Group Blog
All Blog
|
### มะเดื่อ ###
........
ที่ดีที่สุดในโลกคือ " มะเดื่อฝรั่ง " ลูกใหญ่ รสหวาน อุดมด้วยสารอาหาร ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ทั้งวิตามิน เกลือแร่ แคลเซี่ยม ไฟเบอร์ ช่วยสร้างสมดุลของกรด ในร่างกาย ช่วยชะลอความชรา ส่วน "มะเดื่อไทย" นั้นจะลูกเล็กกว่า ไม่ใคร่นำมาบริโภคอย่างแพร่หลาย และยังไม่นิยมปลูกทั่วไป ส่วนมากมักพบตามป่า ชาวบ้านมักเด็ดลูกมะเดื่ออ่อน มาเป็นผักเคียงกับน้ำพริก บ้างก็กินสด บ้างก็ต้มให้สุกแล้วแต่ความชอบ อาจด้วยมะเดื่อนั้นเป็นพันธุ์ไม้ ในพุทธประวัติ ไม่กล้ากิน จึงไม่ปรากฏการนำมาใช้ประโยชน์ด้านอาหาร และส่วนมากจะเน้นไป ทางการใช้ทำยา อีกประการคือ ผลมะเดื่อเป็นแหล่งรวมแมลงหวี่จำนวนมาก เพราะในระหว่าง ที่มะเดื่อผลิดอกบาน แมลงหวี่จะบินเข้ามาตอมและอาศัยเป็นที่ฟักไข่ พร้อมกันนั้นก็ทำให้เกสรดอก เกิดการผสมพันธุ์กันขึ้น จนมะเดื่อกลายเป็นลูก พอเราเอามากิน ก็เจอกับแมลงหวี่เต็มไปหมด หรือแถวต้นมะเดื่อ มีแมลงหวี่บินว่อน ยิ่งผลสุกหล่นเต็มใต้ต้น ส่งกลิ่นหึ่ง แมลงหวี่ก็ตอมหึ่งๆ ซึ่งอาจเป็นเหตุผล ที่ไม่มีใครชอบปลูกและกินมะเดื่อ แต่ชาติตะวันตกใช้เป็นอาหารและอบแห้ง ดินแดนปาเลสไตน์ เช่นอิสราเอลนำมะเดื่อมาทำอาหาร ทำ cake ตากแห้ง และใช้เป็นยาด้วย. คติธรรมและการใช้ประโยชน์ ในทุกศาสนา ในพุทธศาสนา กล่าวไว้ในพระไตรปีฎกว่า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 26 จะตรัสรู้ใต้ไม้มะเดื่อ ในศาสนาอิสลาม กล่าวว่า มะเดื่อและมะกอก เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบ สำหรับมนุษย์ ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการต่างๆ สูง ในศาสนาฮินดู เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ในคริสต์ศาสนายังปรากฏเรื่องราวของมะเดื่อ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลก เมื่ออาดัมและเอวา ชาย-หญิงคู่แรกของโลกทำบาป แล้วใช้ใบมะเดื่อปิดบังความอาย มะเดื่อยังเป็นต้นไม้ที่อารยะชน ตั้งแต่ยุคโบราณ ให้ความเคารพบูชา ถือเป็นต้นไม้มงคลมาจวบจนปัจจุบัน ...... ในภาคกลางเรียกมะเดื่ออุทุมพร สันนิษฐานว่า มาจากการรวม ชื่อมะเดื่อ กับชื่อในภาษาสันสกฤต คือ Udumbar เป็น มะเดื่ออุทุมพร ภาคใต้เรียกเดื่อน้ำ ลำปาง เรียก มะเดื่อ ภาษาอังกฤษเรียก Cluster Fig มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ โดยใช้ทำพระที่นั่งในพระราชพิธีราชาภิเษก นอกจากนั้น ยังใช้ทำหม้อน้ำและกระบวยตักน้ำมัน สำหรับกษัตริย์ทรงใช้ในพระราชพิธี คนไทยถือว่าดอกมะเดื่อ เป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก นับเป็นบุญวาสนาจริงๆ จึงจะได้เห็น หรือเป็นเจ้าของดอกมะเดื่อ ... ส่วนที่นำมากินเป็นผัก คือ ช่อดอก ที่คนไทยเรียกว่าผลหรือลูกมะเดื่อ โดยใช้ช่อดอกอ่อนหรือดิบ เป็นผักจิ้มหรือใช้แกง เช่น แกงส้ม ความจริงช่อดอก(ผล) ของมะเดื่อชนิดอื่น ที่กินเป็นผักได้ หลายชนิด แต่ส่วนใหญ่ผลเล็กและรสชาติ ไม่ดีเท่าช่อดอกมะเดื่อไทย ผลสุกสีแสดแดง กินเป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะวิตามิน B1 ,B2 และ C และแคโรทีนของวิตามิน A และยังมีแร่ธาตุที่สำคัญ อาทิเช่น เหล็ก แคลเซียม และทองแดง แร่ธาตุเหล่านี้มีประโยชน์ต่อเซลล์ ในร่างกาย และการฟอกเลือด มีประโยชน์สำหรับคนที่ขาดเลือด นอกจากนี้ผลมะเดื่อยังมีเปอร์เซ็นต์ ของน้ำตาล ระหว่าง 18-30 % ตามความสดและแห้ง ผลมะเดื่อสดปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 70 แคเลอรี ถึง 267 แคเลอรี่ เมื่อเทียบกับผลมะเดื่อแห้ง ผู้ที่รับประทานผลมะเดื่อ จะมีกำลังวังชา และทนต่อความหนาวได้เป็นอย่างดี ออกมามากมาย พบว่าสารสกัดใบมะเดื่อ แสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบ เปลือกต้น มีรสฝาด รับประทานแก้ท้องร่วง ชะล้างบาดแผล เป็นยาสมานดี ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้ กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้หัว ไข้กาฬ ไข้พิษทุกชนิด กล่อมเสมหะ และโลหิต ...... จัดเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของ อียิปต์ อิตาลี และกรีซ มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง พบมากใน ตุรกีและกรีก จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้น ขนาดกลาง ลำต้นจะเป็นปุ่มแตกกิ่งก้านออก ลำต้นมียางสีขาว ลักษณะของใบเป็นใบเดี่ยวหนาค่อนข้างแข็ง ด้านหนึ่งมีขนอ่อน ส่วนผิวด้านบนจะหยาบ ขอบใบหยักลึก 3-5 หยัก ส่วนผลมะเดื่อจะออกเป็นกระจุก ผลกลมแป้นหรือรูปไข่ มีเปลือกบาง โดยผลอ่อนจะสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยน เป็นสีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ ด้านในมีเนื้อสีแดงเข้ม เมื่อสุกแล้วจะมีกลิ่นหอม ชาติตะวันตกใช้เป็นอาหาร และอบแห้ง ดินแดนปาเลสไตน์ เช่นอิสราเอล นำมะเดื่อมาทำอาหาร ทำ cake ตากแห้ง และใช้เป็นยาด้วย. และได้มีการทดลองปลูกครั้งแรก ที่ดอยอ่างขางเมื่อปี 2524 โดยมูลนิธิโครงการหลวง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ถือเป็นผลไม้ต่างถิ่น ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก 1. ช่วยบำรุงร่างกาย และต่อต้านอนุมูลอิสระ 2. เป็นผลไม้ที่เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องลดน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนัก เพราะมีเส้นใยสูง มะเดื่อเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง มีคอเลสเตอรอลและไขมันน้อยมาก ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคตับ จึงรับประทานได้ 3. ช่วยคงความอ่อนเยาว์ และชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย 4. มะเดื่อมีแคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัสสูง จึงช่วยเสริมสร้างซ่อมแซม และเพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ 5. ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง และลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ 6. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 7. มะเดื่อเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ในเลือด และช่วยลดปริมาณการใช้อินซูลินในผู้ป่วยเบาหวาน 8. ช่วยทำให้หัวใจทำงานได้อย่างเป็นปกติ และช่วยป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง 9. ช่วยปันกันโรคโลหิตจาง เนื่องจากมีธาตุเหล็กและโฟเลตสูง 10. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา 11. ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูพรุน 12. มะเดื่อ สรรพคุณช่วยปรับสมดุลของกรดด่างในร่างกาย 13. สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ช่วยสมานแผลในช่องปาก 14. มะเดื่อเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในขับถ่าย และกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี และยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย 15. สรรพคุณมะเดื่อ ใช้เป็นยาระบาย ป้องกันอาการท้องผูก 16.ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยป้องกันนิ่วในไต และกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่วยฟอกตับ และม้าม 17.ช่วยบรรเทาอาการของโรคกามโรค 18. เชื่อว่ามีลูกมะเดื่อสามารถช่วยเสริมสร้างพลังทางเพศ 19. ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในหญิงวัยทอง 20. ในประเทศอินเดียนิยมใช้ใบมะเดื่อมารับประทานเป็นอาหาร 21. เปลือกของมะเดื่อสามารถนำมาใช้แทนน้ำตาลได้ ยังสามาถนำมาใช้ทำขนมได้อีกด้วย เช่น พาย แยม อบแห้ง ผลไม้กวน พุดดิ้ง เค้ก ไอศกรีม ใช้ผสมในชาไข่มุก ใส่ขนมแทนลูกเกด ผลแห้งนำไปคั่ว แล้วนำมาป่นใช้แทนกาแฟ การรับประทานมะเดื่อฝรั่งแห้งอาจทำให้ฟันผุได้ เนื่องจากมีปริมาณของน้ำตาลสูง ### ขมิ้นชัน ###
......... ทองคำของสุขภาพ ...คนไทยใช้ขมิ้นชันในการดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ปากถึงทวาร... รักษาแผลในปาก เหงือกเป็นแผล เอาหัวขมิ้นชันกับเกลือมาคั่วให้สุก จากนั้นผสมน้ำอุ่นดื่มกิน หรือต้ม นึ่ง ตากแห้งตำผงไว้ใส่ในอหารกินประจำ หรือเอาหัวขมิ้น ไพล ตำกับเกลือกินก็ได้ อิ่มก็ปวด หิวก็ปวด จะใช้ขมิ้นตำคั้นน้ำกิน หรือใช้ขมิ้นสดหรือแห้งผสมกับเกลือ หรือทำเป็นยาตำรับ ผสมสมุนไพรตัวอื่นๆ เช่น ไพล ชะเอมเทศ เทียนทั้งห้า โดยกินอย่างต่อเนื่องเป็นเดือน แต่ถ้ามีอาการท้องอืดท้องบวม ปวดเกร็งบริเวณท้องน้อย แน่นท้อง ท้องอืด หน้าท้องโตขึ้นเหมือนมีลมในท้อง อาจเรอ หรือผายลมมากขึ้น อุจจาระไม่ปกติ เบื่อาหาร ชาวบ้านจะนำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 3-4 ครั้ง กินติดต่อกันอย่างน้อย 5 วัน หรือเอาขมิ้นคั่วกับเกลือ กินเช่นเดียวกับการรักษาอาการท้องอืด แม้แต่แผลที่ทวารหนัก จะใช้ผงขมิ้นตัวเดียว หรือผสมกับผงรากกะเม็ง หรือผงของผลบวบแห้ง อย่างละเท่าๆกัน ทาหัวริดสีดวงที่มีเลือดออก ส่วนยากินจะใช้มะขามป้อม และขมิ้นชันอย่างละเท่าๆกัน ผสมกับน้ำผึ้งกิน โดยแนะนำให้เริ่มรับประทานที่ 2 แคปซูล หลังอาหาร เป็นประจำ หรือนิ่วในถุงน้ำดี (จะทำให้บกระตุ้นบีบตัวเกิดอาการปวด)
ขอบคุณที่มา fb.#สมุนไพรอภัยภูเบศร เหง้าใต้ดินรูปไข่ อ้วนสั้น มีแขนงรูปทรงกระบอก แตกออกด้านข้าง 2 ด้าน ตรงกันข้าม เนื้อในเหง้าสีเหลืองส้มหรือสีเหลืองจำปาปนสีแสด มีกลิ่นฉุน ใบเดี่ยว กลางใบสีแดงคล้ำ แทงออกมาเหง้าเรียงเป็นวงซ้อนทับกันรูปใบหอก กว้าง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม. ดอกช่อแทงออกจากเหง้า แทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ รูปทรงกระบอก กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ใบประดับสีเขียวอ่อนหรือสีนวล บานครั้งละ 3-4 ดอก ผล รูปกลมมี 3 พู และไม่มีความชุ่มชื้นในเวลากลางคืน วิธีปลูกใช้แก้นิวที่อายุได้ 100 - 1,200 ปี ทำพันธุ์ตัดออกเป็นท่อนละ 1-2 ตา ปลูกลงแปลงหลังจาก 7 วันรากก็จะเริ่มงอก ควรรดน้ำทุกวัน หลังจากนั้นเมื่อขมิ้นมีอายุได้ 9-10 เดือน จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ แถมยังมีอะไรไม่รู้ออกมาตามลำต้น มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีสีเหลืองเข้ม จนสีแสดจัด มีชื่อสามัญอื่นอีกคือ ขมิ้นแกง (เชียงใหม่) ขมิ้นชัน (กลาง, ใต้) ขมิ้นหยอก (เชียงใหม่) ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้น (ตรัง, ใต้) ตายอ (กะเหรี่ยง กำแพงเพชร) สะยอ (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) และ หมิ้น (ตรัง, ใต้) ### ตะขบไทย , ตะขบฝรั่ง , ตะขบป่า ###
.................
ตะขบไทย ........ ผลไม้ตระกูลเบอรี่ไทยอีกชนิดหนึ่ง ชื่อสามัญ Coffee plum, Indian cherry, Indian plum, East Indian plum, Rukam, Runeala plum ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ครบ (ปัตตานี), มะเกว๋นควาย (ภาคเหนือ), ตะขบควาย (ภาคกลาง), กือคุ (มลายู ปัตตานี) ขนาดเท่าลูกพุทรา ขนาดประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร ผลเมื่อสุกเป็นสีแดง หรือสีม่วง เมื่อแก่เป็นสีดำ ผลมีรสหวานฝาดเล็กน้อย ภายในมีเมล็ดหลายเมล็ด ติดผลในช่วงประมาณเดือนเมษายน ผลสุกมีรสฝาดหวาน ใช้รับประทานได้ ............ รากมีรสฝาดเล็กน้อย ใช้ปรุงเป็นยาขับเหงื่อ มีสรรพคุณเป็นยากล่อมเสมหะและอาจม เนื้อไม้มีรสฝาด ใช้ทำเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้บิด มูกเลือด เปลือก แก่น และใบ ใช้เป็นยารักษาอาการ ปวดเมื่อยตามตัว แก้โรคเหน็บชา รักษาอาการปวดข้อ แก้เส้นเอ็นพิการ ........ ชื่อสามัญ Calabura, Jam tree, Jamaican cherry, Malayan Cherry, West Indian Cherry ชื่อท้องถิ่น ครบฝรั่ง (สุราษฎร์ธานี) หมากตะโก่เสะ (กะเหรี่ยงแดง) ตากบ (ม้ง) เพี่ยนหม่าย (เมี่ยน) ตะขบฝรั่ง เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านแผ่ขนานกับพื้นดิน เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีเทา ตามกิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นปกคลุม ตะขับหรือตะขบฝรั่งนี้ มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ พบปลูกเป็นไม้ประดับหรือไม้ผลทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศพบพบปลูกเป็นไม้ประดับ หรือไม้ผล และมักพบขึ้นเป็นวัชพืช ตามที่รกร้างว่างเปล่า ตามป่าโปร่งทั่วไป หรือมักขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่นกและสัตว์ขนาดเล็กถ่ายมูล เมล็ดตะขบทิ้งไว้ เปลือกผลบาง ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้ว จะเปลี่ยนเป็นสีแดง ผลมีรสหวาน ภายในมีเมล็ดแบน ขนาดเล็กจำนวนมาก จัดเป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ชนิดหนึ่ง โดยใน 100 กรัมหรือประมาณ 25 ผล จะมีใยอาหารมากกว่า 6 กรัม เมื่อเทียบกับปริมาณสารอาหาร ที่แนะนำให้บริโภคประจำวันอยู่ที่ 25 กรัม ดังนั้นการกินตะขบ 1 ถ้วยจะเท่ากับ ได้ปริมาณ 1 ใน 4 ของใยอาหาร ที่แนะนำเลยทีเดียว อีกทั้งมีงานวิจัยต่างๆที่สนับสนุนว่า ตะขบฝรั่งนั้นเป็นผลไม้ ที่มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม และโปแตสเซียมสูง จึงมีความสามารถในการดูดซับคลอเรสเตอรอล ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ และลดความเสี่ยงของอาการเส้นเลือดสมองแตกก็ว่าได้ ทั้งยังมีกรดเอลลาจิก แอนโธไซยานิน และกรดแกลลิก ที่ช่วยทำให้ระบบการทำงานของต่อมลูกหมากดีขึ้น รวมทั้งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด รวมไปถึงปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยดูแลหัวใจ แพทย์แผนไทยมีการนำตะขบฝรั่งมาใช้ในการรักษาอาการไข้ และเป็นยาบำรุงกำลังอีกด้วย ........... ราก กล่อมเสมหะ และอาจม เปลือกลำต้น ช่วยเป็นยาระบาย ใบ ช่วยขับเหงื่อ ดอก แก้ปวดศรีษะ แก้หวัด แก้ปวดเกร็งในทางเดินอาหาร บรรเทาอาการไข้ ผล ต้านโรคมะเร็ง บำรุงกำลัง ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ ..... ชื่อสามัญ Ramontchi, Governors plum, Batoko plum, Indian plum, East Indian plum, Flacourtia, Madagascar plum ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า หมักเบ็น (นครราชสีมา), เบนโคก (อุบลราชธานี), ตานเสี้ยน มะแกว๋นนก มะแกว๋นป่า (ภาคเหนือ), มะเกว๋น (เมี่ยน, คนเมือง), ตะเพซะ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), บีหล่อเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ตุ๊ดตึ๊น (ขมุ), ลำเกว๋น (ลั้วะ), มะขบ ต้นตะขบป่า จัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็ก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมหรือรี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำ ลักษณะชุ่มน้ำ ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 5-8 เมล็ด มีก้านเกสรเพศเมียติดอยู่ที่ปลายผล ผลจะสุกในช่วง ประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม มีวิตามิน C สูง ใบแห้งนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาบำรุงร่างกาย ผลใช้กินเป็นยาแก้อ่อนเพลีย แก่นหรือรากใช้กินเป็นยาแก้ตานขโมย น้ำยางจากต้นใช้เป็นยาแก้อหิวาตกโรค เปลือกต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้เสียงแห้ง นำเปลือกมาแช่หรือขงเป็นยากลั้วคอแก้เจ็บคอ ผล ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ### เชอรี่ไทย ###
......... พืชตระกูลเบอรี่ ประโยชน์มากกว่าส้ม 50 ลูก ! มีวิตามินซีสูงถึง 2,000 มิลลิกรัม ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคโลหิตจาง มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยล้างพิษ และขับของเสียออกจากร่างกาย ได้เป็นอย่างดี รักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย และทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น นำไปหมักทำไวน์ พั้นซ์ ทำไอศกรีมเชอร์รีไทย เชอร์เบท และแปรรูปเป็นเค็ก เยลลี พุดดิ้ง พาย ดอกมีทั้งสีขาวและสีชมพู ผลอ่อนสีเขียวเข้ม เนื้อกรอบ เมล็ดนิ่ม รสเปรี้ยวมาก แต่ที่พบในประเทศเวียดนาม กลับมีผลใหญ่ รสเปรี้ยวไม่มาก มีวางขายเหมือนผลไม้ทั่วไป ผลอ่อนสีเขียว เมื่อเริ่มแก่เป็นสีเขียวใส หรือเขียวปนขาวหรือปนเหลือง เมื่อแก่จัดเป็นสีส้ม ส้มอมเหลือง สีสดสวยเมื่อสุกงอม สีผลเป็นสีแดงเข้มหรือแดงคล้ำ มีกลิ่นหอม ภายในผลแยกออกเป็น 3 พูใหญ่ ภายในแต่ละพูมีเมล็ด 1 เมล็ด เปลือกบาง เนื้อสีเหลืองฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยวจัด ให้ผลดกในเดือนธันวาคมถึงมกราคม เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศตรินิแดด คูรากัว มาการิกาและดินแดน ในแถบทางตอนเหนือของทวีปอเมริกา ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศแถบเอเซีย เมื่อนานมาแล้ว เป็นเพียงไม้ผลปลูกประดับไว้ในบ้านเท่านั้น มีชื่อสามัญว่า Barbados cherry ### ชำมะเลียง ###
.......... มีภาพ "ดอก " มาฝากด้วย เป็นผลไม้พื้นบ้าน ปลูกขึ้นทั่วทุกภาค ในประเทศไทย ภาคกลางกับภาคใต้เรียก ชำมะเลียง พุมเรียง หรือพุมเรียงสวน ภาคเหนือเรียก ผักเต้าและ มะเถ้า ภาคอีสานเรียก หวดเข้าใหญ่ และมะเกียง มีชื่อสามัญว่า Luna nut เพราะมีให้เก็บกินกันตามบ้าน หรือในสวน ออกผลประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน พอมากตามป่าทุ่ง หรือปลูกปนกับไม้ผลอื่นตามไร่ตามสวน ก่อนรับประทาน ผลชำมะเลียง ควรคลึงเบาๆ ให้ทั่วผล จะลดรสฝาดลงได้บ้าง คนในสมัยก่อน จะให้เด็กกินแก้อาหารท้องเสีย เพราะมีรสฝาด เนื้อชำมะเลียง นำมาทำเป็นน้ำผลไม้ได้รสดี สีสวย แต่ต้องคัดเลือกผลโต ๆ สุกงอมเต็มที่ ผิวสีดำ เนื้อจึงจะมีสีม่วง และรสหวานอร่อย ส่วนยอดอ่อนทำเป็นผักจิ้มหรือลวกกินกับน้ำพริกมะม่วง น้ำพริกปลาร้า หรือยำ ราก แก้ร้อนใน แก้ไข้เหนือ ไข้สันนิบาต และเลือดกำเดาไหล ดอกออกเป็นช่อที่กิ่งและลำต้น กลีบดอกสีม่วง ผลกลมแบน เนื้อบาง มีเมล็ดใหญ่ 1-2 เมล็ด ผลออกเป็นช่อแน่น ช่อหนึ่งประมาณ 20-30 ผล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 2.5-3 ซม. ผลอ่อนสีรสฝาด เมื่อสุกเต็มที่จะมีสีดำ รสหวานอ่อน ใบอ่อน ยอดอ่อน สามารถนำมาใช้ ทำแกงใส่ผักรวม ทำแกงเลียง ใส่ปลาย่าง หรือใช้เป็นผักสดจิ้มน้ำพริก หรือนำมาลวกต้มจิ้มกิน กับน้ำพริกมะม่วง "ชำมะเลียงป่า"
.............. สีสวยนะคะ ต้นไม้ขนาดเล็ก ลูกขนาดประมาณปลายนิ้วก้อย ลูกสุกสีดำ รสหวาน มีขึ้นทั่วไปตามป่าละเมาะ สรรพคุณลดความดัน เบาหวาน หมอพื้นบ้านใช้เป็นยาแก้โรคอัมพฤกอัมพาต "ชำมะเลียงขาว " ........... ไม้ผลชนิดหนึ่งโตค่อนข้างช้า ต้นจะสูงชะลูดขึ้นไป จะมีดอกและผลสีขาว จัดว่าเป็นของแปลก เนื่องจากปกติแล้วชำมะเลียง จะมีดอกเป็นสีเลือดหมู และผลสีเหมือนผลลูกหว้า
|
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |