My Name is red -.ในนามของศิลปะ และในนามของศิลปิน -



ดิฉันอยากอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อสักสองสามปีมาแล้ว ตอนที่ได้เจอรุ่นน้องคนหนึ่งที่ไปอยู่ฝรั่งเศสนานถึงหกปี ตอนที่กลับมาเขามีงานแสดงภาพถ่ายที่แกลเลอรี่แห่งหนึ่ง เขาอวดดิฉันว่าตอนนี้ อ่าน South of the border ,West of the sun ของฮารูกิ มูราคามิ ฉบับภาษาฝรั่งเศสได้แล้วนะ ดิฉันกรี๊ดกร๊าดตื่นเต้นไปกับเขา เราคุยกันต่อถึงหนังสืออีกสองสามเล่ม และเขาก็ปิดท้ายว่า "พี่ต้องอ่าน My name is red นะสุดยอดมาก" ดิฉันก็นึกอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่บัดนั้น เกือบจะไปซื้อหนังสือฉบับภาษาอังกฤษมาอ่านหลายรอบแล้ว อยากอ่านผลงานของนักเขียนตุรกีคนนี้มาตั้งนานแล้ว แถมยังมีรางวัลโนเบลค้ำประกันอีก นักเขียนท่านนี้คงไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่เมื่อเห็นว่าสพพ.Bliss เอาแปลเป็นภาษาไทยให้อ่านกันแล้ว เลยคิดว่าอ่านภาษาไทยดีกว่า อยากอ่านสำนวนแปลด้วย (ซึงก็ทำได้ไม่เลวเลย อ่านไม่สะดุด ลื่นไหลทีเดียว)

อันนี้เป็นเรื่องย่อจากหลังปก (ขี้เกียจเล่าเรื่องเอง )

"ออร์ฮาน ปามุก" นักเขียนตุรกีผู้ได้รับยกย่องว่า ฝีมือฉกาจเทียบชั้นได้กับบรรดานักเขียน อย่าง เจมส์ จอยซ์ ฟรานซ์ คาฟกา โทมัส มานน์ และซัลแมน รัชดี นำผู้อ่านโลดแล่นไปสู่โลกแห่งศิลปะ อำนาจ ศาสนา และความรักในอาณาจักรออตโตมานปลายศตวรรษที่ 16 แบล็ก ผู้มีอาชีพเป็นเสมียนและรับจ้างทำหนังสือ เดินทางกลับจากเปอร์เซียสู่ถิ่นเก่าในกรุงอิสตันบูล หลังทิ้งไปสิบสองปีด้วยผิดหวังในรักจากเชคูเร หญิงสาวผู้ครองหัวใจการกลับมาครั้งนี้ประจวบกับเหตุฆาตกรรมทารุณ หนึ่งในสี่จิตรกรเอกผู้วาดภาพในหนังสือลึกลับ อันหมิ่นเหม่ต่อศาสนาอิสลาม ตามรับสั่งแห่งองค์สุลต่านถูกฆ่าหมกบ่อน้ำ

แต่แล้วน้าเขยของแบล็กซึ่งเป็นบิดาของเชคูเรก็มาตายลงอีก เป็นศพที่สอง ก่อนตายได้มอบให้แบล็กรับช่วงทำหนังสือเล่มนี้ต่อ ชีวิตของแบล็กและเหล่าจิตรกรจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย...หาตัวหาฆาตกรให้ได้ หรือจะยอมถูกลงทัณฑ์ตามคำสั่งองค์สุลต่าน ทว่า...สำหรับแบล็กแล้ว เดิมพันครั้งนี้หมายถึงความสุขทั้งชีวิต.
...

My Name is red เล่าถึงการทำหนังสือและการทำภาพประกอบ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของดิฉัน แล้วทำไมดิฉันจะไม่ชอบหนังสือเล่มนี้เล่า แถมมันยังพาเรากลับไปโลกศตวรรษที่ 16 อีก คิดดูแล้วกันว่าคนเขียนจะอัจฉริยะขนาดไหน ดิฉันตกตะลึงพรึงเพริดกับวิธีคิดของจิตรกรสมัยนั้น
เป็นอย่างยิ่ง

ปามุกเลือกบริบทของการเขียนนวนิยายได้น่าอ่านมาก มันเป็นช่วงที่ศิลปะแบบออตโตมานต้องต่อสู้กับศิลปะแบบตะวันตกซึ่งมาจากเวนิซ ประเทศอิตาลี ขนบการเขียนภาพเหมือนของศิลปินตะวันออกนั้นจะเขียนภาพเหมือนคนให้ไม่เหมือนตัวจริงๆ ด้วยความเชื่อที่ว่ามีแต่พระเจ้า(คือพระอัลเลาะห์ของคนมุสลิม) เท่านั้นที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา การวาดคนให้เหมือนตัวจริงจึงเท่ากับเป็นการหาญกล้าต่อกรกับพระผู้เป็นเจ้า

แต่เมื่อจิตรกรบางคนจากอาณาจักรออตโตมาน ได้เดินทางไปเวนิซ ได้เห็นภาพเหมือนจริงที่จิตรกรเวนิซรังสรรค์ขึ้น จิตรกรจากตะวันออกก็ยอมศิโรราบ มัน"เหมือนจริง" และสะกดคนดูมาก ใครๆ ก็อยากวาดภาพแบบนี้ และอยากมีภาพแบบนี้ไว้ครอบครอง

การท้าทายที่สำคัญต่อพระผู้เป็นเจ้าจึงเกิดขึ้น การสร้างภาพเหมือนจริงมากๆ ให้แก่ใครๆ เท่ากับการสร้าง Identity ให้แก่เจ้าของภาพ การมีไอเดนตีตี้ให้ตัวเอง เป็นสิ่งซึ่งทำให้คนศรัทธาต่อพระเจ้ามากๆ รับไม่ได้แน่ๆ แน่นอนความขัดแย้งทางศิลปะจึงนำไปสู่ความขัดแย้งทางศาสนาด้วย

วิธีการเล่าเรื่องของออฮาน ปามุก ในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญ ปามุกให้ทุกคน ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ออกมาเล่าเรื่องได้หมด เขาเปิดเรื่องให้ศพที่ถูกฆ่าในฉากแรกออกมาเล่าเรื่อง ตัวละครอื่นๆ ม้าในภาพวาด หมาในภาพวาด เหรียญเงินในภาพวาด ฯลฯ ออกมาเล่าเรื่องได้หมด น่าอัศจรรย์มาก

แถมยังมีเรื่องเล่าลักษณะคล้ายๆ ตำนานสอดแทรกเข้ามาเป็นระยะ ๆ การเล่าเรื่องด้วยนิทานปรัมปราดูเหมือนจะเป็นขนบหนึ่งในยุคโพสโมเดิร์นนิยมใช้กัน นวนิยายเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องเล่าหลายๆ เรื่องสอดสลับอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้

ถ้าคุณชอบกลิ่นอายแบบตรุกี ความหนาวเย็นถึงขั้นพื้นดินเป็นน้ำแข้ง (เรื่องนี้บรรยายความหนาวเย็นได้สุดยอดมาก) หัวข้อถกเถียงในทางศิลปะ แรงบันดาลใจทั้งหลายอันเกิดจากความรัก (ตัวเอกของเรื่องหลงรักหญิงสาวของเขามากว่า 12 ปี) การฆาตกรรม และประวัติศาสตร์ของอาณาจักรออตโตมาน รวมไปถึงความชั่วร้าย ด้านมืดที่แผงอยู่ในตัวคนเรา ฯลฯ ถ้าคุณชอบเรื่องอะไรแบบนี้ คุณจะอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างสนุกมาก

อย่าไปกังวลกับความหนาของหนังสือ ถ้าหนังสือมันสนุก ความหนาก็ไม่ใช่ประเด็น :)

My Name is red
ออร์ฮาน ปามุก เขียน
นันทวัน เติมแสงศิริศักดิ์ แปล
Bliss Publishing พิมพ์


Create Date : 26 มกราคม 2554
Last Update : 23 สิงหาคม 2557 18:03:42 น. 7 comments
Counter : 5237 Pageviews.  

 
เล่มนี้วางนิ่งอยู่บนชั้นมาตั้งแต่เดือนตุลาฯ สงสัยต้องหยิบมาอ่านเสียแล้วค่ะ


โดย: มิว IP: 116.48.41.222 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:10:59:07 น.  

 
อ่านเลยมิว พี่อ่านจบบนรถไฟตู้นอนขากลับมาจากปีนัง
อ่านแบบไม่หลับ ไม่นอน ^^


โดย: grappa IP: 58.11.33.94 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:11:36:13 น.  

 
อ่านรวดเดียวจบบนรถไฟนี่ พี่ขั้นเทพมากเลยครับ (ฮ่าๆ)

เรื่องนี้ผมอ่านตั้งสัปดาห์กว่า ๆ ได้มั้ง จนเมียถามว่า "มันไม่สนุกเหรอ"

แต่มันดันสนุกเนี่ยสิ เลยไม่รู้จะบอกว่าไง


โดย: เว IP: 125.24.194.164 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:19:08:24 น.  

 
รถไฟไปปีนัง ทั้งขาไป ขากลับนะ เว
แต่ละขาใช้เวลาประมาณ 24 กว่าชั่วโมง
รวมเวลาที่รอรถไฟเลทด้วย

รวมชั่วโมงแล้ว ประมาณ 3 วันได้


โดย: grappa IP: 110.168.139.229 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:20:51:57 น.  

 
อา พี่แป๊ดเล่าเสียน่าอ่านมากๆ เลยค่ะ


โดย: tiktok IP: 58.136.8.146 วันที่: 30 มกราคม 2554 เวลา:22:05:50 น.  

 
เล่าจนอยากอ่านเลย ^^ สงสัยต้องไปหาซื้อมาอ่านมั้งแระ เรื่องดีๆแบบนี้ต้องพลาด
Coolpix S4000


โดย: gobank21468 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:12:22:22 น.  

 
^
^
พิมผิด เรื่องแบบนี้ต้องไม่พลาดซิ :)


โดย: gobank21468 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:12:23:24 น.  

grappa
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




New Comments
[Add grappa's blog to your web]