![](../images/spacer.gif) |
|
+ + + + + 8 ½ ริกเตอร์ เมื่อประวัติศาสตร์ถูกรื้อสร้างด้วยความรัก + + + + +
"...ความรักก็คล้ายแผ่นดินไหว เราจะรับรู้ผลของมันได้ก็ต่อเมื่อทุกอย่างเคลื่อนผ่านไป..."
![](//www.bloggang.com/data/a-wild-sheep-chase/picture/1171414566.jpg) 8 ½ ริกเตอร์ การเดินทางตามหาหัวใจที่สาบสูญ อนุสรณ์ ติปยานนท์ : เขียน สุดสัปดาห์สำนักพิมพ์ : พิมพ์ กันยายน 2549 , 118 หน้า , 105 บาท
8 ½ ริกเตอร์ เป็นนวนิยายเล่มล่าสุดของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ นักเขียนที่ใครๆ ต่างก็ขนานนามเขาว่าเป็น "มูราคามิแห่งเมืองไทย" นวนิยายเล่มแรกของเขา - ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ- นำเหตุการณ์ 9/11 มาเป็นฉากหลัง กลายเป็นนวนิยายเล่มโปรดของใครๆ หลายคนไปแล้ว
มาเล่ี้มนี้อนุสรณ์นำคนอ่านมา"รื้อสร้าง"ประวัติศาสตร์เอเชียช่วงสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อครั้งที่กองทหารญี่ปุ่นและเชลยศึกยกพลมาช่วยสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะ ...มีสถานที่สองแห่งในโลกนี้ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่างเปล่า เป็นการรู้สึกถึงความว่างเปล่าอันแสนเศร้า และความเศร้าอันแสนว่างเปล่า สถานที่แห่งหนึ่งนั้น คือ สุสานทหารสัมพันธมิตรที่จังหวัดกาญจนบุรี อีกสถานที่หนึ่งนั้น คือ ศาลเจ้าชินโตยาสุคุนิ เมืองโตเกียว (บางส่วนจากคำนำผู้เขียน)
คำนำของคนเขียนว่าไว้อย่างนั้น อนุสรณ์นำโครงเรื่องที่ว่าด้วย ฟูจิ คัทสึฮิโระ นักธรณีวิทยาชาวญี่ปุ่นถูกส่งตัวมาเ้มืองไทยเพื่อเก็บข้อมูลและตรวจสอบพิกัดของเส้นทางสายรถไฟมรณะที่กาญจนบุรี เพราะการประท้วงอันรุนแรงของประชาชนชาวเกาหลีในปี2005 ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นตระหนักว่า แม้นตำราเรียนเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งก็อาจทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศได้ ้โดยเฉพาะบทที่เกี่ยวข้องกับสงครามมหาเอเชียบูรพา ทางการญี่ปุ่นต้องการตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้นให้รอบด้านอีกครั้ง นักธรณีวิทยาอย่างฟูจิซัง จึงถูกส่งตัวมาเมืองไทยเพื่อเช็คพิกัดเส้นทางนี้อีกรอบ
ระหว่างการทำงานในเมืองไทยฟูจิต้องเช็คข้อมูลเอกสารประวัติศาสตร์ควบคู่ไปด้วย และนั่นทำให้ัเขาค้นพบว่าเครื่องบินลำหนึ่งหายไปอย่างลึกลับ การค้นหาข้อมูลเครื่องบินลำนี้เองทำให้เขาพบเจอเรื่องราวแห่งความรักของนายทหารผู้มียศระดับล่างๆ ในกองทัพญี่ปุ่น เป็นเรื่องราวของความรักที่สามารถ" สั่นไหว" ผู้อ่านได้อย่างทรงพลังยิ่ง
อนุสรณ์เคยบอกว่า เขาสนใจเรื่องราวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ และเขาชอบที่จะนำเหตุการณ์เหล่านั้นมาใส่ในนวนิยายของเขา เขา "ให้ความหมายใหม่" แก่ประวัติศาสตร์ ทำให้ประวัิติศาสตร์มีชีวิต มีเลือดเนื้อ โลดแล่นขึ้นมาใหมบนหน้ากระดาษแห่งนวนิยาย
ด้วยพลังแห่งจินตนาการของนักเขียน เขารื้อสร้างประวัติศาตร์ แยกย่อยมันออกมา หยิบเอาชิ้นส่วนที่ขาดหายไปในสังคมสมัยใหม่ ใส่เข้าไปในประวัติศาตร์ นำยุคสมัยที่ผู้คนยังยึดมั่นและศรัทธาต่อความรัก-กลับเข้ามาในนวนิยายของเขา
ไม่เพียงแต่การนำคุณค่ารักแท้ที่เกิดในประวัติศาตร์มาเป็นพล็อทหลักของเรื่อง อนุสรณ์ยังนำเอาคุณค่าของความรักของฟูจิซังที่มีต่อคนรัก-ซายาโกะ ความรักของคนทั้งสองในโลกปัจจุบันถูกขับให้ดำเนินคู่ขนานไปกับพล็อทหลักของเรื่องด้วย
" ...และแล้วคุณก็ปรากฏตัวขึ้นซายาโกะ การปรากฎตัวของคุณได้ยุติชีวิตอันไร้รสชาติ เปลี่ยวเหงา ยืดยาว และทรมานเหล่านั้นลง คุณคือจุดฟุลสต็อปของประโยคชีวิตอันเปราะบางของผม" ( หน้า 55)
ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คนเขียนสามารถนำซายาโกะเดินทางเข้าไปสู่โลกประวัติศาตร์ได้อย่างแสนพิศวง ลึกลับ และเร้าใจยิ่ง
8 ½ ริกเตอร์ ยังมีตัวละครอีกสำคัญอีกคนหนึ่งคือ "กุลนัันท์" หญิงสาวนักภาษาศาสตร์ผู้เป็นผู้ช่วยฟูจิในการค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เธอเติบโตมาในยุคสมัยที่
"ความรักไม่ต่างจากแผ่นกระดาษคลีเน็กซ์ทีีเราทิ้งมันเมื่อหมดความต้องการ และดึงแผ่นใหม่ขึ้นมาใช้เมื่อถึงเวลา ความรักกลายเป็นบรรยากาศสลัวๆ และจอมปลอมที่ปรากฏอยู่ในบทเพลง ละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์ ไม่ใช่ในชีวิตจริง ความรักเป็นอากาศเบาบางที่ล่องลอยอยู่ในพิพิธภัณฑ์โบราณที่ไหนสักแห่ง" (หน้า95)
และเมื่อฟูจินำเธอไปค้นพบหลักฐานชิ้นเล็กๆ ในประวัติศาสตร์ชิ้นนั้น ความคิดที่เธอมีต่อความรักถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง เธอเริ่มอยากกลับไปหาคุณค่าแบบเดิมที่แสนงดงามอันนั้น
8 ½ ริกเตอร์ จึงไม่ใช่แค่การสั่นไหวคนอ่าน แต่มันเป็นการสั่นไหวประวัติศาตร์ ด้วยการเติมเต็มข้อมูลชิ้นสำคัญ ์ มันคืออุดมคติที่ไม่เคยตาย และสยบผู้คนมาแล้วทุกยุคทุกสมัย อุดมคติแห่ง "รักแท้ "
Way Back Into Love - Ost Music and Lyrics
Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2550 |
| |
|
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 14:57:21 น. |
| |
Counter : 3391 Pageviews. |
| |
![](../images/bg-follower.png) |
|
|
+ + + + + โลกระหว่างรอกาแฟ + + + + +
![](//www.tresgatos.us/oct-02-02a.jpg)
... คนเวียดนามมันกินกาแฟร้อนผสมนมข้นหวานแบบนี้ในแก้วใส แม้มันจะร้อนมือโดยใช่เหตุ เพราะความเปิดเผยของแก้วอนุญาตให้ผู้กรองมองเห็นเนื้อขาวนวลตาของนมข้นที่นอนนิ่งอยู่กับก้นแก้ว รอการหยดอย่างไม่วู่วามจากเครื่องกองกาแฟด้านบน ความเชื่องเฉื่อยของการหยด ทำให้กาแฟไม่รีบละลายนมเป็นเนื้อเดียวกัน ภายในแก้วจึงปรากฏภาพสะดุดตาของสีขาว-ดำ ขาวของนมข้นสูงประมาณหนึ่งเซนติเมตร และดำของกาแฟที่ค่อยๆ ขยายความสูงทีละน้อย
เมื่อกาแฟถูกกรองหมดแล้ว จึงยกเครื่องกรองออก ใช้ช้อนคนสีดำของกาแฟกับสีขาวของนมข้นให้เข้ากัน กาแฟร้อนรสขม-หวานเหมือนน้ำตาลสะอื้นไห้ ก็สำเร็จรอการกระดกกิน
ในโลกสำเร็จรูปที่เร่งรีบ การรอหยาดกาแฟตกลงบนผิวนม อาจดูเสียเวลา ไร้สาระ และเฉื่อยเฉยต่อความพยายามที่จะรุดหน้าของสังคม
ผมจ้องหยดเข้มเหล่านั้นเหมือนนับเม็ดเวลาที่ร่วงหาย
คลับค้ายคลับว่าชายในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งประกาศไว้ว่า "ชีวิตจะมีอะไรมากมาย ขอแค่ได้กินกาแฟอร่อยๆ สักแก้ว มันคือความสุขที่สุดแล้ว"
ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องกินกาแฟ และไม่แน่ใจว่ากาแฟให้ความสุขที่สุดได้จริงอย่างที่เคยได้ยินมา
บนเรือนร่างของเครื่องทำกาแฟเวียดนาม และในหยดเล็กๆ ร้อนๆ ของกาแฟที่ตกแตะผิวหนานุ่ม บรรยากาศของการรอคอยดูจะมีค่ามากกว่าการเร่งให้ถึงจุดหมาย
อาจเหมือนที่ชายบนจอเงินคนนั้นบอก "ชีวิตจะมีอะไรมากมาย"
ความหมายทั้งหมดปรากฏอยู่ในการรอคอย
ตัดตอนจาก โลกระหว่างรอกาแฟ เขียนโดย ปราบดา หยุ่น ในหนังสือรวมความเรียง "เรื่องตบตา"
![](//www.typhoonbooks.com/typhoonbooks/hittingtheeyescover.jpg)
" เรื่องตบตา " เป็นงานรวมความเรียงร่วมสมัยว่าด้วย ร้านปราด้ากับร้านแมคอินทอชในย่านหรูของมหานครนิวยอร์กมีหน้าตาและนิสัยแตกต่างกันอย่างไร, ส้วมแบบไหนคือส้วมสวรรค์, คนญี่ปุ่นคิดอย่างไรจึงไปสร้าง "ซอย" ไทยในกรุงโอซาก้า, นักอ่านไม่ควรตัดสินหนังสือจากปกจริงหรือ, ทำไมต้อง "รอ" กาแฟในกรุงฮานอย, นักฟิสิกส์อย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เท่กว่าดารา-นักร้องขนาดไหน, ทำไม "เด็กแนว" ต้องใส่เสื้อยืดมือสอง, หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นไม่ดีจริงหรือ, หนังสือการ์ตูนฝรั่งกลายเป็นศิลปะ "ชั้นสูง" ไปตั้งแต่เมื่อไร ฯลฯ
หมายเหตุ ความเรียงทั้งหมดใน"เรื่องตบตา "เคยตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสารคดี
เรื่องตบตา โดย ปราบดา หยุ่น : สำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น พิมพ์ 240 หน้า , 180 บาท พิมพ์ครั้งแรก ธันวาคม 2549
Create Date : 22 มกราคม 2550 |
| |
|
Last Update : 29 สิงหาคม 2557 19:34:52 น. |
| |
Counter : 2064 Pageviews. |
| |
|
|
|
+ + + + + อ่านเป็นเห็นชีวิต + + + + +
![](//imagesource.allposters.com/images/pic/NIM/AR047~Reader-Posters.jpg)
อ่านเป็นเห็นชีวิต
ภาพที่ผมคิดว่างดงามและติดตรึงใจทุกครั้งที่เห็นก็คือภาพเด็กหญิงเด็กชายนั่งอ่านหนังสือคอยพ่อแม่ที่ไปจับจ่ายซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ความสนใจทั้งหมดในช่วงยามนั้นจมอยู่กับหนังสือในมือ ไม่สนใจสรรพเสียงรอบข้าง บางครั้งผมถึงกับเดินเข้าไปใกล้ๆ เกือบๆ จะเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอื้อเอ็นดู แต่ก็ยั้งใจไว้ได้ทุกครั้ง ผมเคยอยู่ในโลกแบบนี้มาแล้ว ผมไม่อยากให้สัมผัสของผมดึงเธอหรือเขาออกมาจากโลกจินตนาการแห่งการอ่านที่กำลังนำพาไปอย่างไม่มีขอบเขต และ ณ ห้วงเวลาแห่งความสุขนั้นมีแต่เรา - -ที่รักการอ่านเหมือนกันถึงจะเข้าใจ
ผมเข้าไปอยู่ในโลกแห่งการอ่าน ตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนประถมเมื่อตอนอายุ 8 ขวบ เริ่มต้นอ่าน ก.ไก่ เป็นอักษรตัวแรกเช่นเดียวกับเด็กอื่นๆ เพียงขึ้นชั้นประถม 2 ผมก็อ่านภาษาไทยแตกฉาน จากกนั้นผมก็ไม่เคยหยุดอ่านมาเลยตลอดชีวิต ผมอ่านหนังสือมาแล้วกี่ร้อยกี่พันเล่ม อ่านอักษรมาแล้วกี่แสนกี่ล้านตัว ผมไม่รู้ ผมรู้แต่เพียงว่า ยังมีหนังสืออีกมากมายที่ผมยังไม่ได้อ่าน หนังสือเป็นทรัพย์สมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ผมคิดว่ามีน้อยเกินไป
ผมไม่เคยถูกสั่งสอนมาให้อ่าน พ่อแม่ของผมหอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน ซึ่งแน่ละไม่มีหนังสือติดมาด้วยสักเล่ม แล้วผมไปเอายีนแห่งการชอบอ่านมาจากไหน? แต่โลกของเด็กต่างจังหวัดในปี 2490 ไม่ได้กว้างจนผมต้องครุ่นคิดเรื่องนี้ ไม่ได้แปลกใจด้วยที่เด็กในละแวกใกล้เคียงไม่มีใครเป็นแบบผม และไม่แปลกใจที่ผมตัวเองเป็นแบบนี้ อย่างเงียบๆ และเป็นไปปีแล้วปีเล่าในบ้านสวนผักท่ามกลางแสงตะเกียง ผมเริ่มมองเห็นโลกกว้างออกไปเรื่อยๆ จากการอ่านทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา แม้ว่าตลอดเวลาจะถูกห้ามจากพ่อแม่ที่ครั้งนั้นคิดว่าการอ่านหนังสือเป็นอาชีพไม่ได้ หัดขายก๋วยเตี๋ยวหรือขายกาแฟสิ หัดเป็นช่างไม้หรือช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์สิ ถึงจะเป็นอาชีพได้ หนังสือของผมจึงถูกเผาหรือถูกทำลายทุกครั้งที่นำเข้าบ้าน แต่ไม่สำเร็จโลกของเด็กชายคนนั้นไปไกลเกินกว่าที่ใครจะสามารถดึงกลับมาได้ เด็กชายคนนั้นยังคงหาทางอ่านและอ่านต่อไป
มีผลงานวิจัยจากหน่วยงานของรัฐระบุว่า คนไทยอ่านหนังสือโดยถัวเฉลี่ยปีละ 8 บรรทัด โอ้ ถ้าไม่มีคนอย่างผมมาถัวเฉลี่ยด้วย ตัวเลขคงต่ำกว่านี้ แต่นี่ยังไม่ใช่ตัวเลขที่น่าเศร้าอย่างที่หลายๆ คนรู้สึกหรอก มันจะน่าเศร้ายิ่งกว่าไหมถ้ามีรายละเอียดจริงๆ แจงออกมาว่า 8 บรรทัดที่คนไทยอ่านแต่ละปีเขาอ่านอะไร ? เป็นไปได้ไหมที่เขาอ่านอะไรเรื่อยๆ เปื่อยๆ สักแต่ว่าอ่าน 7 บรรทัด ? อ่านประเทืองปัญญาและความคิด 1 บรรทัด ? หรือว่าโดยถัวเฉลี่ยทั้ง 8 บรรทัดนั้นอยู่ในแบบแรก ?
พ่อแม่ของผมให้สตางค์ไปโรงเรียนวันละ 50 สตางค์ ผมกินขนมหนึ่งสลึง (ข้าว-หิ้วปิ่นโตไปจากบ้าน ) อีกหนึ่งสลึงผมไปเช่าหนังสืออ่าน เริ่มตั้งแต่หนังสือการ์ตูน นิยายภาพ ขึ้นชั้นมัธยมผมถึงเริ่มซื้อหนังสือเล่ม ตอนนั้นได้ค่าขนมเพิ่มเป็นวันละ 2 บาท และทางบ้านก็เลิกเผาหนังสือของผม พวกท่านเริ่มยอมรับว่าเป็นกรรมของผมที่ "ติดหนังสือ" และตอนนั้นเองที่ผมเริ่มอยากเป็นนักเขียน
โลกแห่งการอ่านของผมเปลี่ยนไปตอนย่างเข้าวัยรุ่น มันเปลี่ยนแปลงชีวิตและความคิดของผมโดยสิ้นเชิง เมื่อผมพบกับหญิงสาวข้างบ้านคนหนึ่ง สังคมในยุคหลังปี 2500 ความคิดหัวก้าวหน้าแบบเธอถูกเรียกว่าเป็นพวกหัวเอียงซ้าย เธอคนนี้เองที่แนะนำให้ผมรู้จักอ่าน "สิ่งที่เป็นสาระและความคิด" เธอนำผมไปรู้จักกับงานเขียนของ ศรีบูรพา,เสนีย์ เสาวพงศ์, สด กูรมะโลหิต,ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ และใครต่อใครอีกหลายคน เส้นทางใหม่แห่งการอ่านนี้ทอดยาวไกลออกไปอีก มันนำผมไปสู่โลกและชีวิตที่กว้างและลึกซึ้งออกไปอีก มันจุดประกายความคิดใหม่ๆ ให้ทุกครั้งที่ลงมืออ่าน เป็นเส้นทางที่ผมท่องเดินไม่รู้จบ มันทั้งบอกเล่า ทั้งให้การการเรียนรู้ ให้เราขบคิด ให้เราตระหนักว่าสังคมนี้ไม่ใช่จะคิดถึงแต่เราคนเดียว มีคนอีกมากมายที่เราต้องคิดถึงด้วย
มีภาพงดงามอยู่ 2 ภาพ ภาพแรกเป็นสาวสวย กำลังอ่านหนังสือที่ไม่นำเธอออกไปจากโลกแคบๆ (คุณคงรู้ว่าผมหมายถึงหนังสืออะไร ) ภาพที่ 2 เป็นภาพหญิงสาวไม่สวยนัก แต่เธออ่านหนังสือที่นำเธอออกไปจากโลกแคบๆ ( คุณคงรู้ว่าผมหมายถึงหนังสืออะไรอีก ) คำถาม : ในความรู้สึกของคุณ ผู้หญิงสองคนนี้คนไหนจะงดงามกว่ากัน
ผมไม่รู้ว่าผมจะมีชีวิตยืนยาวอีกนานแค่ไหน แต่ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ ผมรู้ว่าตราบใดที่ดวงตาของผมยังมองเห็น ผมก็จะยังคงอ่านหนังสือ และวันใดที่ผมจะตายก่อนที่ดวงตาของผมจะปิดสนิท ถ้าภาพสุดท้ายที่ผมเห็นเป็นภาพของคนกำลังอ่านหนังสือ ผมก็ยังจะยืนยันว่านั่นเป็นภาพที่งดงามที่สุด งดงามกว่าอัญมณีบนสร้อยคอของสาวสวย (นอกเสียจากว่าสาวสวยคนนั้นจะอ่านหนังสือ ) งดงามกว่าภาพบ้านพักบนเชิงเขา ( นอกเสียจากว่าในบ้านนั้นจะมีคนอ่านหนังสือ) งดงามกว่าดอกไม้ (นอกเสียจากว่าดอกไม้นั้นจะอ่านหนังสือ ) โดย ปกรณ์ พงศ์วราภา ประธานกรรมการบริหาร/กรรมการผู้จัดการบริษัทจีเอ็ม มัลติมีเดียจำกัด ( มหาชน)
นำมาจาก "อ่านเป็นเห็นชีวิต " เมื่อ 31 บรรณาธิการชั้นหัวกะทิของนิตยสารถ่ายทอดมุมมองว่าด้วย "อ่านเป็นเห็นชีวิต "
หมายเหตุ : ขอบคุณพี่แจ๊ด ณิพรรณ กุลประสูตร สำหรับหนังสืออันทรงคุณค่าเล่มนี้
หนังสือเล่มนี้จัดทำประกอบงาน ประวัตินิตยสารไทย โดยสมาคมนิตยสารไทย
Create Date : 16 มกราคม 2550 |
| |
|
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 14:58:19 น. |
| |
Counter : 1574 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
![](../template/theme/7/images/01blog_06.gif) |
grappa |
|
![](../template/theme/7/images/spacer.gif) |
|
|