|
|
- - - - - - - Happy Birthday Haruki Murakami - - -- -- - --
Everything passes.
Nobody gets anything for keeps.
And that's how we've got to live.
สุขสันต์วันเกิด นักเขียนสุดโปรดของเรา
Keep Writing , Keep Running .
I 'll be your reader forever .
Create Date : 12 มกราคม 2553 |
| |
|
Last Update : 23 สิงหาคม 2557 18:31:39 น. |
| |
Counter : 1721 Pageviews. |
| |
|
|
|
- - - - - เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง-ฮารูกิ มูราคามิ ความเรียงที่ทำให้เราร้องไห้ - - - - -
ดิฉันพบว่าการเขียนถึงหนังสือที่เราชอบมากๆ หรือ"อิน" มากๆ ช่างทำได้ยากเย็น จริงๆ ดิฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่หนังสือเล่มนี้ออกใหม่ๆ ไม่นับว่าเคยอ่านฉบับภาษาอังกฤษไปแล้วครึ่งเล่มก็วาง หลังจากรู้ว่าคุณนพดลกำลังแปลหนังสือเล่มนี้อยู่-รออ่านภาษาไทยอย่างใจจดจ่อ
อ่านฉบับภาษาไทยไปได้แค่บทแรกก็วางอีก ไม่ใช่เพราะหนังสือมันไม่สนุก ตรงกันข้ามหนังสือเล่มนี้เข้าไปนั่งกลางใจดิฉันตั้งแต่บทแรก จำได้ว่าอ่านบทแรกในรถไฟฟ้าใต้ดิน (กำลังจะไปเปิดบู้ทในงานหนังสือเมื่อเดือนตุลาที่ผ่านมา) อ่านจนรถไฟฟ้าใต้ดินเลยป้ายศูนย์ประชุมสิริกิติ์ เลยไปป้ายบางซือ ป้ายสุดท้าย ดิฉันนั่งน้ำตาซึมอยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดินป้ายสุดท้าย ป้ายที่ทุกคนกำลังเดินออกจากรถไฟฟ้า มีดิฉันนั่งนิ่ง น้ำตาซึมอยู่คนเดียว ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้เลย (อายคนก็อายนะ นั่งร้องไห้ในรถไฟฟ้าใต้ดิน)
มันไม่ได้ร้องไห้เพราะความเศร้า แต่มันปิติเหมือนเราเจอเพื่อนที่ตอบคำถามบางอย่างให้เราได้ ตอนเดินออกมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน ดิฉันบอกตัวเองว่า มูราคามิ ยังคิดแบบนี้เลยนะเว้ย คิดแบบที่เราคิด มูราคามิผู้ยิ่งใหญ่ยังคิดแบบนี้ มูราคามิยังตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วเราล่ะ เราผู้เป็นคนธรรมดาจะพลุ่งพล่านกับตัวเองไปทำไม
อย่างที่มูราคามิบอกหนังสือเล่มนี้
" หนังสือเล่มนี้พูดถึงการวิ่ง หาใช่สารนิพนธ์ว่าด้วยการฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง ผมไม่พยายามจะสอนสั่งว่า ' ลุกขึ้นมาได้แล้ว ทุกคนเลย ออกไปวิ่งทุกเช้าเพื่อสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ' ไม่เลยครับ หนังสือเล่มนี้รวบรวมความคิดที่การวิ่งให้ความหมายต่อผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เป็นแต่เพียงหนังสือที่ผมวิเคราะห์ครุ่นคิดเรื่องที่อยู่ในหัว และคิดออกมาดังๆ "
และนี่เป็นแค่หนึ่งในหลายตอนที่ดิฉันชอบมากจากหนังสือเล่มนี้
"เมื่อผมแก่ตัวมากขึ้น ผมค่อยตระหนักได้ว่า ความเจ็บปวดและบาดแผลเช่นนี้ เป็นส่วนสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ ลองคิดดูเป็นเพราะเราแตกต่างจากผู้อื่น เราจึงสร้างตัวตนเราขึ้นมาได้ ยกผมเป็นตัวอย่างก็ได้ ผมมีความสามารถคว้าจับบางส่วนในฉากชีวิตที่คนอื่นทำไม่ได้ สัมผัสรับรู้ได้แตกต่างจากผู้อื่นและเลือกใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมือนผู้อื่น ...ผมก็คือผมไม่มีใครอื่นที่เป็นสินทรัพย์ทรงค่าสำหรับผม แผลบาดลึกเชิงอารมณ์เป็นราคาที่คนเราต้องต้องจ่ายชำระ เพียงเพื่อจะเป็นตัวของตัวเอง
ดิฉันคาดเดาเอาเองว่า (และอาจะผิดก็ได้) คนหนุ่มสาวอาจจะไม่ชอบหนังสือเล่มนี้เท่าใดนัก คงไม่เท่า "ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย "ซึ่งเป็นเรื่องของช่วงชีวิตวัยหนุ่มสาว และเล่มนั้นมูราคามิผสานชีวิตของเขาเข้ากับจินตนาการเขียนเป็นนวนิยาย
แต่เกร็ดความคิดบนก้าววิ่งอันนี้เป็นความเรียง เป็นการเฝ้าครุ่นคิดถึงชีวิตช่วงวัยที่เรียกว่าเลยวัยหนุ่มมาแล้ว เป็นช่วงชีวิตที่ไม่ใช่ช่วงวัยแสวงหา มูราคามิเลยจุดนั้นมานานนักแล้ว แต่เป็นช่วงชีวิตที่รู้ว่าความสำคัญสูงสุดในชีวิตคืออะไร และจะดำเนินชีวิตไปได้อย่างไรในยุคศตวรรษ 21 แห่งนี้
กล่าวอย่างง่าย จะบอกว่าหนังสือเล่มนี้บอกเล่าปรัชญาการใช้ชีวิตของมูราคาก็ได้ แต่มันก็เล่าถึงชีวิตทางกายภาพของเขาด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนามธรรมๆ หนังสือเล่มนี้ยังบอกว่ามูราคามิฝึกร่างกายให้ทนทานต่อการวิ่งระยะไกลอย่างไร นอกจากจะเคยลงแข่งวิ่งมาราธอนแล้ว มูราคามิยังเคยลงแข่งไตรกรีฑาด้วย
และอย่างที่คุณนพดลบอกไว้ในคำนำ
"...ในเล่มนี้ได้อ่านชีวิตมูราคามิ และวิธีการเติมพลังให้แกร่งเพื่อที่ได้ทำงานที่ตนเองรัก-เขียนนิยายสืบไป" มองในแง่หนึ่ง เรารู้จักทำนองชีวิตของยอดนักเขียนผู้นี้ได้ดีขึ้น ชื่นชมต่อการต่อสู้อันเงียบงันที่ไม่ได้ประกาศให้โลกรับทราบ..."
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองไหม ดิฉันรู้สึกว่าคุณนพดลคือมูราคามิ มีสำนวนภาษาที่ไม่มีใครเทียบได้ ตอนอ่านภาษาไทยในชั้นแรกๆ ดิฉันไม่ชอบคำว่า "ทัณฑ์ทรมาน" แต่หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก ดิฉันว่ามันใช่เลย Suffering คือ ทัณฑ์ทรมาน
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบดิฉันรู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้มูราคามิอีกนิดนึง ได้รู้จักนักเขียนคนโปรดมากขึ้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น ดิฉันพบแล้วว่า คราใดที่ดิฉันพลุ่งพล่าน ฉุนเฉียวกับชีวิตของตัวเอง ดิฉันจะคุยกับใคร ดิฉันควรจะอ่านหนังสือเล่มไหน
และดิฉันก็บอกตัวเองได้ว่า ไม่ว่าจะยากลำบากหรือท้อแท้ขึ้นมาเมื่อใด สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือ ทำงานของเราต่อไป เหมือนที่มูราคามิบอกดิฉันครั้งแล้วครั้งเล่าในหนังสือเล่มนี้
ป.ล. ตอนที่ชอบมากอีกตอนคือ ตอนที่มูราคามิพูดถึงมิก แจ๊กเกอร์ในบทแรก ลองไปหาอ่านกันดูนะคะ
Create Date : 08 ธันวาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 23 สิงหาคม 2557 18:35:01 น. |
| |
Counter : 4307 Pageviews. |
| |
|
|
|
-- -- Julie and Julia: 365 Days, 524 Recipes, and Many Many Blogs- -- -
คงจะไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่า หนังเรื่อง Julie& Julia เริ่มต้นจากบล็อกๆ หนึ่ง จากบล็อกกลายเป็นหนังสือ และจากหนังสือกลายเป็นหนัง ฮอลลีวูด
บล็อกของ Julie Powell เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2002 เธอมีงานประจำอันแสนน่าเบื่อและน่าเศร้ามาก เป็นบุคลากรในองคกร์ของรัฐ ที่ต้องรับโทรศัพท์เรื่องราวร้องทุกข์จากผู้ประสบเหตุการณ์ 9/11 คิดดูแล้วกันว่ามันจะเป็นงานที่น่าเศร้าแค่ไหน มันเศร้าและเครียดในเวลาเดียวกันทีเดียวเลยเชียว
และพอตกค่ำหลังเลิกงาน เธอก็ทำอาหารเยียวยาจิตใจ ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็พบว่าเธอน่าจะเขียนบล็อกเล่าเรื่องการทำอาหาร จากสูตรของ Julia Child เชฟและนักเขียนชาวอเมริกันอันโด่งดัง และเป็นไอดอลคนสำคัญของจูลี่
จูเลีย ไชลด์ นำสูตรอาหารฝรั่งเศสอันยุ่งยากมาปรับปรุงสูตรให้แม่บ้านอเมริกัน-ที่ไม่มีคนใช้ก็ทำได้ (ประโยคนี้เป็นจุดขายของหนังสือจูเลีย ไชลด์ทีเดียว) จูลี่ตั้งใจถึงขั้นว่าภายในหนึ่งปีเธอจะทำอาหารจากทุกสูตรที่มีอยู่ในหนังสือ "Julia Child's Mastering the Art of French Cooking " ให้หมดให้ได้
และแล้ว The Julie/Julia Project ของเธอก็เริ่มออนไลน์เมื่อ 25 สิงหาคม 2002 เธอตั้งใจว่าจะเขียนบล็อกทุกวัน 365 วัน เล่าถึงการทำอาหารจาก 524 สูตร ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ในครัวแคบๆ ของเธอ
เมื่อใครคนหนึ่งเทำอะไรอย่างจริงจัง มันมีผลลัพท์ที่ดีตามมาเสมอ จากวันแรกๆ ที่เธอแทบจะเขียนบล็อกอยู่คนเดียว คนอ่านอยู่ไหนก็ไม่รู้ จนกลายเป็นว่าในที่สุด บล็อกของเธอมีคนอ่านจำนวนมาก และสุดท้ายมันก็ไปเข้าตาสนพ. หนังสือชื่อ Julie and Julia: 365 Days, 524 Recipes, 1 Tiny Apartment Kitchen ก็ได้รับการตีพิมพ์ในปี 2005
(จูลี่ ตัวจริงกับหนังสือของเธอ)
ความสำเร็จของจูลี่ ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ปี 2009 หนังสือของจูลี่ก็กลายเป็น หนัง โดยดัดแปลงจากหนังสือของจูเลีย ไชลด์ เล่มที่ชื่อว่า My Life in France ประกอบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม
และหนังชื่อ Julie & Julia ก็กำลังฉายบ้านเราในตอนนี้
ที่อุตส่าห์เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ไปดูหนังที่ สนุก อร่อย และซาบซึ้งเรื่องนี้กันเถอะค่ะ มันคือหนังฟิลกู้ดเราดีๆ นี่เอง เล่าผ่านชีวิตของสองสาวที่เกิดคนละช่วงเวลา คนที่มาก่อนเป็นแรงบันดาลใจให้อีกคนนึง หนังมีรายละเอียดอันน่ารักๆ หลายจุด แต่มีฉากนึงที่ดิฉันคิอว่าบรรดา Blogger จะต้องชอบแน่ๆ คือจูลี่ก็เขียนบล็อกของเธอไป แรกๆ เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีใครอ่านบล็อกของเธอไหม แล้ววันนึงก็มีคนมาคอมเมนต์บล็อกของเธอ ไปดูในหนังได้เลยค่ะ ว่าใครเป็นคนคอมเมนต์บล็อกเธอคนแรก ขำและน่ารักมาก
หนังเรื่องนี้มีฉากตลาดที่แสนน่ารักของปารีส ( ถึแม้นมันจะเช็ต เพราะเป็นฉากย้อนอดีต ) ก็ยังทำให้เราอยากไปเดินตลาดแบบนั้น มีฉากทำอาหาร ที่ต้องเตือนกันว่าก่อนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่าง มิฉะนั้นคุณอาจโมโหหิวได้ มีฉากหวานๆ ของสามี-ภรรยาสองคู่ มีเพลงประกอบน่ารัก มีฉากการตามหา สนพ.ของจูเลีย ไชลด์ (สมัยที่ยังไม่โด่งดัง) มีเพลงประกอบอันแสนหวาน และมีคำพูดที่แสนหวานประโยคนี้
"You are the butter to my bread, & the breath to my life"
ฉากที่ดิฉันชอบมากอีกฉากคือฉากที่จูลี่บอกว่า เวลาเธอทำอาหารโดยกางสูตรของจูเลีย ไชลด์ไปด้วย มันเป็นเหมือนการที่เธอได้พูดคุยกับไอดอลของเธอ เธอคุยกับจูเลียผ่านอากาศจริงๆ นะ อยากให้ไปดูฉากพวกนี้จริง ๆ
มีข้อเสียอยู่อย่าง คือ หนังมันดันฉายที่พารากอนโรงเดียว ทำไมเป็นงี้ก็ไม่รู้ ไปฉายในโรงแพงเชียว ที 2012และ นิวมูน กระหน่ำฉายจัง ( 5555 ฟังดูเป็นคนแก่ขี้บ่นเนอะ)
โดยส่วนตัวนี่เป็นหนังที่ Blogger อย่างดิฉัน เชียร์ให้ Blogger คนอื่นไปดูอย่างสุดใจค่ะ
- - -
ป.ล.อยากเขียนถึง " เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง" มาก คราวหน้าว่าจะเขียนถึงแล้ว เป็นหนังสือโปรดในรอบปีทีเดียว
Create Date : 02 ธันวาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 23 สิงหาคม 2557 18:39:45 น. |
| |
Counter : 3449 Pageviews. |
| |
|
|
|
+ + + + + + + คารวะ 60 ปี เสกสรรค์ ประเสริฐกุล + + + + + + + +
...ผมคิดว่่าส่วนที่ผมพูดหรือเขียนอะไรไว้มันก็ค่อนข้างมากนะ ความคิดเหล่านั้นคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก ถ้าวันไหนบังเอิญมีใครเขาเติบใหญ่ขึ้นมา คนรุ่นหลังเขามาอ่านมาศึกษาแล้วเห็นด้วย ก็ถือว่าเป็นบุญที่เราได้แสดงความคิดเห็นเหล่านั้นเอาไว้ ทั้งหมดมันพัฒนามาจากวัยหนุ่มที่อยากจะพูดทุกเรื่อง อยากให้คนเห็นด้วยทุกอย่าง แล้วในวัยกลางคนก็โกรธแค้นที่คนเขาไม่เห็นด้วย โกรธแค้นที่เขาไม่เข้าใจ โกรธแค้นที่เขาไม่ฟัง เมื่อมาถึงวัยชราผมเลิกฝันแล้วว่าจะให้คนส่วนใหญ่มาเห็นด้วย
...คือผมเข้าใจ แล้วก็เลิกโกรธแค้นด้วย กระทั่งเผื่อไว้ด้วยว่าตัวเองอาจจะคิดผิดก็ได้
... ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ผมเป็นคนที่โตมาในวัด ทุกวันนี้ความสุขเล็กๆ ของผมเวลารู้สึกว่าชีวิตมีทุกข์หรือมีเรื่องตึงเครียด คือการหลับตานึกถึงภาพตัวเองนอนหลับอยู่ข้างพระประธานในโบสถ์ เป็นคนเฝ้าโบสถ์ ช่วงนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตมันเรียบง่ายและอบอุ่นที่สุด เอาจีวรพระเป็นผ้าห่ม นอนอยู่ในโบสถ์กับหลวงตา ผมรู้สึกว่ามันเป็นความสุขที่ผมหวนระลึกได้เป็นระยะๆ
...
ตัดตอนจากบทสัมภาษณ์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในนิตยสาร Way ฉบับที่ 29 บทสัมภาษณ์เสกสรรค์ ประเสริฐกุลในนิตยสาร Way เล่มนี้น่าสนใจมากค่ะ (วางแผงอยู่ตอนนี้ ) เห็นความคิดช่วงอายุ 60 ปีอย่างชัดเจน แล้วก็เข้าใจเลยว่าที่บอกว่าเสกสรรค์ "ถอดหมวก" นั่นคืออะไร และอย่างไร
นอกจากนี้ภายในเล่มนี้ยังมีปาฐกถา "เศรษศาฐศาสน์ กับการผลิตอวิชชาเชิงโครงสร้าง ปาฐกถา 6O ปี คณะเศรษศาสตร์ ธรรมศาสตร์ฉบับเต็มด้วย
และถ่้าใครสนใจ ปาฐกถา 60 ปี คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (ฉบับเต็ม) : "โลกไร้พรมแดนในประเทศที่มีพรมแดน" ที่นี่เลยค่ะ //www.prachatai.com/journal/2009/11/26723
เรียกได้ว่าเสกสรรค์ ประเสริฐกุล เติบโตมาพร้อมกับคณะรัฐศาสตร์และคณะเศรษฐศาตร์ ธรรมศาสตร์ เลยทีเดียว
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2552 |
| |
|
Last Update : 23 สิงหาคม 2557 18:40:24 น. |
| |
Counter : 2154 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
grappa |
|
|
|
|