทบาทสถานะพิเศษทางการเมืองของ(สถาบัน)พระมหากษัตริย์ก็ได้รับการรื้อฟื้นในเวลาต่อมา
เมื่อฝ่ายเจ้าฟื้นอำนาจหลังการรัฐประหาร 2490 นั้น พวกเขามีทุนอยู่แล้วในการเมืองวัฒนธรรมและภูมิปัญญา สิ่งที่ฝ่ายเจ้าทำคือ รื้อฟื้นฐานความชอบธรรมที่อิงอยู่กับคติฮินดู-พุทธแต่โบราณ รื้อฟื้นพระมหากษัตริย์อันศักดิ์สิทธิ์ กับสร้างพระมหากษัตริย์ของมหาชนชาวสยาม (popular monarchy) ขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่ฝ่ายเจ้าสมัยนั้นพยายามแก้ไขคือ แทนที่จะกลับสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์เป็นหัวหน้ารัฐบาลเอง ต้องรับผิดรับชอบเอง ฝ่ายเจ้ากลับออกแบบระบบการเมืองที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ เหนือ การเมืองในความหมายที่ต่างตรงข้ามกับที่คณะราษฎรพยายามกำหนด นั่นคือ แทนที่จะหมายถึงหลุดพ้นออกไปจากระบบการเมืองอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายเจ้ากลับทำให้พระมหากษัตริย์อยู่ข้างบนของระบบการเมืองปกติอีกทีหนึ่ง ฝ่ายเจ้าสมัยนั้นคงเชื่อว่านี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับระบบการเมืองที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์เสียอีกเพราะมีรัฐบาลเป็นผู้รับสนองความผิดแทน
สถานะเหนือการเมืองชนิดนี้มีกลไกเสริมความมั่นคงไม่ให้ต้องเผชิญการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ ที่สำคัญคือ ทำให้พระมหากษัตริย์อยู่ในสถานะละเมิดมิได้ ฟ้องเอาผิดไม่ได้ นี่เป็นการรับเอากลไกทางกฏหมายของฝรั่งมาใช้อย่างผิดฝาผิดตัวเพื่อประโยชน์ของฝ่ายเจ้าเอง (เลือกสิ่งดี) กล่าวคือในบางประเทศที่มีกลไกนี้ ก็เพื่อคุ้มครองพระมหากษัตริย์ที่ไม่ทรงทำอะไรเลยทางการเมือง แต่ฝ่ายเจ้าของไทยเอามาใช้เป็นเกราะกำบังพวกกษัตริย์นิยมที่กำลังรื้อฟื้นบทบาทสถานะพิเศษทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้ง นี่คือภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของ มาตรา 112 ในปัจจุบัน และเป็นประด็นที่แทบไม่มีใครกล่าวถึงในการโต้แย้งกันเกี่ยวกับกฏหมายนี้
พระมหากษัตริย์สมัยใหม่แบบใหม่ (Modern Monarchy 2.0) นี้เริ่มต้นมากับยุคเผด็จการทหารขนานแท้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยหลัง 2490 เติบโตเข้มแข็งขึ้นภายใต้เผด็จการทหารยุคพัฒนา และบรรลุจุดหมายโดยพื้นฐานเมื่อโค่นเผด็จการทหารลงในปี 2516 ใช้เวลาเสริมสร้างความมั่นคงในเวลา 15 ปีต่อมา ในที่สุดฝ่ายเจ้าก็สามารถสถาปนาพระมหากษัตริย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่รักของมหาชนและอยู่ข้างบนของระบบการเมืองได้สำเร็จ นี่คือมรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ปรับตัวกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในยุคของเรา
ฝ่ายเจ้าคงคิดว่านี่เป็นบทบาทสถานะทางการเมืองที่มั่นคงปลอดภัยที่สุดได้ประโยชน์ที่สุด พวกเขาต้องการให้เป็นแบบนี้ตลอดไป หรือกล่าวอีกอย่างคือ ต้องการให้เป็น สถาบัน
แต่บทบาทสถานะทางการเมืองของ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์แบบนี้กำลังเผชิญปัญหา ขอย้ำว่าไม่ใช่เพราะพวกล้มเจ้า ทักษิณ หรือนักวิชาการที่ออกมาเตือน แต่เป็นเพราะบทบาทสถานะแบบนี้มีปัญหาในตัวเองที่ไม่มีทางแก้ตกและไม่มีทางอยู่ยั่งยืนได้ตลอดไปอย่างที่ฝ่ายเจ้าปรารถนา ปัญหาในตัวเองนี้เป็นปัญหาเดียวกันกับที่นำไปสู่ อวสานของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อ 80-100 ปีก่อน ดังที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชบันทึกเมื่อปี 2469 ว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมาะสมกับประเทศสยาม ตราบเท่าที่เรามีพระเจ้าแผ่นดินที่ดี ทว่าแนวความคิดนี้เป็นแต่เพียงทฤษฎี....ไม่แน่นอนว่าเราจะมีพระเจ้าแผ่นดินที่ดีอยู่เสมอ คำกล่าวของพระองค์ ใช้ได้กับบทบาทของ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์หลังสมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นกัน
ปัญหาในตัวเองของ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์ทั้งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์และภายหลังมี 2 ประการได้แก่ หนึ่ง บทบาทสาธารณะกับความต้องการอยู่ในสถานะศักดิ์สิทธิ์แตะต้องไม่ได้และเป็นที่รักของมหาชนอย่างสัมบูรณ์ ไปด้วยกันไม่ได้ ดังได้อธิบายไปแล้วถึงสมบูรณาญาสิทธิราชย์หลังรัชกาลที่ 5
จะบังคับให้มหาชนชาวสยามใช้เหรียญที่ออกหัวทั้งสองด้าน ไม่มีก้อย จะไปได้นานสักเท่าไรกัน ไม่ช้าก็เร็วย่อมมีคนร้องเรียนว่าเป็นเหรียญเก๊
อำนาจบุญบารมีแบบพระมหากษัตริย์โบราณไม่อาจกลบเกลื่อนความแตกต่างทางสังคมในการเมืองสาธารณะได้อีกต่อไป จึงไม่มีใครหรือสถาบันใดที่สามารถมีบทบาททางการเมืองโดยไม่ต้องขัดแย้งในทางสาธารณะ ถ้าจะคงสถานะศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่รักของมหาชนได้ยาวนานก็ต้องไม่มีบทบาททางการเมืองอย่างสิ้นเชิง
สอง ความฝันของฝ่ายเจ้าที่อยากให้ตัวแบบพระปิยมหาราชกลายเป็นสถาบันไปนานๆโดยไม่ขึ้นกับตัวบุคคล จึงขัดฝืนกับความเป็นจริงดังที่รัชกาลที่ 7 ทรงเล็งเห็น เมื่อ 100 ปีก่อน ความสำเร็จของพระปิยมหาราชมิได้เป็นผลของแบบแผนหรือความเป็นสถาบันที่ดำรงอยู่ก่อนแต่อย่างใด แถมประวัติศาสตร์เป็นหลักฐานอยู่แล้วว่าพระมหากษัตริย์แบบพระองค์มิได้กลายเป็นสถาบันพ้นรัชสมัยของพระองค์ พระปิยมหาราชเป็นความสำเร็จของพระองค์และฝ่ายเจ้าร่วมสมัยของพระองค์ ฝ่ายเจ้าสมัยนั้นคงปรารถนาให้พระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์สามารถทรงบทบาทสถานะดังกล่าวได้ พระมหาธีรราชเจ้าทรงเป็นกษัตริย์นักปราชญ์ดังพระสมัญญานาม แต่ไม่ทรงเป็นอะไรอีกเลยนอกเหนือจากนั้น บรรดาเจ้านายแวดล้อมพระองค์ละทิ้งพระองค์ก่อนมหาชนเสียอีก
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ฝ่ายเจ้าเองบ่อนทำลายความพยายามของพวกเขาเองโดยไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยความมักง่ายสายตาสั้น มองไม่เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาทำมีผลข้างเคียงที่พวกเขาไม่ประสงค์เสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อ 100 ปีก่อน วี่แววว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะมีปัญหาเริ่มมาตั้งแต่เจ้าฟ้าวชิราวุธทรงเป็นพระบรมโอรสาธิราช กล่าวคือ ความสำเร็จล้นเหลือของพระราชบิดา (ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม) นั่นเองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พระบรมโอรสาธิราชล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ขึ้นครองราชย์ ยิ่งฝ่ายเจ้าประโคมแซ่ซร้องสรรเสริญพระราชบิดาในปลายรัชกาลว่ายิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ไทยที่มีมาก่อน ยิ่งพระราชบิดาเป็นที่เคารพรักเทิดทูนของมหาชน (แม้แต่คณะราษฎรก็เทิดทูน) หรือยิ่งดูเหมือนประสบความสำเร็จมหาศาลเท่าใด ก็ยิ่งทำให้พระราชโอรสมีโอกาสน้อยลงทุกทีที่จะเทียบเคียงความสำเร็จ และยิ่งทำให้ตัวแบบพระราชบิดาหมดหนทางกลายเป็นสถาบัน ผู้นิยมเจ้าจน เว่อ คือผู้ปิดประตูอนาคตของเจ้าเสียเอง
นี่เรายังไม่พูดถึงความจริงที่ว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเมื่อ 100 ปีก่อนมีคุณสมบัติส่วนพระองค์ที่เจ้านายสมัยนั้นรับไม่ได้ ยิ่งทำให้พระองค์ขาด moral authority และไม่เป็นที่นิยมทั้งในฝ่ายเจ้าเองและต่อสาธารณชน เรียกง่ายๆว่า นอกจากจะเทียบพระราชบิดาไม่ได้แล้ว ตัวพระองค์เองยังเริ่มต้นที่ติดลบอีกด้วย
ความขัดแย้งในตัวเองของบทบาททางการเมืองของ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์ทั้งสองประการนี้เองที่นำไปสู่อวสานของระบอบการเมืองสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ไม่ใช่พวกเก็กเหม็ง คณะราษฎร ปรีดี หรือพิบูล หรือขบวนการล้มเจ้า
ความไม่พอใจพระมหากษัตริย์ การวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ในที่สาธารณะเมื่อ 80-90 ปีก่อน เป็นผลสะท้อนปัญหาในตัวเองของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ต้องการมีพระราชอำนาจทางการเมือง แถมพยายามทำให้สถาวรเป็นสถาบัน แต่กลับเป็นบทบาทสถานะที่ขึ้นกับตัวบุคคล ทั้งหมดนี้ขัดแย้งกันเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเมืองแบบสาธารณะ
ฝ่ายเจ้าที่ฝันอยากสร้างพระปิยมหาราชขึ้นมาเป็นตัวแบบของ สถาบันพระมหากษัตริย์ยุคหลังสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คงยังไม่ตระหนักว่าพวกเขากำลังสืบทอดมรดกของความขัดแย้งในตัวเอง จนถึงทำลายตัวเองของสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเต็มๆ พวกเขากำลังเผชิญปัญหาเดิมๆแบบเมื่อ 80-100 ปีก่อนแต่ยังไม่ตระหนัก ยังดิ้นขลุกขลักๆในกรอบเดิมๆ เอาแต่โทษคนอื่นเหมือนเดิม มีคนเสนอทางออกให้ก็เล่นงาน ด่าทอไล่ให้ออกไปอยู่นอกประเทศไทยซะ ข่มขู่ ยัดข้อหา จับกุมคุมขังพวกเขาเหล่านั้น
ถ้าเรียนรู้จากอดีตก็จะเห็นการณ์ไกลว่าพวก รักพ่อ มากจนต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เองกำลังทำให้ปัญหาทับถมหนักหน่วงขึ้นทุกที การทำร้ายด้วยอำนาจรัฐและกฎหมาย ทำใหัทุกอย่างเลวร้ายลง พวกเขากำลังสร้างปัญหาแก่อนาคตของ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์
การเปลี่ยนแปลง: ชิงสุกก่อนห่าม VS น้อยเกินไปสายเกินการณ์
... แผนการของข้าพเจ้าถูกคัดค้านโดยพวกอนุรักษ์นิยม รวมทั้งที่ปรึกษาชาวต่างประเทศด้วย .... ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ประชาชนจะรู้สึกหงุดหงิดและลุกขึ้นจัดการกันเอง... (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 30 มิ.ย. 2475)
แม้แต่ทัศนะคติและวาทกรรมต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยก็อยู่ในกรอบซ้ำๆซากๆ ที่เป็นมรดกจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ปฎิกิริยาของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ต่อคำกราบบังคมทูลฯ ของกลุ่มเจ้านายให้แก้ไขระบบบริหารราชการแผ่นดิน และต่อพวกที่ต้องการปาลิเม็นต์คือ ทรงเห็นว่าเป็นการพยายามเอาข้าวสาลีมาปลูกในดินสยามที่เหมาะกับข้าวจ้าวเท่านั้น พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงเห็นว่าพวกที่อยากเห็นสยามเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองหรือเป็นรีปับลิคเป็นเพราะลัทธิเอาอย่าง เมื่อกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยสูงขึ้น ความไม่พอใจระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีมากขึ้น ฝ่ายเจ้าและพวกอนุรักษ์นิยมเห็นว่าเป็นความคิดของพวกหัวนอกไม่กี่คน เป็นประชาธิปไตยแค่รูปแบบ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้จริง ดังนั้นจึงเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นการ ชิงสุกก่อนห่าม เพราะประชาชนยังไม่พร้อม
ปรากฎการณ์ที่คนบางกลุ่มบางส่วนรับรู้ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ไวกว่าคนทั่วไปไม่ว่าจะด้วยพลังปัญญาหรือเพราะมีประสบการณ์ก่อนคนอื่น นี่เป็นเรื่องปกติในสังคมทุกแห่งไม่ว่าที่ไหนในโลก คนพวกนี้หากไม่ก่อปัญหากับอำนาจเราเรียกว่าคนเห็นการณ์ไกลมีวิสัยทัศน์ ครั้นท้าทายอำนาจก็เรียกว่าพวกชิงสุกก่อนห่าม คำกล่าวหาดังกล่าวจึงมาจากผู้มีอำนาจที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเสมอ
คนที่ไม่พร้อมที่สุดคือคนมีอำนาจที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงซึ่งล้วนมีการศึกษาดีทั้งนั้น
ตรงข้ามกับการชิงสุกก่อนห่ามซึ่งประวัติศาสตร์ไทยแทบไม่กล่าวถึงหรือให้ความสำคัญน้อยมาก ก็คือ น้อยเกินไปสายเกินการณ์ (too little too late)
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เอง ทรงชี้ให้เห็นว่าฝ่ายเจ้าไม่เข้าใจไม่ตระหนักพอถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้น ไม่เข้าใจความรู้สึกของประชาชน ความพยายามของพระองค์ในการ รีฟอร์ม จึงถูกขัดขวางจากเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และที่ปรึกษาของพระองค์จนในที่สุดก็สายเกินการณ์ ทั้งๆที่การปฎิรูปที่พระองค์ตระเตรียมก็น้อยเกินไปกว่าที่กระแสเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงต้องการอยู่ดี
ทั้งสมัยก่อนและสมัยนี้ ผู้ต้องการความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองถูกหาว่าเป็นคนเลวร้าย มีผู้ชักใย ล้างสมอง จ้างวานมา ถูกชักจูงโดยนักปลุกระดมหรือพวกที่ฝันถึงยุคพระศรีอาริย์ ชนชั้นปกครองไม่เคยคิดว่ากระแสเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย ประชาชนจึงต้องการระบบการเมืองที่เขามีส่วนตัดสินอนาคตของตนเอง
ทั้งสมัยก่อนและสมัยนี้ การเรียกร้องประชาธิปไตยถูกหาว่าเป็นเรื่องของฝรั่ง ไม่เหมาะกับสังคมไทย เอาข้าวสาลีมาปลูกในดินของสยาม เพราะประชาชนยังไม่พร้อม การศึกษายังไม่พอ เรายังคิดว่าประชาธิปไตยเป็นสมบัติหวงห้ามของคนมีการศึกษาเท่านั้น ความเชื่อผิดๆนี้ยังไม่เปลี่ยน ปัญญาชนผู้มีการศึกษายังเชื่ออย่างนี้กันมาก
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงบัดนี้ ความคิดที่ว่าการเปลี่ยนแปลงจากเบื้องบนโดยพระราชอำนาจเป็นวิธีการที่ดีที่สุดยังคงหนาแน่น ทั้งๆที่โดยปกติเบื้องบนไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
สังคมไทยปัจจุบันปัจจุบันยังวนเวียนอยู่กับทัศนะเหล่านี้ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่ามีความพยายามปรับตัวน้อยเสียยิ่งกว่า 80 ปีก่อน แต่กลับปราบปรามหนักยิ่งกว่า 80 ปีก่อนเสียอีก
ทางออกที่สถาวรในระยะยาว ก็คือ เลิกพยายามสืบทอดมรดกที่มาจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เลิกพยายามสร้าง (สถาบัน)พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทสถานะและความสัมพันธ์การเมืองแบบศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์และอยู่ชั้นบนของระบบการเมือง ก็จะทำให้กษัตริย์ทุกพระองค์ ไม่ว่าจะปรีชาสามารถมากน้อยเพียงใดก็สามารถเป็นที่เคารพรักของมหาชนได้อย่างสนิทใจ
ในด้านตรงข้าม ผู้ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นการปฎิวัติอันน่าพิสมัย ก็ควรไตร่ตรองให้จงหนัก แทบไม่มีการปฎิวัติใดๆในโลกนี้ที่เปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากโคนอย่างที่กล่าวอ้างกัน แถมการปฎิวัติของมวลชนไม่ได้รุ่งโรจน์อย่างที่คิด
Paradox ของการเปลี่ยนแปลงสังคมขนานใหญ่ คือ พวกก้าวหน้าที่เชื่อว่าตนมีอุดมการณ์ขุดรากถอนโคนมักจะไม่รู้ว่ารากโคนของปัญหาอยู่ตรงไหน ครั้นการปฏิวัติจืดจางลง ระบอบใหม่กับระบอบเก่ามักไม่ต่างกันมากนัก นักปฎิวัติมักจะโทษนั่นนี่ว่าทำไมการปฎิวัติจึงออกนอกลู่นอกทาง แต่ไม่มีการปฎิวัติใดเลยที่อยู่ในลู่ในทาง เพราะลู่ทางที่ปฎิวัติเป็นแค่ความฝันจินตนาการ นอกลู่ทางต่างหากคือความเป็นจริง แถมการปฎิวัติที่ต้องอาศัยมวลชนกว้างขวาง มักต้องอาศัยแนวความคิดที่ไม่ซับซ้อน มิติเดียวหรือถูกทำให้ง่ายเป็นขาวดำ เพราะแนวคิดลักษณะนั้นจึงจะมีพลังในการเคลื่อนไหวมวลชน ผู้นำปฎิวัติที่เชิดชูกันมักเหมาะกับสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็ยกย่องเชิดชูกันไม่ต่างกับยกย่องเจ้า หลายคนลงท้ายประกาศตนเป็นเจ้าเสียเลยจริงๆ เช่น การปฎิวัติฝรั่งเศสลงท้ายก็ได้จักรพรรดิองค์ใหม่เมื่อกระแสปฎิวัติจางหายไป
สังคมมนุษย์กว้างใหญ่ซับซ้อนเกินกว่าการปฎิวัติยกเดียวจะเปลี่ยนแปลงได้มากอย่างที่มักคิดฝัน มนุษย์ปุถุชนไม่ว่าเจ้าหรือนักคิดนักปฎิวัติต่างมีข้อจำกัดเกินกว่าจะแบกรับความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่เกินตัว คุณูปการที่น่าสรรเสริญใดๆลงท้ายไม่พลิกแผ่นดินมากอย่างที่คิดเมื่อมองจากมิติเวลาที่กว้างไกลทางประวัติศาสตร์
การชิงสุกก่อนห่ามสามารถหลีกเลี่ยงได้ หากชนชั้นนำผู้มีอำนาจยอมปรับตัวไม่น้อยเกินไปไม่สายเกินการณ์ สภาวะ สุก เร็วไปเป็นผลของการกดขี่ปราบปรามโดยชนชั้นนำผู้มีอำนาจ ไม่ใช่ผลของการปลุกปั่นจ้างวาน การใช้มาตรา 112 อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ และการปราบปรามด้วยความรุนแรงนั่นแหละที่เร่งบ่มให้สถานการณ สุก เร็วยิ่งขึ้น
การประนีประนอมหาทางออกในวันนี้จะส่งผลดีต่อ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์ในระยะยาว อันดับแรกสุดคือ เปิดประตู เปิดช่องทางให้กับการประนีประนอม
หยุดใช้มาตรา 112 ณ บัดนี้ ปลดปล่อยคนที่เดือดร้อนโดยเร็วที่สุด ขจัดบรรยากาศความกลัวที่ปกคลุมประเทศไทยในขณะนี้ ยอมให้มีการอภิปรายถึงบทบาทสถานะทางการเมืองของ (สถาบัน) พระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผย ปล่อยให้กระบวนการประชาธิปไตยดำเนินไปตามทางของมันไม่ว่าจะลุ่มๆดอนๆขนาดไหนก็ตาม
หากน้อยกว่านี้ สายกว่านี้ หรือรังแกกันต่อไป ก็จะยิ่งเร่งให้ สุก โดยไม่จำเป็นเลย
พระมหากษัตริย์ต้องอยู่พ้นจากการเมืองอย่างแท้จริง จึงจะไม่เกิดความขัดแย้งในเรื่องสถาบันหรือตัวบุคคลอีกต่อไป ฝ่ายเจ้าจึงจะไม่ต้องวิตก วิ่งเต้น สะสมกำลัง ชิงความได้เปรียบกันอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวว่านักการเมืองรายใดจะมาเป็นคู่แข่ง เพราะไม่มีอำนาจการเมืองเป็นเดิมพันอีกต่อไป
ฝ่ายเจ้าของไทยในปัจจุบันจะมีสายตายาวไกลพอหรือไม่ เห็นแก่ประเทศชาติประชาชนขนาดไหน หรือพวกเขาอยู่สูงเหนือประชาชนจนไม่เข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วในระดับรากหญ้าและไม่สามารถหยุดยั้งหรือย้อนเวลากลับได้อีกแล้ว
*
ธงชัยกล่าวปาฐกถา ในงานแสดงมุทิตาจิต 'ชุมนุมปาฐกถา 70 ปี ชาญวิทย์ เกษตรศิริ' ที่หอประชุมศรีบูรพา ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วันที่ 7 พฤษภาคม 2554
Create Date : 11 พฤษภาคม 2554
Last Update : 11 พฤษภาคม 2554 19:33:24 น.
0 comments
Counter : 656 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [
?
]
ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
ท่องไปทั่วโลก
หาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้
รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
Stock Info
Market Monitor
Stock Info
Market Monitor
Stock Market Finance Widgets
Stock Market Finance Widgets
Stock Market Finance Widgets
New Comments
Group Blog
นิยายดองแต่งเล่น
(My dead story)
บันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้
(My travelling story)
คำทักทายกับสมุดเยี่ยม
(Free Talk & Guest Book)
พงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์
(History of PANTIP.COM)
สาระ(แนว)วงการการ์ตูน
(Knowledge from cartoon)
มารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้
(Ethics of online social)
แจกCDพระไตรปิฎกฟรี
(Free Tripitaka CD)
รวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้
(My favorite emotional lyric)
แบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้
(My life style)
ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้
(My cartoon shelf)
ภัยมืดของโลกออนไลน์
(Warning from Online world)
เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษ
(My happy time story)
ห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้
(My knowledge library)
กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternet
(My activity with Internet)
คุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์
(Behind the scene TV entertainment)
ตำราพิชัยสงครามซุนวู
(Sun Wu's strategie book)
แฟนพันธ์กูเกิ้ล
(Google Fanclub)
หน้าสารบัญ
(Index page)
คลังเก็บรูป
(Picture House)
กล่องปีศาจ
(Pandora Box)
ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ต
(Tip Code)
สาระเบ็ดเตล็ด
(ETC-Knowedge)
รู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกร
(My Work Medical Technician)
รวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกร
(My Photograph Gallery)
รวมกระทู้ดีๆการเมือง(เป็นกลางหรือไม่แล้วแต่ท่านจะคิด)
(Politic Article)
กรรมกรกับโรคAsperger
(Asperger Syndome & me)
รวมกระทู้ดีๆการเมือง2(เป็นกลางหรือไม่แล้วแต่ท่านจะคิด)
(Politic Article2)
ความเลวของสื่อ
(Badness of Medias)
ความเลวของพรรคประชาธิปัตย์
(Badness of Democrat Party)
ความเลวของอำมาตย์ศักดินา
(Badness of Aristocrat)
ข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไป
(My data secret)
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย
(Fact of Dhammakaya Temple)
รวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงิน
(Economy Literature)
เจาะฐานการเมืองท้องถิ่น
(Penetration of Local Political Base)
บทวิเคราะห์การเมืองในทัศนะของสลิ่มไทย
(Thai Salim's Politic)
All Blogs
การเมืองว่าด้วย 'พลังงานไทย'
แรงเงาของประชาชนไทย
ผีกลัวแสงสว่าง
บทขยายปัญหาและความเป็นเหตุผล อเนกนิกรสโมสรสมมติ ของ ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
รัฐ 3 แบบใน The Dark Knight Rises
ประชาธิปไตยเป็น 'สิ่งแปลกปลอม' ที่นำเข้าจากต่างประเทศ(?)
สุรพศ ทวีศักดิ์: จริยธรรมสลิ่ม
เสรีภาพที่จะไม่รักในระบบศีลธรรมแบบทาส
แค่ฟ้องรัฐบริหารจัดการน้ำผิดพลาดไม่เพียงพอ ต้องเก็บภาษี ผู้ไม่ยอมเปียก
เหตุที่สถาบันกษัตริย์ไม่อาจป้องกันการรัฐประหารได้
มุกหอม วงษ์เทศ: ความเป็นไทย: อัตลักษณ์แห่งความดักดาน
ทิศทางอนาคตความมั่นคงของพรรคขนาดกลางและเล็กที่มีอยู่ในสภาตอนนี้
ห้ามสงสัยเท่ากับห้ามเป็นมนุษย์!
3 กรกฏา "(ไม่)เลือกคนดีเข้าสภา!!"
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: โต้รายงานประจำปี2553ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ไพร่ VS อำมาตย์
ธงชัย วินิจจะกูล: มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปัจจุบัน
เจาะลึกประวัติศาสตร์การเมืองของสิงคโปร์นับตั้งแต่ตั้งประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
ค่าใช้จ่ายของราชวงศ์ประจำชาติต่างๆ
สองมาตรฐานและสิทธิในการสัญจร: บทเรียนจากสาวซีวิค เด็กแว้น รถเก๋ง และรถตู้
ถาม-ตอบ ไม่สนใจการเมืองผิดด้วยเหรอ?
ศาลยุติธรรม:ยุติอย่างเป็นธรรมหรือยุติความเป็นธรรม
ขยายผลวิทยานิพนธ์ จิตร ภูมิศักดิ์ตามหาทายาท-แดงหรือเหลือง
หายนะของประเทศชาติ อันเนื่องจากนโยบายบริจาคหนังสือเสรี
ข้อสังเกตุบางประการในการทำความเข้าใจ สลิ่ม
รายงาน: ทามาดะ โยชิฟูมิ อภิปรายการเมืองไทยร่วมสมัยที่ ม.เชียงใหม่
การต่อสู้ของรัฐMonarch Vs. รัฐประชาชน โดยทามาดะ โยชิฟูมิ
ส่วนหนึ่งของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยลักขณา ปันวิชัย
45ปีมรณะกาลนักปรัชญาและนักประวัติศาสตร์โลกลืม จิตร ภูมิศิกดิ์
ไม่มีสังคมใดที่ไม่มีชนชั้น! แม้แต่สังคมไทย
ตาสว่างปลายทางการต่อสู้ของประชาชนแดง
สงครามข่าวสารกับนักแสดงที่ไม่สมบทบาท
วิธีคิดแบบป่าเถื่อนของ"ปัญญาชนแบบไทยๆ";การยกเลิกรัฐประหารโดยการเลือกตั้ง=ทำเพื่อตัวเอง
สังคมไทยคงจะเจริญกว่านี้ ถ้าเราเลิกพร่ำเพ้อถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์กันได้ซะที
ราชธรรมนูญ:ฝันจริงของ'ชาวน้ำเงินแท้'2
ราชธรรมนูญ:ฝันจริงของ'ชาวน้ำเงินแท้'1
5ธันวา52:ครบรอบ100ปีชาตกาลขุนพลภูพาน วีรบุรุษที่ยังไร้อนุสาวรีย์
เปิดทุนใหญ่ไทยแลนด์หมื่นล้านในกัมพูชาเสียวสันหลังวาบ ปลุก"คลั่งชาติ" !!
การรถไฟฯหายนะเพราะใคร? การเมือง- สหภาพ- ผู้บริหารหรือถูกทุกข้อ ?
ธนาธิปไตย (Plutocracy)
ใครเป็นใครในพรรคการเมืองใหม่ฉบับรวบยอด
กรณีเขาพระวิหาร: ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ต่างกัน ไม่เป็นความผิด-ไม่ต้องรับโทษ
เนื่องจากบทสัมภาษณ์ ศ.สตีเฟน บี ยัง
แถลงการณ์อินเทอร์เน็ต(The Internet Manifesto)
แตกโพละ!เวบหางเครื่องปชป.+พธม. น้ำตาจรเข้ร่วง"กรรมออนไลน์จากการปรักปรำแม้ว?!"
ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญด้านชาวนา:กระเทาะเปลือกมายาภาพแห่งวาทกรรม"ขายที่ขายชาติ"
วาทกรรมว่าด้วย“นักการเมืองเลว”
@thaksinliveสมควรได้เป็นMr.Twitterแล้วหรือไม่?
วิพากษ์“พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์”:6เดือนระบอบไม่เอาทักษิณ โดยชาวฟ้าเดียวกันและประชาไท
ไทยโพสต์แทบลอยด์สัมภาษณ์“พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์”:6เดือนระบอบไม่เอาทักษิณ
นักข่าวฝรั่งแฉภูมิใจห้อยกับธุรกิจล้มฎีกาที่ไปไม่รอด
เปิดใจ นิค นอสติทส์ “แดงกับเหลือง”
ชำแหละทุกประเด็นคำถามclassicที่Royalistต้องถามและสมาชิกฟ้าเดียวกันต้องตอบให้ได้2
ชำแหละทุกประเด็นคำถามclassicที่Royalistต้องถามและสมาชิกฟ้าเดียวกันต้องตอบให้ได้1
OTOPมิใช่เพียงสินค้า
กฎหมายหมิ่นฯยังคงดำเนินบทบาทต่อไป
ประชาธิปไตยแบบไทยๆ: การต่อสู้ของกลุ่มกษัตริย์นิยมในการเมืองไทย
ถึงจุดนี้แล้วเสื้อแดงควรประนีประนอมหรือสู้ต่อไป?
สี่นิยายหลอกประชาชนเรื่องปฏิวัติ24มิ.ย.2475
แอบดูhi5ของสาวกพันธมิตรเสื้อเหลืองอย่างจอย ศิริลักษณ์ กับความลำบากที่อัดอั้นมานาน
วิเคราะห์ทางเลือกรถเมล์4พันคันนักวิชาการฟันธง“เช่าซื้อ”ดีกว่า“เช่า”
เหตุผลวิบัติของนักวิชาการริบบิ้นขาว ปริญญา เทวานฤมิตร
รายชื่อบุคคลที่เป็นศัตรูของพันธมิตร
การเมืองไทยกลับมาเป็นปกติ?ปกติไม่ได้แปลว่าเป็นประชาธิปไตย
พลวัต กษัตริย์ในโลกปัจจุบัน
'จูเช'แนวนโยบายการเมืองใหม่แบบสังคมนิยมของพธม.
ทูตเนเธอแลนด์โต้บวรศักดิ์:กฎหมายหมิ่นฯยุโรปไม่เหมือนของไทย
เพราะถือดีในความมี“อภิสิทธิ์”จากผู้อุปถัมภ์จึงนำประเทศสู่กับดัก'เงินกู้อเวจี'
รู้ทัน‘คนไร้ค่า’(Dead Wood)
เปิดโฉนด"นักการเมือง"ฉายา"ราชาที่ดิน"
วันที่สังคมไทยไร้มืออาชีพ วิกฤตฝังลึกอภิสิทธิ์ทำอะไรไม่ได้! ต้องกลับไปสู่หลักที่ถูกต้อง
ประชาไทวิเคราะห์เชิงวิชาการ : คดีที่ดินรัชดาฯ
จดหมายเปิดผนึกถึงนักสันติวิธี : โปรดนับศพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ด้วย
ว่าด้วยเรื่ิองของหวยบนดิน
ภูฏานในด้านที่สาวๆไม่รู้จัก
พันธมิตรเป็นกลุ่มก่อการร้ายหรือยัง?!
รัฐบาลนายกฯสมชาย ควรเร่งดำเนินการขอตัวนายกฯทักษิณจากอังกฤษในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน โดยเร็ว และจริงจัง
สังคมไทยกับวาทกรรมที่น่าเบื่อ
สมศักดิ์ เจียมฯชี้ "ปฏิรูปการเมือง" คือคำอำพรางสำหรับเล่นงานนักการเมืองเลือกตั้ง
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการให้เหตุผลทางกฎหมายและการตีความในคำพิพากษาของศาล
ว่าด้วยการพิพากษาคดีชิมไปบ่นไปจากใจอดีตตุลาการศาลรธน.
นิวส์วีค ตีแผ่ปัญญาชนไทยที่หัวเราะเยาะนโยบายทักษิณ ในขณะที่ทั่วโลกกำลังใช้มันพัฒนาประเทศ
เขื่อนกั้นทะเลบางขุนเทียน 300 ล้านอีกหนึ่งความขัดแย้ง'ชาวบ้าน-กทม.'
อย่าบอกว่ารวย
ความพิเศษของคดี'ทักษิณ ชินวัตร'กับถนนคอร์รัปชันในประเทศไทย?
รัฐธรรมนูญ กับ ศาล
ตุลาการภิวัตน์ใต้ระบอบพันธมิตร
4 กลุ่มอุดมการณ์ที่กำลังเกี่ยวพันสังสรรค์ในสังคมไทย
รวมแถลงการณ์ความเห็นที่มีต่อศาลของ5อาจาร์ยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทำไม"ทักษิณ"ต้องไป
การรุกกลับขั้นแตกหัก ของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย
"ไม่รู้สึกเคอะเขินกันบ้างเลยหรือ?"คำถามจากคณิน บุญสุวรรณ
วิพากษ์เรื่องกฏหมายย้อนหลังไม่ได้
อีกมุมมองว่าด้วยมาตรา 309 : เหตุผลที่แตะไม่ได้?
วรเจตน์ที่ผมรู้จัก
Legacy of Thaksin, Legacy of Sondhi
ทำไมถึงต้องแก้รัฐธรรมนูญ [ทั้งฉบับ]
ซับพรามคืออะไรกันแน่
เศรษฐีพันล้านดอล มองไทย
เมื่อปรีดี พนมยงค์ตั้งสถานกาซิโนกับคนลักษณะศีลธรรมจัด
ทิศทางประเทศไทย
อย่าหลงกระแส ไทยคมยังเป็นของไทย100 %
กัญจนา ทายาทปลาไหลที่ยังคงเป็นปลาไหลยังไงยังงั้น
จำแนกกลุ่มความคิดภายใต้การเมืองอนาธิปไตย
ข้อมูลเก่าแก่ว่าด้วยเรื่องการปราบยาบ้ากับสัมพันธ์ไทย-พม่า-สิงคโปร
สมคิด นกสองหัว
ความชั่วร้ายของวาทกรรม ระบอบทักษิณ
จากอาวุธทันสมัยของทหาร ไปสู่อาวุธอันล้าหลังของบริษัทไทย
แกะรอยเศรษฐกิจฟองสบู่แตก
ประวัติศาสตร์การบริหารราชการบ้านเมืองช่วงปี2531-2543
[บ่อนทำลายชาติ] แนวคิดในการก่อความไม่สงบ เรื่องที่คนไทยทุกคนควรรู้
ข้อเท็จจริงที่ถูกบิดเบือน และ ความคิดเห็นของผมที่มีต่อการเมืองและสังคมไทยในขณะนี้
สาเหตุที่ประเทศไทย ไม่เจริญ
Friends' blogs
Practical x 2
DigiTaL-KRASH!!!
Amygdala
นู๋เองง่ะ
UPluto
ชาเขียว
เสือดาว
มรกตนาคสวาท
JIMMY
กึ่งยิงกึ่งผ่าน
BlogGang.com
=p o o k p u i=
ภูภู่ภู้ภู๊ภู๋
หมาร่าหมาหรอด
patsypacky
KMS
แว่นน้อย@หาดใหญ่
Memo no.72
-=Jfk=-
An.mkII
THE BEGINNING
JazzMiroQuai
เชรุมิซัง
แมลงปิศาจ
NUTS
ทำใจได้
สมภพ เจ้าเก่า
อีคิวศูนย์
ลูกสาวอีฟ
Yensid
Aloha007
KoPoK
jetboat
ดาราวิปลาส
มูแอน
NaCl
=too=
thingummy
d4b
A ช้วน
จมื่นไวกว่า
แต้ว บอกอ MODEL
Lazy Genius
wbj
ช่างไฟ
นะ(รก)
โทโมกะ
ลูกไทย หลานไทย
บอกอกูรู
ไรเซ็น
DEIZEL
Wish You Were Here
รักดี
อู๋ปังจู้
Robonin S.knight
winston
prncess
ผมเสียหนุ่มให้ชายโฉด
Triceratops
นักสืบเอกชน
mengbps01
ลูซี่ โมโนสโตน
แดดเช้า
แอ๊ด ปากเกร็ด
bird can't fly
rommunee
แม่มดพันปี
เด็กน้อยกลิ่นวนิลา
กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย
นุทศรี
Nu i ko
JasonSจัง!!!
รำเพย
ว่านน้ำ
ชยานนท์
จิบ "ชา" เย็นแทะหนังสือ
กุลสตรีกอแก้ว
วี
Minesweeper
อุบลวัลย์
พัตเตอร์สีเงิน
Yashima
uggie*
ยี่หร่า@
อ.ปมโปโกะ
GraPhiX
ทายาท
ผมร้อยตำรวจเอกสมชายปลอมตัวมา
มือกลองในตำนาน
หลักสี่
WIWANDA
จ่าพิชิต ขจัดพาลชน
Leetaming
Meroko
ahced
WebSnow_OK
เก้าอี้ขาวในห้องแดง
MT แก้ว
Clear Ice
Marquez
เจไอ
Joke_Jordan
คุณเบ๊สะพานขาว
เจ้า ก.ไก่ ประกายกาโม่
Fruit_tea
เจ้าหญิงส้ม
นู๋โนริ
ศล
first001@hotmail.com
merveillesxx
@}-- เยอบีร่า --
armissara
@power
PANTIP CREW
Pride
ryzon
me2you
Heathen Chemistry
คลื่นแทรก
Robotoon
แม่อบเชย
merlin_the_white
ดอกไม้ริมทางเอง
Endoo
Overtime
acesman
นายAJ
Tiramitsu
Shamangirl
หนูปุจฉา
Oakyman
{``-_-}{-``-}{-_-``}
เพราะผมไม่มี Time Machine
in-situ
higig
เทพบุตรตบะแตก!!
ดีเจอรรณพ
black shadow
yuttipung
JEDIYUTH
dirty shoe
NooM_Suphan
P_ปรัชญา
สักวันเราคงจะรู้จักกัน
Ra-18th Angel
ชชนน
หมากเขียว
ป้ามด
dont wanna no
โลหการ4
Il Maze
มณฑารัตน์
อะธีลาส
kisara
Please
เชษฐภัทร
buglife
อั๋น ทรงวุฒิ
PUFF
ascertain
ไจโรสโคป
tismarketing
alisalovetatming
ปูขาเก เซมารู
สวย ส่ายสุดๆ
สาวน้อย ร้อยกระบวนท่า
ปาลินารี
TRipLE
dnt
อาจารย์โกย
จันทร์น้อย
"แมวน้ำ"
takuto-ken
Calaglin
iii
RobertSpeharsJarni
monamy
bigwores
*bonny
นายชด
wantjam
ไทเมือง
ทามะจัง
Johann sebastian Bach
@ - ENYA - @
ดา ดา
thelegendary
I_AM_SUD_YOD
พิเภกอินเตอร์
ขยะสังคม
เมื่อตื่นขึ้นมาหัวใจก็ยังมีรัก
ภูวเดช
K.Senior
kazama
ridkun
grassroot
Sky
Joel**
> เอ้ < photo
แตนต่อย
pooktoon
Anunkiya
Start now
รักนะถึงมาบอก
Ants_go
อันตราคนี
cookiecompany
Analayo
Jeban
คราม
Family Portrait
3dfxwave
iamZEON
กรรชัย
นาย Ex-man
สุริยาอัสดง
Darksingha
X-CU
lyfah
thyrocyte
Players
NN - BB
neozero
นางสาวหมอนทอง
เอื้องอัยราวัณ
Tomoeda
ปาฟงหัน
honeynut
juninho
warotah
พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง
นักเลงไข่เจียว
Merchant Dream
หมาร่า V2
วาซุตะคุง v( ^o^ )v
BlizzardWizard
น้ำปลาเดือนห้า
Aya+EVE
bitter sugar
Moonlight
มาหาอะไร
SchwedaKong
สุธน หิญ
Mr.Terran
oakzm
C.BUN
Cryptomnesia
Kross_ISC
Nokkavan
เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน
CD-Ghost
Apiwatmnp
nai-eument
Jimbovy
Calamity
Enixma
แมวเหมียวพุงป่อง
เย่หยงเทียน
Patsy+
amnatve
....4จุด
Otakumanga
psychophantom
กาลามะชน
granun
joyka
วีรบุรุษตกท่อ
sanamluang
nature-delight
Due_n
papayatop
วงกลม
mahahong
สมป๊อป
รพินทร์
arsenal
memeeluvboy
rudmilla
doctor-sajja
กะว่าก๋า
unclemue
bat11
มาม่าไวไวโฟร์มี
book4u
tpapress
โอ้ละหนอ
นะนะ
jurisprudence
Zaladin
gamboom
คุยกับพันทิป
another-dimention
dosday
ข้าวผัดบูด
heavendoors
Webmaster - BlogGang
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
All-Final Forum
โต๊ะหว้ากอ
โต๊ะห้องสมุด
โต๊ะเฉลิมไทย
Pocket Webboard
วิชาการดอทคอม
ค้นหาเว็ปข้อมูลและรูปภาพด้วยgoogle.com
เว็ปท่ารวมเว็ปการ์ตูนยอดนิยมAnipike.com
ทีวีบันเทิงช่อง7สี
ค้นหากระทู้เก่าเก็บในAtriumtech.com
ค้นหาบทความสาระอ้างอิงจากgoogle.com
จัดการทะเบียนราษฎร์ที่คนไทยดอทคอม
โรงเรียนปัญจทรัพย์(ประถม)
พจนานุกรมอังกฤษ<-->ไทย
ซื้อขายหุ้นผ่านเน็ต
ราคาน้ำมัน
Loadโปรแกรมและคู่มือเกี่ยวกับหุ้น
Weblogกรรมกรสาขาย่อยเด็กดีดอทคอม
โหลดScanlationกับmangatraders.com
โหลดScanlationกับstoptazmo.com
โหลดAnimeกับArtbookสวยๆจากsuperogira.com
BlogGang.com
MY VIP Friend
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.