เรณู ปัญญาดี แบบเรียน (กึ่ง) สำเร็จรูป

แบบเรียน (กึ่ง ) สำเร็จรูป
โดย เรณู ปัญญาดี



วันก่อนไปฟังการบรรยายของคุณประชา สุวีรานนท์ เรื่อง "ความเป็นไทยกับการออกแบบกราฟิคฯ" ที่ห้องสมุด TCDC เลยคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาติดหมัด (เอ ทำไมต้องติดหมัดหว่า ติดอย่างอื่นไม่ได้หรือไง ) ดิฉันชอบหนังสือเล่มนี้ของเรณู ปัญญาดีมาก ถือว่าเป็นหนังสือในดวงใจเล่มหนึ่งก็ได้ ตีพิมพ์เมื่อกันยายน ปี 2546 โดยสำนักพิมพ์ชานหนังสือ แต่ก่อนหน้านั้นเคยตีพิมพ์เป็นตอนๆในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์มาก่อน

จริงๆ จะเรียกหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นการรวมเล่มการ์ตูนก็คงจะเรียกไม่ได้เต็มปากนัก เรียกว่า ความเรียงที่มาในรูปของการ์ตูนจะดีกว่า เรณู ปัญญาดี นำการ์ตูนย้อนยุคสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาให้ความหมายใหม่ โดยใส่เรื่องราวของสังคมปัจจุบันเข้าไป

การ์ตูนเชิงสังคมเล่มนี้แบ่งออกเป็นสี่ภาค คือ

1. พ่อมาจากดาวคลองถม (โฮมโปร - แม่มาจากดาวแมคโคร-โลตัส )
2 .หางดาบ ดอทคอท
3 .ดักแด้วันนี้ ดักดานวันหน้า
4 .ก้ำกึ่งรายครึ่งสัปดาห์

ดูจากชื่อแต่ละภาค พอจะอนุมานได้คร่าวๆ เรณู ปัญญาดีตั้งใจจะพูดถึง-เสียดสี-รื้อสร้าง และ ให้ความหมายใหม่ กับเรื่องราวของ
1. ครอบครัวในสังคมสมัยใหม่
2. เทคโนโลยีที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์
3. การศึกษา
4. สื่อในสังคมปัจจุบัน

"...อันหนึ่งซึ่งผมชอบ นั่นก็คือทีทรรศน์ที่กำกวมกับอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นรอบตัวเราในโลกปัจจุบัน ผมคิดว่าความกำกวมนี่เป็นเสน่ห์ของงาน "บทความตูน" ของคุณเรณูนะครับ หมายความว่าอย่างนี้ครับ คุณเรณู หยิบเอาความไม่ลงรอย (ทั้ง Paradox และ Contradiction ) ของชีวิตสมัยใหม่ต่างๆ ขึ้นมาเป็นเนื้อหา เป็นความแตกต่างระหว่างยุคสมัย ระหว่างวัย ระหว่างการสื่อสารยุคโบราณกับยุคไอที ระหว่างโลกาภิวัฒน์กับท้องถิ่นนิยม ฯลฯ แต่ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน นี่ก็น่าจะใช่ นั่นก็น่าจะใช่ นั่นก็ไม่น่าใช่ นี่ก็ไม่น่าใช่ กลายเป็นปัญหาที่ผู้อ่านต้องนำไปเถียงกับตัวเอง ได้ความกระจ่างชัดแก่ตนเองหรือไม่ผมก็ไม่ทราบ แต่ผมเถียงแล้วก็ยังกำกวมเหมือนเก่า คือไม่มีฝ่ายให้ยืนเต็มเท้าได้สักฝ่ายเดียว

แต่นี่เป็นความเป็นจริงของโลกสมัยปัจจุบัน ไม่ใช่หรือครับ...
( บางตอนจากคำนำโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์)

ดิฉันอ่านคำนำของอาจารย์นิธิแล้วก็ชอบมาก ชอบความกำกวม ชอบความล้อเล่นที่เหมือนเอาจริง ชอบความเอาจริงที่เหมือนล้อเล่น อีกอย่างที่ชอบหนังสือเล่มนี้คือมันไม่ได้ "ฟันธง" ลงไปว่าสิ่งที่เขานำเสนอในการ์ตูนเล่มนี้มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เป็นหน้าที่ผู้อ่านจะต้องไปขบคิดต่อ การ์ตูนเล่มนี้จะค่อยๆ ตั้งคำถามอย่างชาญฉลาด แล้วค่อยๆ ให้ผู้อ่าน "รู้สึกกึ่งขำกึ่งขื่น" กับสังคมรอบตัวเราขณะนี้

อยากรู้จริงๆ เชียวว่าถ้าเรณู ปัญญาดี มาเห็นสยามพารากอน จะล้อเล่นมันว่าอย่างไรหนอ

นี่เป็นตัวอย่างเบาะๆ ของการ์ตูนเล่มนี้ค่ะ




ข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างการ์ตูนของเรณู ปัญญาดี ที่อยู่บนภาพปกหนังสือความเรียงเกี่ยวกับหนัง "ภาพไม่นิ่ง" ของ ปราบดา หยุ่น ( 2544 ,สำนักพิมพ์ระหว่างบรรทัด )








 

Create Date : 14 ธันวาคม 2548   
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 16:55:41 น.   
Counter : 4142 Pageviews.  

เชิญ พบ เสกสรรค์ วรากรณ์ เอนก และสุวินัย ในงาน “วิพากษ์เศรษฐกิจ พิศการเมือง ค้นหาตัวตนสังคมไทย "

เอาข่าวสำนักพิมพ์โอเพ่นบุ๊คมาฝากค่ะ

openbooks ชวน “วิพากษ์เศรษฐกิจ พิศการเมือง ค้นหาตัวตนสังคมไทย”
สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ สำนักพิมพ์ openbooks

ขอเชิญร่วมเสวนา “วิพากษ์เศรษฐกิจ พิศการเมือง ค้นหาตัวตนสังคมไทย”

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2548
ณ ห้องประชุมสัญญา ธรรมศักดิ์ ชั้น 2 ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่เวลา 13.30 น. ถึง 18.00 น.

14.00 – 16.00 น. ร่วมพูดคุยกับ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และ รศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตหัวหน้าพรรคมหาชน ในหัวข้อ “วิพากษ์เศรษฐกิจ พิศการเมือง”

จากนั้น 16.15 – 18.00 น. ร่วม “ค้นหาตัวตนสังคมไทย” กับ อ.ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของผลงานล่าสุด “ผ่านพบไม่ผูกพัน"และ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของผลงาน
“ภูมิปัญญามูซาชิ:
วิถีแห่งกลยุทธ์เชิงบูรณาการ”



ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 13.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่สำนักพิมพ์ openbooks โทร. 0-2669-5145-6

ป.ล. ถึงแม้นเจ้าของบล็อกจะนิยมงานเขียนของลูกชายพี่เสก โลกนี้มันช่างยีสต์ แทนไท ประเสริฐกุล แต่วันศุกร์นี้ก็จะไปฟังคุณพ่อแทนไท พูดค่ะ

...
เมื่อวานไปสยามพารากอน มาหนึ่งแป๊บ
ชั้น G ที่เป็นชั้นอาหาร คนเยอะ ยังกับตลาดนัด เดินบ่นไปกับเพื่อนว่าร้อนจัง ขึ้นไปดูคิโนคุนิยะที่ชั้นสาม ร้านใหญ่กว่าที่เอ็มโพเรียม แต่ยังง ๆ กับการจัดหนังสืออยู่ ยังคุ้นกับการหาหนังสือที่เอ็มโปฯ มากกว่า
สงสารคนกรุงเทพและตัวเอง วันหยุด ไม่มีที่ไป ต้องมาแออัดกันในศูนย์การค้า


ตอนนี้ชอบเพลงนี้มาก ชอบทั้งการรีมิกซ์และเนื้อหาของเพลง วันก่อนโน้น พูดจากับๆ คนคนหนึ่ง ดิฉันพูดประโยคหนึ่งออกไป เขาพูดกลับมาว่า ถ้าพูดประโยคนี้แสดงว่าดิฉันไม่รู้จักเขาเลย (เรารู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้วค่ะ ) และมันทำให้ดิฉันเศร้ามาจนถึงตอนนี้

มันตอกย้ำว่า Words are meaningless .And forgettable Words are very unnecessary .They can only do harm แถมเราเป็นคนทำความรุนแรงนั้นเองด้วย เศร้าว่ะ




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2548   
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 17:10:14 น.   
Counter : 1659 Pageviews.  

TCDC และห้องสมุดเฉพาะด้านการออกแบบที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย

วันก่อนเพื่อนที่เป็นอาจารย์สอนศิลปะโทรฯมาฮือฮา เรื่องห้องสมุดที่สวยเก๋แห่งนี้ (เขาต้องฮือฮาแน่เพราะห้องสมุดอยู่ใกล้บ้านเขาขนาดเดินมาได้) อีกวันรุ่นน้องนักเขียน นักแปลโทรฯ มาบอกว่านั่งทำงานอยู่ที่ห้องสมุดแห่งนี้ ว่าแล้วดิฉันผู้ชอบห้องสมุด และเห็นว่าห้องสมุดเป็นหลุมหลบภัยตลอดมา (เช่นเดียวกับโรงหนัง ) ต้องจรลีออกจากบ้านไปดูห้องสมุดนี้เสียแล้ว วันนั้นไปถึงประมาณหนึ่งทุ่มแล้วค่ะ (ห้องสมุดเขาปิดสี่ทุ่ม )

ห้องสมุดแห่งนี้ชื่อ ห้องสมุดเฉพาะด้านการออกแบบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ TCDC( Thailand Creative & Design Center) หรือศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ อันเป็นหนึ่งในโครงการกระตุกต่อมคิด สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ สำนักนายกรัฐมนตรี ศูนย์ฯ แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 6 ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ชั้นเดียวกับโรงหนังน่ะค่ะ



อันนี้เป็นบริการของห้องสมุดค่ะ

-หนังสือ วารสารด้านการออกแบบจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 15,000 เล่ม
-ภาพยนตร์ เพลง และสื่อมัลติมีเดียประเภทต่างๆ
-บริการสืบค้นข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ แยกการค้นหาได้ทั้งจากรายชื่อหนังสือ ผู้เขียน ประเภทเนื้อหา หรือจับคู่เรื่องที่ตรงและใกล้เคียงกัน
-ระบบฐานข้อมูลออนไลน์
-บริการทำสำเนาขาว-ดำ สี เครื่องสแกนเนอร์ และระบบถ่ายภาพดิจิตอล
-ห้องอ่านหนังสือ ห้องชมภาพยนตร์ และจุดฟังเพลง
-The Lounge ห้องสมุดเฉพาะสำหรับสมาชิกที่รวบรวมหนังสือด้านการออกแบบ ชั้นเยี่ยมและหนังสือหายาก

เข้าชมครั้งแรกยังไม่ต้องเสียตังค์ แต่ครั้งต่อไปต้องเป็นสมาชิก ซึ่งเขามีหลายประเภทตั้งแต่ ประเภทปรกติ พรีเมี่ยม คือ ประชาชนทั่วไป 1,200 นักศึกษาปีละ 600 จนถึงระดับ แพลตินัม บุคคลทั่วไป 12,000 บาท นักเรียน นักศึกษา 3,000 บาท (เฮ้อ อยากเป็นนักเรียนก็ตรงนี้แหล่ะ )
ซึ่งแน่นอนว่า การจะเข้าถึงข้อมูลได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่จ่ายค่ะ (การที่จะมีหัวด้านการออกแบบนี่ต้องใช้เงินมากจริงๆ )

ดิฉันคิดว่าการเสียค่าเข้าห้องสมุดปีละ 1,200 บาท นี่ถือว่าไม่แพงนะคะ ได้อ่านหนังสือปีละหลายเล่ม หนังสือภาษาอังกฤษด้วยซึ่งแต่ละเล่มก็ราคาแพง แต่ยืมหนังสือออกไม่ได้ค่ะ ต้องนั่งอ่านที่ห้องสมุด ซึ่งบรรยากาศดี น่านั่งอ่านหนังสือ มีไอแม็คให้ค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต (แหม ช่างเก๋ไก๋จริงจริ๊ง ) แต่ที่ดิฉันรู้สึกว่าแพงก็คือ ไปเอ็มโพเรียมทีไร กระเป๋าแบนทุกที ไม่ใช่ช็อปปิ้งนะคะ แค่อาหารการกินก็แพงแล้ว ยังบอกเพื่อนว่า ถ้ามาห้องสมุดนี่คราวหน้า ห่อข้าวมากินด้วยล่ะกัน



ที่ดิฉัน ชอบอีกอย่าง คือ กิจกรรมของที่นี่ค่ะ เขามีทั้ง ฉายหนัง มีเสวนา การบรรยาย นิทรรศการถาวร นิทรรศการหมุนเวียน ว่าจะไปดู กามิกาเซ่ เกิร์ลส์ หนังญึ่ปุนที่จะฉายวันที่ 17 ธันวา (เสียตังค์) และการบรรยายเรื่อง ความเป็นไทยกับงานออกแบบกราฟิค โดยคุณประชา สุวีรานนท์ วันที่ 7 ธันวาคม (อันนี้ไม่เสียตังค์)

กิจกรรมของเขามีมากกว่านี้ ดูรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ
//www.tcdc.or.th/


หมายเหตุ รูปประกอบทั้งสองนำมาจากเว็บไซด์ของ TCDC




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2548   
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 17:11:48 น.   
Counter : 3364 Pageviews.  

โตเกียวอะโซบิ เที่ยวเล่นในกรุงโตเกียวกันเถอะ


โตเกียวอะโซบิ 44 วัน
ม.ย.ร. มะลิ เขียน

อ่านหนังสือเล่มนี้จบลงด้วยความรวดเร็ว ไม่ได้อ่านหนังสือท่องเที่ยวน่ารักๆ อย่างนี้มานานแล้ว คนเขียนเข้าใจเล่าเรื่องการเที่ยวเล่น (อะโซบิ หมายถึง เที่ยวเล่น ) 44 วันของเธอในโตเกียว เทคนิคการเขียนใช้ทั้งการเล่าเรื่องด้วยตัวหนังสือและภาพการ์ตูน ที่คนเขียนวาดเองประกอบกันไป ผสมผสานกันทำให้ หนังสือตรงคอนเซปต์เที่ยวเล่นจริงๆ

เจ้าของเรื่องไปพักกับเพื่อนที่โตเกียว ทุกวันเธอจะออกเที่ยวเล่นโดยจักรยานบ้าง เดินบ้าง เล่าเรื่องแถวบ้านที่เธอไปพัก เล่าเรื่อง ตลาดปลา อนุเสาวรีย์หมาที่รอคอยเจ้าของมา 10 ปี เล่าเรื่องโทร่าซัง หนังสุดฮิตในญึ่ปุ่นช่วงกลางปี 1900 ฮิตจนมีมิวเซียม ดิฉันชอบที่เจ้าของเรื่องเขาบอกว่าเคยไปอ่านเจอว่าที่โทร่าซังเป็นเป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นเพราะ ชีวิตจริงๆ หนุ่มญี่ปุ่น ไม่สามารถเป็นอย่างนี้ได้ โทร่าซังไม่มีงานประจำ เขามีกระเป๋าหนึ่งใบ แล้วออกท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ หากินโดยขายของในงานวัด โชคร้ายเรื่องความรัก ฯลฯ แต่ผู้ชายญี่ปุ่นในช่วงปี 1928-1996 ต้องทำงานหนัก เพื่อประเทศชาติ เพื่อสังคม ชีวิตแบบโทร่าซังจึงอาจช่วยเยียวยาจิตใจของคนที่ทำงานหนักนั่นเอง

นอกจากนี้คนเขียนเล่าเรื่องซูโม่แถวบ้าน ที่เวลาคนเขียนเดินผ่านเธอก็จะไม่กล้าสบตา เธอเล่าถึงร้านกาแฟเล็กๆ ที่มีป้าคนขายเพียงคนเดียว เล่าเรื่องการอาบน้ำแบบออนเซ็น (การอาบน้ำรวมในที่สาธารณะแบบญี่ปุ่น) เล่าเรื่องการไป หลับบนรถไฟที่วิ่งวนกลับมาที่เดิน คือคนเขียนตั้งใจขึ้นไปหลับน่ะค่ะ เพราะไม่ว่าจะยังไงรถไฟสายนี้ก็จะวิ่งเป็นวงกลม ทุกหนึ่งชั่วโมงจะกลับมาที่เดิม หลับอย่างไรก็ไม่หลง

โตเกียว อะโซบิ เป็นหนังสือท่องเที่ยวที่น่ารัก ให้มุมมองละเอียดอ่อน ขณะเดียวกันก็ให้มุมมองการใช้ชีวิตจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น คนเขียนเธอ บอกว่า "การทิ้งขยะเหมือนกับการทำความดีชนิดอื่นๆ นอกจากจะต้องทิ้งให้ถูกที่แล้ว ยังต้องทิ้งให้ถูกช่องด้วย "
หนังสือเล่มนี้ยังมีอะไรน่ารักๆ อีกเยอะค่ะ



ป.ล.1 ใครที่ไม่กล้าเดินทางคนเดียว รีบหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านโดยเร็ว ผู้เขียนเป็นคนขี้อาย แต่ขณะเดียวกันก็ใจกล้ามาก

ป.ล.2 ขออภัยเพื่อนๆ ที่รอดูรูปไปเที่ยวนะคะ รูปเยอะมาก ถ่ายมาประมาณ 900 รูป โดยช่างภาพมืออาชีพ ยังไม่มีเวลาคัดรูปเลยค่ะ งานน้อยกว่านี้เมื่อไร จะอัพให้ดูโดยพลัน




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2548   
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 17:12:27 น.   
Counter : 2161 Pageviews.  

แด่ ม.ร.ว.กีรติ เหยื่อของฝรั่งคนสุดท้ายในวรรณกรรมไทย (จบ)

แด่ ม.ร.ว.กีรติ
นิธิ เอียวศรีวงศ์

เณรพลายแก้วได้ปะหน้านางพิมวัยสาวเป็นครั้งแรก ตกดึกก็คร่ำครวญถึงนางพิมว่า "ทำไฉนจึงจะได้นางพิมชม" รักกับได้ชมแยกออกจากกันไม่ได้. เรื่องนี้ทำให้ผมอดคิดถึงละครทีวีและหนังไทยหลายเรื่องไม่ได้ พระเอกรักนางเอก แต่ด้วยความแค้นซังกะบ๊วยอะไรก็ตาม เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการปล้ำ ทำจนนางเอกท้องบ้างไม่ท้องบ้าง แล้วผู้แต่งจะจบเรื่องอย่างไร น่าอัศจรรย์มากนะครับ นางเอกก็รักพระเอกแล้วก็แต่งงานอยู่กินกันจนชั่วฟ้าดินสลาย

การปลุกปล้ำข่มขืนเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความรัก นางเอกก็ยอมรับปรัชญาข้อนี้ จึงมีความรู้สึก "รัก" คนที่เคยข่มขืนตนได้ลงคอ ที่น่าอัศจรรย์คือผู้แต่ง (ซึ่งมักเป็นผู้หญิง) คิดได้อย่างไร แต่ที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นคือผู้ชมละครทีวีหรือดูหนังก็ชื่นชมเรื่องอย่างนี้จนติด มันแปลว่าอะไรครับ ผมแปลว่าการ "ได้ชม" นั้น จะใช้วิธีไหนก็ได้ นับตั้งแต่มนต์มหาระรวยไปจนถึงกล้ามเนื้อ

เช่นเดียวกับอิเหนาเมื่อได้ใช้ปากพูดกับจินตะหราเป็นครั้งแรกก็ฝากรักว่า "...เพราะหวังชมสมสวาสดิทรามวัย สู้เอาชีวาลัยมาแลกรัก" ฉากรักในละครรำไปจนถึงลิเกก็คือการรุกและการป้องปัด พูดภาษาชาวบ้านคือปากว่ามือถึง

ไม่มีนะครับ อาการแห่งความรักบริสุทธิ์ เทิดทูนบูชา ฯลฯ อย่างที่ควรจะเป็นสำหรับความรักโรแมนติค เพราะความรักแบบไทยไม่ใช่ความรักโรแมนติค ครั้นเรารับเอาความรักโรแมนติคมาจากหนังและนิยายฝรั่งในภายหลัง ผมออกจะสงสัยว่าเรายังไม่รู้วิธีจะรวบยอดมันมาใช้ในการแสดง หรือแม้แต่ในวรรณกรรมได้

ผมควรย้ำไว้ด้วยว่า ความรักแบบโรแมนติคของฝรั่งก็ไม่ใช่อุดมคติดีเลิศที่เราต้องทำให้ได้นะครับ เพียงแต่ว่าเราไปลอกความรู้สึกแบบนั้นจากนิยายและหนังฝรั่งมาใช้ในหนังและนิยายของเราบ้าง แต่แล้วเราก็ใช้มันอย่างไม่แนบเนียนเท่าไร โดยเฉพาะในการแสดงความรักแบบนั้น

ผมเข้าใจว่าในวัฒนธรรมโบราณของไทยนั้น การได้เสียเป็นความรับผิดชอบ (พอสมควร-คือมากกว่าปัจจุบัน) ความคิดอันนี้สะท้อนออกมาในหนังและละครทีวีไทยอยู่เหมือนกันนะครับ ตัวละครที่เป็นฝ่ายคนดี ซึ่งรวมพระเอกด้วยมักรับผิดชอบกับเรื่องนี้เสมอ แม้แต่กับนางอิจฉาที่มอมเหล้าพระเอกแล้วไปนอนแก้ผ้าเป็นเพื่อนตลอดคืน ฉะนั้น ความรักแท้ของพระเอกในวรรณคดีไทยจึงแยกออกจากเรื่องได้เสียไม่ได้ รักแท้แล้วไม่ยอมได้เสียก็แสดงว่าไม่ได้รักจริงล่ะสิครับ

หญิงชายไทยในสมัยก่อนคงต้องใจกันบ้างถึงได้เสียกัน จะต้องใจกันได้ก็ต้องจีบกัน แต่จีบกันโดยไม่มีการได้เสีย จึงต้องทำโดยไม่มีพันธะต่อกันมากจนเกินไป

ในประเพณีแอ่วสาวของภาคเหนือ (หรือเว้าสาวของอีสาน) คำโต้ตอบของหญิงชายมีแบบแผนค่อนข้างตายตัวอยู่แล้ว ต่างฝ่ายต่างรู้กันว่าต้องพูดอะไร และต้องตอบโต้ว่าอะไร ความหมายที่แท้จริงจากใจผู้พูดแฝงอยู่อย่างละเอียดอ่อนในคำโต้ตอบนั้น เช่น ผมได้ยินมาว่า หากสาวในภาคเหนือถูกถามว่าเย็นนี้กินอะไร แล้วเธอตอบว่ากินอะไรที่เผ็ดๆ ก็แปลว่าเธอไม่ยินดีต้อนรับหนุ่มที่ถามนัก แอ่วพอเป็นมารยาทแล้วควรเขยิบหนีไปเรือนอื่นที่ลูกสาวเขาบอกว่ากินแกงฟักหรืออะไรที่เย็นๆ กว่านั้น

นักวิชาการฝรั่งอธิบายว่า ประเพณีโต้ตอบในการแอ่วสาวเหล่านี้ ช่วยกีดกันมิให้การสนทนาของแต่ละฝ่ายกลายเป็นข้อผูกมัดจนเกินไป (จนกว่าฝ่ายชายจะเอ่ยปากขออนุญาตส่งผู้ใหญ่มาขอ-ซึ่งต้องพูดโดยไม่มีภาษาแอ่วกำกับ) ซึ่งผมก็เห็นด้วย

ผมนึกถึงการเล่นโวหารของหนุ่มสาวสมัยนี้ อย่างที่เคยเห็นในทีวีเสมอ เช่น ผู้ชายบอกผู้หญิงว่า "ขอโทษ ช่วยเขยิบมาตรงนี้หน่อยเถิดครับ" "ทำไมหรือคะ" "หัวใจเราจะได้ตรงกันไงครับ" และโวหารอื่นๆ อีกมากมาย แล้วแต่ใครจะคิดขึ้นใหม่โดยไม่มีประเพณีของภาษาแอ่วมากำกับ. แต่... แล้วมันจริงหรือเล่นล่ะครับ ? คำตอบคือไม่ชัด จริงก็ได้เล่นก็ได้ แต่ที่แน่นอนคือไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต่างเลยนะครับกับประเพณีการแอ่วสาวหรือเว้าสาว

แสดงว่า จนถึงทุกวันนี้ หลังจากดูหนังฮอลลีวู้ดกันมาคนละนับเป็นร้อยเรื่องแล้ว ความรักแบบโรแมนติคก็ยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบความสัมพันธ์ของไทย และเรายังไม่อาจแสดงความรักแบบนี้ได้เป็น ทั้งในศิลปะการแสดงและในชีวิตจริง

ผมคิดเรื่องนี้แล้วก็นึกเถียงตัวเองว่า ทำไมผู้คนจึงซาบซึ้งกับนวนิยายเรื่อง "ข้างหลังภาพ" ของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ กันมากอย่างนั้นเล่า ความรักของ ม.ร.ว.กีรตินั้นแหละคือสุดยอดของความรักแบบโรแมนติคเลย ไม่มีบริบท, ไม่มีข้อเรียกร้องตอบแทน, (น่าจะ) ไม่มีความรู้สึกทางกามารมณ์ด้วย ขอแต่ให้ได้รักเท่านั้น หรือเธอเป็นเหยื่อของฝรั่งคนสุดท้ายในวรรณกรรมไทยกันหว่า

ในขณะที่คนอ่านสามารถเข้าใจเธอได้ แต่ทำตามไม่ได้ อย่างที่คนไทยปัจจุบันเข้าใจความรักแบบโรแมนติคได้ แต่ทำตามไม่ได้

ป.ล.1 บทความของอาจารย์นิธิชิ้นนี้นำมาจากบทความเผยแพร่ของเว็บไซด์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และบทความชิ้นนี้เคยตีพิมพ์ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ด้วยค่ะ

ป.ล.2 จบแล้วค่ะ







 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2548   
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 16:35:28 น.   
Counter : 1963 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

grappa
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




New Comments
[Add grappa's blog to your web]