Group Blog
All Blog
### การทำแชมพูมะกรูดและเจลอาบน้ำมะกรูด ###














"ขวดเดียวใช้ได้ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า

สูตรนี้สระผมได้อย่างสะอาดและปลอดภัย

ใช้ได้ทั้งครอบครัวทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่"

"เมื่อใช้อาบน้ำช่วยให้สะอาด ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น

 มีกลิ่นหอมจากน้ำมันผิวมะกรูดทำให้รู้สึกสดชื่น

 ความเปรี้ยวจากมะกรูดช่วย

ขัดขี้ไคลตามผิวหนังออกได้อย่างหมดจด"

สมุนไพรที่ใช้คัดมาเพื่อให้เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย

และไม่เป็นอันตราย ไม่เกิดสารตกค้าง

และไม่ระคายเคืองต่อผิว

 คุณค่าจากสมุนไพรทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ มะกรูด

รางจืด ย่านาง ผิวส้มโอ มีคุณประโยชน์ ดังนี้

ผลมะกรูด กำจัดรังแค บำรุงผมดก บำรุงหนังศรีษะ

และรากผมใช้เป็นยาสระผมหรืออาบน้ำช่วยทำให้ผิวไม่แห้ง

 และรสเปรี้ยวของมะกรูดช่วยให้อาบสะอาด

น้ำมันหอมระเหยจากผิวมะกรูดทำให้รู้สึกสดชื่น

ใบรางจืด ช่วยขับล้างสารเคมี สารพิษที่ตกค้าง

จากการใช้แชมพูที่มีสารเคมีติดต่อกันเป็นเวลานาน

ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย

และช่วยให้แชมพูมีความข้นตามธรรมชาติ

ใบย่านาง ช่วยให้ศรีษะเย็น ผมดกดำ

หรือชะลอผมหงอกก่อนวัย เป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น

ช่วยรักษาผื่นปื้นแดงคันหนังศรีษะ หรือมีตุ่มใสคัน

 ช่วยถอนพิษและแก้อักเสบได้

ผิวส้มโอ ต้มน้ำอาบแก้คัน รักษาโรคผิวหนัง

จำพวกลมพิษต้านเชื้อรา ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านไวรัส

 ลดการอักเสบ น้ำมันหอมระเหยช่วยให้มีกลิ่นหอมสดชื่น

และรู้สึกผ่อนคลาย

เกลือสมุทร การอาบน้ำเกลือหรือสระผมด้วยเกลือ

จะช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดี

มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง ช่วยรักษาเชื้อราบนหนังศรีษะได้

 การอาบน้ำที่มีส่วนผสมของเกลือจะช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างได้

สุดท้ายใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ สบู่เหลวไร้ด่าง

สูตรไร้สีของทารกแรกเกิด

อัตราส่วนผสม

ผลมะกรูด 20 ผล

ใบย่านาง 100 ใบ

ใบรางจืด 70 ใบ

ผิวส้มโอ 1 ผล

เกลือสมุทร 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง

สบู่เหลวไร้ด่าง 300 มิลลิลิตร

(ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ที่ใส่เพราะต้องการฟองเล็กน้อย

ช่วยให้ผมไม่พันกันและช่วยลดการเสียดสีของเส้นผม

ไม่ให้ผมขาดง่ายในขณะสระ)

วิธีทำ

1. ล้างทำความสะอาดใบย่านาง ใบรางจืด ผลส้มโอ ผลมะกรูด

2. ผ่าครึ่งผลมะกรูดและแคะเมล็ดออกบ้างช่วยให้ปั่นได้ง่ายขึ้น

3. ปลอกเอาแต่ผิวส้มโอ 1 ผล

4. ใส่น้ำ 2 ถ้วยตวงลงในหม้อต้มให้เดือด

5. เมื่อน้ำเดือดนำส่วนผสมทุกอย่างได้แก่

มะกรูด ใบย่านาง ใบรางจืด ผิวส้มโอ และเกลือ

ลงต้มให้เดือดยกหม้อลงพักไว้ให้เย็น

6. เมื่อส่วนผสมเย็นแล้วนำไปปั่นให้ละเอียด

และใช้ผ้าขาวบางกรองกากออกทิ้ง

7. นำน้ำแชมพู/ครีมอาบน้ำ ที่ได้มาอุ่นในน้ำร้อน

และค่อย ๆ เติมสบู่เหลวไร้ด่าง (หรือไม่ใส่ก็ได้)

วัดอุณหภูมิที่ 100 องศา เพื่อฆ่าเชื้อ

จากนั้นยกหม้อออกจากน้ำร้อนพักให้เย็น

 จึงกรอกใส่ขวดเก็บเข้าตู้เย็นไว้ใช้ได้นาน ๆ

มะกรูดอาบ/สระในขวดเดียวใช้เอง ใช้เป็นประจำ

และใช้ทั้งครอบครัวด้วย ส่วนตัวมีปัญหาเรื่องผมร่วง

ทุกครั้งที่สระผม เปลี่ยนแชมพูทุกยี่ห้อที่เป็นธรรมชาติ

เป็นสมุนไพรราคาเท่าไหร่ยอมจ่ายว่าดีก็มาใช้ได้สักพัก

ท้ายก็ไม่หาย กลับอาการยิ่งเรื้อรัง

เหตุอาจจะเพราะส่วนใหญ่แชมพูมีสารเคมีอยู่หลายชนิด

 พอมาใช้มะกรูดอาบ/สระที่ทำเอง รู้สึกเลยว่า

หายคันศรีษะหลังสระผม ผมหลุดร่วงน้อยลงเรื่อย ๆ

ถือว่าดีกว่าเดิมเยอะร่วงประมาณครั้งละไม่ถึง 10 เส้น

พอใจแล้ว และยังใช้อาบน้ำด้วย ผิวที่มีแผลรอยเป็นตุ่มยุงกัด

รอยเกาจากยุงจากแมลงกัดผื่น ๆ

พอใช้ไปเรื่อย ๆ ผิวก็ค่อย ๆ หายเป็นผื่น

ตอนอาบแรก ๆ ออกจะแสบ ๆ บ้างถ้ามีแผล

แต่หลัง ๆ มาผิวพรรณดีขึ้น

พิสูจน์ด้วยตัวเอง และทุกคนในครอบครัวแล้ว

แจกให้เพื่อนในที่ทำงานลองใช้บ้างก็ติดใจเลยให้สูตรไปทำ




ขอบคุณที่มา fb. คุณประสาน ศรีนวลนัด







Create Date : 13 กันยายน 2557
Last Update : 13 กันยายน 2557 11:27:12 น.
Counter : 2769 Pageviews.

0 comment
### น้ำกะเพราแก้ท้องอืดและกรดไหลย้อน ###











 วิธีทำน้ำกะเพรา

1. นำกะเพรา 1 กำ (ทั้งลำต้นและใบ) ประมาณ 1 ขีด

มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำจุลินทรีย์ EM (แช่ 1 ช.ม.) หรือ

น้ำยาล้างผักเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก

2. ใส่น้ำ 2 – 3 ลิตรลงในหม้อ

นำกะเพราใส่ลงไปทั้งหมด ทั้งลำต้นและใบ

3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน

 ต้มประมาณ 15 – 20 นาที พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที

ข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของผม

หากใช้ไฟอ่อนเกินไป ฤทธิ์ยาในกะเพราจะไม่ออกมา

 ควรกะปริมาณไฟที่ต้ม ให้น้ำเดือดภายใน 15 – 20 นาที

4. ดื่มหลังอาหาร 1 แก้ว 250 ml (อ่านตรง ปล. ต่อ)

5. ถ้าน้ำกะเพราเย็นลง หรือ ดื่มไม่หมด

ไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ ให้แช่เย็นไว้ดื่ม

เพื่อไว้ดื่มได้หลายๆวัน ข้อมูลเพิ่มเติม

 สำหรับคนธาตุเย็น อย่างเช่นตัวผมเอง

ผมจะไม่ดื่มน้ำกะเพราเย็น

 แต่จะตั้งน้ำกะเพราทิ้งไว้ให้หายเย็นก่อน แล้วค่อยดื่ม

เพราะหลังรับประทานอาหาร

ถ้าผมดื่มน้ำเย็นหรือทานของเย็นๆ

ผมจะท้องอืดอาหารไม่ย่อยครับ

ปล.

1. ถ้าใช้กะเพราแดงจะได้ผลดีกว่า

2. จำไว้ว่า กะเพราเป็นสมุนไพรธาตุร้อน

ถ้าดื่มน้ำกะเพราไปแล้วเกิดอาการร้อนใน

ให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง

3. อาการหนักประมาณ 6 – 8 แก้ว

และหลังจากวันแรกที่ดื่ม ถ้าอาการทุเลา

ให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง

ดื่มเฉพาะหลังอาหาร มื้อละ 1 – 2 แก้ว

แต่ไม่ควรเกิน 4 แก้วต่อวัน

4. ยาสมุนไพรไทย ใช้เวลารักษานานถึงจะหาย

ต้องกินเป็นประจำสม่ำเสมอ

โดยไม่ต้องทานยาเคมีสังเคราะห์เข้าช่วยเลย

ประโยชน์ของกะเพรา

กะเพราช่วยขับลม เป็น Buffer

 ปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร

 ช่วยเร่งการย่อยอาหาร ได้ผลดีเยี่ยม

กับคนที่เป็นโรคในลำไส้เล็ก เช่น จุกเสียดในลำไส้เล็ก

(โรคนี้เวลาเป็นเหมือนถูกแทงด้วยหลาว

นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย)

น้ำกะเพราเหมาะสำหรับคนที่เป็นกรดไหลย้อน

ที่มีอาการท้องอืดร่วมด้วยเป็นประจำ

การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการท้องอืด จุก เสียด แน่นเฟ้อ

และกรดไหลย้อน (ข้อมูลนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้ป่วย)
1

. รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานลูกอมรสต่างๆ

 เช่น รสเปรี้ยว ที่ผสมสารสังเคราะห์

2. ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและเปรี้ยว

แม้เพียงเล็กน้อย (ข้อนี้สำคัญ)

3. ไม่รับประทานอาหารมัน เช่น กล้วยแขก มันทอด

ปอเปี๊ยะทอด และของหมักดอง

เช่น ผลไม้ดองต่างๆ (ข้อนี้สำคัญ)

4. ไม่ควรรับประทานอาหารรสหวาน

ที่มีน้ำตาลปริมาณมาก เช่น ขนมหวาน, น้ำหวาน,

 น้ำอัดลม (ข้อนี้สำคัญ)

5. งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่

ชาและกาแฟก็ควรงด (ข้อนี้สำคัญ)

6. ไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์เป็นจำนวนมาก

 ควรทานเนื้อปลา หรือถั่ว (ข้อนี้สำคัญ)

7. ควรรับประทานผัก เน้นเป็นผักต้ม

(ผักสดควรรับประทานแต่น้อย) เพื่อให้มีการขับถ่าย

 ไล่ลมออก จุลินทรีย์ได้ทำงาน (ข้อนี้สำคัญ)

8. ไม่ควรรับประทานผลไม้ประเภทย่อยยาก เช่น ฝรั่ง, มะม่วง

9. ควรทานผลไม้ประเภทย่อยง่าย และมีกากใยสูง

และไม่มีน้ำตาล ผลไม้ที่แนะนำ เช่น ส้ม ชมพู่

แตงไทย แคนตาลูป และห้ามทานฝรั่ง แตงโม

แก้วมังกร มะเขือเทศโดยเด็ดขาด

10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ประมาณ 100-200 ครั้งต่อ 1 คำ

 หรือ 3 นาทีต่อ 1 คำ (ข้อนี้ช่วยได้มาก)

11. ไม่รับประทานอาหารจนเต็มกระเพาะอาหาร

 (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)

12. ใช้เวลารับประทานอาหารในแต่ละมื้อประมาณ

 ครึ่ง – หนึ่งชั่วโมง

13. หลังรับประทานอาหารเสร็จ ให้ดื่มน้ำเปล่าแต่น้อย

 หลังจากนั้นอีกประมาณ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง

ให้ดื่มน้ำกะเพรา เพราะน้ำกะเพราจะช่วยขับลม

และช่วยเร่งการย่อยอาหาร (ข้อนี้สำคัญ)

14. แกว่งแขนหลังรับประทานอาหารเสร็จในแต่ละมื้อ

ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้มีการเคลื่อนไหว

 (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)

15. ตอนเย็นให้รับประทานอาหารย่อยง่ายๆเท่านั้น

เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)

16. ทานอาหารเสริมประเภทเพิ่มจุลินทรีย์ในลำไส้

ไม่ควรทานนมเปรี้ยวหรือโยเกริต์

เนื่องจากนมทำให้บางท่านท้องอืดได้

17. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งทุกเช้า

หรือวิ่งในช่วงเย็น อย่างน้อย 2.0 – 3.0 กิโลเมตร

หรือเดินในช่วงเย็น เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญ)

18. อดทนในเรื่องไม่ทานอาหารจุกจิก ไม่เป็นเวลา

 ไม่เป็นมื้อ สหายธรรมของผมที่เป็นคนสูงอายุ

มากกว่า 40 ปีขึ้นไป

ทุกคนรักษาโรคนี้ด้วยการ

ทานอาหารเป็นมื้อทั้งหมดทุกคนครับ (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)

19. ท่องไว้ในใจเสมอว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ”

 มีเงินทำไม ถ้าไม่ได้ใช้เงินให้เกิดประโยชน์

ถ้าเป็นโรค ใช้เวลาและเงินดูแล – ซื้อสุขภาพจะดีกว่า

เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่

ก็เพียงพอแล้วครับ

ป.ล. เกือบ 2 ปีแล้วครับ ที่ผมไม่ได้เป็นโรคท้องอืด

 กรดไหลย้อนเลยครับ

เพราะผมเคร่งครัดในการรับประทานอาหาร

ปรับปรุงพฤติกรรมใหม่ทั้งหมดอย่างเคร่งครัด

ขอบคุณเจ้าของสูตร นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์











Create Date : 10 กันยายน 2557
Last Update : 13 กันยายน 2557 11:15:44 น.
Counter : 11197 Pageviews.

6 comment
### กินมะรุมต้องระวัง ###














จากกระแสความเชื่อ

กินมะรุมช่วยรักษาโรคมะเร็งในลำไส้ได้

ทำให้ผู้คนเฮโลสนใจกันมาก

ถึงขั้นนำมะรุมมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สารพัดรูปแบบ

 ไม่ว่าจะเป็น ครีมอาบน้ำ ครีมทาผิว แคปซูลยา

ยิ่งในกลุ่มคนที่กลัวว่า ถ้ากินน้อยไปจะป้องกันมะเร็งได้ไม่ทัน

 โหมกินมะรุมสกัดแคปซูลเข้าไปวันละ 8-9 เม็ด

ผศ.ดร.ศิริพร ตันติโพธิ์พิพัฒน์ สถาบันโภชนาการ

มหาวิทยาลัยมหิดล เตือนว่า

 ไม่เพียงจะรักษามะเร็งไม่ได้

ยังจะเป็นตัวเร่งให้มะเร็งเติบโตได้เร็วขึ้นอีกต่างหาก

 เพราะผลการวิจัยร่วมกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ

เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ของมะรุม

มีศักยภาพช่วยป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโต

ของเซลล์มะเร็งได้ขนาดไหน

ซึ่งมีการทดลอง 2 ขั้นตอน

ทดลองกับสัตว์ปกติที่ยังไม่ป่วยเป็นมะเร็งเพื่อดูว่า

 มะรุมจะช่วงป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้แค่ไหน

และทดลองในสัตว์ที่ป่วยเป็นมะเร็งเพื่อดูว่า

 มะรุมจะช่วยรักษาได้ขนาดไหน

ในการวิจัยหาฤทธิ์ป้องกันมะเร็งของมะรุม

 ทดลองกับสัตว์ปกติที่ไม่ ป่วยด้วยโรคมะเร็ง

 ด้วยการเอามะรุมมาปอกเปลือก ต้มให้สุกนำไปปั่นละเอียด

เป็นวิธีใกล้เคียงกับพฤติกรรมการกินของคนเรา

 จากนั้นทำให้แห้งเป็นผงเพื่อคลุกกับอาหารเลี้ยงหนู

 ในอัตราส่วนผสม 10% 20% และ 40% เป็นเวลา 1 เดือน

ผศ.ดร.ศิริพร เผยว่า

หนูในกลุ่มที่กินอาหารคลุกผงมะรุม 40%

มีจำนวนก้อนเนื้อที่จะเสี่ยงเป็นมะเร็งในลำไส้น้อยที่สุด

แต่การทดสอบในหนูที่เหนี่ยวนำให้เป็นโรคมะเร็ง

กลับได้ผลตรงกันข้าม...

หนูในกลุ่มที่กินอาหารผสมผงมะรุมน้อย แค่ 10%

ก้อนมะเร็งในลำไส้มีขนาดปรับตัวเล็กลง

 แต่หนูที่กินอาหารผสมมะรุม 40%

กลับมีก้อนเนื้อมะเร็งในลำไส้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

นั่นเท่ากับว่า การกินมะรุมในปริมาณมาก

เหมาะกับคนที่ยังไม่ป่วย แต่ถ้าป่วยเป็นมะเร็งลำไส้แล้ว

ต้องกินในปริมาณที่น้อยที่พอเหมาะ จึงจะได้ผลดี..

.มิใช่กินกันแบบบ้าคลั่งไม่บันยะบันยัง

ตามกระแสความเชื่อแบบเขาว่ากันมา ปากต่อปาก.

ขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.ดร.ศิริพร ตันติโพธิ์พิพัฒน์

สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

#RamaChannel







Create Date : 06 กันยายน 2557
Last Update : 6 กันยายน 2557 8:30:30 น.
Counter : 1381 Pageviews.

0 comment
### เครื่องแกงมัสมั่นมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ###














รองศาสตราจารย์ ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ

นักวิชาการด้านอาหารจาก สถาบันโภชนาการ

 มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยคณะ

ได้ทำการวิจัยศึกษาผลของพริกแกงไทย

ที่คนไทยนิยมบริโภคจำนวน 10 ชนิด

คือ พริกแกงเหลือง พริกแกงมัสมั่น เครื่องต้มข่า

 พริกแกงป่า พริกแกงส้ม พริกแกงเผ็ด พริกแกงกะหรี่

พริกแกงพะแนง พริกแกงเขียวหวานและเครื่องต้มยำ

 ในความสามารถต้านฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสารก่อมะเร็ง

 โดยนำน้ำพริกแกงแต่ละชนิดในปริมาณที่หลากหลาย

มาศึกษาในสัตว์ทดลอง (แมลงหวี่) พบว่า

น้ำพริกแกงทุกชนิดไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์

ในทางตรงกันข้ามน้ำพริกแกงดังกล่าวกลับมีฤทธิ์

ในการยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ของสารยูรีเทน

ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง โดยพบว่าพริกแกงมัสมั่น

สามารถยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ได้สูงที่สุด

รองลงมาคือน้ำพริกแกงเหลือง และน้ำพริกแกงพะแนง

นอกจากการวิจัยเรื่องเครื่องแกง

นักวิชาการจากสถาบันโภชนาการ

ได้วิจัยศึกษาภาวะพร่องเหล็กในคนไทย

ทั้งนี้วิถีชีวิตของคนไทยในชนบทห่างไกล

ยังบริโภคอาหารที่มาจากพืช และผักพื้นบ้าน

ที่มีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรด้วย เป็นหลัก

จึงจำเป็นต้องพึ่งพาธาตุเหล็กจากพืชมากกว่าเนื้อสัตว์

พบว่าเครื่องเทศสำคัญในการปรุงอาหารไทยเกือบทั่วภูมิภาค

คือ พริก รวมทั้งขมิ้นที่บริโภคมากในภาคใต้

ซึ่งพืชทั้งสองชนิดมีสารโพลิฟีนอลเป็นองค์ประกอบสูง

และสารดังกล่าวสามารถจับธาตุเหล็กในพืช

ทำให้ร่างกายของเราดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อยลง

ผลจากภาวะพร่องเหล็กดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุหนึ่ง

ที่นำไปสู่การเกิดโรคโลหิตจางได้ ทำให้ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบของกล้ามเนื้อ

เมื่อร่างกายได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ

จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ

ด้วยตระหนักในความสำคัญของปัญหา

ดร.ศิริพร ตันติโพธิ์พิพัฒน์ อาจารย์ฝ่ายมนุษย์โภชนาการ

สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล

จึงได้ศึกษาประเมินผลการบริโภคเครื่องเทศ

และผักสมุนไพร

ซึ่งนิยมใช้ปรุงในอาหารไทยที่มีผลต่อประสิทธิภาพ

ารดูดซึมธาตุเหล็ก โดยทำการสำรวจและเก็บข้อมูล

ในด้านชนิดและปริมาณเครื่องเทศและผักสมุนไพร

ที่รับประทานในหนึ่งมื้ออาหาร ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี

และจังหวัดขอนแก่นซึ่งมีผู้เก็บข้อมูลไว้แล้วบางส่วน

ใช้แบบจำลองของการย่อยซึ่งมีลักษณะ

คล้ายระบบการย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร และลำใส้เล็ก

จากนั้นจึงทำการคัดเลือกพืชอาหารที่น่าสนใจจำนวน 2 ชนิด

 ได้แก่ พริกและขมิ้น โดยเริ่มจากการนำพริกขี้หนูและขมิ้นชัน

มาคำนวณหาปริมาณของสารโพลิฟีนอลจากพืชทั้งสองชนิด

ในระดับที่คนทั่วไปสามารถบริโภคได้

ผลการประเมินการบริโภคพริกขี้หนู พบว่า

มีการใช้สารโพลิฟีนอลจากพริกปริมาณ 25 มิลลิกรัมต่อมื้อ

 ถ้าพิจารณาเป็นพริกสดจะมีปริมาณ 14 กรัม

 ส่วนผลการคำนวณปริมาณการปรุงอาหารด้วยขมิ้น

อยู่ในระดับ 50 มิลลิกรัมต่อมื้อ

จากนั้นจึงนำมากำหนดรายการอาหารทดลอง

 โดยนำพริกสดไปผสมลงในน้ำซุป ส่วนขมิ้นนำไปหุงกับข้าวสวย

ผลการทดสอบทั้งสองระยะ พบว่าอาหารที่มีขมิ้นเป็นส่วนประกอบ

ไม่มีผลในการยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กแต่อย่างใด

แม้การทดสอบดังกล่าวจะมีปริมาณของสารโพลิฟีนอล

จากขมิ้นชันมากถึง 50 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่า

ปริมาณสารโพลิฟีนอลในพริกกว่าเท่าตัว

 ผลการวิจัยข้างต้นจึงชี้ว่า

การกินอาหารที่ปรุงแต่งรสชาติด้วยพริก

โดยมีผักเป็นส่วนประกอบหลัก เนื้อสัตว์ หรือ ไข่แดง

มีผลขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก

จากอาหารที่ร่างกายได้รับจากพืช

 ส่วนการกินอาหารที่ปรุงแต่งรสชาติด้วยขมิ้น

ไม่มีผลในการขัดขวางกระบวนการดูดซึมธาตุเหล็กแต่อย่างใด

ผลการวิจัยดังกล่าวนับเป็นข้อมูลที่ช่วยในการปรุงแต่ง

และเลือกบริโภคอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่นิยมปรุงอาหาร

ซึ่งมีพืชผักเป็นส่วนประกอบหลักและชื่นชอบรสเผ็ด

 จำเป็นต้องลดความจัดจ้านของรสชาติลง

เนื่องจากธาตุเหล็กยิ่งดูดซึมได้น้อยถ้ากินร่วมกับพริก

ในส่วนของผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติเป็นอาหารหลัก

 ถ้ารับประทานอาหารที่มีพริก

เป็นส่วนประกอบของอาหารมาก ๆ

จะมีผลต่อการดูดซึมธาตุเหล็ก จึงควรกินอาหาร

ที่เป็นแหล่งของธาตุเหล็กเพิ่มเติม เช่น ไข่

เนื่องจากไข่แดงมีธาตุเหล็กสูง แต่ถ้าไม่กินไข่

ก็อาจจะมีผลกระทบได้แต่ไม่จำเป็น

ต้องวิตกกังวลมากเกินไปนัก

 เนื่องจากหากเรากินอาหารมังสวิรัติมาเป็นระยะเวลานาน ๆ

 กลไกในร่างกายจะมีการปรับตัวให้สามารถดูดซึม

ธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังมีอีกวิธีหนึ่ง

ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็ก

ด้วยการกินอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินซี

 เนื่องจากวิตามินซีมีคุณสมบัติ

ช่วยสนับสนุนการดูดซึมธาตุเหล็ก

ฉะนั้นการเลือกกินอาหารที่มีวิตามินซีสูง ๆ ร่วมด้วย

 เช่น ส้ม มะนาว เป็นส่วนประกอบก็ช่วยได้

เช่น อาหารประเภทยำต่าง ๆ ก็น่าจะช่วยได้

แต่ต้องคำนึงด้วยว่ามะนาวที่ใช้ต้องเป็นมะนาวสด

และกินทันทีหลังประกอบอาหารเสร็จ

เพื่อป้องกันการสูญเสียวิตามินซี

ขอบคุณข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์ ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ

 นักวิชาการด้านอาหารจาก สถาบันโภชนาการ

มหาวิทยาลัยมหิดล และดร.ศิริพร ตันติโพธิ์พิพัฒน์

 อาจารย์ฝ่ายมนุษย์โภชนาการ

 สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล

#‎RamaChannel‬








Create Date : 30 สิงหาคม 2557
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 21:30:09 น.
Counter : 1957 Pageviews.

0 comment
### เลือกกินผลไม้เพื่อสุขภาพตามสภาพร่างกาย ###













ผศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย รองผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ

 สถาบันโภชนาการ และ อาจารย์ริญ เจริญศิริ

 นักวิจัยประจำฝ่ายเคมีทางอาหาร

ได้ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์คุณค่าของผลไม้ไทย

 ที่นิยมบริโภคในประเทศไทย จำนวน 37 ชนิด พบว่า

ผลไม้มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ตั้งแต่ร้อยละ 67-91

ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้ เนื่องจากผลไม้มีน้ำอยู่ค่อนข้างสูง

 เมื่อรับประทานแล้วทำให้รู้สึกชุ่มคอและช่วยแก้กระหายได้

ดยชมพู่ทูลเกล้ามีปริมาณน้ำมากที่สุด

รองลงมาได้แก่ แตงโมจินตหราเหลืองและสตรอเบอรี่

ซึ่งสำหรับผู้ป่วยที่ต้องจำกัดปริมาณน้ำที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย

โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไต

อาจต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำที่มีในผลไม้ด้วย

ผู้ป่วยที่มีอาการไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

ร่างกายไม่สามารถขับโพแตสเซียมส่วนเกินออกจากปัสสาวะได้

ผู้ป่วยจำเป็นต้องจำกัดอาหารที่มีโพแตสเซียมสูง

 ซึ่งผลไม้หลายชนิดโดยเฉพาะแก้วมังกร ส้ม

ทุเรียน มะละกอ กล้วย

 เป็นต้น มีโพแตสเซียมสูง จึงต้องระวัง

 แต่ยังสามารถรับประทานได้ประมาณ 1 ถึง 2 ส่วน

ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย

นอกจากนี้ผลไม้ยังให้พลังงานแก่ร่างกาย

โดยแหล่งของพลังงานในผลไม้มาจากคาร์โบไฮเดรต

ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของน้ำตาลธรรมชาติ

ได้แก่ น้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส และซูโครส

น้ำตาลเหล่านี้นอกจากจะให้พลังงานแล้ว

ยังทำให้ผลไม้มีรสชาติหวานอีกด้วย

โดยฟรุคโตสจะเป็นน้ำตาลที่มีความหวานมากที่สุด

รวมทั้งยังเป็นแหล่งของสารอาหารชนิดอื่นๆ

ที่มีผลดีต่อสุขภาพ

เช่น ใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

 จากรายงานทางคลินิกและระบาดวิทยา พบว่า

การกินผลไม้เป็นประจำสามารถลดความเสี่ยง

ของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

(non-communicable chronic diseases)

เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง

 โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง เป็นต้น

ทั้งนี้สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

อาจเลือกกินผลไม้ที่มีรสชาติไม่หวานจัด ซึ่งจะสังเกตได้ว่า

ผลไม้ชนิดไหนที่มีรสชาติหวานจัด

มักจะมีปริมาณน้ำตาลอยู่มาก

 และจะทำให้ปริมาณผลไม้ที่สามารถรับประทานได้

ใน 1 ส่วนยิ่งน้อยลง ดังนั้นการเลือกกินผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย

 รวมทั้งมีใยอาหารสูง จะทำให้รับประทานผลไม้ได้

ในปริมาณที่มากกว่าและช่วยทำให้อิ่มได้นานขึ้น

 (ปริมาณผลไม้ 1 ส่วน เท่ากับ มะละกอสุก 6 ชิ้นพอคำ

เงาะ 5 ผล ฝรั่ง ? ผลขนาดกลาง สับปะรด 6 ชิ้นพอคำ

กล้วยน้ำว้า 1 ผล ชมพู่ 2 ผลขนาดใหญ่

มังคุด 4 ผลขนาดกลาง ทุเรียน 1 เม็ดขนาดกลาง

 ลิ้นจี่จักรพรรดิ 4 ผล หรือส้มสายน้ำผึ้งขนาดใหญ่ 1 ผล เป็นต้น)

 ข้อแนะนำเพิ่มเติมผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

 หรือควบคุมน้ำหนักไม่ควรดื่มน้ำผลไม้มากนัก

กล่าวคือไม่ควรดื่มน้ำผลไม้เกินวันละ 220-240 มิลลิลิตร

 หรือถ้าเป็นน้ำผลไม้กล่องไม่ควรเกินวันละ 2 กล่อง

(ขนาด 120 มิลลิลิตรต่อหนึ่งกล่อง)

เนื่องจากมีน้ำตาลค่อนข้างสูง แม้ว่าจะเป็นน้ำผลไม้คั้นเอง

 หรือน้ำผลไม้ 100% ก็ตาม แนะนำให้รับประทานผลไม้สด

ให้ได้ตามสัดส่วนที่กำหนดกล่าวคือประมาณ 3-5 ส่วน

และพยายามเลือกรับประทานผลไม้ที่ไม่หวานจัด

หรือกลุ่มที่มีน้ำตาลน้อย เช่นชมพู่ แตงโมจินตหราสีเหลือง

ฝรั่ง สตรอบอรี่ สาลี แอบเปิ้ล เป็นต้น

ท้ายสุดต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย

สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ถึงแม้จะมีรายงานว่า

ผลไม้ส่วนใหญ่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ คือ น้อยกว่า 55

แต่ข้อมูลเกี่ยวกับดัชนีน้ำตาลของผลไม้ยังมีไม่ครบถ้วน

โดยมีงานวิจัยค่าดัชนีน้ำตาลในผลไม้ของประเทศไทย

อยู่เพียง 12 ชนิดเท่านั้น คือ กล้วยหอม

มะละกอ เงาะโรงเรียน

ส้มโอขาวน้ำผึ้ง ชมพู่ทับทิมจันทร์ ทุเรียนหมอนทอง

 มะม่วงอกร่อง ลำไย สับปะรด ฝรั่ง และแก้วมังกร

ซึ่งพบว่าส้มโอขาวน้ำผึ้ง มะม่วงอกร่องและชมพู่ทับทิมจันทร์

 มีค่าดัชนีน้ำตาล 59 51 และ 50 ตามลำดับ

 รวมทั้งมีรายงานการวิจัยของต่างประเทศพบว่า

แตงโมมีค่าดัชนีน้ำตาล 72 ดังนั้นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานแล้ว

ถึงแม้จะสามารถเลือกรับประทานผลไม้ได้หลากหลายชนิด

 แต่ควรต้องระมัดระวังในเรื่องปริมาณและชนิดของผลไม้

ที่บริโภคให้พอเหมาะด้วย โดยควรจะเลือกผลไม้

ที่มีปริมาณน้ำตาลทั้งหมด

(รวมทั้งน้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส และซูโครส)

 น้อย และมีใยอาหารมาก ซึ่งจะช่วยให้

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น

สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ

 สามารถเลือกรับประทานผลไม้ได้ทุกชนิด

 แต่ในหนึ่งวันควรรับประทานผลไม้ให้หลากหลาย

สลับกันโดยดูจากความหวานของผลไม้

เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป

ควรเลิกรับประทานชนิดที่มีรสชาติหวานบ้าง

หวานปานกลาง และหวานน้อย

และอย่ารับประทานผลไม้ชนิดเดียวกันซ้ำๆ

 เพราะนอกจากมีผลเสียต่อสุขภาพในเรื่องของน้ำตาลแล้ว

อาจมีปัญหาในเรื่องสารตกค้าง เช่นยาฆ่าแมลง

ที่ติดมากับผลไม้ที่ท่านชอบรับประทาน

 อาจไปสะสมอยู่ในร่างกายของท่านได้

เพื่อให้รับประโยชน์จากการรับประทานผลไม้อย่างเต็มที่

จึงควรเลือกรับประทานผลไม้ให้หลากหลายภายในหนึ่งวัน

และมีปริมาณพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย

ขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย

รองผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ สถาบันโภชนาการ

 และ อาจารย์ริญ เจริญศิริ นักวิจัยประจำฝ่ายเคมีทางอาหาร

#RamaChannel







Create Date : 30 สิงหาคม 2557
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 21:33:24 น.
Counter : 1052 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ